เฉียวลู่พาเด็กๆ เดินแยกออกมาอีกทางที่ไม่มีร่องรอยของชาวบ้านผ่านเข้ามา นางตัดกิ่งไม้และเหลาปลายให้แหลมให้อวี้หลงกับอวี้ชิงถือเอาไว้ และสั่งให้เด็กทั้งสองเดินอยู่ข้างหลังนางห้ามห่างเกินสองก้าวอวี้หลงกับอวี้ชิงพยักหน้าทำตามแต่โดยดี
“เอาล่ะเด็กๆ จากนี้ไปจะเป็นป่าทึบห้ามห่างจากแม่เป็นอันขาดเข้าใจหรือไม่”
อวี้หลงและอวี้ชิงพยักหน้าขึ้นลงพร้อมกัน เฉียวลู่เดินนำหน้าสายตาสอดส่ายมองหาอะไรบางอย่างที่สามารถกินได้และไม่เป็นพิษต่อร่างกายน้อยๆ ของพวกเขาทั้งสาม เดินหาอยู่นานเฉียวลู่เก็บได้เพียงเห็ดหอมกับเห็ดหูหนูมาเล็กน้อยเท่านั้น มีเห็ดเพียงไม่กี่ชนิดที่นางรู้จักและพวกมันล้วนเป็นเห็ดที่นางเคยกินที่ร้านอาหารทั้งนั้น ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของนางที่ไม่ก้มหน้าก้มตากินเข้าไปอย่างเดียว และยังมีบางชนิดที่นางจำมาจากหนังสือที่ที่นางเคยอ่านมานิดหน่อย โชคดีที่ความจำของนางยังดีอยู่ไม่อย่างนั้นได้พาเด็กๆ กินเห็ดพิษเข้าไป คงได้เดือดร้อนกันทั้งหมดแน่
ผ่านไปนานพวกเขายังเดินวนอยู่ใกล้ๆ ที่เดิมเฉียวลู่ไม่กล้าพาเด็กทั้งสองเดินเข้าไปในป่าที่ลึกเกินไปยังคงเดินวนเวียนอยู่บริเวณตีนเขา เพราะนางกลัวว่าหากเจอกับสัตว์ป่าทั้งสามคนคงไม่รอดกลับไปแน่และเรื่องที่เฉียวลู่กลัวก็เป็นความจริง ห่างออกไปราวหนึ่งร้อยเมตร เฉียวลู่ได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างคล้ายกำลังขุดดินเสียงฟืดฟาดของมันดังขึ้นเรื่อยๆ นางจึงเงยหน้าขึ้นมอง
ภาพที่เห็นทำเอาเฉียวลู่ถึงกับยืนตัวแข็ง เจ้าหมูป่าตัวมหึมากำลังขุดดินหารากไม้กินโดยที่ไม่ได้สนใจสิ่งรอบข้าง ทำไมก่อนหน้านี้นางไม่เห็นมันนะทั้งๆ ที่มันก็อยู่ไม่ไกลจากพวกเขาเลย ดูขนาดตัวที่ใหญ่โตมหึมานั่นอีก โธ่!!!เฉียวลู่คนโง่วันนี้จะต้องเอาชีวิตมาทิ้งไว้ที่นี่อย่างนั้นหรือ
แต่โชคยังเป็นของนางและลูกๆ ที่ไม่ทำเสียงดังเอะอะเกินไปมันจึงยังไม่รู้ตัวว่ามีมนุษย์ตัวกระจ้อยร่อยสามคนกำลังหาทางหนีจากคมเขี้ยวของมัน เฉียวลู่หันมาทางเด็กทั้งสองแล้วทำสัญญาณมือให้พวกเขาเงียบเอาไว้และค่อยๆ ถอยออกไปจากตรงนี้ แต่โชคมักไม่เข้าข้างคนดวงซวยเมื่อเฉียวลู่เดินถอยออกมาโดยที่สายตาของนางยังคงจ้องไปที่เจ้ายักษ์ตัวอ้วนเขี้ยวเหลืองอ๋อย เสียงกร๊อบ!!!ก็ดังขึ้นเบาๆ
เฉียวลู่เดินเหยียบกิ่งไม่แห้งที่ตกอยู่ที่พื้น ถึงเสียงจะไม่ดังมากแต่เพราะในป่านั้นค่อนข้างเงียบสงบทำให้เสียงกิ่งไม้หักเสียงดังกว่าปกติ และเจ้าหมูป่าก็ได้ยินเสียงนั้นเช่นกันมันเงยหน้าขึ้นมองมาทางเฉียวลู่และเด็กๆ เจ้าหมูป่าพ่นลมหายใจฟืดฟาดออกมาเสียงดัง ท่าทางของมันดูหงุดหงิดที่ถูกรบกวนอารมณ์สุนทรีย์ในการกินรากไม้ มันบ่ายหน้ามาทางคนทั้งสามที่กำลังยืนตัวแข็งอย่างทำอะไรไม่ถูก
เจ้าหมูป่าหมุนตัวพุ่งทะยานมาที่เฉียวลู่และเด็กทั้งสองยืนอยู่ทันที
“ไม่นะ!!!”
ในช่วงระหว่างความเป็นความตายที่กำลังมาเยือน สิ่งแรกที่เฉียวลู่นึกถึงคือความปลอดภัยของอวี้หลงกับอวี้ชิงเท่านั้น นางไม่นึกถึงความปลอดภัยของตนเองเลยสักวินาทีเดียว สัญชาตญาณความเป็นแม่ของเฉียวลู่ทำงานทันที นางใช้ร่างกันเด็กทั้งสองเอาไว้ด้านหลังในมือกำมีดตัดฟืนเล่มใหญ่ไว้แน่น ในใจคิดว่าวันนี้คงจะเป็นวันสุดท้ายที่นางจะได้อยู่กับพวกเขาแล้ว และรู้สึกเสียดายที่ยังไม่สามารถเลี้ยงดูพวกเขาให้มีชีวิตที่ดีอย่างที่นางตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก
ในระหว่างที่เจ้าหมูป่ากำลังพุ่งเข้าชนนาง เฉียวลู่มองไปที่เจ้ายักษ์ด้วยสายตาที่เด็ดเดี่ยว นางใช้แรงทั้งหมดที่มีฟันไปที่หมูป่าเสียงฉัวะ!!! ดังขึ้นสนั่น เลือดของเจ้าหมูป่าสาดกระเซ็นไปทั่วร่างของเฉียวลู่ ส่วนหัวและตัวของมันขาดกระเด็นออกจากกัน เฉียวลู่ไม่รู้สึกตกใจกับภาพที่เห็นเลยนางรีบหันกลับมาหาเด็กทั้งสองคนที่ยืนแอบอยู่ด้านหลังรีบใช้มือปิดตาของเขาทั้งสองคนเอาไว้
“อวี้หลงอวี้ชิง ห้ามดูนะ”
นางดันเด็กๆ ให้ออกห่างจากศพของเจ้ายักษ์ที่นอนตายอย่างอนาถในสภาพไร้หัว มันคงจะสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นเสี้ยววินาทีที่มันกำลังเข้าปะทะร่างเล็กของเฉียวลู่ นางเบี่ยงตัวหลบเล็กน้อยแล้วใช้แรงที่มีทั้งหมดฟันลงไป ตอนนั้นเฉียวลู่ไม่รู้สึกถึงการฟันเท่าใดนักมันเหมือนการใช้มีดหั่นเต้าหู้ มันง่ายดายจนนางเองก็ไม่อยากจะเชื่อเหมือนกัน
เมื่อเดินห่างออกมาจนนางคิดว่าเด็กๆ ไม่สามารถมองเห็นร่างไร้หัวของเจ้าหมูป่าแล้วเฉียวลู่ถึงได้รู้สึกว่าร่างกายของตนเองนั้นมีแต่เลือดของมันเปรอะเปื้อนไปหมด เฉียวลู่เกิดความรู้สึกขยะแขยงขึ้นมาทันทีแต่ตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่นางจะต้องมาทำความสะอาด
“พวกลูกรอแม่อยู่ที่นี่สักครู่หนึ่งนะจ๊ะ แม่จะไปดูเจ้าหมูป่าตัวนั้น บางทีเราอาจจะเอามันกลับบ้านได้ดูเหมือนว่าคืนนี้เด็กๆ ของแม่กำลังจะมีเนื้อกินแล้ว”
เด็กชายทั้งสองคนพยักหน้ารับอย่างว่าง่าย เฉียวลู่ให้เด็กๆ นั่งรอใต้ตนไม้ใหญ่ที่นางสามารถมองเห็นได้ถนัด ถึงเจ้าหมูป่าจะถูกจัดการไปแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถรับประกันได้ว่าจะไม่มีตัวอะไรโผล่มาอีก
เฉียวลู่ตัดไม้ที่ลำขนาดเท่าสองแขนที่ผอมแห้งของนาง นำเถาวัลย์มามัดใช้เป็นลากเลื่อนนางยกหมูหัวขาดตัวนั้นวางบนลากเลื่อนได้อย่างสบายๆ เฉียวลู่แอบตกใจในพละกำลังของตนเองอยู่เหมือนกันแต่สิ่งสำคัญในตอนนี้คือพวกเขาต้องไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีสัตว์ร้ายตัวอื่นได้กลิ่นคาวเลือดแล้วตามมา
เฉียวลู่ไม่มั่นใจว่าตนจะสามารถเอาชนะมันได้เหมือนกับที่นางทำกับเจ้าหมูป่าตัวนี้ ตอนนี้เฉียวลู่ยังไม่รู้ว่าร่างกายของนางนั้นมีพละกำลังมหาศาลแค่ไหน ที่นางสามารถเอาชนะหมูป่าตัวนี้ได้นางคิดว่าอาจเป็นเพราะความตกใจบวกกับโชคของนางเท่านั้น
“เด็กๆ เรากลับบ้านกันเถอะ”
เฉียวลู่ลากเลื่อนบรรทุกหมูป่ามาที่อวี้หลงและอวี้ชิงที่นั่งรอนางอยู่ใต้ต้นไม่ใหญ่ เฉียวลู่ใช้ใบไม้พรางร่างกายอันใหญ่โตของเจ้าหมูป่าหัวขาดเอาไว้ นางเกรงว่าถ้าเด็กสองคนนี้เห็นแล้วอาจจะร้องไห้ตกใจกลัวลำบากนางที่ต้องปลอบให้พวกเขาหยุดอีก นางไม่ถนัดเรื่องนี้เท่าใดนัก
เฉียวลู่ลากเจ้าหมูป่ากลับไปที่กระท่อมเนินเขาของนาง หลังจากวางเจ้าหมูยักษ์ลงบนพื้นด้านหลังกระท่อม เฉียวลู่พาเด็กทั้งสองอาบน้ำชำระกายจนสะอาดน่าเสียดายที่นางไม่สามารถสั่งครีมอาบน้ำหรือสบู่ได้ในตอนนี้ ถึงแม้จะอาบน้ำไปแล้วสองรอบแต่เฉียวลู่ยังคงรู้สึกถึงกลิ่นคาวของเลือดเจ้าหมูป่าตัวนั้นอยู่ดี
สามคนแม่ลูกอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยจึงออกมาดูเจ้าหมูป่าโชคร้ายอีกครั้ง เฉียวลู่หันไปมองเด็กสองคนที่เดินตามนางไม่ห่าง
“อวี้หลงอวี้ชิงพวกลูกรู้จักคนที่สามารถชำแหละหมูป่าตัวนี้ไหม คนที่สนิทกับครอบครัวของเรา”
เฉียวลู่คิดว่าเรื่องนี้จะทำกระโตกกระตากมากไม่ได้ แต่นางชำแหละเนื้อสัตว์ไม่เป็นคงต้องยอมหาคนมาทำแทนแล้วค่อยแบ่งเนื้อหมูป่าให้เขาเป็นค่าตอบแทน แล้วเด็กทั้งสองก็ไม่ทำให้นางผิดหวัง หลังจากที่วิ่งหายไปไม่นานอวี้หลงกับอวี้ชิงก็กลับมาพร้อมหญิงชราอายุราวห้าสิบกว่าปีและชายวัยกลางคนอายุราวสามสิบปลายๆ และสตรีอีกคนที่ดูเหมือนจะเป็นภรรยาของเขา เฉียวลู่คาดเดาในใจ
“อาลู่ เด็กๆ วิ่งไปตามพวกข้าที่บ้านเกิดอะไรขึ้นกับเจ้าอีกหรือ ไม่ใช่ว่าร่างกายเจ้าหายดีแล้วหรือข้าได้ยินท่านหมอชางพูดเมื่อวาน”
เฉียวลู่ยิ้มแห้งๆ ให้ญิงชราที่ท่าทางเป็นห่วงนางมากพูดให้ถูกคือห่วงเฉียวลู่คนเก่า นางจำไม่ได้ว่าหญิงชราผู้นี้เป็นใครท่านเทพนะท่านเทพ ให้นางมาอยู่ที่นี่ก็ไม่ยอมให้ความทรงจำนางมาด้วยเฉียวลู่นึกตำหนิในใจ นางไม่ปล่อยให้คนทั้งสามสงสัยอยู่นานเฉียวลู่พาหญิงชราเดินมาที่ด้านหลังกระท่อมของตน
“ท่านยายท่านดูนี่สิเจ้าคะที่ข้าให้เด็กๆ ไปตามท่านมาก็เพราะข้าไม่สามารถจัดการเรื่องนี้ได้ด้วยตนเอง”
เฉียวลู่หยุดยืนอยู่ข้างหมูป่าหัวขาด คนทั้งสามที่มาใหม่ถึงกับตกตะลึงในสิ่งที่เห็น พวกเขาไม่เคยเห็นหมูป่าตัวใหญ่โตขนาดนี้มาก่อนถึงแม้หัวของมันจะไม่มีแล้วก็เถอะ ทั้งสามยืนตะลึงอยู่นานกว่าจะหาเสียงของตนเจอ
“เจ้าเด็กคนนี้เจ้าขึ้นเขาอีกแล้วหรือ เรื่องอุบัติเหตุครั้งก่อนก็ทีหนึ่งแล้ว ข้าก็เคยเตือนเจ้าไปแล้วว่าที่ภูเขานั้นอันตรายเหตุใดเจ้าถึงไม่ฟัง อาหารไม่พอเจ้าก็แค่บอกอวี้หลงกับอวี้ชิงให้มาบอกข้า แค่แบ่งกันกินจะเท่าไหร่กันเชียว”
เฉียวลู่เข้าใจว่าที่หญิงชราดุนางเช่นนั้นเพราะเป็นห่วงและนางพูดออกมาจากใจของนางจริงๆ ดูเหมือนพวกเขาจะห่วงเฉียวลู่คนก่อนและลูกๆ อยู่ไม่น้อยทีเดียว น่าเสียดายที่เฉียวลู่คนนี้ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับพวกเขาเลย
“ท่านยายท่านจะให้ข้ากับเด็กๆ เอาแต่รบกวนท่านเช่นนี้ไปตลอดได้อย่างไร ถ้าหากไม่พึ่งตนเองต่อไปภายภาคหน้าพวกข้าคงกลายเป็นตัวภาระของพวกท่านแล้ว”
สิ่งที่เฉียวลู่พูดนั้นล้วนออกมาจากใจของนาง แม้ว่าเรื่องนี้จะเป็นความจริงแต่เฉียวลู่ก็ยังรู้สึกของคุณพวกเขาที่เอาใจใส่นางและลูกๆ ขนาดนี้ หญิงชรามองค้อนเฉียวลู่
“เจ้ายังจะพูดเช่นนี้อยู่อีกหรือ เจ้าก็รู้ว่าอาหย่งกับอาหงมองเจ้าเป็นเหมือนบุตรสาวของพวกเขา และเด็กทั้งสองคนก็เหมือนกับหลานแท้ๆ ของข้ายังมีเรื่องใดที่เจ้าต้องเกรงใจพวกเราอีก”
เฉียวลู่มองคนทั้งสามอย่างซึ้งใจ แต่นางได้ตัดสินใจแล้วว่านางจะต้องพึ่งพาตนเองให้ได้ อาจมีบางอย่างที่นางไม่สามารถทำได้ด้วยตนเองถึงเวลานั้นนางค่อยขอความช่วยเหลือจากพวกเขาก็ยังไม่สาย
“ขอบคุณพวกท่านที่เมตตาข้าและลูกๆ เจ้าค่ะ”
เฉียวลู่ส่งยิ้มด้วยความจริงใจให้หญิงชรา
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี