ที่บ้านหมอซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกล หมอประจำหมู่บ้านซึ่งเป็นชายชราที่มากประสบการณ์ตรวจดูบาดแผลของจูฉางหยูอย่างละเอียด เขาพบว่ามีแผลลึกที่แขนและรอยฟกช้ำหลายแห่ง
“เจ้านี่รอดมาได้อย่างมหัศจรรย์” หมอเอ่ยพร้อมถอนหายใจ เขาเริ่มทำแผล ใช้สมุนไพรจากป่ารักษาบาดแผล และพันผ้าสะอาดให้
หลินอ้ายที่ตามมาด้วยน้ำตานองหน้าเอ่ยขอบคุณผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านทุกคน
“ขอบคุณพวกท่านมาก หากไม่มีพวกท่าน ข้าคงไม่รู้จะทำอย่างไร”
ผู้ใหญ่บ้านตบเบาๆ บนไหล่ของหลินอ้าย
“ไม่ต้องห่วง ทุกคนในหมู่บ้านคือพี่น้องกัน พวกเจ้าต้องพักฟื้นและฟื้นตัวให้แข็งแรง”
ชาวบ้านช่วยกันให้กำลังใจครอบครัวของจูฉางหยู หลายคนเสนอจะช่วยแบ่งอาหารหรือช่วยดูแลพวกเขาในช่วงที่ยังฟื้นตัวไม่สมบูรณ์
หลินอ้ายและลูกๆ มองหน้ากันด้วยความซาบซึ้ง แม้จะยังต้องเผชิญอุปสรรคอีกมาก แต่หัวใจของพวกเขาเริ่มเต็มไปด้วยความหวัง
ค่ำคืนมาเยือนพร้อมลมเย็นยะเยือกที่พัดผ่านบ้านเก่าซึ่งทรุดโทรมมากแล้ว ครอบครัวรองกลับมาถึงบ้านพร้อมร่างกายที่เหนื่อยล้าและหัวใจที่เต็มไปด้วยความทุกข์ หลินอ้ายช่วยประคองจูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บหนักเข้าไปนอนพักบนเตียง ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามจัดที่ทางให้พ่อของพวกเขาได้พักผ่อนอย่างสบายที่สุด
ในห้องด้านใน จูฉิงอันที่นอนป่วยอยู่บนเตียงได้ยินเสียงพูดคุยแผ่วเบา เสียงสะอื้นของมารดา และคำพูดปลอบโยนของน้องชายทั้งสองที่เต็มไปด้วยความเหนื่อยล้า เธอหลับตาแน่น แต่หัวใจกลับเต้นแรง
แม้ร่างกายของเธอจะอ่อนแอ แต่จูฉิงอันพยายามรวบรวมพลังทั้งหมดเพื่อพลิกตัวขึ้นนั่ง แม้เสียงกระซิบแผ่วเบาจะบ่งบอกถึงความพยายามปกปิดความเจ็บปวดจากแม่และน้องๆ แต่เธอรู้ว่าครอบครัวของเธอกำลังเผชิญกับความทุกข์ทรมานที่เกินจะทน
“ท่านแม่... ท่านพ่อเป็นอย่างไรบ้าง?” จูฉิงอันถามด้วยเสียงแหบพร่า หลินอ้ายหันมามองลูกสาวคนโต ดวงตาของนางแดงก่ำ
“พ่อของเจ้าไม่เป็นอะไรมาก หมอบอกว่าเขาจะหายดี เพียงแต่ต้องพักฟื้นสักระยะ” หลินอ้ายตอบพยายามปิดบังความกังวล แต่จูฉิงอันมองออกทันที
“แต่ข้ารู้... ทุกคนเหนื่อยล้ากันมาก” จูฉิงอันพูดต่อเบาๆ นางมองดูมือที่ซีดเซียวของตัวเอง และในใจเริ่มครุ่นคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น
จากคำพูดที่เธอได้ยินมา แม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยังคงพยายามควบคุมครอบครัวของพวกเธอ แม้พ่อของเธอจะบาดเจ็บขนาดนั้น แต่พวกเขาก็ยังไม่ปรานี นางรู้ดีว่าหากพวกเขายังคงอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ ครอบครัวของเธอจะไม่มีวันพ้นจากขุมนรกนี้ไปได้
ดวงตาของจูฉิงอันเปล่งประกายขึ้นมา แม้ร่างกายของเธอจะยังอ่อนแอ แต่ภายในใจกลับเต็มไปด้วยไฟแห่งความมุ่งมั่น
“ถ้าข้าหายดี... ข้าจะไม่ยอมให้ครอบครัวของเราต้องทนอยู่อย่างนี้อีกต่อไป” นางพึมพำกับตัวเอง น้ำเสียงของนางหนักแน่นเกินกว่าจะปฏิเสธได้
เธอรู้ว่าการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะไม่ง่าย แต่ด้วยความรู้จากภพก่อนที่ยังคงอยู่ในความทรงจำ และความรักที่เธอมีต่อครอบครัว นางเชื่อมั่นว่าตัวเองจะสามารถพาครอบครัวออกจากวังวนแห่งความทุกข์นี้ได้
“ข้าจะช่วยครอบครัว ข้าสัญญา...” เสียงของนางเบาแต่เต็มไปด้วยความตั้งใจ หลินอ้ายที่นั่งอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดนั้น แม้เธอจะไม่เข้าใจในทันที แต่เธอกลับรู้สึกว่าลูกสาวของเธอกำลังเปลี่ยนไป
บ้านเก่าที่เต็มไปด้วยรอยรั่วและผนังผุพังแทบไม่อาจต้านทานลมหนาวที่พัดผ่านเข้ามาได้ จูฉางหยูที่ยังบาดเจ็บนอนซมอยู่บนเตียงข้างๆ จูฉิงอันที่ป่วยหนักเช่นกัน ทั้งคู่มีเพียงเสื้อผ้าบางๆ ปกคลุมร่างกาย หลินอ้ายพยายามต้มน้ำแกงจืดจางให้สามีและลูกสาวได้กินประทังชีวิต
แต่ความสงบที่เปราะบางนี้ถูกทำลายลงในทันที เมื่อเสียงตะโกนดุดันดังมาจากหน้าบ้าน
“จูฉางหยู! ออกมาเดี๋ยวนี้!” เสียงของแม่เฒ่าจูดังลั่น ก่อนที่ประตูไม้จะถูกผลักเปิดอย่างแรง
หลินอ้ายรีบวิ่งออกมาขวางหน้าห้องของสามีและลูกสาว น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความหวาดหวั่น
“ท่านแม่ ท่านต้องการอะไรอีก? สามีข้ายังไม่หายดี...”
“ไม่หายดีก็ต้องทำงาน! ข้าไม่มีเงินจะซื้อข้าวของในบ้านแล้ว! เจ้าก็รู้ว่าทุกอย่างในบ้านนี้เป็นของข้า” แม่เฒ่าจูกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน ขณะที่จูฉางไห่ยืนกอดอกอยู่ด้านหลัง พร้อมส่งสายตาดูแคลน
หลินอ้ายพยายามอธิบายอย่างสิ้นหวัง
“โปรดให้เขาได้พักฟื้นก่อนเถิด ท่านแม่ เขาแทบลุกไม่ไหวแล้ว...”
“งั้นพวกเจ้าก็ออกไปหาเงินมาเอง!” จูฉางไห่แทรกขึ้น น้ำเสียงเย็นชา ก่อนจะเดินตรงเข้ามาคว้าแขนของหลินอ้าย
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางรีบวิ่งเข้ามาขวาง จูฉิงเฉิงตะโกนด้วยเสียงเด็กชายที่พยายามกล้าแกร่ง
“อย่าทำร้ายท่านแม่ของข้า!”
แต่จูฉางไห่กลับผลักเขาออกไปจนล้มลงพื้นอย่างไม่ไยดี ขณะที่จูฉิงหยางซึ่งพยายามดึงแม่เฒ่าจูออกไปจากแม่ของเขาแต่กลับถูกผลักจนเกือบชนเข้ากับผนัง
“ถ้าพวกเจ้ายังคิดจะอยู่ในบ้านนี้ ก็ต้องทำตามที่ข้าบอก! เอาเงินมาซะ ไม่งั้นก็ไปหาเอง!” แม่เฒ่าจูกล่าวพร้อมกับยกมือชี้ออกไปที่ประตูบ้าน
หลินอ้ายสะอื้นไห้ด้วยความเจ็บปวด นางรู้ว่าตนเองไม่อาจต้านแรงของคนทั้งสองได้ นางหันไปมองจูฉางหยูและจูฉิงอันที่ยังคงนอนอยู่ในห้อง สายตาของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
ในวันต่อมา หลินอ้ายต้องพาลูกชายทั้งสองที่ยังเด็กขึ้นเขาไปเก็บของป่า พวกเขาพยายามหาเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่พอจะขายได้ แต่ด้วยสภาพอากาศที่หนาวเย็นและพื้นดินที่ลื่นชัน ทำให้การเดินทางเต็มไปด้วยอันตราย
จูฉิงเฉิงที่ยังเล็กพยายามช่วยเหลือแม่ด้วยการแบกตะกร้าหนัก แม้เขาจะเหนื่อยจนแทบล้ม ขณะที่จูฉิงหยางเองก็พยายามช่วยเก็บสมุนไพร ทั้งที่มือน้อยๆ ของเขาเย็นจนชา
หลินอ้ายมองลูกๆ ด้วยความปวดร้าว นางรู้ว่าชีวิตที่ต้องพึ่งพาของป่าคงไม่อาจช่วยให้ครอบครัวรอดพ้นจากความยากลำบากนี้ไปได้ แต่เพื่อลูกๆ และสามี นางต้องอดทน
ขณะเดียวกัน ในบ้านที่เงียบสงบ จูฉางหยูพยายามจะลุกขึ้นจากเตียง แต่ความเจ็บปวดจากบาดแผลทำให้เขาแทบไม่อาจขยับตัวได้ ส่วนจูฉิงอันที่นอนอยู่ข้างๆ ได้ยินเสียงสะอื้นเบาๆ ของพ่อ
“ท่านพ่อ ท่านอย่าฝืนเลย...” นางเอ่ยด้วยเสียงอ่อนแรง
จูฉางหยูหันมามองลูกสาวด้วยแววตาหนักอึ้ง
“ข้า...ข้าควรปกป้องพวกเจ้า แต่ข้ากลับทำอะไรไม่ได้เลย...”
คำพูดนั้นเหมือนเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจของจูฉิงอัน นางหลับตาลง รวบรวมความมุ่งมั่นที่เริ่มก่อตัวขึ้นในใจ
“ท่านพ่อ... ข้าสัญญา... เมื่อข้าหายดี ข้าจะพาครอบครัวของเราออกไปจากที่นี่ เราจะไม่ต้องทนทุกข์อีกต่อไป” นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา แต่เต็มไปด้วยความแน่วแน่
แสงอาทิตย์ที่ลอดผ่านรอยแตกของหลังคาส่องลงมาบนใบหน้าของจูฉิงอัน ราวกับเป็นสัญญาณแห่งความหวังที่เริ่มปรากฏ
หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของแม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอันหลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่างเมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขาผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต
งานเลี้ยงปีใหม่ผ่านไปอย่างสนุกสนาน ยิ่งกับการกินหมูกระทะในครั้งนี้นั้นทำให้ทุกคนต่างติดอกติดใจ หลินฉิงอันจึงมอบเตาและกระทะให้กับบ่าวและครอบครัวท่านลุงของนางเป็นของขวัญด้วยก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง หลินฉิงอันก็นำหยกพกมอบให้กับบ่าวทั้งหมดรวมทั้งคนในครอบครัวของนางเอง ส่วนของบ้านท่านลุงนั้นนางไม่ได้ทำให้ เพราะนางอยากให้พวกเขาออกแบบลวดลายบนหยกด้วยตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเงินให้ครอบครัวท่านลุง 500 ตำลึงเพื่อนำไปทำหยกพกเช่นกัน คราแรกท่านลุงของนางไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยเหตุผลและการคะยั้นคะยอของคนในครอบครัวทำให้เขาต้องยิ้มรับมาอย่างจนใจ เขายังสัญญากับครอบครัวน้องสาวด้วยว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามที่หลานสาวของเขาต้องการเหิงอันโหวกับคนในจวนโหวที่มาต่างยอมรับนับถือในความใจกว้างของครอบครัวหลินฉิงอัน น้อยนักที่พวกเขาจะเห็นครอบครัวชาวบ้านยอมจ่ายเงินจำนวนมากออกไปอย่างไม่เสียดายเช่นนี้ ยิ่งพ่อบ้านคนสนิทของเหิงอันโหวที่มาเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ของท่านโหวด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งยอมรับในความมีน้ำใจของครอบครัวว่าที่นายหญิ
ก่อนเที่ยงวัน หวังไห่ หลี่หมิง เหมยลี่และอิงฮวาก็เดินทางมาถึงเรือนหลัก พวกเขารีบเข้าไปคารวะเหล่านายท่านที่กำลังรออยู่“คาราวะนายท่าน นายหญิง คุณหนูใหญ่ขอรับ/เจ้าค่ะ”“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ก่อนมาที่นี่ พวกเจ้าปิดร้านกันดีแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยดีขอรับคุณหนูใหญ่ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม ข้าน้อยนำมาให้ท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”หลินฉิงอันยื่นมือไปรับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มมาวางเอาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะบอกให้พวกเขานำสัมภาระไปเก็บที่เรือนพักในที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่นั่นยังมีเรือนพักว่างอีกมากนักหวังไห่กับคนอื่น ๆ ขอตัวลาเหล่านายท่านก่อนจะออกไปขับรถม้าไปยังที่ดินอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บข้าวของที่นำมาด้วย โดยมีโจวซานทำหน้าที่พ่อบ้านเดินตามรถม้าของพวกเขาไปยังเรือนพักตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว บ้านหลินก็หยุดการรับซื้อผลไม้ทั้งหมดและให้บ่าวช่วยกันแช่อิ่มผลไม้ที่เหลื
หลังจากองครักษ์ทั้งแปดนำสิ่งของต่าง ๆ ที่หลินฉิงอันสั่งคนจัดเตรียมเอาไว้ขึ้นเกวียนครบแล้ว พวกเขาก็ใช้ม้าหกตัวในการลากเกวียน ส่วนม้าอีกสองตัวนั้นวิ่งขนาบข้างคอยคุ้มกันสิ่งของบนเกวียนใหญ่ก่อนที่ขบวนขององครักษ์จิงหยานจะออกเดินทาง เหิงอันโหวได้ฝากจดหมายให้พวกเขานำไปส่งหลานชายด้วย หลินฉิงอันเองก็ฝากจดหมายไปเช่นกัน นางยังแนบแบบเกือกม้าและอานทั้งหมดให้ไปด้วย เพราะนางเห็นว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับกองทัพของเหิงจิ้งกั๋ว“พวกเจ้าออกเดินทางได้แล้ว ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาเสียก่อน”“ขอรับนายท่านผู้เฒ่า” องครักษ์ทั้งแปดรีบรับคำเหิงอันโหว“ขอให้พวกพี่ชายเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าถ้าหิมะตกให้เปลี่ยนล้อเป็นแบบลากเลื่อนด้วยนะเจ้าคะ จะได้เดินทางสะดวก”“ขอรับคุณหนูหลิน ขอบคุณสำหรับเสบียงระหว่างเดินทางด้วยขอรับ”เหิงอันโหวกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางสายไปมากกว่
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค