ในระหว่างที่รอจางหย่งชำแหละเจ้าหมูป่าเฉียวลู่กับหญิงชราและลูกสะใภ้ของนาง ก็นั่งคุยกันและเตรียมน้ำเอาไว้เพื่อทำความสะอาด เฉียวลู่ยังได้เล่าให้สตรีทั้งสองฟังเรื่องที่นางความจำเสื่อมเพราะอุบัติเหตุที่ผ่านมา หญิงชราถึงกับหลังน้ำตาให้กับเฉียวลู่ด้วยความสงสารในชีวิตที่อาภัพของนาง
เฉียวลู่ที่เห็นหญิงชราร้องไห้นางก็ไม่รู้ว่าจะปลอบใจอย่างไร เด็กเล็กร้องไห้ยังพอหลอกล่อได้ แต่ให้ปลอบใจผู้ใหญ่นางจะพูดอย่างไรดี เฉียวลู่รู้สึกปวดหัวกับความเจ้าน้ำตาของหญิงชรา แต่นางก็รู้สึกอบอุ่นใจอย่างบอกไม่ถูกนางมาต่างโลกที่ไม่คุ้นเคยแต่ยังคงมีคนห่วงใยนางเช่นเดิมเหมือนกับตอนที่นางอยู่กับพ่อแม่ที่บ้าน
“ท่านยายท่านอย่าได้ร้องไห้ไปเลยเจ้าค่ะ ถึงข้าจะจำสิ่งใดไม่ได้เลยในอดีต แต่ข้าก็สามารถรับรู้ได้ว่ายังมีพวกท่านนั้นคอยเป็นห่วงเราแม่ลูกแค่ไหน ข้าไม่ได้รู้สึกกลัวอันใดเลยอาจจะดีกับข้าเสียด้วยซ้ำที่ต้องลืมเรื่องราวในอดีต”
เฉียวลู่ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดนางถึงได้พูดเช่นนั้นออกมา มันเหมือนกับว่าจิตใต้สำนึกของนางสั่งให้นางพูดแบบนั้นออกไป
“ท่านเล่าเรื่องที่หมู่บ้านนี้ให้ข้าฟังได้หรือไม่เจ้าคะ เผื่อว่าข้าจะจำอะไรได้บ้าง”
จากนั้นหญิงชรากับลูกสะใภ้ของนางก็ผลัดกันเล่าเรื่องราวตลอดสี่ปีที่เฉียวลู่และท่านพ่อของนางมาอยู่ที่นี่อย่างละเอียด เฉียวลู่ได้รู้ชื่อของหญิงชราสักที่ว่านางมีชื่อว่าหลี่เหมยฮวา บุตรชายของนางที่กำลังชำแหละเนื้อหมูป่าคือจางหย่งและลูกสะใภ้ของนางหลิวหง พวกเขาอาศัยอยู่ด้วยกันสามคนจางหย่งและหลิวหงแต่งงานมาสิบกว่าปีแต่ก็ไม่มีลูกด้วยกัน แม่เฒ่าหลี่ก็ไม่ได้รังเกียจและไม่บังคับให้จางหย่งหย่ากับหลิวหง
ถึงแม้จะมีชาวบ้านมากมายต่อว่าแม่เฒ่าหลี่ก็ตามนางยังคงยืนยันเช่นเดิม สามีของแม่เฒ่าหลี่ป่วยตายจากไปนานแล้วตั้งแต่จางหย่งยังเล็ก นางต้องอดทนเลี้ยงดูบุตรชายของนางเพียงคนเดียวลำพัง
เมื่อก่อนนางถูกแม่สามีไล่ออกจากเรือนหลังจากสามีของนางตายจากไปแม่เฒ่าหลี่หอบลูกกลับมาที่บ้านเดิมของตน โชคดีที่คนหมู่บ้านมู่โฉวเป็นคนจิตใจดีพวกเขาจึงให้ความช่วยเหลือหญิงม่ายอย่างนาง แม่เฒ่าหลี่ไม่อยารบกวนบ้านเดิมของนางจึงสร้างกระท่อมอยู่กับจางหย่งสองคน
นางเข้าใจดีเรื่องแม่สามีกับลูกสะใภ้เพราะนางเคยถูกกดขี่มาก่อน ถ้าหากว่านางไม่เก่งนางและจางหย่งอาจจะกลายเป็นขี้ข้าหรือถูกใช้งานจนตายที่บ้านสกุลจางไปนานแล้ว เพราะนางยืนหยัดเพื่อบุตรชายคนเดียวของนางยอมตัดขาดบ้านสามีมาใช่ชีวิตกับบุตรชายสองคนจึงได้มีทุกวันนี้
ตอนนี้ถึงคราวที่นางจะต้องได้เป็นแม่สามีบ้าง นางจึงไม่คิดที่จะกดขี่หลิวหงเหมือนเช่นที่นางเคยประสบมาก่อน หลิวหงจึงทั้งรักและเคารพแม่สามีคนนี้ของนางมาก
หลิวหงคิดว่าเป็นความผิดของนางเองที่ไม่สามารถมีทายาทให้สามีได้ นางเคยคิดกระโดดน้ำฆ่าตัวตายเพื่อให้จางหย่งแต่งงานใหม่แต่เป็นแม่เฒ่าหลี่ที่ช่วยนางเอาไว้ จากนั้นมาหลิวหงจึงคิดว่าแม่เฒ่าหลี่คือแม่แท้ๆ ของตนเพราะนางได้มอบชีวิตใหม่ให้แก่หลิวหงอีกครั้ง
“เรื่องมีทายาทหรือไม่มีล้วนเป็นลิขิตของสวรรค์ไม่มีใครสามารถฝืนได้ ถ้าหากสวรรค์ไม่ต้องการให้บุตรชายของข้ามีทายาทสืบสกุลต่อให้เขาแต่งานใหม่อีกกี่ครั้งก็ไร้ผล เช่นนั้นก็อยู่กันแบบนี้แหละ”
หลังจากฟังเรื่องเล่าของแม่เฒ่าหลี่ เฉียวลู่อยากจะตบมือให้กับนางดังๆ ท่านยายท่านเป็นคนยุคโบราณที่หัวสมัยใหม่มากท่านรู้หรือไม่
“ท่านน้าหลิวท่านเคยคิดที่จะรับเด็กมาเลี้ยงหรือไม่เจ้าคะ”
เฉียวลู่ลองถามหลิวหงเพราะนางไม่รู้ว่าที่นี่มีการรับลูกบุญธรรมหรือไม่ หากเป็นยุคปัจจุบันที่มีเทคโนโลยีที่ล้ำหน้าเรื่องลูกไม่นับว่าเป็นปัญหาเลย หลิวหงส่ายหน้า
“ข้าคิดว่าอยู่เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน อาจจะเหงาไปบ้างแต่ก็ไม่เป็นไรถ้าหากรับเด็กสักคนมาเลี้ยงดูข้ากลัวว่าจะเกิดปัญหาขึ้นในภายหลัง เหมือนเช่นครอบครัวญาติห่างๆ ของข้า”
เฉียวลู่ฟังอย่างสนใจ เรื่องซุบซิบนินทาไม่ว่ายุคไหนผู้หญิงก็ชอบทั้งนั้น หลิวหงเล่าว่าลูกพี่ลูกน้องของบิดานางเคยรับเด็กชายมาเลี้ยงคนหนึ่งเพื่อเอาไว้สืบสกุลเพราะที่บ้านของเขามีแต่ลูกผู้หญิง พวกเขาดูแลเอาใจใส่เด็กคนนั้นเป็นอย่างดี แต่เมื่อเขาโตขึ้นกลับเนรคุณหลอกให้บิดายกสมบัติให้ทั้งหมดแล้วเอาโฉนดที่ดินไปขายที่โรงพนัน ทิ้งพ่อแม่บุญธรรมของเขาให้ไร้ที่อยู่ไร่นาก็ไม่มีถูกเจ้าคนเนรคุณคนนั้นขายไปจนหมด พวกเขาต้องสร้างกระท่อมอยู่กันสองคนในที่ดินที่ชาวบ้านบริจาคให้ โชคดีที่ยังมีบุตรสาวที่กตัญญูคอยกลับมาดูแลทั้งที่พวกนางเคยถูกบิดาละเลยและกระทำไม่ดีตอนที่ยังไม่แต่งออกไป
จากนั้นไม่นานก็ได้ยินว่าลูกบุญธรรมของเขาถูกจับข้อหาลักทรัพย์และเป็นสายให้กลุ่มโจรเข้ามาปล้นบ้านเศรษฐีแต่ถูกจับได้ซะก่อน เฉียวลู่ฟังจนจบแล้วก็พยักหน้าอย่างเข้าใจในความรู้สึกที่พวกเขากลัว ถึงแม้จะบอกว่าคนทุกคนนั้นเกิดมาย่อมไม่เหมือนกัน ก็เหมือนกับนิ้วมือทั้งห้าที่ยาวไม่เท่ากัน แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีสิ่งไหนมาการันตีว่าหากเลี้ยงจนโตแล้วเขาจะไม่เนรคุณ คนที่มีสายเลือดเดียวกันบางคนยังสามารถขายพ่อแม่เพื่อสนองความต้องการของตนเองได้เลย
“แต่ว่านะ ตอนที่ข้าได้เห็นเด็กสองคนนี้ข้าก็คิดได้ว่าถึงจะมีคนเลวคนเนรคุณมากมาย แต่เด็กสองคนนี้ที่ถูกเจ้าเลี้ยงดูมานั้นต้องไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ ข้ามั่นใจ”
เฉียวลู่ยิ้มให้หลิวหง นางไม่กล้ารับความดีพวกนั้นเอาไว้เองคนเดียวหรอก เพราะคนที่เลี้ยงเด็กสองคนนี้คือเฉียวลู่คนก่อนที่ตอนนี้อาจจะขึ้นไปคอยมองดูการเดิบโตของเด็กๆ อยู่บนสวรรค์กับท่านพ่อของนางแล้ว เฉียวลู่เหม่อมองท้องฟ้าเหมือนกำลังมองหาบางสิ่ง อวี้หลงกับอวี้ชิงแหงนหน้ามองฟ้าเลียนแบบท่าทางของเฉียวลู่แต่พวกเขาไม่รู้ว่าท่านแม่กำลังมองหาสิ่งใด
ท่าทางน่ารักของสามแม่ลูกที่เหมือนแกะออกมาจากพิมพ์เดียวกันทำเอาแม่เฒ่าหลี่และหลิวหงหัวเราะออกมาพร้อมกันด้วยความเอ็นดู ก็พวกเขาทั้งสามคนน่ารักขนาดนี้จะไม่ให้คนรอบข้างรักและเอ็นดูพวกเขาได้อย่างไร เฉียวลู่ไม่รู้ความคิดของแม่เฒ่าหลี่ ถ้าหากนางรู้นางคงจะตอบว่าท่านยายท่านคิดมากเกินไปแล้ว
หลังจากที่นั่งรออยู่นานจางหย่งก็ชำแหละเนื้อหมูป่าและแยกชิ้นส่วนเนื้อกระดูกหนังและไขมันเรียบร้อย จางหย่งทำได้ดีทีเดียวเขาดูชำนาญมากในความคิดของเฉียวลู่ เนื้อหมูที่กองอยู่ในถังไม้แยกออกเป็นส่วนๆ ทำให้เฉียวลู่ถึงกับตกตะลึง
“ท่านอาจางนี่มันเยอะมากเลยนะเจ้าคะ ถ้าหากว่ากินไม่หมดจะไม่เน่าเอาหรือ”
แม่เฒ่าหลี่มองท่าทางตกตะลึงของเฉียวลู่ด้วยความเอ็นดูนางส่ายหัวพร้อมกับหัวเราะออกมาเบาๆ
“ไม่เป็นไรมีเยอะดีกว่าไม่มีให้กินเลย ชาวบ้านที่นี่ก็ไม่ค่อยได้กินเนื้อเท่าไหร่ยากนักที่จะมีให้เห็นเยอะเพียงนี้ข้าว่าแบ่งขายให้พวกเขาสักหน่อยคงได้ที่เหลือก็ตากแห้งเอาไว้กินวันหลัง เจ้าจะได้มีทั้งอาหารและรายได้เข้ามาด้วยอย่างไรเล่า”
เฉียวลู่และทุกคนพยักหน้าเห็นด้วยกับความคิดของแม่เฒ่า หลี่ พวกเขาบ้านสกุลจางมาช่วยงานที่บ้านของเฉียวลู่โดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผลตอบแทนเป็นเพราะพวกเขาปรารถนาให้นางและลูกทั้งสองของนางกินอิ่มท้องและอยู่ได้อย่างมีความสุข เฉียวลู่พอจะมองความคิดของพวกเขาทั้งสามออกแต่นางไม่สามารถเป็นแต่เพียงผู้รับอยู่ฝ่ายเดียวได้ เช่นนั้นคนอื่นก็คงเรียกนางว่าคนเห็นแก่ตัวแล้ว
เฉียวลู่แบ่งเนื้อและมันบางส่วนให้ครอบครัวสกุลจาง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะปฏิเสธแต่เฉียวลู่ที่เป็นคนรั้นนั้นมีหรือจะยอม จนกระทั้งแม่เฒ่าหลี่พยักหน้าให้ลูกสะใภ้ของนางรับเอาไว้
จางหย่งเป็นผู้ทำหน้าที่ไปปรึกษาขอความช่วยเหลือจากหัวหน้าหมู่บ้านให้ไปป่าวประกาศเรื่องขายเนื้อหมูป่าให้ชาวบ้านได้รู้ และเฉียวลู่ยังบอกอีกว่าจะขายให้ชาวบ้านในราคาที่ถูกกว่าที่ตลาดในตัวอำเภอสี่เฉียนต่อหนึ่งชั่ง เพียงไม่นานชาวบ้านก็หลั่งไหลมาที่กระท่อมของเฉียวลู่เต็มไปหมด เพราะช่วงนี้เป็นช่วงหลังจากเก็บเกี่ยวพืชผลแล้วจึงทำให้ทุกคนกำลังว่างงาน ชาวบ้านเกือบทั้งหมู่บ้านจึงมาออกันที่หน้ากระท่อมของเฉียวลู่
“คนทั้งหมู่บ้านมีเยอะขนาดนี้เชียว”
เฉียวลู่มองเหล่าชาวบ้านที่มามากมาย แม่เฒ่าหลี่และหลิวหงสะใภ้ทำหน้าที่ช่วยเฉียวลู่ขายเนื้อหมูป่า ชาวบ้านบางคนที่ไม่เคยมีปฏิสัมพันธ์กับเฉียวลู่เลยสักครั้งตั้งแต่ที่นางย้ายมาอยู่ที่นี่ วันนี้หลังจากที่ได้เนื้อหมูป่าราคาถูกพวกนางต่างก็ยิ้มแย้มชวนเฉียวลู่พูดคุยอย่างถูกคอ
เฉียวลู่คนก่อนอาจจะมีความเหนียมอายไม่ค่อยกล้าพูดคุยหรือสู้หน้าผู้คนเท่าใดนักหากไม่ได้สนิทกัน แต่ผิดกับเฉียวลู่คนนี้ที่สามารถแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติ เพราะนางเป็นถึงนางเอกแถวหน้าของวงการเรื่องรับมือคนหมู่มากสำหรับนางแล้วไม่นับว่าเป็นอะไร เฉียวลู่ส่งยิ้มแบบฉบับนางเอกไปให้พวกเขาด้วยความเคยชิน
ถึงแม่เฉียวลู่จะยังดูผอมแห้งเพราะร่างกายขาดสารอาหารมาเป็นเวลานานแต่เมื่อนางส่งยิ้มให้พวกเขา ทุกคนรู้สึกเหมือนกับว่ารอยยิ้มของนางทำให้โลกใบนี้สว่างสดใสได้อย่างน่าประหลาด
ฉีหมิงเยี่ยนกลับมาพร้อมชัยชนะหลังจากนั้นหนึ่งเดือน คนตระกูลเสิ่นและผู้ที่เข้าร่วมก่อการกบฏต่างก็ถูกตัดหัวแขวนประจานเอาไว้ทุกหัวเมืองที่ถูกยึดคืนกลับมาได้ แต่ชัยชนะครั้งนี้กลับไม่ได้มีการเฉลิมฉลองเพราะฉีอ๋องต้องสูญเสียพระชายาอันเป็นที่รักไปอย่างกะทันหัน เขาขังตัวเองเอาไว้ในห้องที่มีโลงใส่ศพของนาง อาจารย์ของเฉียวลู่เองก็ไม่คิดว่าตนเองจะต้องสูญเสียลูกศิษย์ของตนไปถึงสองคนพร้อมกัน เขาได้ใช้น้ำแข็งพันปีมรดกตกทอดของเจ้าสำนักเซียนแพทย์แช่ร่างของเฉียวลู่เอาไว้รอสามีของนางกลับมา“อาลู่เจ้าลืมตาขึ้นมาเถิด เจ้าอย่าได้ล้อข้าเล่นเช่นนี้เลย สามีของเจ้าตกใจรู้หรือไม่”ฉีหมิงเยี่ยนร้องไห้ออกมาปานจะขาดใจ ปากก็พร่ำเพ้อหานางไม่หยุด ร่างบางที่เหมือนนอนหลับอยู่ภายในโลกไม้ที่ถูกทำขึ้นอย่างประณีตไม่ขยับไหวติงแม้เพียงนิดเขาทำทั้งหมดนี้ไปเพื่ออะไรกัน เขาอุตส่าห์เปลี่ยนแปลงอนาคตทุกอย่างแล้ว คนตระกูลเสิ่นที่เป็นสาเหตุการตายของนางเขาก็สังหารจนสิ้น แต่แล้วเหตุใดนางถึงยังจากเขาไปอีกเล่า สวรรค์ท่านช่างใจร้ายกับข้านัก ท่านคิดที่จะทำลายหัวใจของข้าอีกกี่ครั้งกันท่านถึงจะพอใจเสียงร้องโหยหวนดั่งสัตว์ป่าที่กำลังบาดเจ็บ
ไม่นานหลังจากนั้น ทหารจากค่ายวิหคทมิฬพบสองพี่น้องที่หมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่งโดยบังเอิญ พวกเขาตามรอยของกั๋วจื่อชางเข้าไปในป่า แต่ต้องคลาดกันเพราะมีน้ำป่าไหลทะลักบนภูเขา จึงต้องย้อนกลับมาที่หมู่บ้านที่อยู่ไม่ห่างจากร่องรอยสุดท้ายที่หาเจอ เพราะเหตุนั้นจึงได้พบนายน้อยของตำหนักชินอ๋องทั้งสองคนเกือบครึ่งเดือนที่พวกเขาถูกจับตัวไป เพราะไม่ค่อยได้ทานอาหารสองพี่น้องจึงดูซูบผอมไปเล็กน้อย เฉียวลู่ที่ได้ข่าวจากคนของค่ายวิหคทมิฬนางเร่งเดินทางมาที่หมู่บ้านโดยเร็ว“ลูกแม่!!”นางกอดร่างเล็กทั้งสองเอาไว้ในอ้อมแขน พลางลูบหลังพวกเขาอย่างปลอบโยน อวี้หลงและอวี้ชิงที่เคยฝึกอยู่ในค่ายวิหคทมิฬอย่างหนักไม่เคยแม่แต่จะหลั่งน้ำตาสักหยด แต่เมื่อเข้าไปอยู่ในอ้อมแขนอันอบอุ่นของมารดา เสียงร้องไห้เล็กๆ สองเสียงก็ดังประสานขึ้นก้องกังวานทั่วหมู่บ้านเหล่าทหารจากค่ายวิหคทมิฬที่รู้จักเด็กชายทั้งสองมองพวกเขาด้วยความแปลกใจ นึกว่าบุตรชายของมัจจุราชฉีจะกลายเป็นเหล็กกล้าเหมือนดั่งบิดาเสียอีก ไม่นึกว่าจะยังมีมุมน่ารักดั่งเด็กน้อยเมื่อยามที่อยู่กับมารดาเฉียวลู่ที่ถูกพรากบุตรชายจากอกไปหลายวัน นางเองก็ขวัญเสียไม่แพ้กัน สองแม่ลูกก
“อยู่ให้ห่างจากน้องชายของข้านะ”อวี้หลงวิ่งเข้าไปคิดที่จะทำร้ายนาง แต่หญิงใบ้กลับหลบได้อย่างง่ายดาย เขาวิ่งมาขวางนางอีกครั้งแต่ถูกหญิงใบ้จับโยนจนร่างเล็กลอยละลิ่วไปไกล นางใช้มือคลำไปที่ใบหน้าและลำคอของอวี้ชิงเบาๆ จากนั้นจึงหยิบยาออกมาจากแขนเสื้อแล้วยัดเข้าไปในปากของเขา นางบีบจมูกของอวี้ชิงเพื่อให้เขากลืนยาลูกกลอนลงไป อวี้หลงคิดว่านางวางพิษน้องชายตนเอง เขากรีดร้องออกมาทั้งน้ำตาด้วยความเจ็บปวด“อ๊ากกกก!!!ข้าจะสู้ตายกับเจ้า”เด็กชายที่สูงเพียงอกของนางพยายามต่อสู้กับหญิงใบ้สุดกำลัง ดวงตาเฉยเมยมองเด็กน้อยที่กำลังวิ่งเข้าหานาง เขาแกว่งหมัดไปที่หลายทีแต่นางก็ไม่ได้สู้กลับ นางทำเพียงพลิกเท้าหลบไปมาเหมือนกำลังเย้าแหย่สัตว์ตัวเล็กๆเด็กตัวเล็กที่พยายามต่อสู้กับผู้ใหญ่ผ่านไปนานสุดท้ายก็ยังไร้ผล อวี้หลงหอบหายใจแรงเพราะเรี่ยวแรงของเขาหมดไปจากการที่เขาแบกน้องชายเดินเป็นเวลานาน“พะ...พี่ชาย”เสียงเล็กๆ ที่ดังขึ้นเหมือนน้ำทิพย์ชโลมจิตใจของเขา อวี้หลงเลิกสนใจหญิงใบ้รีบวิ่งไปดูน้องชายของตนทันที“ชิงเอ๋อเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง”อวี้หลงแตะไปที่หน้าผากของเขา ตัวที่ร้อนดังไฟตอนนี้ได้เย็นลงเล็กน้อย ใบหน้าแดงก่ำ
อวี้หลงและอวี้ชิงฟื้นขึ้นมาหลังจากที่ถูกลักพาตัวโดยชายชุดดำหลายสิบคน ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้วที่พวกเขาถูกจับตัวมา ท่านแม่และท่านพ่อจะต้องเป็นห่วงพวกเขามากแน่ๆตลอดทางที่รถม้าวิ่งพวกเขาถูกจับกรอกยาบางอย่างทำให้ไร้เรี่ยวแรงและหลับไป ทหารที่ทำหน้าที่คุ้มกันรถม้ากลับขึ้นมาดูพวกเขาเป็นระยะ สองพี่น้องฝาแฝดแสร้งหลับเพื่อไม่ให้ถูกกรอกยาอีกอวี้หลงใช้เท้าสะกิดน้องชายเบาๆ อวี้ชิงหรี่ตามองพี่ชายเล็กน้อย ทั้งสองพยักหน้าให้กันเป็นการสื่อสารที่เหมือนจะมีแค่พวกเขาที่เข้าใจ“เป็นอย่างไรบ้างพวกเขาตื่นขึ้นมาบ้างหรือไม่”เสียงหวานที่คุ้นหูทำให้นึกถึงสตรีผู้หนึ่งที่ท่านแม่แนะนำว่านางคือสหาย นางกล้าหักหลังท่านแม่แล้วจับตัวพวกเขามาหรือ ช่างน่าตายนัก“หลายวันมานี้พวกเขาฟื้นขึ้นมาไม่กี่ครั้งขอรับ ตอนนี้ยังคงหลับอยู่เพราะข้ากรอกยาสลายพลังไปแล้ว”ซูหลีพยักหน้า จากนั้นจึงเดินกลับขึ้นรถม้าคันที่อยู่ด้านหน้าพร้อมกับกั๋วจื่อชาง ไม่มีใครเอะใจเรื่องนี้เลยว่าพวกเขาจะแสร้งหลับเพราะคิดว่าเป็นเพียงเด็กหกขวบที่ไร้เล่ห์เหลี่ยมเท่านั้น หลังจากที่ดื่มยาสลายพลังไปสองสามครั้งดูเหมือนฤทธิ์ยาจะค่อยๆ ไร้ผลและไม่สามารถทำอันใด
หลังงานเลี้ยงที่วังหลวง เหล่าราชทูตที่มาร่วมงานต่างทยอยเดินทางกลับแคว้นของตน องค์หญิงเซียวหมิ่นเองก็เช่นเดียวกัน แต่มีสิ่งหนึ่งที่ต่างออกไปเล็กน้อยคือ นางกลับไปที่แคว้นเซียวในครั้งนี้มีเว่ย หลี่หมิงตามนางกลับไปด้วย ส่วนทางด้านเว่ยอ๋องก็ต้องกลับไปเตรียม ของหมั้นและสินสอดเพื่อแต่งสะใภ้เข้าจวน“ข้าขอให้พวกท่านเดินทางปลอดภัย หากมีโอกาสข้าจะไปร่วมงานแต่งของท่านทั้งสอง”“ข้าไปก่อนนะพี่อาลู่ท่านอย่าลืมแวะมาหาข้าเล่า”เฉียวลู่ออกมาส่งขบวนราชทูตจากแคว้นเซียวและแคว้นเว่ยที่นอกเมือง องค์หญิงเซียวหมิ่นยังมีท่าทางอาลัยอาวรณ์ต่อนาง และไม่อยากกลับแคว้นเซียว“รีบออกเดินทางเถอะสายมากแล้ว”ทหารอารักขาให้สัญญาณ ขบวนรถม้าจากแคว้นเซียวจึงเริ่มเคลื่อนตัว“ข้าขอขอบคุณเว่ยอ๋องที่ช่วยเหลือและดูแลข้ามาถึงหนึ่งปี ในอนาคตหากท่านมีเรื่องเดือดร้อนใด ทั้งข้าและสำนักเซียนแพทย์จะเข้าช่วยเหลือท่านอย่างเต็มกำลัง”นางหันมาขอบคุณเว่ยอ๋องที่กำลังออกเดินทางเช่นเดียวกัน“ไม่เป็นไรมิได้ ที่ข้าช่วยพระชายาก็ถือว่าเราทั้งสองแคว้นมีวาสนาต่อกัน ในอนาคตหากข้ามีเรื่องเดือดร้อนข้าจะมาขอความช่วยเหลือจากเจ้าแน่นอน”เว่ยอ๋องเอ่ยลาจากนั
นางกำนัลที่พาเฉียวลู่มาที่ห้องรับรองครั้งแรกย่องกลับมาดูสถานการณ์ เมื่อได้ยินเสียงน่าบัดสีดังขึ้นข้างในนางจึงรีบกลับไปที่งานเลี้ยงทันที ผ่านไปไม่นานนางกำนัลกลับมาพร้อมราชทูตและขุนนางมากมาย รวมทั้งชินอ๋องผู้ที่จะมาเป็นพยานสำคัญในเรื่องนี้เสียงครางกระเส่าของบุรุษยังคงดังอย่างต่อเนื่อง แต่เสียงของสตรีนั้นร้องครางออกมาอย่างเจ็บปวดช่างฟังแล้วให้ความรู้สึกขัดกันยิ่งนัก“นี่มันเรื่องอันใดกัน ในงานเลี้ยงวันพระราชสมภพของฝ่าบาท ใครช่างใจกล้าทำเรื่องบัดสีเช่นนี้”ผู้ที่เอ่ยขึ้นคือราชครูเสิ่นบิดาของเสิ่นชิงหยุน ทุกคนที่ตามมาดูเรื่องสนุกต่างก็พยักหน้าเห็นด้วย“ผู้ที่อยู่ในห้องนั้นคือ....”นางกำนัลมองไปที่ฉีหมิงเยี่ยนก่อนจะก้มหน้าลงด้วยความหวานกลัว“ผู้ใดกันเหตุใดถึงไม่ยอมพูดออกมา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด หากกระทำผิดย่อมต้องได้รับโทษเท่าเทียมกันไม่ว่าจะเป็นเชื้อพระวงศ์หรือขุนนาง”ราชครูเสิ่นจ้องไปที่นางกำนัลอย่างไม่วางตา เพื่อกดดันให้นางเอ่ยชื่อผู้ที่กำลังแสดงฉากร่วมรักอยู่ภายในห้องออกมา“พระชายาชินอ๋องเจ้าค่ะ บ่าวทำหน้าที่นำทางพระชายาชินอ๋องให้มารอที่ห้องนี้ แต่ไม่คิดว่านางจะ...”ทุกคนต่างหันกลับมามองฉี