หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอัน
หลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่าง
เมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู
“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย
“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ
“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ
“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล ทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ก็คือของข้า!” แม่เฒ่าจูกล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะคว้าถุงเงินไปจากมือของหลินอ้าย
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามเข้าไปขวาง แต่จูฉางไห่กลับผลักพวกเขาออกอย่างไร้ปรานี
“แค่นี้ยังไม่พอ! พรุ่งนี้เจ้าก็ขึ้นเขาไปหาอีกสิ!” จูฉางไห่กล่าวพร้อมกับโยนถุงเปล่ากลับไปให้พวกเขา
หลินอ้ายก้มมองถุงเปล่าที่ตกอยู่บนพื้น นางรู้ดีว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อกรกับแม่เฒ่าจูและลูกชายของนาง น้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆ ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางรีบเข้ามาประคองแม่ของพวกเขา
ในห้องที่มืดสลัว จูฉางหยูและจูฉิงอันได้ยินเสียงโต้เถียงจากด้านนอก แม้จะอ่อนแอ แต่จูฉางหยูพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็ถูกจูฉิงอันรั้งเอาไว้
“ท่านพ่อ อย่าฝืนเลย...” นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่น้ำตาคลอ
“ข้า... ข้าควรปกป้องพวกเจ้า แต่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย” จูฉางหยูเอ่ยเสียงสั่น
จูฉิงอันที่นอนฟังอยู่นั้น กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความมุ่งมั่น นางพยายามรวบรวมพลังในจิตใจ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบพวกเราอีกต่อไป...” นางพึมพำ น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
แม้ในความมืด เงาสลัวของจูฉิงอันบนเตียงดูราวกับประกายของเปลวไฟเล็กๆ ที่เริ่มสว่างขึ้นในความมืดมิด
หลายวันผ่านไป หลังจากจูฉิงอันได้พักฟื้นร่างกายด้วยการดูแลอย่างดีจากหลินอ้าย นางก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงทีละน้อย แม้บ้านที่พวกเขาอยู่จะซอมซ่อและขาดแคลนอาหาร แต่นางก็พยายามอย่างหนักที่จะหายดี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
วันหนึ่ง ขณะที่มองออกไปนอกบ้านเก่า นางเห็นภาพของแม่และน้องชายทั้งสองที่ต้องแบกตะกร้าหนักขึ้นเขาไปเก็บของป่า นางรู้สึกเจ็บปวดใจที่ต้องเห็นพวกเขาลำบากเช่นนั้น
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวต้องลำบากอีกต่อไป” จูฉิงอันพึมพำกับตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น
ด้วยความรู้จากภพก่อน นางเข้าใจดีว่าธรรมชาติบนเขามีทรัพยากรมากมายที่สามารถนำมาสร้างรายได้ หากมีการจัดการอย่างเหมาะสม
เช้าตรู่วันหนึ่ง จูฉิงอันเตรียมตะกร้าและมีดเล็กๆ นางตัดสินใจขึ้นเขาเพียงลำพังโดยไม่บอกใคร ด้วยร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัว แม้นางจะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ แต่จิตใจที่แน่วแน่ช่วยให้ก้าวข้ามความเหน็ดเหนื่อย
บนเขาที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงนกร้อง จูฉิงอันใช้ความรู้จากภพก่อนในการหาเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีค่า นางรู้วิธีแยกของป่าที่กินได้และขายได้อย่างชัดเจน
ขณะที่นางเดินลึกเข้าไปในป่า นางพบธารน้ำสายเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่าทึบ น้ำในธารใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาหลากชนิดที่ว่ายอยู่
“ที่นี่...ทำไมถึงไม่มีคนมาจับปลาเลย?” นางนึกสงสัย แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่าไม่มีใครมาแย่งอาหารจากที่นี่
จูฉิงอันสำรวจรอบๆ ธารน้ำและเริ่มคิดหาวิธีจับปลาโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน นางใช้ไม้ที่หาได้จากป่ามาทำเป็นรั้วกั้นลำน้ำ และขุดหลุมลึกใกล้ๆ ธารน้ำ โดยให้กระแสน้ำพัดปลาลงมาในหลุม
“วิธีนี้น่าจะได้ผล” นางพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ฝูงปลาหลายตัวก็ถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปในหลุม นางใช้มือตักปลาขึ้นมาใส่ตะกร้าทีละตัว ปลาสดเหล่านี้ดิ้นขลุกขลักในตะกร้าจนเกือบล้น
จูฉิงอันแบกตะกร้าปลาที่หนักอึ้งกลับบ้าน แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัว แต่นางก็ยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงอาหารที่ทำจากปลาเพื่อมอบให้กับครอบครัว
“ข้าจะไม่ขายปลาพวกนี้ เราต้องกินให้แข็งแรงก่อน” นางคิดในใจ นางรู้ดีว่าร่างกายของทุกคนในครอบครัวยังอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญกับความลำบากต่อไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินอ้ายตกใจที่เห็นลูกสาวกลับมาพร้อมตะกร้าปลามากมาย
“อันเอ๋อร์ เจ้าไปหามาจากไหน?”
จูฉิงอันยิ้มบางๆ
“ข้าพบธารน้ำที่มีปลามากมาย ข้าจับมาได้โดยไม่มีใครแย่ง ข้าคิดว่าเราควรบำรุงร่างกายของทุกคนให้แข็งแรงก่อน แล้วเราค่อยคิดหาวิธีอื่นเพื่อหาเงิน”
หลินอ้ายมองลูกสาวด้วยความซาบซึ้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวที่ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูร่างกายได้เร็ว แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของครอบครัว
เย็นวันนั้น หลินอ้ายปรุงปลาอย่างเรียบง่ายแต่หอมกรุ่น จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางที่เหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นเขากลับมาพร้อมความหิวโหย เมื่อได้กลิ่นอาหาร พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาในบ้าน
“วันนี้เรามีปลา! เป็นอาหารที่บำรุงร่างกายของทุกคน” จูฉิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศในบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มมีความอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง ทุกคนกินอาหารพร้อมกันและพูดคุยถึงสิ่งที่ควรทำในวันต่อไป
จูฉิงอันมองดูครอบครัวที่เริ่มมีรอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะยังมีอุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า แต่นางก็พร้อมจะสู้เพื่อครอบครัว
รุ่งสางในเช้าวันถัดมา จูฉิงอันตื่นขึ้นมาก่อนที่คนอื่นในบ้านจะลืมตา นางลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เก็บของป่าที่นางเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานใส่ตะกร้า ทั้งเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีมูลค่าสูง
“ข้าต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ พวกเขาจะได้พักฟื้นโดยไม่ต้องลำบาก” นางพึมพำกับตัวเอง
นางไม่อยากให้แม่หรือน้องชายรู้ เพราะรู้ว่าทุกคนคงห้ามปราม ด้วยร่างกายที่เพิ่งหายดี หลินอ้ายคงไม่ยอมให้นางเดินทางไกลเพียงลำพัง แต่ด้วยความรู้ในเส้นทางจากความทรงจำของร่างเดิม จูฉิงอันมั่นใจว่านางสามารถเดินทางไปยังอำเภอไห่ตงได้โดยปลอดภัย
หลังจากต่างคนต่างอวดเรื่องของขวัญกันได้อีกพักใหญ่ หวางกงกงก็เชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารก่อนจะแลกของขวัญกันและมอบซองแดงให้เด็กๆ ที่ต่างเล่นเครื่องเล่นกันจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดฮ่องเต้ยังขอบคุณหยูฉิงอันด้วยที่สร้างเครื่องเล่นเหล่านี้ขึ้นมา เพราะองค์ชายน้อยก็มักจะได้มาเล่นเครื่องเล่นที่นี่อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน“นี่เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้วเพคะ หากฝ่าบาทต้องการแบบให้กับช่างหลวงสร้างขึ้นมาก็บอกหม่อมฉันได้นะเพคะ”“ตกลง ๆ ขอบใจเจ้ามากที่ไม่เคยหวงแหนความรู้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากไม่มีเจ้าสักคน แคว้นหมิงคงไม่สามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้”“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะความร่วมมือของทุกคนในแคว้นต่างหากที่ทำให้แคว้นของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”“เฮ้อ เจ้านี่นะ ไม่เคยคิดที่จะเอาความดีความชอบแม้สักนิด เอาล่ะ ๆ เราทานอาหารกันก่อนดีกว่า เด็ก ๆ คงจะหิวกันแล้วล่ะ”
วันปีใหม่เช้าวันนี้จวนหยูวุ่นวายไปด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงปีใหม่ที่จะมีแขกเริ่มมาในยามซื่อของวัน องค์หญิงหมิงจูกับหยูฉิงเฉิงเองก็กำลังแต่งตัวให้กับลูกชายและลูกสาวของพวกเขาอยู่ เสื้อผ้าต่าง ๆ ล้วนมาจากในวังที่ฮองเฮาสั่งคนตัดให้กับหลาน ๆ ของพระองค์อย่างน่ารักหลินอ้ายกับหยูฉางหยูก็แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่เช่นกัน ส่วนลูกชายคนเล็กก็กำลังจัดการบุตรชายทั้งสองกับฮูหยินน้อยที่เรือนอีกหลัง สำหรับหยูจิ่นเซิงและเฉียนหลานนั้นก็แต่งตัวกันเต็มที่เพื่อให้สมกับวันปีใหม่ ยังไม่รวมซองแดงที่พวกเขาจะแจกให้ลูกหลานอีกไม่น้อยด้วย พวกเขาคาดเดาว่าวันนี้จะต้องเป็นงานที่ทุกคนสนุกกันมากแน่ ยิ่งหยูฉิงอันส่งของเล่นเด็กมาไว้ที่จวนหยูจำนวนไม่น้อยสำหรับให้หลาน ๆ เล่นตอนที่โตกว่านี้ด้วยแล้ว พวกเขายิ่งรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นทุกที นางไม่เคยหวงสิ่งของใดเลย มีแต่มอบให้กับน้องชายทั้งสองและครอบครัวด้านจวนกั๋วกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน กว่าที่พี่เลี้ยงจะไล่จับเหล่าคุณชายน้อย ค
ที่ชายแดนตะวันตก หลังจากลูกของหยูฉิงหยางคลอดแล้ว ท่านพ่อตาได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองให้เขาว่า หยูอันเหิงและหยูอันไห่ เพราะหยูฉิงหยางอยากให้ในชื่อบุตรชายของเขามีชื่อพี่สาวอยู่ด้วย เขาสำนึกในบุญคุญของพี่สาวเสมอที่พาครอบครัวค้าขายจนได้เข้าเรียนและรับราชการในราชสำนักได้อย่างทุกวันนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปีใหม่ แม่ทัพใหญ่ซวงอี้จึงชวนทุกคนกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง เพราะเขาเดินทางมาอยู่ชายแดนตะวันตกได้เกือบสามเดือนแล้ว หยูฉิงหยางจึงไปขอลาราชการกับแม่ทัพชายแดนตะวันตกตามมารยาท ก่อนจะส่งม้าเร็วเดินทางไปถวายฎีกาเรื่องการพาครอบครัวไปรวมตัวกันในวันปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ม้าเร็วเดินทางไปถึงเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อฮ่องเต้ได้รับฎีกาของหยูฉิงหยางแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาพาครอบครัวกลับมาได้ ความจริงปีนี้พระองค์คิดที่จะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับเหล่าขุนนางเหมือนทุกปี เพียงแต่พอคิดได้ว่าการจัดงานบ่อยครั้งก็เสียเงินในคลังไปไม่น้อย ซึ่งพระองค์ยังคงอยากใช้เงินเหล่านั้นในการพัฒนาแคว้นม
จดหมายของหยูจิ่นเซิงไปถึงจวนแม่ทัพที่ชายแดนตะวันตกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หยูฉิงหยางที่กำลังดูแลภรรยาที่กำลังท้องแฝดเช่นเดียวกับพี่ชายรีบนำจดหมายมาตอบพร้อมให้คนนำของฝากที่ท่านแม่ฝากมาให้เขากับฮูหยินไปเก็บไว้ในคลังเสบียงเสียก่อน“ท่านพี่ เหตุใดท่านแม่จึงส่งของกินมาเสียเยอะแยะเช่นนี้เล่า”“ฮ่า ฮ่า ท่านคงกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้กินอาหารดี ๆ น่ะสิ ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกของเรานั่นแหละน้องหญิง เจ้าเองก็บำรุงเยอะ ๆ เล่า จะได้คลอดง่าย ๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะคลอดเด็ก ๆ ออกมาแล้วนะ”“ข้ากินจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วนะท่านพี่ หากท่านไม่ชอบที่ข้าอ้วนจะทำอย่างไร”“เจ้าก็คิดมากเกินไปน้องหญิง พี่มีหรือจะไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นที่รักของพี่ตลอดไปนั่นแหละ ทีหลังอย่าคิดมากรู้ไหม”หยูฉิงหยางกอดภรรยารักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก เขารู้ดีว่านางคงกลัวว่าเขาจะมีหญิงอื่นกระมัง
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายจากหยูฉิงหยางส่งมาบอกทุกคนว่าสะใภ้เล็กท้องแล้ว ทำให้ทุกคนดีใจมาก ส่วนองค์หญิงหมิงจูนั้น ยังไม่มีใครกล้าสอบถามอะไรในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างสอบถามหยูฉิงเฉิงแทน“อาเฉิง เหตุใดสะใภ้ใหญ่ไม่ท้องเสียทีเล่า”“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ขอรับท่านปู่ แต่ข้าก็ขยันขันแข็งทุกวันนะขอรับ”“แล้วช่วงนี้ดูเหมือนนางจะดูมีน้ำมีนวลและน้ำหนักขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”“ท่านย่าเดาได้เหมือนตาเห็นเลยขอรับ ข้าสังเกตว่านางดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยและท้องของนางก็ป่องออกมาเล็กน้อยด้วยนะขอรับ”“เช่นนั้นประเดี๋ยวให้พ่อบ้านไปเรียกหมอมาตรวจสักหน่อย นางอาจท้องแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนพี่ใหญ่เจ้าที่กว่าจะรู้ว่าท้องสองก็ตอนสามเดือนแล้ว”“ขอรับ หากมีข่าวดีเหมือนน้องสามก็คงดี เด็ก ๆ จะได้เกิดไล่เลี่ยกัน”หย
หลังจากหยูฉิงเฉิงได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการพิเศษ เขาก็ยังคงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาบ้านเมืองที่เคยเสนอต่อฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมหาเสนาบดีเซี่ยยังคงรายงานการทำงานของขุนนางที่ถูกส่งออกไปให้กับเขารับทราบ เพื่อที่หยูฉิงเฉิงจะได้วางแผนการเดินทางไปตรวจงานได้ในภายหลังด้านองค์หญิงหมิงจูพอเป็นสะใภ้ตระกูลหยูแล้ว พระองค์ยังคงเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จแม่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากที่จวนหยูไม่มีสิ่งใดให้นางทำบ้างเลย ครั้นจะให้นางไปนั่งปักผ้ากับท่านย่าและแม่สามีนางก็ไม่ค่อยชอบนัก ปกตินางชอบเล่นพิณและวาดรูปมากกว่า แต่ก็กลัวว่าเสียงพิณจะไปรบกวนการทำงานของท่านย่าและแม่สามีของนางเข้า นางจึงมาเล่นที่วังให้เสด็จแม่ฟังแทนเฉียนหลานกับหลินอ้ายนั้นพอรู้อยู่บ้างว่าองค์หญิงน่าจะอึดอัดและเหงาที่ต้องอยู่จวนโดยไม่มีสิ่งใดทำ พระองค์จึงได้เสด็จเข้าวังบ่อย ๆ เมื่อหยูฉิงเฉิงกลับจวนมาแล้วทราบเรื่องเข้า เขาจึงคุยกับองค์หญิงในคืนวันหนึ่ง“น้องหญิง เจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่จวนนี้หรือ”