จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง
“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ
“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”
คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขา
ผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง
“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”
แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว
“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”
คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ดวงตาฝ้าฟางของเขามองตรงไปยังแม่เฒ่าจูด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความจริงจัง“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ชัดเจนเลย จูฉางหยูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้า ทรัพย์สินบางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก เช่น หยกพกนั่น เจ้าไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ มันต้องคืนให้เขา!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งลานบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่ได้ยินต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่แม่เฒ่าจูถึงกับหน้าซีด แต่เพียงเสี้ยววินาที ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่“หยกพกนั่นเป็นของข้า! ข้าเลี้ยงดูมันมาทั้งชีวิต ข้าจะเก็บไว้! ใครก็เอาไปไม่ได้!”นางตะโกนเสียงแหลม มือสองข้างกำชายเสื้อแน่นราวกับจะปกป้องสมบัตินั้นด้วยชีวิต“แม่เฒ่าจู” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงเข้ม“ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะส่งเรื่องนี้ไปถึงทางการ เจ้าอยากถูกลงโทษเพราะยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของจูฉางหยูหรือ?”
จูฉางหยูยื่นมือออกมารับหยกพกนั้น แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสับสน ทั้งเศร้าใจ อ่อนล้า และขอบคุณ เขาจ้องมองหยกนั้นอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพึมพำเบา ๆ “นี่เป็นสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงข้ากับพ่อแม่แท้ ๆ ของข้า...”เขาเก็บหยกพกไว้ในอกเสื้ออย่างระมัดระวัง เสียงหัวใจเขาเต้นแรงขึ้นด้วยความกังวลว่าสิ่งนี้อาจถูกขโมยไปอีก เขากำอกเสื้อแน่นขณะยืนตัวตรง ดวงตาที่เคยอ่อนแอกลับเปล่งประกายความแน่วแน่ออกมาเมื่อผู้ใหญ่บ้านเริ่มกล่าวถึงข้อตกลงการแบ่งที่นาและเงินเก็บจำนวนหนึ่งให้แก่บ้านรอง แม่เฒ่าจูรีบตะโกนสวนทันที“ไม่มีทาง! ที่นานั่นข้ากับฉางไห่ทำงานหนักเพื่อได้มันมา! ส่วนเงินเก็บ ข้าก็เก็บออมมาจากหยาดเหงื่อแรงงานของพวกข้า! พวกมันไม่ได้ช่วยอะไรเลย ทำไมข้าต้องแบ่งให้ด้วย!”เสียงตะโกนของนางทำให้ชาวบ้านเริ่มกระซิบกระซาบถึงความงกและใจร้ายของแม่เฒ่าจู ชายคนหนึ่งตะโกนขึ้นมา“แต่ไหนแต่ไรบ้านรองก็ทำงานหนักหาเลี้ยงทั้งบ้าน
“ท่านพ่อ พวกเราจะไปที่ไหนก่อน?”จูฉางหยูลูบหัวลูกชายทั้งสองอย่างอ่อนโยน“เราจะไปที่ที่ดินตีนเขาที่ได้มา พ่อจะขอให้ชาวบ้านช่วยเราสร้างเพิงพักเล็ก ๆ เอาไว้ก่อน ส่วนเรื่องบ้านดี ๆ พ่อจะหาทางต่อเมื่อเรามีเงินเพียงพอ”จูฉิงอันที่ยืนฟังอยู่พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ข้าจะช่วยท่านแม่ทำงาน และช่วยท่านพ่อหาเงินสร้างบ้านอีกแรง เราไม่ต้องกังวลหรอกเจ้าค่ะ ทุกอย่างจะดีขึ้น”จูฉางหยูยิ้มอ่อนโยนให้ลูกสาว“ข้าภูมิใจในตัวเจ้าเสมอฉิงอัน ขอบใจที่เจ้าช่วยแบ่งเบาภาระ”แม้รถเข็นจะเต็มไปด้วยข้าวของและน้ำหนักมาก แต่บ้านรองช่วยกันผลักดันมันออกไปจากบ้านเก่าอย่างตั้งใจ หลินอ้ายช่วยจัดของที่เคลื่อนที่ไปมาให้มั่นคง ขณะที่จูฉิงอันคอยจับล้อรถเข็นด้านหนึ่ง ส่วนเด็กชายทั้งสองช่วยกันดันท้ายรถอย่างสุดแรงเมื่อมอ
คืนนั้น หลังจากเหน็ดเหนื่อยกับการทำรั้วกั้นที่ดินจนสำเร็จ จูฉางหยู หลินอ้าย และลูก ๆ ทั้งสามปูที่นอนชั่วคราวใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ตั้งตระหง่านอยู่ในพื้นที่ของพวกเขา ใบไม้เขียวชอุ่มบนกิ่งไม้แผ่กิ่งก้านให้ร่มเงาในเวลากลางวัน และในยามค่ำคืนดูราวกับเป็นหลังคาธรรมชาติที่ช่วยปกป้องพวกเขาจากหมู่ดาวที่ส่องแสงระยิบระยับหลินอ้ายกับจูฉิงอันช่วยกันทำอาหารจากของเล็กน้อยที่เหลืออยู่ในห่อผ้า ซุปผักร้อน ๆ ส่งกลิ่นหอมลอยตลบอบอวล ทำให้บรรยากาศที่เหน็ดเหนื่อยกลับมาผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางที่ยังเด็กช่วยกันเก็บเศษกิ่งไม้รอบ ๆ มาก่อกองไฟเล็ก ๆ ใกล้ที่นอนของพวกเขา แม้ว่าไฟจะไม่ใหญ่โต แต่แสงสว่างวูบไหวของมันกลับทำให้หัวใจพวกเขาอบอุ่นจูฉางหยูมองครอบครัวของตนที่ช่วยกันอย่างแข็งขัน ใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นจากความเหน็ดเหนื่อยยังมีรอยยิ้มอ่อน ๆ เขาสูดลมหายใจลึกก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงแผ่วเบา"ที่นี่...มันอาจจะไม่ใช่ที่ที่ดีที่สุด แต่พ่อสัญญาว่าจะทำให้ที่นี่กลายเป็นบ้านที่อบอุ่นของพวกเ
นับตั้งแต่วันที่ครอบครัวหลินย้ายมาอยู่ที่ดินตีนเขา ทุกคนในครอบครัวต่างก็ปรับตัวและแบ่งหน้าที่เพื่อสร้างชีวิตใหม่ หลินฉิงอัน ผู้เป็นลูกสาวคนโต ก้าวขึ้นมาเป็นเสาหลักของครอบครัวอย่างแท้จริง นางตื่นแต่เช้าก่อนแสงอาทิตย์แรกจะสาดส่อง ด้วยตะกร้าสานคู่ใจที่พ่อเคยทำให้ นางเดินขึ้นเขาอย่างคล่องแคล่วเสมือนรู้จักทุกซอกมุมของป่า นางมีสายตาเฉียบแหลมในการมองหาสมุนไพรที่หาได้ยาก ผลไม้ป่าที่ออกผลในฤดู และเห็ดที่ซ่อนอยู่ในเงาของต้นไม้ใหญ่บางวันเมื่อฟ้าโปร่ง หลินฉิงอันจะนั่งเฝ้าลำธารใสที่ไหลผ่านหลังที่ดิน นางนั่งนิ่งจนแทบไม่ไหวติง มือจับเบ็ดที่ทำเองจากไม้ไผ่ ปลาที่จับได้มีตั้งแต่ปลาขนาดเล็กไปจนถึงปลาขนาดกลาง แม้จะไม่ได้มากพอสำหรับขาย แต่ก็เพียงพอสำหรับนำกลับมาให้แม่หลินอ้ายปรุงอาหารหลากหลายเมนูเพื่อบำรุงร่างกายของพ่อ“ฉิงอัน ตื่นแล้วหรือ?” หลินอ้ายถามขณะเดินออกมาจากครัวเล็ก ๆ พร้อมถังน้ำในมือ“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้าจะขึ้นเขาแต่เช้า วันนี้คงมีสมุนไพรให้เก็บเยอะ เพราะฝนตกเมื่อคืน”
หลังจากพักรักษาตัวมาหลายเดือน หลินฉางหยูฟื้นตัวเต็มที่ในที่สุด แม้ยังมีร่องรอยอ่อนล้าบ้าง แต่กำลังของเขาก็กลับคืนมาเพียงพอที่จะเริ่มทำงานเบา ๆ ที่ช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัวได้ ระหว่างนี้ หลินฉิงอันได้วางแผนสำหรับการจับปลาเพื่อเพิ่มรายได้ของครอบครัว ด้วยความรู้จากภพก่อนของนาง นางคิดหาวิธีเก็บรักษาปลาให้สดนานที่สุดเพื่อขายในตลาดในเช้าของวันหนึ่ง ขณะที่ลมพัดอ่อน หลินฉิงอันใช้ไม้กิ่งเล็กขีดลงบนพื้นทรายใกล้ลานบ้าน วาดภาพตะกร้าขนาดใหญ่พร้อมบรรยายลักษณะให้หลินฉางหยูฟัง“ท่านพ่อ ตะกร้าที่ข้าต้องการต้องไม่มีช่องว่างระหว่างไม้ไผ่มากเกินไป และด้านในควรมีดินเหนียวปิดทับเพื่อเก็บน้ำไว้ นี่คือตะกร้าสำหรับใส่ปลาจำนวนมากเวลาที่เราขึ้นเขา”หลินฉางหยูนั่งขัดสมาธิพลางใช้มือจับคางครุ่นคิดตามไปด้วย“เจ้าคิดได้ละเอียดดีมาก แต่การใช้ดินเหนียวจะเพิ่มน้ำหนักนะ ลูกแน่ใจหรือว่าจะเข็นมันไหว?”“น้ำหนักอาจเพิ่มขึ
เช้าวันใหม่เริ่มต้นด้วยความเงียบสงบในบ้านหลิน หลังอาหารเช้าธรรมดาที่มีเพียงข้าวต้มร้อนและผักดอง หลินฉิงอันกับหลินฉางหยูเตรียมตัวออกเดินทางทันที นางสะพายตะกร้าเล็กใบหนึ่งพร้อมอาหารว่างเล็กน้อยสำหรับระหว่างทาง ขณะที่หลินฉางหยูตรวจดูรถเข็นปลาเป็นครั้งสุดท้าย“ท่านพ่อพร้อมหรือยังเจ้าคะ?” หลินฉิงอันถาม ขณะช่วยยกตะกร้าปลาขึ้นไปจัดบนรถเข็น“พร้อมแล้ว แต่เจ้าแน่ใจหรือว่าเราต้องอ้อมไปทางนั้น? อีกทางน่าจะเดินทางง่ายกว่านี้” หลินฉางหยูถามด้วยความลังเลหลินฉิงอันส่ายหน้าเบา ๆ“ท่านพ่อก็รู้ว่าบ้านตระกูลจูคอยจับตามองเราอยู่ ถ้าพวกเขาเห็นเราอาจหาข้ออ้างมาข่มเหงอีก ข้าคิดว่าอ้อมไปทางนี้แม้ไกลกว่าแต่ปลอดภัยกว่าเจ้าค่ะ”หลินฉางหยูถอนหายใจ แต่ก็ยอมรับเหตุผลนั้น“เจ้าพูดถูก เราอย่าเสี่ยงเลย เอาเถอะ ไปกันเถอะ”ทั้งสองช่วยกันเข็นรถผ่านเส้นทางเล็ก ๆ รอบหมู่บ้าน เส้นทางเต็มไปด้วยก้อนหินและรากไม้ที่ทำให
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต
งานเลี้ยงปีใหม่ผ่านไปอย่างสนุกสนาน ยิ่งกับการกินหมูกระทะในครั้งนี้นั้นทำให้ทุกคนต่างติดอกติดใจ หลินฉิงอันจึงมอบเตาและกระทะให้กับบ่าวและครอบครัวท่านลุงของนางเป็นของขวัญด้วยก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง หลินฉิงอันก็นำหยกพกมอบให้กับบ่าวทั้งหมดรวมทั้งคนในครอบครัวของนางเอง ส่วนของบ้านท่านลุงนั้นนางไม่ได้ทำให้ เพราะนางอยากให้พวกเขาออกแบบลวดลายบนหยกด้วยตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเงินให้ครอบครัวท่านลุง 500 ตำลึงเพื่อนำไปทำหยกพกเช่นกัน คราแรกท่านลุงของนางไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยเหตุผลและการคะยั้นคะยอของคนในครอบครัวทำให้เขาต้องยิ้มรับมาอย่างจนใจ เขายังสัญญากับครอบครัวน้องสาวด้วยว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามที่หลานสาวของเขาต้องการเหิงอันโหวกับคนในจวนโหวที่มาต่างยอมรับนับถือในความใจกว้างของครอบครัวหลินฉิงอัน น้อยนักที่พวกเขาจะเห็นครอบครัวชาวบ้านยอมจ่ายเงินจำนวนมากออกไปอย่างไม่เสียดายเช่นนี้ ยิ่งพ่อบ้านคนสนิทของเหิงอันโหวที่มาเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ของท่านโหวด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งยอมรับในความมีน้ำใจของครอบครัวว่าที่นายหญิ
ก่อนเที่ยงวัน หวังไห่ หลี่หมิง เหมยลี่และอิงฮวาก็เดินทางมาถึงเรือนหลัก พวกเขารีบเข้าไปคารวะเหล่านายท่านที่กำลังรออยู่“คาราวะนายท่าน นายหญิง คุณหนูใหญ่ขอรับ/เจ้าค่ะ”“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ก่อนมาที่นี่ พวกเจ้าปิดร้านกันดีแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยดีขอรับคุณหนูใหญ่ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม ข้าน้อยนำมาให้ท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”หลินฉิงอันยื่นมือไปรับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มมาวางเอาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะบอกให้พวกเขานำสัมภาระไปเก็บที่เรือนพักในที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่นั่นยังมีเรือนพักว่างอีกมากนักหวังไห่กับคนอื่น ๆ ขอตัวลาเหล่านายท่านก่อนจะออกไปขับรถม้าไปยังที่ดินอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บข้าวของที่นำมาด้วย โดยมีโจวซานทำหน้าที่พ่อบ้านเดินตามรถม้าของพวกเขาไปยังเรือนพักตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว บ้านหลินก็หยุดการรับซื้อผลไม้ทั้งหมดและให้บ่าวช่วยกันแช่อิ่มผลไม้ที่เหลื
หลังจากองครักษ์ทั้งแปดนำสิ่งของต่าง ๆ ที่หลินฉิงอันสั่งคนจัดเตรียมเอาไว้ขึ้นเกวียนครบแล้ว พวกเขาก็ใช้ม้าหกตัวในการลากเกวียน ส่วนม้าอีกสองตัวนั้นวิ่งขนาบข้างคอยคุ้มกันสิ่งของบนเกวียนใหญ่ก่อนที่ขบวนขององครักษ์จิงหยานจะออกเดินทาง เหิงอันโหวได้ฝากจดหมายให้พวกเขานำไปส่งหลานชายด้วย หลินฉิงอันเองก็ฝากจดหมายไปเช่นกัน นางยังแนบแบบเกือกม้าและอานทั้งหมดให้ไปด้วย เพราะนางเห็นว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับกองทัพของเหิงจิ้งกั๋ว“พวกเจ้าออกเดินทางได้แล้ว ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาเสียก่อน”“ขอรับนายท่านผู้เฒ่า” องครักษ์ทั้งแปดรีบรับคำเหิงอันโหว“ขอให้พวกพี่ชายเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าถ้าหิมะตกให้เปลี่ยนล้อเป็นแบบลากเลื่อนด้วยนะเจ้าคะ จะได้เดินทางสะดวก”“ขอรับคุณหนูหลิน ขอบคุณสำหรับเสบียงระหว่างเดินทางด้วยขอรับ”เหิงอันโหวกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางสายไปมากกว่
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค