Mag-log in“นี่มันอะไร…เม็ดสีแดงสดเช่นนี้ แม่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย” กัวหยุนหยิบลูกกลม ๆ ขึ้นมาส่องแสงดูอย่างประหลาดใจ
หลิวซินเพียงเหลือบตามองก็จำได้ทันที ถ้าไม่ผิด นั่นคือ ไข่มุกสีแดง นางรีบหยิบไข่มุกเล็ก ๆ ในถุงออกมา ส่องใกล้ตา ยิ่งมองยิ่งเสียดาย มันมีเพียงเม็ดเดียว และยังขนาดเล็กเกินไป “ข้าว่ามันคือไข่มุก…ข้าจะเก็บเอาไว้เองดีกว่า มันงดงามเกินกว่าจะขายทิ้ง” หลิวซินยกขึ้นทาบที่ลำคอ หากนำมาทำเป็นสร้อย คงดูดีไม่น้อย กัวหยุนพยักหน้าเบา ๆ “หากเจ้าชอบก็เก็บไว้เถิด ถึงอย่างไรก็มีเพียงเม็ดเดียว จะนำไปขายก็ไม่คุ้มค่า” หลิวซินมองไปยังหอยเป๋าฮื้อที่วางกองอยู่ นางกลืนไม่ลง “แล้วหอยพวกนี้ แม่ว่าเราควรนำไปขายหรือไม่” “ก็ดีเหมือนกัน แต่ตัวเล็ก ๆ เจ้าลองทำอาหารชิมดูก่อนเถิด หากเราคิดจะขาย จะได้รู้จักรสชาติ จะได้บอกผู้อื่นได้ว่าอร่อยจริงหรือไม่” กัวหยุนมองหอยหลายตัวที่ลูกสาวเก็บมา แม้จะเสียดายเล็กน้อย แต่ของพวกนี้มิใช่สิ่งที่หาไม่ได้ นางยอมลองตามคำลูกสาว แล้วเอ่ยถามต่อเมื่อเห็นถุงผ้ายังพองอยู่ “ในถุงนั้นยังมีอะไรอีกหรือ” หลิวซินเปิดออกดู ก็พบทั้งปูและกุ้ง กัวหยุนสีหน้าหนักใจทันที “เจ้าจะเก็บพวกนี้มาทำไมกัน คนที่นี่ไม่กิน แถมไม่มีใครกล้ารับซื้อ เพราะเคยมีคนกินแล้วถึงตาย” “ใครบอกว่าข้าจะขาย ข้าอยากทำให้ท่านแม่ชิมต่างหาก” หลิวซินตอบพลางหิ้วถุงเดินเข้าครัว โชคดีที่มารดาซื้อข้าวติดบ้านไว้ นางจึงนำกุ้งและปูไปต้มจนสุก แกะเอาแต่เนื้อเก็บไว้ แล้วหันมาผัดข้าวในกระทะใส่น้ำมันน้อยนิด โรยเกลือเล็กน้อย คลุกเคล้ากับเนื้อกุ้งปูจนข้าวมีสีเหลืองทอง กลิ่นหอมอบอวลลอยออกมาถึงด้านนอก “เจ้าทำอะไร…กลิ่นหอมเช่นนี้ได้อย่างไร” กัวหยุนรีบเดินเข้ามาอย่างสงสัย นางรู้ดีว่าลูกสาวไม่เคยจับกระทะสักครั้ง แต่คราวนี้กลับทำได้คล่องแคล่วราวกับเคยฝึกมานาน “ว่าแต่…เจ้าเคยทำอาหารเป็นด้วยหรือ หลิวซินรีบยิ้มแก้เก้อ “ข้าเคยเห็นคนอื่นทำ เลยลองทำตามดู” กัวหยุนมองลูกสาวนิ่ง ๆ ยิ้มบาง “เพียงแค่เห็นคนทำ เจ้าก็ทำออกมาได้…ช่างเก่งเกินไปแล้ว” แม้รู้ว่าลูกสาวปิดบังบางอย่าง แต่นางก็ไม่ได้ซักต่อ เพราะไม่ว่าอย่างไร วันหนึ่งลูกก็ต้องออกเรือนไปอยู่กับสามีอยู่แล้ว เมื่อผัดเสร็จเรียบร้อย หลิวซินตักใส่จานแล้วตะโกนเรียก “ท่านแม่ ข้าทำเสร็จแล้ว มาลองชิมดูสิ” กัวหยุนมองข้าวผัดที่วางอยู่ตรงหน้า สีเหลืองอ่อนของข้าวผัดปูกับกุ้งดูน่ารับประทาน นางตักขึ้นมาชิมคำแรกก็ถึงกับตาโต กลิ่นหอมอบอวล รสชาติกลมกล่อมเกินคาด “อร่อยมาก…อร่อยยิ่งนัก” คำชมเปล่งออกมาโดยไม่ต้องเสแสร้ง “อร่อยก็ทานให้เยอะ ๆ นะเจ้าคะ” หลิวซินยิ้มกว้าง พลางตักข้าวของตนเองบ้าง เพียงแต่ในใจยังเสียดาย วัตถุดิบที่นี่มีน้อยเกินไป กัวหยุนหัวเราะเบา ๆ “ถ้ารู้ว่าลูกทำอาหารอร่อยเพียงนี้ แม่คงเลิกทำเองไปนานแล้ว” หลิวซินเดินเข้ามากอดเอวผู้เป็นแม่ “ฝีมือข้ายังห่างไกลจากท่านแม่อีกมาก” ความจริงแล้ว นางเพียงมีความรู้ติดตัวมาจากโลกก่อนเท่านั้น “ปากหวานเสียจริง…” กัวหยุนยิ้มเอ็นดู ก่อนนึกขึ้นได้ “อ้อ แม่ลืมบอกเจ้าไป แม่ได้พูดเรื่องเจ้าตกลงแต่งกับตงจวินแล้ว เขาก็ตอบรับ เหลือเพียงหาวันมงคลเท่านั้น” “เช่นนั้นหรือ” หลิวซินตอบเสียงเรียบ ไม่ได้แสดงความตกใจนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่าชายหนุ่มจะต้องยินยอมแน่ “เจ้าไม่ดีใจหรืออย่างไร” กัวหยุนเอ่ยถามด้วยความแปลกใจ “ท่านแม่…จะให้ข้าดีใจเรื่องใดกันเล่า ระหว่างข้ากับเขา…มันเป็นเพียงความผิดพลาดเท่านั้น” หลิวซินก้มหน้า น้ำเสียงแผ่วเบา นางมั่นใจว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้มีใจให้ตนเช่นกัน “หากลูกลำบากใจ แม่จะบอกเลิกเรื่องแต่งก็ยังทัน” แม้กัวหยุนจะเผลอป่าวประกาศไปแล้ว แต่นางก็ยังห่วงความรู้สึกลูกยิ่งกว่าเกียรติคำพูด “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้ายินยอมเอง ท่านแม่ไม่ต้องกังวล ข้าจัดการได้” หลิวซินตอบด้วยแววตาหนักแน่น แม้ในใจแอบสั่นไหว กัวหยุนถอนหายใจเบา ๆ “เช่นนั้นก็แล้วแต่ลูกเถอะ มากินข้าวก่อน” ทั้งสองนั่งกินไปพลางสนทนาไปพลาง บรรยากาศอบอุ่นเงียบสงบ จนเมื่ออิ่มแล้ว จึงรีบพากันเตรียมออกเมืองเพื่อนำหอยเป๋าฮื้อไปขาย “ถ้าเข้าเมืองตอนนี้ จะยังมีรถเกวียนให้โดยสารหรือไม่” หลิวซินหันไปถามมารดา “ย่อมมีอยู่แล้ว อีกอย่าง แม่จะถือโอกาสซื้อผ้ามาตัดชุดเจ้าสำหรับวันแต่งงานด้วย” ดวงตากัวหยุนทอประกายอ่อนโยน ในใจปรารถนาเพียงให้ลูกสาวได้แต่งงามดั่งเจ้าสาวควรจะเป็น หลิวซินหัวเราะเบา ๆ “เขาคงไม่ได้เร่งรีบมาขอข้าแต่งงานหรอกเจ้าค่ะ ชีวิตเขายุ่งนัก บางทีอาจลืมเรื่องนี้ไปแล้วก็ได้” “ไม่หรอก แม่มั่นใจว่าเขาไม่ใช่คนลืมง่าย เจ้าอย่ากังวลไปเลย” มารดาปลอบโยนด้วยน้ำเสียงมั่นคง หลิวซินแสร้งทำเสียงน้อยใจ “แค่ยังไม่ได้แต่ง ท่านก็เข้าข้างเขาเสียแล้ว หากข้าแต่งไปจริง ๆ ท่านแม่คงลืมข้าแน่แท้” กัวหยุนหัวเราะพลางเคาะศีรษะลูกเบา ๆ “คิดอะไรเหลวไหล สมองเจ้าไม่เคยหยุดเพ้อเจ้อเลยจริง ๆ” เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังเคล้าสายลม หลิวซินเองก็ยิ้มอ่อน นางรู้ดีว่าไม่มีสิ่งใดมาทำให้มารดาหันหลังให้ตนได้ หลังจัดของเรียบร้อย ทั้งสองพากันไปยังจุดขึ้นเกวียนวัว ทว่ากลับพบว่าเกวียนออกไปก่อนแล้ว “เอาอย่างไรดี ไม่มีเกวียนเข้าเมืองเสียแล้ว” หลิวซินมองมารดาอย่างกังวล กัวหยุนยักไหล่อย่างไม่เดือดร้อน “ไม่มีเกวียนก็เดินไปสิ แม่เองก็เคยเดินหลายครั้ง เมืองหลิงหนางไม่ได้ไกลนัก” “ก็ได้เจ้าค่ะ” หลิวซินรับคำ แม้ไม่ค่อยชินกับการเดินทางไกล แต่ก็ยอมตาม กัวหยุนมองท่าทางอ่อนแรงของลูกด้วยสายตาเอ็นดู นางเลี้ยงลูกสาวมาอย่างถนุถนอม ไม่ค่อยให้เหนื่อยลำบากนัก “ทนหน่อยเถอะ ถึงเมืองแล้วแม่จะซื้อผ้าให้นำมาตัดเป็นชุดงาม ๆ ดีหรือไม่” “ท่านแม่ใจดีที่สุด” หลิวซินยิ้มหวานพลางคล้องแขนมารดา เดินเคียงข้างไป ขณะที่ทั้งสองกำลังเดิน เสียงกีบวัวลากเกวียนดังมาจากด้านหลัง เมื่อหันไปก็เห็นตงจวินกำลังบังคับเกวียนตรงเข้ามา ความจริงแล้วนางลืมไปเสียสนิทว่าบ้านเขาก็มีเกวียนเช่นกัน ชายหนุ่มชะลอเกวียน มองสองสตรีตรงหน้า “พวกท่านจะเข้าเมืองกันหรือ” กัวหยุนยิ้มออกทันที “อ้าว ตงจวินนี่เอง ข้ากับลูกสาวจะเอาของไปขาย เจ้าเข้าเมืองเหมือนกันใช่หรือไม่ ให้เราสองคนติดไปด้วยได้หรือไม่” เสียงนางฟังดูอ้อนเอ็นดู แฝงเจตนาจะสานสัมพันธ์ให้ใกล้ชิดขึ้น หลิวซินเหลือบมองมารดา พลางส่ายหน้าอย่างจนใจในความคิดของท่าน ตงจวินเหลือบตามองหญิงสาวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยสั้น ๆ “เชิญขึ้นมาเถิด” “ได้ ๆ” กัวหยุนตอบรับทันใด รีบก้าวขึ้นเกวียน โดยมีลูกสาวคอยช่วยประคอง แต่พอถึงคราหลิวซินกำลังจะขึ้น มือใหญ่กลับยื่นมาตรงหน้า นางเงยหน้ามอง เห็นเป็นตงจวินจึงยื่นมือไปจับ แต่จังหวะไม่ดีนัก ร่างน้อยเสียหลักพลัดตกเข้าซบอกเขา กัวหยุนที่เห็นเหตุการณ์ยิ้มกรุ้มกริ่ม รีบเบือนหน้าหันไปทางอื่น ทำเป็นไม่เห็นอะไร ปล่อยให้หนุ่มสาวจัดการกันเอง หลิวซินรีบผละออกจากอ้อมแขนเขา “ขะ…ขอโทษ” นางก้มหน้า หลบสายตาพร้อมแก้มแดงเรื่อ ตงจวินยังรู้สึกถึงความอบอุ่นนุ่มนวลในอ้อมแขน เมื่อหญิงสาวขยับตัวออก เขากลับแอบรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ดวงตาคมเหลือบมองเห็นสีเลือดฝาดบนแก้มขาวนวลของนาง จึงอดยิ้มในใจไม่ได้หลิวซินรีบออกมาจากมิติ เมื่อถึงยามเที่ยงก็เห็นมารดาเดินหอบตะกร้ากลับมา นางรีบวิ่งออกไปช่วยถือของเข้าบ้านด้วยท่าทางคล่องแคล่ว“เจ้าไม่ต้องช่วยแม่หรอก มือของเจ้ายังเจ็บอยู่มิใช่หรือ” กัวหยุนเหลือบตามองแผลของลูกสาวด้วยความห่วงใย“ตอนนี้มือของข้าดีขึ้นแล้วเจ้าค่ะ ท่านแม่เพิ่งกลับมา เหนื่อยทั้งเช้า ควรกินข้าวเสียก่อน” หลิวซินเอ่ยพลางมองมารดาด้วยแววตาเวทนา ตั้งแต่บิดาสิ้นชีวิต มารดาก็เป็นผู้แบกรับทุกสิ่ง เลี้ยงดูนางเพียงลำพัง“ท่านแม่เหนื่อยหรือไม่เจ้าคะ” เสียงของนางอ่อนโยน แฝงความสงสารอย่างจริงใจกัวหยุนชะงักไป ดวงตาคู่สวยแดงก่ำขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว ตั้งแต่เลี้ยงลูกสาวมาก็ไม่เคยได้ยินถ้อยคำห่วงใยเช่นนี้ “แม่ไม่เหนื่อยหรอก ยังมีแรงเลี้ยงหลานเจ้าได้อีกหลายคน” นางยิ้มบาง ๆ ทั้งยังแอบฝันเงียบ ๆ ว่าอยากอยู่ดูหลานน้อยในอนาคตหลิวซินยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ใจเจือด้วยความอบอุ่น ชาติที่แล้วมารดามีอายุไม่ยืน ครั้งนี้ข้าจะทำให้ทุกความปรารถนาของท่านเป็นจริงให้ได้… เมื่อแต่งงานแล้ว จะรับท่านแม่ไปอยู่ด้วย แต่เรื่องนี้นางยังมิได้เอ่ยออกไป“วันนี้ทำไมเจ้าถึงพูดเช่นนี้ หรือว่าตอนตกน้ำศีรษะกระแทกจนเปลี่ยนไป” มารด
“ท่านมาหาข้าที่นี่ คงไม่ใช่เพียงเรื่องเล็กน้อยใช่หรือไม่?” นางหรี่ตาคมมองชายตรงหน้าอย่างคาดคั้นเจียงหมินหัวเราะเบา ๆ พลางทำท่าทางใสซื่อเช่นที่นางเคยชอบ “พี่ไม่ได้ตั้งใจมารบกวนหรอก เรื่องที่จะพูด อาจทำให้น้องลำบากใจอยู่บ้าง” เขาอ้ำอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยออกมาในที่สุด“อีกเจ็ดวันพี่ต้องเดินทางไปสอบที่เมืองตงชาง จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย แต่เงินที่พี่มีไม่เพียงพอ” เขาเหลือบมองนางด้วยแววตาน่าสงสาร “น้องพอจะช่วยพี่ได้หรือไม่”หลิวซินไม่แปลกใจ นางคิดไว้แล้วว่าเขาจะต้องมาขอเรื่องนี้ หากเป็นเมื่อก่อน นางคงควักเงินที่มี หรือแม้กระทั่งแอบขโมยจากมารดามอบให้เขาจนหมด แต่ตอนนี้…อย่าหวังเลยว่าจะได้แม้แต่อีแปะเดียวจากนางนางแสร้งไอเบา ๆ “ช่วงนี้ข้าไม่ค่อยสบาย ท่านก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน ข้าตกน้ำจนป่วย และวันนี้ยังล้มจนมือบาดเจ็บอีก จำเป็นต้องใช้เงินในการรักษาตัวอยู่มาก ข้ากำลังตั้งใจจะไปหาท่านพอดี อยากจะขอยืมเงินจากท่านสักเล็กน้อย พอเป็นค่ารักษายา” นางหยุดพูดพลางไอออกมาอีกครั้ง“ท่านพอจะมีให้ข้าบ้างหรือไม่ เงินที่ข้ามี หมดไปกับค่ารักษาข้าหมดแล้ว ไหน ๆ อีกไม่นานเราก็จะเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วไ
หลิวซินมองการกระทำของเขาอย่างตั้งใจ ก่อนจะเผลอยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว เมื่อได้เพ่งพินิจชัด ๆ จึงเห็นว่าเขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าผู้ใด ถึงจะไม่เรียบร้อยงดงามแบบบัณฑิตในเมืองใหญ่ แต่ร่างสูงใหญ่สง่างาม ใบหน้าคมแฝงความอ่อนหวานอย่างลงตัว ริมฝีปากได้รูปรับกับสันจมูกโด่งผึ่งผาย… นี่เป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นหน้าของตงจวินอย่างจริงจัง ‘สามีเช่นนี้ เหตุใดชาติก่อนข้าถึงตามืดบอด มองไม่เห็นคุณงามความดีของเขากันเล่า’ในขณะที่นางกำลังยิ้มบางมองเขาอยู่นั้น พอดีกับที่ตงจวินเงยหน้าขึ้น สายตาของเขาสบเข้ากับรอยยิ้มหวานแฝงความลึกซึ้งทันทีหลิวซินสะดุ้งเล็กน้อย รีบหุบยิ้ม มือที่ถูกเขาจับอยู่ค่อย ๆ ดึงกลับ “ข้าขอบคุณท่านมาก” นางเอ่ยเสียงเบา แม้เขาจะทำแผลให้นาง แต่กลับไม่รู้สึกเจ็บเท่าใดนัก“เจ้าแน่ใจหรือไม่ ว่าไม่รู้ว่าใครเป็นคนผลักเจ้า” เขาถามด้วยความเป็นห่วงทันใดนั้น ภาพเหตุการณ์ย้อนเข้ามา แม้นางหันหลังอยู่ แต่ยังพอมองเห็นร่างหนึ่งรีบก้าวออกจากโขดหินอย่างลนลาน และนางจำแผ่นหลังนั้นได้ชัดเจน เหอซาน หญิงสาวที่แอบรักตงจวินข้างเดียว นางเลือกที่จะไม่บอกเรื่องนี้ออกไป หากอีกฝ่ายหมายเอาชีวิตตน เช่นนั้นนางก็จะตอบแทนก
หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย หลิวซินก็แบกตะกร้าเดินตามมารดาออกมาหาของขายริมทะเล ช่วงนี้นางยังไม่คิดหาหนทางสร้างรายได้ด้วยตนเองนัก จึงตั้งใจลองติดตามมารดามาดูเผื่อจะได้แรงบันดาลใจใหม่ ๆทว่าเมื่อมาถึงกลับเห็นว่ามีผู้คนจับจองพื้นที่กันอยู่ก่อนแล้ว ชาวบ้านมากมายต่างกระจายกันหาของขาย ไม่ใช่ว่านางมาช้า เพียงแต่คนอื่นมาก่อน จึงทำให้หลิวซินกับมารดากลายเป็นจุดสนใจในสายตาผู้คนทันทีสายตาของเหอซานสะดุดเข้ากับหลิวซินตั้งแต่นางก้าวเข้ามาเพียงไม่กี่ก้าว ยิ่งเห็นใบหน้างดงามของอีกฝ่าย ความขุ่นมัวในใจยิ่งก่อตัวแรงขึ้น หลังได้ยินคำยืนยันจากชายหนุ่มที่ตนหมายปอง ความริษยาที่มีอยู่แต่เดิมก็ยิ่งทวีขึ้น จากเดิมที่อิจฉาเพียงเพราะความงาม กลับกลายเป็นทั้งอิจฉาและเกลียดชังจนอยากให้หลิวซินเลือนหายไปจากโลกนี้เสียจริงหลิวซินยิ้มทักทายชาวบ้านรอบข้าง ทว่าความรู้สึกเหมือนถูกสายตาใครบางคนจ้องมอง ทำให้นางเผลอเหลียวตาม และดวงตาก็สบเข้ากับเหอซานพอดี แววตาของหญิงสาวผู้นั้นเต็มไปด้วยความไม่เป็นมิตร หลิวซินหวนคิดถึงชาติก่อน เหอซานก็มีบทบาทอยู่ในชีวิตนางเช่นกัน เพียงแต่ไม่เคยแสดงท่าทีเกลียดชังโจ่งแจ้งเช่นตอนนี้ ทว่าเรื่องน
กัวหยุนเห็นว่าลูกสาวไม่อยากอยู่ตรงนั้นนาน นางจึงไม่รั้งรีบพาเดินตรงไปยังร้านผ้าตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อไปถึงก็เลือกผ้าสีแดงสดผืนใหญ่ขึ้นมา สีสันนั้นช่างขับผิวของบุตรสาวให้งามยิ่งนัก นางไม่ลังเลที่จะควักเงินเก็บจ่ายทันทีหลิวซินมองมารดาที่กำลังยิ้มชื่นชมผ้าสีแดง รู้สึกอบอุ่นใจ แต่ก็อดเอ่ยถามไม่ได้ “ท่านแม่… ผ้าผืนนี้ช่างใหญ่ยิ่งนัก ท่านซื้อเกินไปหรือไม่” เพราะด้วยขนาดนี้ นอกจากจะทำชุด ยังพอเย็บผ้าห่มหรือผ้าม่านได้อีกหลายผืนเลยทีเดียวกัวหยุนหัวเราะเบา ๆ พลางลูบผืนผ้าในมือ “ไม่ใหญ่ไปหรอก แม่จะตัดชุดให้เจ้า ทำผ้าห่ม หมอน และยังทำผ้าม่านสีเดียวกันอีกด้วย ลูกสาวเพียงคนเดียวของแม่จะแต่งงานทั้งที ย่อมต้องจัดให้สมเกียรติ อย่าให้ผู้ใดมาดูถูกได้”น้ำเสียงอบอุ่นแฝงความหวังลึก ๆ ว่าอีกไม่นานบ้านหลังนี้คงจะไม่เงียบเหงา หากมีเสียงหัวเราะและเสียงก้าวเดินเล็ก ๆ ของหลาน ๆเมื่อได้ยินถ้อยคำนั้น ใบหน้าของหลิวซินก็แดงซ่าน ความหมายที่มารดาสื่อออกมา นางเข้าใจดีจนอยากแทรกแผ่นดินหนีกัวหยุนเห็นท่าทีเขินอายของลูกสาวก็พลอยยิ้มเอ็นดู หลังจากเลือกผ้าที่ต้องการเสร็จ ทั้งสองก็แวะไปยังร้านขายหมูต่อหลิวซินกวาดตามอง เห
“ข้าขอโทษ ข้าไม่ได้ตั้งใจจะถูกตัวเจ้า” ตงจวินเอ่ยเสียงเบาราวกระซิบ“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ” หลิวซินตอบพลางก้มหน้า เสียงแผ่วเกือบขาดหาย ถึงแม้ครั้งหนึ่งนางจะเคยแต่งงานกับเขามาแล้ว แต่ความใกล้ชิดเช่นนี้ก็ยังทำให้นางไม่เคยชินทั้งสองจึงแยกย้ายไปนั่งประจำที่ของตน ตงจวินบังคับเกวียนวัวให้เคลื่อนไปข้างหน้าอย่างนุ่มนวลกัวหยุนที่มองเหตุการณ์อยู่ตลอด อดยิ้มกรุ้มกริ่มไม่ได้ นางหันไปมองลูกสาวด้วยแววตาล้อเลียน“ท่านแม่…ยิ้มอันใดกันหรือเจ้าคะ” หลิวซินเงยหน้าถามอย่างแปลกใจเมื่อเห็นรอยยิ้มของมารดา“ก็ยิ้มไปตามเรื่อง เมื่อเห็นสิ่งที่ข้าพอใจก็ยิ้มเท่านั้นเอง” กัวหยุนตอบพร้อมแกล้งหยอกเล็กน้อย“ข้าไม่พูดกับท่านแล้ว” หลิวซินทำเสียงงอน ก่อนหันสายตาออกไปมองสองข้างทางแทน“เอาเถอะ อย่างไรเจ้าสองคนก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว สนิทกันไวเสียหน่อยจะเป็นไรไป” มารดากล่าวพลางหัวเราะเบา ๆ ราวกับเห็นเรื่องนี้เป็นเรื่องน่าเอ็นดูหลิวซินได้ยินเช่นนั้นก็หันขวับมามองค้อนทันที ถึงมารดาจะไม่ถือ แต่นางถือ เรื่องแบบนี้น่าอายจนใจเต้นแรงแทบระเบิดตงจวินรับฟังเงียบ ๆ มิได้กล่าวแทรก แต่แววตากลับสะท้อนความอบอุ่นอย่างที่เจ้าตัวเองยังไม่รู้







