“เสี่ยวหลงแม่บอกแล้วอย่างไร แค่เอามาวางไว้ก็พอ”
เพล้ง
ชามในมือของเด็กน้อยร่วงหล่นลงพื้นทันทีที่ได้ยินเสียงมารดา ก่อนจะค่อย ๆ หันหลังกลับไม่กล้าขยับไปไหน เพราะกลัวมารดาจะโมโหที่เขาไม่เชื่อฟัง
“ขะ ขอโทษขอรับ”
ใบหน้าเล็กเศร้าสร้อยลงทันตาเห็น เพราะกลัวว่าตนจะถูกตำหนิ ยิ่งทำให้จือหลินรู้สึกเอ็นดูยิ่งนัก ทำไมกันนะตอนนั้นนางถึงมองไม่เห็นความน่ารักและความฉลาดของเสี่ยวหลงเลย เอาแต่ดุด่าตบตีราวกับว่าเขาไม่ใช่บุตรชายในไส้ของตนเอง
จือหลินเดินเข้าไปนั่งข้างบุตรชาย พร้อมกลับเก็บชามที่หล่นลงพื้นขึ้นมาวางไว้ในถังน้ำเปล่า แล้วจึงค่อย ๆ พูดคุยกับเขาอย่างใจเย็น
“เสี่ยวหลงอยากช่วยแม่ล้างจานหรือ เจ้าเห็นขวดนี้หรือไม่มันคือน้ำยาล้างจาน ส่วนสิ่งนี้คือฟองน้ำสำหรับใช้ถูทำความสะอาด การล้างจานชามให้สะอาดจะต้องใส่ใจล้างให้ดี หากว่าไม่สะอาดก็อาจจะทำให้มีเชื้อโรคหลงเหลืออยู่ และหากเรานำไปใช้ต่อจะทำให้ผู้ที่ใช้ไม่สบายได้ การล้างเพียงน้ำเปล่าไม่ได้สะอาดหรอกนะ” จือหลินสาธิตวิธีการใช้อุปกรณ์ล้างจานที่นางนำมาวางไว้ก่อนแล้วตั้งแต่เช้า โดยการเปลี่ยนสลับขวดน้ำยาทำความสะอาดของโลกอนาคตเป็นขวดกระเบื้องธรรมดาที่ชาวบ้านใช้กัน
“ขอรับ” เด็กน้อยนั่งมองมารดาสอนอย่างตั้งใจ โดยลืมความตกใจของตนครั้งแรกไปเสียสนิท
สองแม่ลูกช่วยกันล้างชามจนเสร็จ เพื่อเป็นรางวัลสำหรับเด็กดีช่วยมารดาทำงานบ้านวันนี้ จือหลินจึงได้พาเสี่ยวหลงไปดูห้องใหม่ของเขา ซึ่งพอเด็กน้อยได้เห็นเท่านั้นเจ้าตัวก็เอาแต่ยิ้มไม่หุบ ที่นอนนุ่ม ๆ อีกทั้งยังมีมุ้งกันยุงให้ด้วย เขาได้ยินมาว่ามุ้งมีราคาแพงมากชาวบ้านธรรมดาไม่มีปัญญาซื้อมาใช้ ทั้งหมู่บ้านมีเพียงท่านลุงหัวหน้าหมู่บ้านเท่านั้นที่ใช้อยู่
“ท่านแม่นี่เป็นห้องของข้าจริงหรือขอรับ” เสี่ยวหลงได้ลองนั่งที่นอนสีขาวสะอาด เขาก็สัมผัสได้ถึงความหอมและความนุ่มของที่นอนได้ในทันที
“จริงสิ เอาไว้ให้เรามีเงินมากกว่านี้ สร้างบ้านให้ใหญ่ขึ้นเสี่ยวหลงของแม่ก็จะได้มีห้องใหญ่กว่านี้ดีหรือไม่” ถึงแม้ตอนนี้นางจะยังไม่มีเงินมากพอที่จะสร้างบ้านได้ แต่หากไม่สร้างอาชีพขึ้นมาก่อนจากนั้นจึงค่อยขยับขยายกันต่อไป
จะสร้างกิจการการค้าไว้สำหรับเสี่ยวหลงในอนาคตอีก เมื่อเขาเติบโตขึ้นมาจะได้ไม่ต้องดิ้นรนให้ลำบากดังเช่นอดีต ทุกอย่างจากนี้ไปครอบครัวคือชีวิตของนาง
“แต่ว่าท่านพ่อ....” เมื่อนึกถึงบิดาใบหน้าเสี่ยวหลงกลับหงอยเหงา พวกเขาจะมีบ้านหลังใหญ่ได้อย่างไร ในเมื่อท่านพ่อนอนป่วยอยู่เช่นนี้
“ท่านพ่อจะต้องหายดี ต่อไปนี้เสี่ยวหลงต้องช่วยแม่ดูแลท่านพ่อเข้าใจหรือไม่ ท่านพ่อจะได้หายเร็ว ๆ”
“ขอรับลูกจะช่วยท่านแม่ดูแลท่านพ่อเอง”
“ดีมาก นี่คือของรางวัลสำหรับเด็กดี” จือหลินยื่นห่อผ้าในมือให้บุตรชาย แต่ก็ต้องหลุดขำเมื่อเห็นสีหน้าฉงนไม่เข้าใจ
“อะไรหรือขอรับ” เมื่อแกะห่อผ้าในมือออกมา สิ่งที่อยู่ตรงหน้ามันทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น มันทั้งกลิ่นหอมและมีรูปร่างแปลกตา
“เรียกว่าขนมคุกกี้ อร่อยนะเสี่ยวหลงลองชิมดูสิ” จือหลินหยิบออกมาหนึ่งชิ้น จากนั้นจึงได้ป้อนบุตรชาย
เสี่ยวหลงที่ถูกมารดาป้อนอาหารให้มีหรือจะอิดออด เด็กน้อยอ้าปากรับขนมเข้าปากจากนั้นก็เคี้ยวแก้มตุ่ย ยิ่งเมื่อได้รับรสขนมที่ทั้งมัน หวาน กลมกล่อม และยังมีกลิ่นนมหอมอ่อน ๆ อบอวลอยู่ในปาก มันยิ่งทำให้รู้สึกติดใจ จึงได้ค่อย ๆ ละเมียดละไมไม่ยอมกินขนมที่อยู่ในมือหมด เพราะอยากจะเก็บเอาไว้กินในวันอื่นด้วย
“ไม่กินต่อแล้วหรือ” เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหลงกินได้ไม่กี่ชิ้น เด็กน้อยก็เก็บม้วนผ้าห่อขนมไว้เช่นเดิม
“อร่อยมากเลยขอรับ แต่ว่าลูกอยากจะเก็บไว้กินนาน ๆ” เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้มีโอกาสกินของดี ๆ เช่นนี้อีก และเขาก็อยากจะเก็บไว้ให้ท่านพ่อได้กินของอร่อยด้วย
“กินไปเถอะแม่มีอีกเยอะ เจ้าอยากจะเกินเมื่อไหร่ก็ได้” หญิงสาวลูบหัวทุยเล็กของบุตรชายอย่างเอ็นดู
“ไม่ได้หรอกขอรับ จะกินของดีเช่นนี้ทุกวันได้อย่างไร ต้องเก็บเงินไว้รักษาท่านพ่อให้หาย” เขายังเด็กค่อยกินเมื่อไหร่ก็ได้ แต่ท่านพ่อที่นอนป่วยต้องมาก่อนเขาอยู่แล้ว
“เช่นนั้นเรามาช่วยกันดูแลท่านพ่อดีหรือไม่”
“ดีขอรับ” เสี่ยวหลงยิ้มกว้างที่เห็นว่าท่านแม่ห่วงใยบิดา เขาแอบเห็นท่านพ่อทำหน้าเศร้าอยู่บ่อยครั้ง ในตอนที่ท่านแม่อยู่กับท่านลุงนายอำเภอ ในส่วนลึกเขากลัวว่าจะถูกแย่งความรักไป สุดท้ายแล้วท่านแม่ก็จะทิ้งเขาและท่านพ่อไป
จือหลินได้อยู่พูดคุยกับบุตรชายเพื่อสร้างความสนิทสนมให้มากขึ้น แม้ในบางครั้งเสี่ยวหลงจะยังมีท่าทางกลัวนางอยู่บ้าง แต่ก็มีหลายอย่างคล้ายจะเปลี่ยนไปในทางที่ดี ที่น่าหนักใจที่สุดไม่ใช่เสี่ยวหลงแต่เป็นสามีหน้ายักษ์ของนางต่างหาก ไม่รู้ว่าจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะทำให้วางใจในตัวนางได้
“ท่านแม่ขอรับ ข้าวหมดถังแล้ว” เสี่ยวหลงวิ่งหน้าตั้งจากห้องครัวไปหามารดาในห้องนอน“ของสดที่ใช้ทำอาหารก็เหลือน้อยเช่นกันขอรับ” อาเหมารายงานของสดภายในครัวที่เขาไปสำรวจมาเช่นกัน ตอนนี้เขาเริ่มสนใจเกี่ยวกับการทำอาหารมากที่สุด จึงมักจะขลุกอยู่ในครัวเวลาท่านน้าทำกับข้าว เพื่อจะได้ฝึกฝีมือการทำอาหารไว้ ต่อไปเรื่องในครัวเขาจะเป็นผู้จัดการเอง“หา!! แย่แล้ว หมดเกลี้ยงถังเลยหรือ” จือหลินที่ได้ยินว่าข้าวสารหมดถังถึงกับหันขวับทันที เรื่องของสดก็ช่างมันเถอะยังพอเอาผักหลังบ้านมาทำกินบังหน้าไปได้ แต่สำคัญที่สุดก็คือนางไม่น่าลืมเติมข้าวสารเลย ครั้นจะใส่ลงไปตอนนี้ เรื่องที่ปิดบังเอาไว้ก็ยังไม่ได้บอกใคร พอมาคิด ๆ ดู ทุกอย่างช่างวุ่นวายดีแท้“เหลืออยู่แค่เพียงครึ่งถ้วยแกงขอรับ” เสี่ยวหลงชูถ้วยข้าวสารให้มารดาดูนั่นก็เท่ากับว่าข้าวสารเพียงครึ่งถ้วยแกงไม่เพียงพอต่อคนในบ้าน เหมาเสี่ยวถงเป็นกังวลไม่น้อย เงินหนึ่งตำลึงที่ภรรยาให้เก็บไว้วันนั้น เขาก็นำมันไปจ่ายค่าซ่อมแซมหลังคาบ้าน ในตอนที่มีพายุฝนหลังคามันมีแต่รูรั่วเต็มไปหมดยามฝนตกก็แทบจะนอนไม่ได้เอาเสียเลย ตอนเช้ามาข้าวของบางส่วนก็เปียกชุ่มไปหมด“เจ้ากับลูกก็
จือหลินที่ยืนละล้าละลังอยู่ในครัวเพียงผู้เดียว หญิงสาวได้แต่เกาหัวตนเองอย่างคิดไม่ตก เพราะว่าตอนนี้มันเหลือเพียงแค่ไข่และเนื้อหมูอีกนิดหน่อยไว้ทำกับข้าว และมีข้าวสารเพียงครึ่งถ้วยแกงเท่านั้น ถึงจะมีของวิเศษอยู่กับตัวแต่เวลาจะใช้ก็เอาออกมาใช้ยากเหลือเกิน เห็นทีพรุ่งนี้นางจะต้องไปตลาดในเมือง ทำทีไปขายของแล้วได้เงินมาไว้ซื้อของเข้าบ้านเสียแล้วกระมังอย่างไรวันนี้คงต้องทำกับข้าวอย่างง่ายไปก่อน ยังมีอาหารอีกหลายอย่างที่ทำกินได้โดยที่ไม่ต้องกินกับข้าวสวย ในเมื่อมีไข่มีเนื้อแล้วก็ทำชาบูกินทั้งวันไปเลยแล้วกัน ผักหลังบ้านกำลังงามเสียด้วยเมื่อแก้ปัญหาเรื่องปากท้องไปได้แล้วก็ไม่มีอะไรให้ต้องกังวล ร่างบางหมุนกายออกจากห้องครัวแต่ก่อนจะเดินพ้นประตูบ้านก็ไม่ลืมหยิบตะกร้าสานติดมือมาด้วยเมื่อออกมาถึงหลังบ้านจือหลินได้คัดเอาผักที่โตพอจะนำมากินได้ ถอนผักใส่ตะกร้าไม้ไผ่สานในมือ แครอท หัวไชเท้า ผักกาดขาว และขึ้นฉ่ายเพื่อเพิ่มความหอมหวานของน้ำซุปหลังจากที่ได้ของตามต้องการนางจึงได้กลับเข้าไปในครัวอีกครั้ง และยังไม่ลืมจะลงดาลประตูอย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันไม่ให้เด็ก ๆ ทั้งสองเห็นอะไรที่ไม่ควรเห็น จือหลินเร
ตกเย็นหลังจากกินมื้ออาหารกันอย่างเอร็ดอร่อยจนพุงกาง ก่อนจะส่งหัวผักกาดทั้งสองเข้านอน จือ หลินจึงให้พวกเขาดื่มนมอุ่น ๆ ก่อนนอนคนละแก้ว เพราะเห็นว่าเด็กน้อยทั้งสองผอมมากเกินไป เกรงว่าจะเป็นโรคขาดสารอาหารไปก่อนที่นางจะขุนพวกเขาให้อ้วนท้วนมากกว่า“อะไรหรือขอรับท่านน้า” ยังคงเป็นอาเหมาที่เอาแต่ถามไม่หยุด วันทั้งวันเขาได้ทำอะไรที่ไม่เคยทำ และได้กินของอร่อยที่ในชีวิตนี้ไม่เคยได้กิน“นมวัวจ้ะ รีบดื่มเร็วอุ่นกำลังดีเลย” จือหลินยื่นแก้วนมให้คนละแก้ว“ข้าเคยได้ยินว่ามันคาวมากเลยนะขอรับ” เวลาคนมีฐานะมาทำบุญที่วัด บุตรหลานพวกเขามันจะพูดจาโอ้อวดกันเสมอ อาเหมาจึงพอจะรู้มาบ้างว่านมวัวจะมีกลิ่นคาวและรสชาติไม่อร่อย แต่ผู้คนที่มีฐานะดีก็มักจะให้บุตรหลานดื่มกินเพื่อบำรุงร่างกาย“อร่อยนะอาเหมา นมที่ท่านแม่ให้ดื่มไม่คาวเลย หอมมันและอร่อยมากเจ้าลองดื่มสิ” เสี่ยวหลงคะยั้นคะยอให้น้องชายดื่ม จากนั้นเขาจึงยกส่วนที่เป็นของตนยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมดอาเหมาเห็นว่าพี่ชายดื่ม เขาจึงยกขึ้นดื่มบ้าง ปรากฏว่ามันเป็นดั่งเช่นพี่หลงบอกเขาจริง ๆ แม้จะไม่หวานแต่ก็มันและหอมมากเช่นกัน อย่างนี้ให้เขาดื่มแทนข้าวทุกมื้อก็ยังได้“เอ
อาหารหลายอย่างถูกนำมาวางเรียงไว้เต็มโต๊ะอาหาร มีทั้งข้าวสวยร้อน ๆ เม็ดขาวอวบ น้ำแกงแสนอร่อย เนื้อตุ๋นชิ้นโต และมีปลานึ่งตัวใหญ่ที่เป็นกับข้าวจานหลักของมื้อนี้ ทั้งยังมีเครื่องเคียงเป็นน้ำพริกกากหมูรสกลมกล่อมที่จือหลินชื่นชอบ พร้อมกับผลไม้หลายชนิดถูกเรียงอยู่ในถาดอย่างสวยงามทันทีที่อาเหมาเข้ามานั่งร่วมโต๊ะอาหาร เด็กน้อยถึงกับเบิกตากว้าง เพราะไม่อยากจะเชื่อว่าของกินที่อยู่ตรงหน้าเขาจะสามารถกินมันได้จริงหรือ เกิดมาทั้งชีวิตเคยกินเพียงแค่อาหารเหลือจากผู้อื่น และขนมที่เก็บมาได้ตอนผู้คนทิ้งขว้างไม่กินแล้ว“ข้ากินทั้งหมดนี่ได้จริงหรือขอรับ” อาเหมาถามขึ้นอย่างตื่นเต้น เขามองอาหารบนโต๊ะละลานตาเต็มไปหมด ตอนนี้เขาคิดได้ว่าคนเราไม่ควรจะมองผู้อื่นแต่เปลือกนอก ดูอย่างครอบครัวท่านน้าเป็นตัวอย่าง มองเพียงภายนอกมันตัดสินอะไรไม่ได้เลย“กินได้สิ ที่บ้านกินเช่นนี่ทุกมื้อ หนึ่งวันกินข้าวตั้งสามมื้อแหนะ” เสี่ยวหลงบอกน้องชายคนใหม่ด้วยใบหน้าที่เปื้อนยิ้ม“จริงหรือ เช่นนั้นพี่หลงก็ได้กินของอร่อยทุกวันน่ะสิ ช่างน่าอิจฉานัก” แม้จะพูดว่าอิจฉาแต่ทว่าอาเหมาก็เพียงแค่รู้สึกอยากมีวาสนาดั่งเช่นพี่ชายที่มีของอร่อยให้
เหมาเสี่ยวถงมองเด็กชายตัวน้อยแต่งตัวมอซอหน้าตามอมแมม ยืนกอดห่อผ้าเก่า ๆ อยู่ตรงหน้า ไม่เข้าใจว่าภรรยาพาเด็กน้อยคนนี้มาทำอะไร ทั้งที่ครอบครัวก็ยังคงอดมื้อกินมื้อถึงแม้จะเป็นก่อนหน้าที่จือหลินจะเปลี่ยนเป็นคนใหม่ก็เถอะ“ข้าอยากให้อาเหมามาอยู่เป็นเพื่อนเสี่ยวหลงเจ้าค่ะ ขอโทษที่ไม่ได้ปรึกษาท่านพี่ก่อน” จื่อหลินได้แต่ส่งสายตาขอลุแก่โทษให้สามี ที่ตนเองทำไปโดยพลการไม่ได้ปรึกษากันก่อนจะตัดสินใจ“ช่างเถอะ ไหน ๆ อาเหมาก็มาแล้วนี่ จะทำอะไรได้” เหมาเสี่ยวถงได้ยินคำขอโทษจากภรรยาก็ได้แต่จำยอมพูดอะไรไม่ออก หากจะให้เด็กน้อยกลับไปก็อดที่จะสงสารไม่ได้ จากที่เล่ามาเด็กนั่นเป็นเพียงแค่ขอทานอาศัยอารามวัดเพื่อหลับนอนไร้ซึ่งครอบครัวให้กลับไป ถ้าเขามีกำลังมากพอหากไปเจอเด็กแบบอาเหมาเข้า เขาก็คงจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับภรรยา“ขอบคุณท่านลุงที่อนุญาตขอรับ” อาเหมารีบนั่งคุกเข่าโขกศีรษะขอบคุณเป็นการใหญ่ ประหนึ่งว่าหากเขาไม่ทำเช่นนั้นก็อาจจะถูกไล่กลับไปเป็นขอทานเหมือนเดิม“พอได้แล้วอาเหมาเดี๋ยวหัวได้แตกกันพอดี ที่นี่เราอยู่กันเป็นครอบครัวเพราะฉะนั้นอาเหมาไม่ใช่เด็กรับใช้ แต่เป็นหนึ่งในครอบครัวพวกเราเข้าใจไหม” จือหลิน
เหมาเสี่ยวถงลอบมองสิ่งของที่ภรรยาสาวนำมาด้วยความสงสัย ของแต่ละชิ้นช่างไม่คุ้นตาและแปลกใหม่ และที่สำคัญคงจะราคาแพงมาก แต่ต้องยอมรับว่ามันทั้งสบายและสะดวกต่อเขามากเช่นกัน อกแกร่งเริ่มหวั่นไหวหัวใจเต้นแรงเมื่อคิดไปว่าทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านมาไม่ถึงเดือน จือหลินเปลี่ยนแปลงไปมากไม่หลงเหลือความเป็นสตรีร้ายกาจ เขาจะสามารถเชื่อใจนางได้หรือไม่นะหญิงสาวพาเหมาเสี่ยวถงออกมาหยุดตรงใต้ร่มไม้หน้าบ้าน จากนั้นจึงได้ย้ายเขาไปนอนเล่นบนเก้าอี้ม้าโยกแทน เพื่อที่ว่าสามีจะได้นั่งพักได้สบายไม่เมื่อยตัว นางก็สรรหาเบาะรองนุ่ม ๆ วางทับบนเก้าอี้ไม้อีกที ระหว่างนี้นางก็จะปลูกผักเอาไว้กิน แต่ความเป็นจริงแล้วเพียงแค่จะปลูกเอาไว้เป็นฉากบังหน้าก็เท่านั้นในเมื่อมีของวิเศษเป็นชอปปิงมาร์เก็ต มีของสดของใช้ขนาดใหญ่ให้เลือกหาอย่างไม่จำกัด จะปลูกให้เหนื่อยไปทำไมกัน ที่มานั่งปลูกอยู่ตอนนี้ก็เพียงแค่จะได้ไม่ดูแปลกในสายตาของชาวบ้าน ผู้คนจะได้เข้าใจว่าครอบครัวมีกินมีใช้ได้จากการปลูกผักกินเอง และตัดปัญหาความวุ่นวายในชีวิตออกไปได้อีกหนึ่งอย่าง“ท่านแม่ข้าไปถอนหญ้ารอนะขอรับ” เสี่ยวหลงน้อยหอบเอาอุปกรณ์การทำสวนตรงไปยังที่จะใช้ปลูกผ