สะใภ้บ้านสามมู่ยังคงเถียงคอเป็นเอ็น และแสดงท่าทางที่ดูเหนือกว่า หากแม่สามีเอ่ยปากขึ้นมา ไม่ว่าบ้านใหญ่หรือบ้านรองล้วนไม่อาจปฏิเสธ เพราะคำว่ากตัญญูมันค้ำคอ
ใช่แล้ว ไม่ว่าปู่หรือย่าพูดสิ่งใด ลุงใหญ่และพ่อของเธอล้วนทำตาม เพราะคำว่ากตัญญู แม้ว่าทั้งสองบ้านจะแยกตัวออกมาแล้วก็ตาม มู่อันเหมยได้แต่กำหมัดแน่นด้วยความแค้นใจ
แต่ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้เธอไม่มีทางยอมแน่ คงเป็นลูกชายคนรองของบ้านสามที่อยากได้งานของเธอ เพราะลูกชายคนโตนิสัยดีพอสมควร และไม่ชอบวุ่นวายกับใคร มักจะอยู่กับลูกกับเมียตนเอง
ชาติก่อนเพราะเธอมอบของขวัญให้กับสหายของพ่อเสี่ยวฟาง เรื่องจึงไม่ลุกลาม เธออ้างเรื่องนี้ได้บวกกับเธอให้พ่อของเสี่ยวฟางออกหน้า ทว่าชาตินี้เธอจะอ้างอะไร ของขวัญก็ไม่ได้ให้ จะให้พ่อของเสี่ยวฟางออกหน้าก็ไม่ถูกต้อง นี่เป็นเรื่องระหว่างบ้านรองและบ้านสามตระกูลมู่
“ฉันคงให้หล่อนยืมไม่ได้หรอกนะ เรื่องนี้มันเกี่ยวกับว่าที่ลูกสะใภ้ฉันโดยตรง ฉันซึ่งเป็นว่าที่แม่สามี ไม่มีวันที่จะทำร้ายว่าที่ลูกสะใภ้ตนเอง หล่อนกลับไปเถอะ
เงินที่ต้องคืนฉันให้เวลาอีกสามวัน หากไม่นำมาคืน ฉันจะเอาสัญญาไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ฉันไม่เคยคิดดอกเบี้ยในสัญญาก็ระบุไว้ เธอน่าจะรู้นะว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากเรื่องถึงเจ้าหน้าที่”
นางอี่หนิงไม่คิดจะอ่อนข้อให้คนที่กล้าคิดร้ายต่อดวงใจลูกชายของเธอ
มู่อันเหมยหันไปมองด้วยความตกใจเช่นกัน ไม่คิดว่าป้าสะใภ้เฉินจะปกป้องเธอ และยอมมีปัญหากับบ้านสามมู่
นางอี่หนิงกระชับมือของมู่อันเหมยไว้แน่นและตบเบา ๆ อย่างให้กำลังใจ ไม่ว่าจะอย่างไรนางอี่หนิงย่อมต้องเข้าข้างว่าที่ลูกสะใภ้ของตนเอง
เฉินหยางคุนได้ยินเสียงคล้ายคนทะเลาะกันจึงวางมือจากวัตถุดิบที่กำลังทำอยู่ จากนั้นจึงเดินออกมาดู เมื่อเห็นว่ามู่อันเหมยยืนข้างแม่ของตนและยังมีสะใภ้บ้านสามมู่ยืนอยู่ด้วย ใบหน้าของชายหนุ่มจึงเปลี่ยนมาเป็นเย็นชา
“เกิดอะไรขึ้นครับแม่ มีใครมาสร้างความเดือดร้อนเหรอครับ”
“พอดี...” นางอี่หนิงยังไม่ทันได้ตอบ สะใภ้บ้านสามมู่รีบเอ่ยอย่างร้อนรนทันที
“ไม่ ไม่มีอะไร ฉันขอตัวก่อนนะ”
จากนั้นจึงหมุนตัวกลับออกไป และคิดว่าเรื่องนี้คงต้องให้พ่อแม่สามีออกหน้าเสียแล้ว
แม้ว่าเรื่องข่าวลือของเฉินหยางคุนมีคนมาแก้ต่างให้แล้ว ทว่าชาวบ้านส่วนใหญ่กลับยังเชื่อเช่นเดิม ทำให้ไม่ค่อยมีใครกล้าพูดคุยกับเฉินหยางคุนมากนัก รวมถึงตัวเธอเอง
หลังจากสะใภ้บ้านสามมู่จากไป ความสงบจึงกลับมาเหมือนเดิม เฉินหยางคุนเมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรร้ายแรง เขาจึงเดินกลับเข้าครัวอีกครั้ง และคิดว่าเมื่ออยู่ตามลำพังกับแม่คงต้องให้ท่านเล่าให้ฟังเสียหน่อยว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมมู่อันเหมยจึงมีสีหน้าโกรธจัดเช่นนั้น
“ทำใจให้สบายเถอะนะ หากบ้านสามไม่มีเงิน เขาไม่มีวันแย่งงานจากเราไปได้ ยังไงป้าไม่มีวันยอม”
“ขอบคุณมากนะคะ ที่ช่วยออกหน้าให้ฉัน”
“อีกหน่อยเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้ว อย่าเกรงใจเลย แต่มั่นใจแล้วใช่ไหมว่าจะแต่งให้ลูกชายป้า เขามีชื่อเสียงที่ไม่ดีเท่าไร”
นางอี่หนิงอยากจะถามย้ำอีกครั้ง แม้จะรู้ว่าเฉินหยางคุนถูกใส่ร้าย ทว่าสายตาคนนอกลูกชายของเธอมีชื่อเสียงด่างพร้อยไปแล้ว
“มั่นใจค่ะ ไม่ว่าข่าวลือพี่ใหญ่เฉินจะเป็นอย่างไร ฉันเชื่อว่าเขาไม่ใช่คนแบบนั้น และเชื่อว่าเขาสามารถเป็นสามีที่ดีและพ่อที่ดีได้ ดังนั้นเรื่องแต่งงานป้าสะใภ้เฉินไม่ต้องเป็นกังวล มู่อันเหมยคนนี้ยินดีและเต็มใจที่จะแต่งงานกับพี่ใหญ่เฉินค่ะ”
น้ำเสียงที่จริงจังและสีหน้าท่าทางที่แน่วแน่นั้นทำให้นางอี่หนิงเบาใจขึ้น และเธอเองก็เชื่อว่าสิ่งที่มู่อันเหมยกล่าวมานั้นออกมาจากใจ
“เช่นนั้นเข้าไปดูอาคุนในครัวเถอะ ป้าไม่รบกวนเวลาหนุ่มสาวแล้ว”
นางอี่หนิงอยากให้ทั้งสองคนมีเวลาอยู่ด้วยกัน เธอเชื่อว่ามู่อันเหมยคือสะใภ้บ้านเธอ หากมีใครกล้าคิดร้าย เธอไม่มีทางปล่อยไปเช่นกัน บ้านเฉินของเธอไม่เคยหาเรื่องใครก่อน แต่ก็ไม่เคยปล่อยให้ใครเข้ามาทำร้ายหรือวุ่นวายกับคนที่รักหรือคนในครอบครัว
มู่อันเหมยยิ้มอย่างเขินอาย ก่อนจะขอตัวเดินไปยังห้องครัวของบ้านเฉินทันที
ภาพตรงหน้าทำให้มู่อันเหมยแปลกใจไม่น้อย ไม่คิดว่าภาพผู้ชายตัวโตอย่างเฉินหยางคุนจะมีมุมนี้เหมือนกัน
ชายหนุ่มกำลังมือเป็นระวิงขณะทำอาหาร ซึ่งท่าทางดูคล่องแคล่วเช่นนี้มองอย่างไรคงไม่ใช่ครั้งแรกที่ทำ
เธอมองภาพนี้อย่างเหม่อลอย จนเฉินหยางคุนเอ่ยถาม เธอจึงมีสติกลับมา
“ทำไมไม่รอด้านนอก ในนี้มีแต่ความร้อนและควันไฟจากเตา”
“ไม่เป็นไรค่ะ พี่ใหญ่เฉินมีอะไรให้ฉันช่วยไหม”
“ไหนบอกว่าทำอาหารไม่เป็น” ชายหนุ่มเลิกคิ้วถาม คล้ายกับหยอกล้อเล็กน้อย
“แหม...พี่ใหญ่เฉิน ต่อให้ฉันทำอาหารไม่เป็น แต่ฉันยังช่วยล้างผัก หยิบถ้วยชามให้พี่ได้ก็แล้วกัน”
มู่อันเหมยยู่ปากตอบกลับ ก็ตอนแรกบอกว่าไม่มีปัญหาเรื่องเธอทำอาหารไม่เป็น แล้วทำไมเวลานี้คล้ายกับจะล้อเธอเลยล่ะ
“อืม เช่นนั้นก็นั่งรอก่อน ผมขอทำอาหารอีกสองอย่าง”
เมื่อตอบกลับ เฉินหยางคุนจึงหมุนตัวหันกลับมาหน้าเตาเช่นเดิม วันนี้มีบ้านรองมู่มากินอาหารด้วย ทำให้เขาต้องทำอาหารเพิ่มหลายอย่าง
ใบหน้าของชายหนุ่มเวลานี้เริ่มมีเหงื่อซึมหน้าผากเล็กน้อย ทำให้มู่อันเหมยที่นั่งดูอยู่ต้องลุกขึ้นไปหาผ้าสะอาด เพื่อหยิบมาให้เขาซับเหงื่อ
เฉินหยางคุนเห็นการเคลื่อนไหวของเธอตลอดแม้ว่ากำลังทำอาหารอยู่ก็ตาม ก่อนจะแกล้งนิ่งเฉยเพราะอยากรู้ว่ามู่อันเหมยนั้นคิดจะทำอะไรต่อจากนี้
ทันทีที่ได้ผ้าสะอาดผืนเล็กมา ไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ มู่อันเหมยเลยถือวิสาสะเช็ดเหงื่อบนหน้าให้เขาอย่างอ่อนโยน
“ขอโทษนะคะ”
แต่ไม่วายเอ่ยขอโทษชายหนุ่มเพราะเธอกระทำโดยพลการ
“ขอบคุณครับ”
แม้ว่าน้ำเสียงจะนิ่งเฉย ทว่าในใจของเฉินหยางคุนกลับอิ่มเอมไปด้วยความสุข และคาดหวังว่าชาตินี้เขาคงมีเธอเป็นภรรยาอยู่ข้างกาย และจะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายเธอเด็ดขาด
มู่อันเหมยเช็ดใบหน้าให้เขาด้วยความประหม่าเล็กน้อย ไม่ใช่เพราะอะไร แต่เพราะสายตาคมเข้มผสมความร้อนแรงคู่นี้ต่างหากที่มองเธอ
เมื่อเช็ดเหงื่อจากใบหน้าของเขาแล้ว มู่อันเหมยแทบจะไม่กล้าสบตาเขาอีกเลย ใช่…เธอเคยผ่านความใกล้ชิดกับบุรุษเมื่อชาติก่อน แต่ชาตินี้เธอยังไม่เคยใกล้ชิดกับใครขนาดนี้ และความรู้สึกที่มีมันก็ไม่เหมือนกัน
เวลานี้เธอคิดแล้วว่าชาติก่อนความรู้สึกที่เธอมีให้ชายเลวคนนั้นมันใช่ความรักจริงเหรอ หรือเป็นเพียงแค่ความหลง!
จากนั้นไม่นานเฉินหยางคุนก็ทำอาหารเสร็จครบถ้วน ก่อนจะให้มู่อันเหมยไปนั่งรออยู่กับแม่เขาในห้องโถง ส่วนตนเองขอตัวไปอาบน้ำเสียก่อน
ด้านน้องเล็กของบ้านเฉิน หลังจากกลับมาจากโรงเรียนเฉินฟางเซียนจึงได้รับคำสั่งของมารดาให้ไปแจ้งข่าวบ้านรองมู่ว่าเย็นนี้ให้มากินมื้อเย็นที่บ้านเฉิน และยังบอกอีกว่ามู่อันเหมยอยู่ในห้องครัวกับพี่ชายตนเอง
แม้จะแปลกใจกับการกระทำของว่าที่พี่สะใภ้ แต่ก็ทำตามคำสั่งของมารดารีบวิ่งไปที่คอมมูนเพื่อแจ้งข่าวกับบ้านรองมู่
“น้ามู่ น้าสะใภ้มู่ พี่ใหญ่มู่”
เฉินฟางเซียนวิ่งมาจนเหนื่อยก่อนจะยืนหอบแล้วเรียกทั้งสามคน
“มีอะไรเซียนเอ๋อร์” มู่เฟยหยวนเงยหน้าขึ้นมาถามเมื่อได้ยินเสียงลูกสาวบ้านเฉินตะโกนเรียก
“คือว่าแม่ให้มาตามพี่และทุกคนไปกินมื้อเย็นที่บ้าน ตอนนี้พี่อันเหมยก็อยู่ที่บ้านแล้ว กำลังช่วยพี่ใหญ่ทำอาหารอยู่ เลิกงานแล้วรีบไปนะ กลับก่อนนะพี่ใหญ่มู่”
ตอนพิเศษ 2 จงอี้ - เสี่ยวผิงพอหายดี จื้อเฉียงก็ได้ออกจากโรงพยาบาล ทุกคนก็ได้รู้พร้อมกันว่าตอนนี้เสี่ยวเฟิ่งและเขาคบหากันเป็นคนรักและตอนนี้ทั้งสองคนตัวติดกันมากจงอี้ที่ปกติจะไปไหนมาไหนกับเพื่อนสนิท ก็คล้ายจะโดนทิ้ง จึงทำให้เขามานั่งทำหน้าเซ็งอยู่แบบนี้ในช่วงค่ำหลังจากที่เลิกงาน“เป็นอะไรของนาย” เสี่ยวผิงเดินออกมาเจอพอดีจึงเดินเข้าไปถามด้วยความสงสัย เพราะท่าทางของจงอี้เหมือนคนไม่มีชีวิตชีวาเลย“เบื่อ” จงอี้ยังหันมามองเธอและตอบคำถาม“เบื่ออะไร”“เพื่อนเธอแย่งเพื่อนฉันไป” พอนึกถึงเสี่ยวเฟิ่ง เขาก็อดมองค้อนสหายของแฟนเพื่อนอย่างเสี่ยวผิงไม่ได้“เป็นบ้าอะไรของนาย ก่อนหน้านี้ยังสนับสนุนให้ทั้งสองคบหากันอยู่แท้ ๆ” เสี่ยวผิงก็พอจะเข้าใจ ก่อนหน้านี้เธอเองก็ตัวติดกับเสี่ยวเฟิ่ง แต่พออีกฝ่ายมีแฟนก็ต้องแบ่งเวลาให้แฟนด้วย แต่ที่เธอไม่เข้าใจคือจงอี้ที่มานั่งทำหน้าหงิกหน้างออยู่ตรงนี้นี่แหละ ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาสนับสนุนให้จื้อเฉียงและเสี่ยวเฟิ่งคบหากันด้วยซ้ำ“...” นั่นทำให้จงอี้เถียงไม่ได้เลย“นี่ล่ะหนา ที่เขาเรียกว่าหมาหัวเน่า” “เธอว่าใคร” พอถูกพูดถึงแบบนั้น เขาก็หันขวับไปมองหญิงสาวทันที“เปล
ตอนพิเศษ 1 จื้อเฉียง - เสี่ยวเฟิ่งนับตั้งแต่มู่อันเหมยคลอด เฉินหยางคุนก็เห่อลูกน้อยทั้งสอง แทบจะไม่ได้มาทำงานเลย ภาระทั้งหมดจึงไปตกอยู่ที่จงอี้และจื้อเฉียง จงอี้นั้นจัดการเรื่องตลาดแห่งใหม่และเรื่องสำนักงานรวมถึงการค้าต่าง ๆ ของนายส่วนจื้อเฉียง เขาได้ออกเดินทางไปคุยงานแทนผู้เป็นนายบ่อยครั้งและครั้งนี้ก็เป็นการไปคุยเรื่องเสบียงที่ทางใต้ “ฉันฝากด้วยนะ” หยางคุนกล่าวกับคนสนิทที่เขาไว้ใจให้ไปทำงานแทน“นายไม่ต้องห่วงครับ” จื้อเฉียงตอบรับด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ“อืม ช่วงนี้ฉันจะไม่ค่อยว่าง ขอบใจพวกนายมากที่ทำงานแทน”“เพื่อนายพวกผมพร้อมทำงานถวายหัวครับ”จงอี้ก็พูดขึ้นประจบประแจงอย่างติดตลก ทำให้หยางคุนยิ้มออกมาและส่ายหน้าให้กับเขาเล็กน้อย“หึ เกินไป”“ถ้าอย่างนั้นผมไปเตรียมตัวก่อนนะครับ” จื้อเฉียงขอตัวไปเตรียมของที่จะเดินทาง“ไปเถอะ” หยางคุนก็พยักหน้าให้ทั้งคู่แล้วแยกย้ายกันไปทำงานหรูเฟิ่งและเสี่ยวผิงเองก็ไม่ได้อยู่เฉย พวกเธอไม่ได้อยู่ติดตามมู่อันเหมยแล้ว เนื่องจากอีกฝ่ายไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนมากนัก จึงตัดสินใจมาช่วยทำงานที่สำนักงาน แล้วก็ทำให้สนิทกับจื้อเฉียงและจงอี้มากกว่าเดิมไปอีก วัน
บทส่งท้าย สงบสุขจริง ๆ เสียทีวันเวลาก็ผ่านพ้นไปอย่างสงบสุข บ้านสามในเวลานี้ไม่มีฤทธิ์อะไรอีกแล้ว ตัวของย่ามู่แทบจะไม่ออกจากบ้านอีกเลย คนอื่น ๆ ก็ใช้ชีวิตกันไปอย่างปกติและมีความเป็นอยู่ที่ไม่ค่อยดีเท่าไรเวลานี้มู่อันเหมยท้องได้เจ็ดเดือนกว่าแล้ว ซึ่งท้องของเธอโตมาก หมอวินิจฉัยแล้วว่าท้องนี้อาจจะเป็นลูกแฝด คนที่ตื่นเต้นที่สุดคงไม่พ้นคุณพ่อมือใหม่อย่างเฉินอยางคุน!!ซึ่งตั้งแต่ที่รู้ว่าภรรยาท้อง ชายหนุ่มแทบจะไม่ไปทำงานอีกเลย มัวแต่เกาะติดอยู่กับมู่อันเหมยภรรยารักของตนซึ่งเวลานี้มู่อันเหมยได้ย้ายเข้ามาอยู่ในคฤหาสน์แล้ว เพราะสะดวกมากกว่าโดยมีนางอี่หนิงแม่สามีมาคอยดูแล และให้คำปรึกษาลูกสะใภ้ในช่วงเวลาตั้งครรภ์“อีกไม่กี่เดือนเราจะได้เจอกันแล้วนะลูกรัก” เฉินหยางคุนก้มลงไปพูดกับลูกที่อยู่ในท้องของภรรยาสองแฝดเหมือนจะรู้ว่าพ่อคุยกับตนเอง ทำให้มีปฏิกิริยาเกิดขึ้นจนผู้เป็นแม่อย่างมู่อันเหมยตกใจและทำหน้าเหยเกเล็กน้อย“อ๊ะ”“เหมยเหมยเป็นอะไรหรือเปล่า เจ็บไหมล่ะนั่น” เฉินหยางคุนเงยหน้าขึ้นมาถามภรรยาด้วยความเป็นห่วง ซึ่งมู่อันเหมยพยักหน้าให้เล็กน้อย ก่อนจะลูบท้องตนเองเบาๆ และตอบกลับสามีด้วยความรู้ส
บทที่ 68 จัดการบ้านสามให้เด็ดขาดเฉินฟางเซียนตัดสินใจไปสอบที่ปักกิ่ง โดยมีเว่ยซิ่วตงพาไปด้วยตนเอง ทั้งยังพาเธอไปพบกับครอบครัวของเขาอีกด้วย ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างที่บ้านเว่ย เฉินฟางเซียนก็ไม่ได้เล่าให้กับใครฟังเธอสอบที่มหาวิทยาลัยปักกิ่งตามที่ตั้งใจไว้ ส่วนสหายอีกสองคนไม่ได้ไปด้วยเฉินฟางเซียนมุ่งมั่นและตั้งใจที่จะสอบเป็นอย่างมาก อ่านหนังสือจนดึกดื่นและเธอก็ไม่ทำให้ทุกคนผิดหวัง เฉินฟางเซียนสอบติดอย่างที่ตั้งใจไว้พอกลับมาที่หมู่บ้าน ทุกคนก็ร่วมแสดงความยินดีกับเธอ ชาวบ้านที่อยู่ใกล้เคียงก็รู้เรื่องกันทั่ว“ยินดีด้วยนะลูก” นางอี่หนิงสวมกอดลูกสาวแสดงความยินดี“ขอบคุณนะคะแม่ พี่หยางคุน พี่สะใภ้”“เก่งมาก” เฉินหยางคุนก็ยกมือขึ้นลูบหัวน้องสาวที่เขาเลี้ยงมากับมือด้วยความภาคภูมิใจมู่อันเหมยก็ยิ้มให้กับน้องสามี ในตอนนี้เธอตั้งท้องได้ห้าเดือนแล้ว บ้านเฉินในตอนนี้มีแต่เรื่องน่ายินดี กิจการของเฉินหยางคุนก็กำลังไปได้สวยจริง ๆเรื่องที่เฉินฟางเซียนกำลังจะไปเป็นนักศึกษาที่เมืองหลวงถูกแพร่กระจายไปทั่ว ชาวบ้านก็ยินดีด้วย พร้อมกับเชิดหน้าชูตาได้ เพราะในตอนนี้หมู่บ้านของพวกเขาไม่เพียงมีนายท่านเ
บทที่ 67 มู่อันเหมยท้องแล้วทุกอย่างดำเนินมาอย่างราบรื่นจนปีปฏิวัติผ่านพ้นไป เฉินหยางคุนสั่งปิดตลาดมืดในช่วงที่มีการปฏิวัติ และนายพลหม่า นายพลหู รวมไปถึงครอบครัวของเว่ยซิ่วตงก็เลือกข้างได้ถูกเพราะคำแนะนำจากเขาจากนั้นพอมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น เขาก็เริ่มมีความคิดที่จะทำหลายอย่าง เช่นการทำให้ตลาดมืดกลายเป็นการค้าเสรีที่ชาวบ้านทุกคนสามารถนำของมาขายได้จนกระทั่งทางการประกาศให้มีการเวนคืนที่ดินให้กับผู้ที่เคยถูกยึด ยกเลิกการทำงานในคอมมูน แบ่งที่ดินให้ทำกินอย่างเท่าเทียมทางด้านเฉินหยางคุนก็จัดตั้งตลาดที่ถูกกฎหมายขึ้นมา ส่วนตลาดมืดก็ยังคงมีอยู่และคึกคักเหมือนเดิม แม้จะมีการค้าเสรี แต่สินค้าบางอย่างรัฐยังจำกัดการซื้อ ดังนั้นตลาดมืดยังเป็นที่ต้องการของประชาชนทั่วไปในช่วงนี้สองสามีภรรยาจึงค่อนข้างจะยุ่งวุ่นวายกับงานมาก เช้าวันนี้มู่อันเหมยตื่นขึ้นมาด้วยอาการปวดหัว หน้ามืด อยากจะอาเจียน“อุบ” เธอรีบวิ่งเข้าไปในห้องน้ำจัดการกับตัวเองสักพักก็เดินออกมา ในเวลานี้สามีของเธอคงจะออกกำลังกายอยู่ที่หน้าบ้านมู่อันเหมยรู้สึกว่าช่วงนี้ร่างกายของเธออ่อนเพลียเป็นอย่างมาก แต่เธอคิดว่าเป็นเพราะพักผ่อนน้อย เ
บทที่ 66 เสี่ยวฟางรนหาที่เรื่องราวของว่านปี่หมิงที่ต้องมีสภาพที่น่าอนาถแบบนั้น เสี่ยวฟางก็รับรู้เช่นกัน เธอไม่คิดที่จะกลับไปหาคนไร้ประโยชน์อย่างชายคนนั้นอีก เพราะไม่เช่นนั้นก็คงเป็นเธอที่ลำบากในตอนนี้ชีวิตของเสี่ยวฟางที่บ้านก็ย่ำแย่ไม่แพ้กัน พ่อแม่ของเธอกำลังจะหาชายแก่หรือพ่อม่ายมาแต่งงานกับเธอ เพื่อส่งเธอออกไปให้พ้นตระกูลเธอไม่ยินยอม แต่ไม่สามารถปฏิเสธได้เพราะตอนนี้ยังพึ่งพาพวกเขาอยู่ เธอนึกไปถึงมู่อันเหมยที่ตอนนี้กลายเป็นนายหญิงเฉินแล้วก็รู้สึกอิจฉา คนบ้านนอกอย่างมู่อันเหมยไม่ควรได้รับสิ่งดี ๆ พวกนี้เลยด้วยซ้ำ เลยมีความคิดหนึ่งขึ้นมา ไม่รอช้า วันต่อมาจึงเดินทางมาที่บ้านของมู่อันเหมยทันที“มาหาใครคะ” เฉินฟางเซียนเป็นคนออกมาดูด้วยตนเอง“ฉันมาหาอันเหมยค่ะ”“เป็นสหายของพี่สะใภ้เหรอคะ” ได้ยินคำตอบ เฉินฟางเซียนก็เอียงคอมองอย่างพิจารณา“ใช่ค่ะ” เสี่ยวฟางตอบรับและทึกทักเอาเองว่าเป็นสหายของมู่อันเหมย“ใครมาเหรอฟางเซียน” มู่อันเหมยออกมาพอดี เธอถามน้องสามีและหันไปมองแขกที่มา พอเห็นว่าเป็นใคร เธอก็ชะงักไปทันทีเสี่ยวฟางที่พอเห็นอันเหมย เธอก็กำหมัดแน่น มองการแต่งตัวด้วยชุดสวย ๆ ของอันเหมยด้ว