หลังจากลำบากขึ้นเขาหลายวัน หลินอ้าย จูฉิงเฉิง และจูฉิงหยางกลับมาที่บ้านพร้อมกับของป่าที่รวบรวมได้ ตะกร้าหนักที่บรรจุเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าเต็มจนแทบล้น พวกเขาพากันตรงไปที่ตลาดในหมู่บ้านเพื่อขายของ
แม้จะเหน็ดเหนื่อยจนแทบขยับตัวไม่ไหว แต่หลินอ้ายยังพยายามยิ้มให้พ่อค้าแม่ค้าในตลาด ด้วยความหวังว่าจะได้เงินมากพอสำหรับซื้อข้าวสารและยาสมุนไพรให้จูฉางหยูและจูฉิงอัน
หลังจากทั้งวันอันยาวนาน หลินอ้ายได้เงินมาเพียงไม่กี่อีแปะเล็กๆ น้อยๆ แต่นางก็ยังรู้สึกยินดีที่มีเงินพอจะซื้ออาหารและของจำเป็นบางอย่าง
เมื่อหลินอ้ายและลูกๆ กลับมาถึงบ้าน พวกเขาก็พบว่าแม่เฒ่าจูและจูฉางไห่ยืนรออยู่ที่หน้าประตู
“นั่นอะไร?” แม่เฒ่าจูถามด้วยน้ำเสียงเย็นชา พลางชี้ไปที่ถุงเงินเล็กๆ ในมือของหลินอ้าย
“ข้า...ข้าได้เงินจากการขายของป่า” หลินอ้ายตอบด้วยความระมัดระวัง แต่แววตาของแม่เฒ่าจูกลับเต็มไปด้วยความโลภ
“เงินนี่เป็นของข้า!” แม่เฒ่าจูยื่นมือออกมาทันที จูฉางไห่ก้าวเข้ามาประกบ
“ของท่าน? ข้าเป็นคนขึ้นเขา! ข้าเป็นคนเก็บมา! ท่านแม่อย่าทำแบบนี้เลย” หลินอ้ายพยายามอ้อนวอน น้ำเสียงของนางเต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
“บ้านนี้ ข้าเป็นคนดูแล ทุกอย่างที่พวกเจ้าหามาได้ก็คือของข้า!” แม่เฒ่าจูกล่าวเสียงแข็ง ก่อนจะคว้าถุงเงินไปจากมือของหลินอ้าย
จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางพยายามเข้าไปขวาง แต่จูฉางไห่กลับผลักพวกเขาออกอย่างไร้ปรานี
“แค่นี้ยังไม่พอ! พรุ่งนี้เจ้าก็ขึ้นเขาไปหาอีกสิ!” จูฉางไห่กล่าวพร้อมกับโยนถุงเปล่ากลับไปให้พวกเขา
หลินอ้ายก้มมองถุงเปล่าที่ตกอยู่บนพื้น นางรู้ดีว่าตนไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะต่อกรกับแม่เฒ่าจูและลูกชายของนาง น้ำตาเริ่มไหลออกมาช้าๆ ขณะที่จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางรีบเข้ามาประคองแม่ของพวกเขา
ในห้องที่มืดสลัว จูฉางหยูและจูฉิงอันได้ยินเสียงโต้เถียงจากด้านนอก แม้จะอ่อนแอ แต่จูฉางหยูพยายามจะลุกขึ้น แต่เขาก็ถูกจูฉิงอันรั้งเอาไว้
“ท่านพ่อ อย่าฝืนเลย...” นางพูดด้วยเสียงแผ่วเบา ขณะที่น้ำตาคลอ
“ข้า... ข้าควรปกป้องพวกเจ้า แต่ข้าทำอะไรไม่ได้เลย” จูฉางหยูเอ่ยเสียงสั่น
จูฉิงอันที่นอนฟังอยู่นั้น กลับเต็มไปด้วยความโกรธแค้นและความมุ่งมั่น นางพยายามรวบรวมพลังในจิตใจ แม้ร่างกายจะยังอ่อนแอ
“ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเขาเอาเปรียบพวกเราอีกต่อไป...” นางพึมพำ น้ำเสียงที่เปี่ยมไปด้วยความแน่วแน่
แม้ในความมืด เงาสลัวของจูฉิงอันบนเตียงดูราวกับประกายของเปลวไฟเล็กๆ ที่เริ่มสว่างขึ้นในความมืดมิด
หลายวันผ่านไป หลังจากจูฉิงอันได้พักฟื้นร่างกายด้วยการดูแลอย่างดีจากหลินอ้าย นางก็เริ่มกลับมามีเรี่ยวแรงทีละน้อย แม้บ้านที่พวกเขาอยู่จะซอมซ่อและขาดแคลนอาหาร แต่นางก็พยายามอย่างหนักที่จะหายดี เพื่อช่วยแบ่งเบาภาระของครอบครัว
วันหนึ่ง ขณะที่มองออกไปนอกบ้านเก่า นางเห็นภาพของแม่และน้องชายทั้งสองที่ต้องแบกตะกร้าหนักขึ้นเขาไปเก็บของป่า นางรู้สึกเจ็บปวดใจที่ต้องเห็นพวกเขาลำบากเช่นนั้น
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ครอบครัวต้องลำบากอีกต่อไป” จูฉิงอันพึมพำกับตัวเองด้วยแววตามุ่งมั่น
ด้วยความรู้จากภพก่อน นางเข้าใจดีว่าธรรมชาติบนเขามีทรัพยากรมากมายที่สามารถนำมาสร้างรายได้ หากมีการจัดการอย่างเหมาะสม
เช้าตรู่วันหนึ่ง จูฉิงอันเตรียมตะกร้าและมีดเล็กๆ นางตัดสินใจขึ้นเขาเพียงลำพังโดยไม่บอกใคร ด้วยร่างกายที่เพิ่งฟื้นตัว แม้นางจะยังไม่แข็งแรงเต็มที่ แต่จิตใจที่แน่วแน่ช่วยให้ก้าวข้ามความเหน็ดเหนื่อย
บนเขาที่เงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดและเสียงนกร้อง จูฉิงอันใช้ความรู้จากภพก่อนในการหาเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีค่า นางรู้วิธีแยกของป่าที่กินได้และขายได้อย่างชัดเจน
ขณะที่นางเดินลึกเข้าไปในป่า นางพบธารน้ำสายเล็กๆ ที่ซ่อนตัวอยู่กลางป่าทึบ น้ำในธารใสสะอาดจนมองเห็นฝูงปลาหลากชนิดที่ว่ายอยู่
“ที่นี่...ทำไมถึงไม่มีคนมาจับปลาเลย?” นางนึกสงสัย แต่ก็อดยิ้มไม่ได้เมื่อคิดว่าไม่มีใครมาแย่งอาหารจากที่นี่
จูฉิงอันสำรวจรอบๆ ธารน้ำและเริ่มคิดหาวิธีจับปลาโดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ซับซ้อน นางใช้ไม้ที่หาได้จากป่ามาทำเป็นรั้วกั้นลำน้ำ และขุดหลุมลึกใกล้ๆ ธารน้ำ โดยให้กระแสน้ำพัดปลาลงมาในหลุม
“วิธีนี้น่าจะได้ผล” นางพึมพำกับตัวเอง พลางยิ้มอย่างพอใจ
เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน ฝูงปลาหลายตัวก็ถูกกระแสน้ำพัดเข้าไปในหลุม นางใช้มือตักปลาขึ้นมาใส่ตะกร้าทีละตัว ปลาสดเหล่านี้ดิ้นขลุกขลักในตะกร้าจนเกือบล้น
จูฉิงอันแบกตะกร้าปลาที่หนักอึ้งกลับบ้าน แม้จะเหนื่อยจนเหงื่อไหลท่วมตัว แต่นางก็ยิ้มออกมาเมื่อคิดถึงอาหารที่ทำจากปลาเพื่อมอบให้กับครอบครัว
“ข้าจะไม่ขายปลาพวกนี้ เราต้องกินให้แข็งแรงก่อน” นางคิดในใจ นางรู้ดีว่าร่างกายของทุกคนในครอบครัวยังอ่อนแอเกินกว่าจะเผชิญกับความลำบากต่อไป
เมื่อกลับมาถึงบ้าน หลินอ้ายตกใจที่เห็นลูกสาวกลับมาพร้อมตะกร้าปลามากมาย
“อันเอ๋อร์ เจ้าไปหามาจากไหน?”
จูฉิงอันยิ้มบางๆ
“ข้าพบธารน้ำที่มีปลามากมาย ข้าจับมาได้โดยไม่มีใครแย่ง ข้าคิดว่าเราควรบำรุงร่างกายของทุกคนให้แข็งแรงก่อน แล้วเราค่อยคิดหาวิธีอื่นเพื่อหาเงิน”
หลินอ้ายมองลูกสาวด้วยความซาบซึ้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวลูกสาวที่ไม่เพียงแต่ฟื้นฟูร่างกายได้เร็ว แต่ยังกลายเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญของครอบครัว
เย็นวันนั้น หลินอ้ายปรุงปลาอย่างเรียบง่ายแต่หอมกรุ่น จูฉิงเฉิงและจูฉิงหยางที่เหน็ดเหนื่อยจากการขึ้นเขากลับมาพร้อมความหิวโหย เมื่อได้กลิ่นอาหาร พวกเขาก็รีบวิ่งเข้ามาในบ้าน
“วันนี้เรามีปลา! เป็นอาหารที่บำรุงร่างกายของทุกคน” จูฉิงอันกล่าวด้วยรอยยิ้ม
บรรยากาศในบ้านที่เคยเต็มไปด้วยความสิ้นหวังเริ่มมีความอบอุ่นกลับมาอีกครั้ง ทุกคนกินอาหารพร้อมกันและพูดคุยถึงสิ่งที่ควรทำในวันต่อไป
จูฉิงอันมองดูครอบครัวที่เริ่มมีรอยยิ้มกลับมาอีกครั้ง นางรู้สึกภูมิใจในตัวเองที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ แม้จะยังมีอุปสรรคมากมายรออยู่ข้างหน้า แต่นางก็พร้อมจะสู้เพื่อครอบครัว
รุ่งสางในเช้าวันถัดมา จูฉิงอันตื่นขึ้นมาก่อนที่คนอื่นในบ้านจะลืมตา นางลุกขึ้นอย่างเงียบเชียบ เก็บของป่าที่นางเตรียมไว้ตั้งแต่เมื่อวานใส่ตะกร้า ทั้งเห็ด สมุนไพร และผลไม้ป่าที่มีมูลค่าสูง
“ข้าต้องทำสิ่งนี้ให้สำเร็จ พวกเขาจะได้พักฟื้นโดยไม่ต้องลำบาก” นางพึมพำกับตัวเอง
นางไม่อยากให้แม่หรือน้องชายรู้ เพราะรู้ว่าทุกคนคงห้ามปราม ด้วยร่างกายที่เพิ่งหายดี หลินอ้ายคงไม่ยอมให้นางเดินทางไกลเพียงลำพัง แต่ด้วยความรู้ในเส้นทางจากความทรงจำของร่างเดิม จูฉิงอันมั่นใจว่านางสามารถเดินทางไปยังอำเภอไห่ตงได้โดยปลอดภัย
แสงจันทร์ที่เลือนลางเป็นเพียงแสงเดียวที่นำทาง นางเดินเท้าตามเส้นทางที่คดเคี้ยวผ่านป่าและทุ่งนา บรรยากาศรอบตัวเงียบสงบจนได้ยินเสียงแมลงร้องความทรงจำจากร่างเดิมช่วยให้นางมั่นใจในเส้นทาง แม้จะมีบางจุดที่รกชัฏและดูน่ากลัว แต่นางกลับไม่รู้สึกหวาดหวั่น“ข้าต้องถึงอำเภอให้ทันตลาดเช้า” นางคิดในใจ พลางเร่งฝีเท้าด้วยพลังใจที่แน่วแน่เมื่อฟ้าเริ่มสาง แสงแรกของวันค่อยๆ ส่องให้เห็นอำเภอไห่ตงที่อยู่เบื้องหน้า จูฉิงอันเดินเข้าสู่ตลาดเช้าที่เริ่มคึกคัก พ่อค้าแม่ค้าต่างจัดเตรียมสินค้าของตนและเรียกลูกค้าเสียงดังจูฉิงอันเลือกจุดเงียบสงบในมุมหนึ่งของตลาด นางจัดของป่าที่นำมาวางขายอย่างเป็นระเบียบ ด้วยหน้าตาที่อ่อนโยนและการจัดวางอย่างคล่องแคล่ว นางดึงดูดความสนใจของผู้คนที่เดินผ่านไปมา“เห็ดนี้สดมาก! สมุนไพรพวกนี้ก็หายากในแถบนี้” เสียงพ่อค้าคนหนึ่งทักขณะหยิบสมุนไพรขึ้นมาดูลูกค้าหลายคนแวะมาซื้อของจากนาง ด้วยความรู้ในภพก่อนเกี่ยวกับสรรพคุณของสมุนไพรและเห็ด นางสามารถอธิบายได้อย่างคล่องแคล่ว ทำให้สินค้าของนางขายหมดอย่างรวดเร็วเมื่อได้เงินมาเพียงพอ นางรีบไปซื้อของจำเป็นสำหรับครอบครัว ทั้งเนื้อ ผักสด ข้าวสาร
หลายวันต่อมา จูฉิงอันตื่นแต่เช้ามืดก่อนที่ท้องฟ้าจะสว่าง นางเตรียมตะกร้า เชือก และมีดเล็กๆ อย่างเงียบเชียบที่สุด ร่างบางก้าวออกจากบ้านด้วยฝีเท้าที่ระมัดระวัง นางไม่อยากให้แม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ที่อยู่เรือนใหญ่รับรู้ถึงสิ่งที่นางทำ“ถ้าพวกเขารู้ว่าข้าหาเงินได้...ทุกอย่างที่ข้าเหนื่อยยากคงต้องตกเป็นของพวกเขา” นางคิดในใจ ขณะเดินลัดเลาะเส้นทางเล็กๆ ที่นำไปสู่ป่าลึกในป่าที่เงียบสงบ จูฉิงอันยังคงใช้ความรู้ในภพก่อนอย่างชำนาญ เก็บสมุนไพร เห็ดป่า และผลไม้ที่มีมูลค่า แต่ครั้งนี้นางไม่เก็บมามากจนเกินไป“หากข้าเก็บของกลับไปมากเกิน อาจเป็นที่สงสัยได้” นางพึมพำกับตัวเอง นางเลือกเก็บเฉพาะของที่สามารถนำไปขายได้ราคาและมีน้ำหนักเบา เพื่อไม่ให้ดูผิดสังเกตบางครั้ง นางแวะริมลำธารเพื่อดื่มน้ำจากแหล่งน้ำใสสะอาด และใช้เวลาสั้นๆ ตรวจสอบความสมบูรณ์ของต้นไม้และพื้นที่ใกล้เคียงหลังจากเก็บของป่าจนพอใจ นางมุ่งหน้าไปอำเภอไห่ตงด้วยเส้นทางที่เงียบสงบและไม่พลุกพล่าน นางเลือกเดินตามทางที่ร่างเดิมของนางเคยจำได้ เพื่อลดโอกาสพบเจอผู้คนเมื่อถึงตลาดในอำเภอ นางขายของป่าเหล่านั้นให้กับพ่อค้าแม่ค้าที่เคยพบกันก่อนหน้า ด้วยท่า
เมื่อผ่านไปหลายสัปดาห์ จูฉางหยูเริ่มฟื้นตัวอย่างเห็นได้ชัด เขาสามารถลุกขึ้นยืนได้ด้วยความช่วยเหลือเล็กน้อยจากหลินอ้าย และเริ่มฝึกเดินช้าๆ ภายในบ้าน“ข้ารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง” เขาพูดขึ้นในวันหนึ่ง ขณะลองเดินเองเป็นครั้งแรก“นี่เป็นเพราะลูกสาวของท่าน ท่านต้องขอบคุณฉิงอันให้มาก” หลินอ้ายกล่าวพลางมองดูสามีที่ค่อยๆ ฟื้นคืนความแข็งแรงจูฉางหยูหันไปมองจูฉิงอันที่ยืนอยู่ไม่ไกลนัก นางเพียงยิ้มและตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน“นี่เป็นสิ่งที่ลูกควรทำอยู่แล้วเจ้าค่ะ ท่านพ่อพักผ่อนมากๆ ก่อนเถิด ยังมีอีกหลายสิ่งที่ข้าอยากให้ท่านช่วยข้าในอนาคต”อาการของจูฉางหยูที่ดีขึ้นทำให้ทุกคนในบ้านรองมีกำลังใจมากขึ้น แม้พวกเขายังคงต้องระมัดระวังและอดทนกับการกดขี่จากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่ แต่ก็เริ่มเห็นแสงสว่างที่ปลายทางจูฉิงอันรู้ดีว่า การฟื้นตัวของบิดาคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิตของพวกเขา“ท่านพ่
หลังจากแม่เฒ่าจูกับจูฉางไห่กลับไปพร้อมถุงอาหารและเงินที่พวกเขารีดไถมาได้ หลินอ้ายรีบคว้าลูกชายทั้งสองเข้ามาในบ้าน นางปิดประตูแน่นหนาอย่างระแวดระวัง ก่อนจะเลื่อนกลอนประตูเพื่อให้มั่นใจว่าจะไม่มีใครบุกเข้ามาอีก“ท่านแม่ ท่านเจ็บตรงไหนหรือเปล่า?” จูฉิงหยางรีบถามพลางประคองแขนแม่อย่างเป็นห่วง หลินอ้ายส่ายหน้าและลูบศีรษะลูกชายเบาๆ แต่แววตาของนางยังคงเต็มไปด้วยความวิตก“แม่ไม่เป็นไรหรอก แต่พวกเจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี” นางกล่าว ก่อนจะมองไปยังจูฉิงเฉิง ผู้ที่เพิ่งลุกขึ้นมาจากพื้นหลังจากถูกผลักล้มเมื่อครู่“ข้าไม่เป็นไรขอรับท่านแม่” จูฉิงเฉิงตอบอย่างกล้าหาญ แม้สีหน้าและท่าทางของเขาจะยังเจ็บปวดอยู่จูฉิงอันเดินออกมาจากห้องของบิดา หลังจากดูแลอาการของเขาจนมั่นใจว่าไม่มีสิ่งใดน่ากังวลในตอนนี้ นางเรียกทุกคนมารวมตัวในห้องพ่อ พลางปิดประตูห้องไว้เพื่อไม่ให้เสียงเล็ดลอดออกไปจูฉิงอันนั่งลงบนพื้นข้างเตียงของพ่อ
หลายวันผ่านไป แม่เฒ่าจูยังคงเดินเทียวไปมาระหว่างเรือนหลักและบ้านรองเพื่อสอดส่อง แต่ทุกครั้งที่นางมองเห็นหลินอ้ายและลูกๆ ที่ดูซูบเซียวกว่าเดิม นางก็ยิ่งโมโหจนแทบขบฟันแตก นางไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนพวกนี้ถึงไม่ยอมตายไปเสียให้สิ้นเรื่องสิ้นราว และยิ่งคิดถึงจูไฮ่เฟิง หลานชายคนโตที่นางรักดั่งดวงใจ ซึ่งต้องหยุดเรียนเพราะไม่มีเงินส่งให้ในช่วงเดือนที่ผ่านมา นางยิ่งรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังโถมทับร่างกายของนาง“เฮอะ! แค่คนพวกนี้ตายไป ข้าก็คงได้หายใจสะดวกขึ้น” แม่เฒ่าจูพึมพำพลางปัดมือที่เต็มไปด้วยฝุ่นจากการกวาดลานบ้านในเย็นวันหนึ่ง ขณะที่จูฉางไห่กลับมาจากทำงานที่โรงเตี๊ยมด้วยสีหน้าเหนื่อยล้า เขานั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับถอนหายใจหนักหน่วง“ท่านแม่ ข้าว่ามันไม่ไหวแล้ว” เขาเริ่มพูดขณะยกถ้วยน้ำชาขึ้นจิบ“พวกมันทำให้บ้านรองดูเป็นเหมือนรังโรค นี่ข้าเองยังต้องอดทนทำงานทั้งวัน กลับมาบ้านยังต้องมากลัวว่าจะติดโรคระบาดจากพวกมันอีก!”
จูฉางหยูรู้สึกถึงมือเล็ก ๆ ของลูกสาวที่วางลงบนแขนเขาเบา ๆ นางไม่พูดอะไร แต่ความอบอุ่นที่ส่งผ่านมานั้นทำให้เขาพอจะบรรเทาความเจ็บปวดในใจได้บ้าง“ท่านพ่อ...” จูฉิงอันกระซิบ“ท่านไม่ได้ไร้ค่า ท่านยังมีข้ากับท่านแม่และน้อง ๆ พวกเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน”คำพูดของจูฉิงอันทำให้จูฉางหยูนิ่งไป ก่อนที่เขาจะค่อย ๆ พยักหน้า แม้ในใจยังเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ลึก ๆ แล้วเขารู้สึกถึงพลังใจที่ลูกสาวพยายามส่งมอบให้เขาผู้ใหญ่บ้านมองแม่เฒ่าจูด้วยสายตาเรียบนิ่ง“แม่เฒ่าจู ท่านพูดออกมาได้เช่นนี้ ท่านได้ตรวจสอบแล้วหรือว่าบ้านรองเป็นโรคระบาดจริง ๆ หรือไม่?”แม่เฒ่าจูยกมือขึ้นเท้าสะเอว“ข้าไม่จำเป็นต้องตรวจสอบอะไรทั้งนั้น! ข้าเห็นมากับตาว่ามันอาการแย่กันขนาดไหน ยังจะต้องการหลักฐานอะไรอีกหรือ?”คำพูด
เมื่อเห็นแผ่นหลังแม่เฒ่าจูสะบัดจากไปและได้ยินคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติและความโกรธของนาง จูฉางหยูที่เงียบมาตลอดสูดลมหายใจเข้าลึก เขาเริ่มรู้สึกว่าอดทนต่อไปก็ไม่มีประโยชน์ใดอีกแล้ว ร่างผอมซูบยืดตัวขึ้นช้า ๆ แม้จะยังไม่หายดีเต็มที่ แต่ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยแววตาแน่วแน่“ท่านแม่! ท่านฟังข้าดี ๆ” เสียงของจูฉางหยูดังก้องไปทั่วบริเวณ ทุกสายตาหันมามองเขาอย่างตกตะลึงแม่เฒ่าจูหยุดเดิน หันกลับมาด้วยความไม่พอใจ“เจ้ามีอะไรอีก? อยากพูดแก้ตัวอะไรรึ?”จูฉางหยูมองตรงไปยังมารดาของตน เขาพูดด้วยน้ำเสียงชัดเจนและหนักแน่น“ข้าจะขอแยกบ้าน! ข้าไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลจูอีกต่อไป!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งผู้ใหญ่บ้านและชาวบ้านที่มุงดูอยู่ตกตะลึงกันถ้วนหน้า เสียงกระซิบกระซาบดังขึ้นทันที“แยกบ้าน? เขาพูดจริงหรือ?”“นี่เป็นเรื่องใหญ่นะ!”“แต่จะว่าไป ถ้าเขาแยกออกไป ก็น่าจะดีกว่าถูก
ผู้ใหญ่บ้านถอนหายใจยาว ดวงตาฝ้าฟางของเขามองตรงไปยังแม่เฒ่าจูด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความจริงจัง“ถ้าอย่างนั้น ข้าขอบอกให้ชัดเจนเลย จูฉางหยูไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ของเจ้า ทรัพย์สินบางอย่างที่ติดตัวเขามาตั้งแต่เด็ก เช่น หยกพกนั่น เจ้าไม่มีสิทธิ์เก็บไว้ มันต้องคืนให้เขา!”คำพูดนี้ทำให้ทั้งลานบ้านตกอยู่ในความเงียบงัน ทุกคนที่ได้ยินต่างเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ขณะที่แม่เฒ่าจูถึงกับหน้าซีด แต่เพียงเสี้ยววินาที ความโกรธก็พุ่งขึ้นมาแทนที่“หยกพกนั่นเป็นของข้า! ข้าเลี้ยงดูมันมาทั้งชีวิต ข้าจะเก็บไว้! ใครก็เอาไปไม่ได้!”นางตะโกนเสียงแหลม มือสองข้างกำชายเสื้อแน่นราวกับจะปกป้องสมบัตินั้นด้วยชีวิต“แม่เฒ่าจู” ผู้ใหญ่บ้านพูดเสียงเข้ม“ถ้าเจ้ายังดื้อดึง ข้าจะส่งเรื่องนี้ไปถึงทางการ เจ้าอยากถูกลงโทษเพราะยักยอกทรัพย์สินส่วนตัวของจูฉางหยูหรือ?”
หลังผ่านงานหมั้นของหลินฉิงอันไป ชาวบ้านในหมู่บ้านที่เข้าไปในเมืองก็กระจายข่าวดีนี้ให้ญาติมิตรที่เข้ามาซื้อสิ่งของกันในช่วงหน้าหนาวฟังกัน กระทั่งข่าวแพร่ไปถึงเจ้าเมืองเติ้ง เขายังไม่ได้นำของขวัญไปอวยพรปีใหม่เหิงอันโหวเลย พอได้ยินข่าวว่าหลินฉิงอันขุนนางขั้นสี่ได้หมั้นหมายกับแม่ทัพเหิงซึ่งเป็นหลานชายคนเดียวของเหิงอันโหวก็ยิ่งอยากไปเยี่ยมเยียนพวกเขาที่บ้านฮูหยินของเจ้าเมืองเติ้งเองก็อยากสร้างสัมพันธ์กับครอบครัวหลินเช่นกัน นางคิดว่าหากทั้งสองครอบครัวสนิทสนมกันแล้ว สามีของนางคงได้รับประโยชน์บ้างไม่มากก็น้อย“ท่านพี่ หรือเราจะเตรียมของขวัญไปมอบให้ท่านโหวกับครอบครัวหลินดีเจ้าคะ”“ความคิดเจ้าไม่เลว เช่นนั้นก็สั่งพ่อบ้านหาสิ่งของมีค่าไปมอบให้พวกเขาวันพรุ่งนี้กันดีหรือไม่ เจ้าเองก็ช่วยสานสัมพันธ์กับฮูหยินหลินแทนข้าด้วยก็แล้วกันนะ”“ได้เจ้าค่ะ ข้าเองก็อยากรู้จักนางเช่นกัน ข้าอยากรู้ว่าเหตุใดลูก ๆ ของนางจึงต่างมีความสามารถกันมากตั้งแต่
ชาวบ้านที่ให้ผู้อาวุโสของตนมาทาบทามหลินฉิงอันเป็นต้องหน้าเสียไปตาม ๆ กัน เมื่อเหิงอันโหวเอ่ยปากขอหมั้นด้วยตัวเอง พวกเขามีหรือจะกล้าต่อกรกับคนใหญ่คนโตเช่นนี้ ถึงแม้จะเสียดายการหมั้นหมายครั้งนี้มากก็ตาม แต่พวกเขาก็ยังต้องเจียมเนื้อเจียมตัวอย่างที่เหิงอันโหวบอกก่อนหน้านี้ว่าหลินฉิงอันเป็นถึงขุนนางขั้นสี่ พวกเขาที่เป็นชาวบ้านคงไม่อาจเอื้อมหมายเด็ดดอกฟ้ากันได้อีกไม่นานนักรถม้าทั้งสิบคันของจวนโหวก็มาจอดเรียงรายกันที่ด้านข้างลานหน้าเรือนหลัก จากนั้นองครักษ์และบ่าวของจวนโหวทยอยยกหีบใบใหญ่หลายหีบลงมาจากรถม้า ชาวบ้านต่างมองหีบทั้งหลายตาโต พวกเขาไม่คิดมาก่อนว่าเหิงอันโหวจะเตรียมการเกี่ยวกับของหมั้นมามากมายถึงเพียงนี้ ยิ่งคิดพวกเขาก็ยิ่งละอายใจที่หาญกล้าไปขอหลินฉิงอันหมั้นหมายก่อนหน้านี้พ่อบ้านใหญ่เห็นพวกเขาวางหีบเรียงรายกันอย่างเป็นระเบียบ เขาก็สั่งให้คนเปิดหีบทีละใบเพื่ออ่านรายการของหมั้นที่ยาวเป็นหางว่าวเพราะมีหีบทั้งหมดถึงหนึ่งร้อยแปดใบตามเลขมงคลครอบครัวหลินตอนนี้อ้าปากค้างกันไปหมดเมื่
พ่อบ้านใหญ่เห็นว่าทุกคนเตรียมตัวพร้อมสำหรับเริ่มพิธีการปักปิ่นแล้ว เขาเริ่มเอ่ยลำดับขั้นตอนการทำพิธีตั้งแต่เริ่มต้นทันที“ขอเชิญขุนนางขั้นสี่หลินฉิงอัน เข้าประจำตำแหน่งเพื่อเริ่มพิธีการขอรับ”หลินฉิงอันพยักหน้ายิ้มรับคำพ่อบ้านใหญ่ ก่อนที่นางจะเดินไปยังตำแหน่งประธานของงานในวันนี้ซึ่งอยู่หน้าห้องโถงเรือนหลัก บรรดาชาวบ้านที่นั่งกันอยู่ที่โต๊ะตรงลานหน้าบ้านล้วนมองเห็นพิธีการกันอย่างทั่วถึง“ขอเชิญท่านเหิงอันโหวสวมเสื้อคลุมให้คุณหนูหลินขอรับ”เมื่อประโยคนี้สิ้นสุดลง เหล่าชาวบ้านต่างฮือฮากันขึ้นมาทันที พวกเขาไม่รู้ว่าตำแหน่งโหวนี้ยิ่งใหญ่เพียงใด แต่จากเสื้อผ้าอาภรณ์ของเหิงอันโหวแล้ว พวกเขาก็คิดว่าจะต้องไม่ใช่ขุนนางธรรมดาเป็นแน่หลินฉางหยู หลินอ้าย หลินฉิงเฉิงและหลินฉิงหยางเองก็ตกใจไม่น้อย พวกเขาไม่รู้มาก่อนว่าอาจารย์ปู่จะเป็นถึงท่านโหวของแคว้นเลยทีเดียว ส่วนหลินฉิงอันนั้นนางเดาได้มานานแล้วว่าท่านปู่ผู้นี้จะต
งานเลี้ยงปีใหม่ผ่านไปอย่างสนุกสนาน ยิ่งกับการกินหมูกระทะในครั้งนี้นั้นทำให้ทุกคนต่างติดอกติดใจ หลินฉิงอันจึงมอบเตาและกระทะให้กับบ่าวและครอบครัวท่านลุงของนางเป็นของขวัญด้วยก่อนงานเลี้ยงจะสิ้นสุดลง หลินฉิงอันก็นำหยกพกมอบให้กับบ่าวทั้งหมดรวมทั้งคนในครอบครัวของนางเอง ส่วนของบ้านท่านลุงนั้นนางไม่ได้ทำให้ เพราะนางอยากให้พวกเขาออกแบบลวดลายบนหยกด้วยตนเอง หลินฉิงอันยังมอบเงินให้ครอบครัวท่านลุง 500 ตำลึงเพื่อนำไปทำหยกพกเช่นกัน คราแรกท่านลุงของนางไม่ยอมรับเงินจำนวนนี้ แต่ด้วยเหตุผลและการคะยั้นคะยอของคนในครอบครัวทำให้เขาต้องยิ้มรับมาอย่างจนใจ เขายังสัญญากับครอบครัวน้องสาวด้วยว่าจะนำเงินนี้ไปใช้จ่ายตามที่หลานสาวของเขาต้องการเหิงอันโหวกับคนในจวนโหวที่มาต่างยอมรับนับถือในความใจกว้างของครอบครัวหลินฉิงอัน น้อยนักที่พวกเขาจะเห็นครอบครัวชาวบ้านยอมจ่ายเงินจำนวนมากออกไปอย่างไม่เสียดายเช่นนี้ ยิ่งพ่อบ้านคนสนิทของเหิงอันโหวที่มาเพราะอยากเห็นหน้าว่าที่หลานสะใภ้ของท่านโหวด้วยแล้ว เขาก็ยิ่งยอมรับในความมีน้ำใจของครอบครัวว่าที่นายหญิ
ก่อนเที่ยงวัน หวังไห่ หลี่หมิง เหมยลี่และอิงฮวาก็เดินทางมาถึงเรือนหลัก พวกเขารีบเข้าไปคารวะเหล่านายท่านที่กำลังรออยู่“คาราวะนายท่าน นายหญิง คุณหนูใหญ่ขอรับ/เจ้าค่ะ”“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ก่อนมาที่นี่ พวกเจ้าปิดร้านกันดีแล้วหรือยัง”“เรียบร้อยดีขอรับคุณหนูใหญ่ นี่เป็นสมุดบัญชีทั้งสองเล่ม ข้าน้อยนำมาให้ท่านตรวจสอบด้วยขอรับ”หลินฉิงอันยื่นมือไปรับสมุดบัญชีทั้งสองเล่มมาวางเอาไว้ที่โต๊ะด้านข้าง ก่อนจะบอกให้พวกเขานำสัมภาระไปเก็บที่เรือนพักในที่ดินอีกฝั่งหนึ่ง เพราะที่นั่นยังมีเรือนพักว่างอีกมากนักหวังไห่กับคนอื่น ๆ ขอตัวลาเหล่านายท่านก่อนจะออกไปขับรถม้าไปยังที่ดินอีกฝั่งหนึ่งเพื่อเก็บข้าวของที่นำมาด้วย โดยมีโจวซานทำหน้าที่พ่อบ้านเดินตามรถม้าของพวกเขาไปยังเรือนพักตั้งแต่เริ่มเข้าสู่หน้าหนาวเต็มตัว บ้านหลินก็หยุดการรับซื้อผลไม้ทั้งหมดและให้บ่าวช่วยกันแช่อิ่มผลไม้ที่เหลื
หลังจากองครักษ์ทั้งแปดนำสิ่งของต่าง ๆ ที่หลินฉิงอันสั่งคนจัดเตรียมเอาไว้ขึ้นเกวียนครบแล้ว พวกเขาก็ใช้ม้าหกตัวในการลากเกวียน ส่วนม้าอีกสองตัวนั้นวิ่งขนาบข้างคอยคุ้มกันสิ่งของบนเกวียนใหญ่ก่อนที่ขบวนขององครักษ์จิงหยานจะออกเดินทาง เหิงอันโหวได้ฝากจดหมายให้พวกเขานำไปส่งหลานชายด้วย หลินฉิงอันเองก็ฝากจดหมายไปเช่นกัน นางยังแนบแบบเกือกม้าและอานทั้งหมดให้ไปด้วย เพราะนางเห็นว่าสิ่งของพวกนี้น่าจะเป็นประโยชน์กับกองทัพของเหิงจิ้งกั๋ว“พวกเจ้าออกเดินทางได้แล้ว ประเดี๋ยวหิมะจะตกลงมาเสียก่อน”“ขอรับนายท่านผู้เฒ่า” องครักษ์ทั้งแปดรีบรับคำเหิงอันโหว“ขอให้พวกพี่ชายเดินทางปลอดภัยเจ้าค่ะ อย่าลืมว่าถ้าหิมะตกให้เปลี่ยนล้อเป็นแบบลากเลื่อนด้วยนะเจ้าคะ จะได้เดินทางสะดวก”“ขอรับคุณหนูหลิน ขอบคุณสำหรับเสบียงระหว่างเดินทางด้วยขอรับ”เหิงอันโหวกลัวว่าพวกเขาจะออกเดินทางสายไปมากกว่
อีกสองสัปดาห์จะเข้าหน้าหนาวอย่างเต็มตัวแล้ว หลินฉิงอันนึกถึงอากาศที่หนาวเย็นในปีที่แล้วขึ้นมา นางจึงคิดที่จะสร้างเกือกม้าและอานม้า รวมทั้งชุดม้า ลา สำหรับให้พวกมันใส่เพื่อป้องกันความหนาวเย็นด้วยหลินฉิงอันใช้เวลาว่างถึงสามวันวาดแบบออกมาเท่าที่นางจำได้ จากนั้นจึงนำแบบไปปรึกษากับเฉียนซื่อและเฉินกังก่อนให้พวกเขานำเงินไปสั่งทำที่ร้านตีเหล็กในเมือง นางไม่รู้ว่าราคาจะแพงมากหรือไม่จึงให้เงินพวกเขาไป 100 ตำลึงเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนหนังสัตว์ที่นางต้องการนำมาให้ท่านแม่กับพี่สาวหลิงฟางเย็บให้นั้นก็สั่งให้พวกเขาซื้อมาด้วยจำนวนมาก นางให้เงินพวกเขาไปอีก 100 ตำลึงเช่นกันจะได้ไม่เสียเวลากลับมานำเงินไปซื้อของหลายครั้งหลินอ้ายไม่ได้ทักท้วงอะไรที่เห็นหลินฉิงอันใช้เงินจำนวนมากในครั้งนี้ นางรู้ดีว่าบุตรสาวทำสิ่งใดก็ล้วนแล้วแต่เพื่อประโยชน์ของคนในบ้านทั้งนั้น เรื่องชุดในบ้านที่นางเองจะมอบให้บ่าวรับใช้ก็เสร็จครบทั้งหมดแล้ว หลินอ้ายนึกถึงเสื้อคลุมกันหนาวขึ้นมาได้ นางจึงคิดจะส่งโจวซานไปสอบถามราคาที่ร้านค้าดูก่อน หากราคาแพงเกินไป นางค
สองวันต่อมา หลินฉิงอันเข้าเมืองกับชุนจินเพื่อไปรับหยกพกที่นางสั่งทำไว้ก่อนหน้านี้ หลินฉิงอันจ่ายเงินที่เหลือก่อนจะรับหยกพกมาตรวจสอบดู รูปแบบหยกที่สลักออกมาทำได้อย่างสวยงามตามที่นางวาดภาพเอาไว้ให้ช่างแกะสลัก ซึ่งหลินฉิงอันให้ช่างแกะสลักเป็นรูปผลไม้ต่าง ๆ รอบตัวหยก ตรงกลางมีคำว่า “林” สลักเอาไว้อย่างสวยงาม หยกพกของบ่าวทั้งหมดเหมือนกัน ส่วนหยกพกอีกห้าอันสำหรับคนในครอบครัวนั้น หลินฉิงอันใช้รูปเมฆมงคลและศาลากลางน้ำหลังเล็กโดยตรงกลางสลักคำว่า “หลิน” เช่นกัน เพิ่มเติมเพียงด้านหลังจะมีชื่อเจ้าของหยกแต่ละอันสลักเอาไว้ สีของหยกยังเป็นหยกมันแพะสีขาวนวล แตกต่างจากสีหยกของบ่าวในเรือนที่เป็นหยกสีเขียวธรรมดาหลังจากรับของมาทั้งหมดแล้ว หลินฉิงอันนำถุงหยกทั้งสองถุงเก็บเอาไว้ในรถม้าอย่างดี ก่อนที่นางจะไปยังร้านขายของชำเพื่อซื้อเครื่องปรุงรสเพิ่มเติม รวมทั้งข้าวสาร อาหารแห้ง ถั่วเขียว ถั่วเหลืองเพิ่มด้วย ถึงแม้เมื่อวานทางร้านจะนำไปส่งที่บ้านนางจำนวนมาก แต่หลินฉิงอันก็ยังคงเผื่อเหลือเอาไว้อีกนิดหน่อย นางรู้ดีว่าการเ
คืนนั้นหลินฉิงอันใช้เวลาครึ่งค่อนคืนเพื่อเขียนรายการสิ่งของจำเป็น เสบียงอาหารที่จะต้องซื้อในปีนี้ให้พอเพียงกับคนจำนวนมากที่เพิ่มขึ้นในครอบครัว นางคิดด้วยว่าปีที่แล้วนางชวนครอบครัวกินหม้อไฟไปแล้ว ปีนี้นางอยากให้พวกเขาได้ลองกินหมูกระทะดูบ้าง หลินฉิงอันจึงร่างแบบหม้อสำหรับทำหมูกระทะตามความทรงจำในภพก่อนออกมา ด้วยคนจำนวนมากในบ้าน หลินฉิงอันคิดจะสั่งทำหม้อสัก 50 ใบเผื่อเอาไว้ก่อน ส่วนเตานั้นนางก็จะต้องซื้อเพิ่มมาด้วยเพื่อให้พอเพียงสำหรับวางหม้อหมูกระทะที่นางต้องการหลังอาหารเช้าวันต่อมา หลินฉิงอันอ่านรายการสิ่งของจำเป็นต่าง ๆ พร้อมกับเสบียงอาหารจำนวนมากให้หลินอ้ายและหลินฉางหยูฟังเป็นเวลานาน หลินอ้ายและหลินฉางหยูยังบอกรายการสิ่งของเพิ่มเติมสำหรับการนำมาเป็นเสบียงอาหารในปีนี้ด้วย พวกเขาคิดว่าคนจำนวนมากจะต้องได้กินอิ่มนอนหลับในขณะที่อยู่ร่วมกันกับพวกเขาที่หมู่บ้านหลินฉิงอันไม่ได้ปฏิเสธรายการต่าง ๆ ที่พ่อและแม่นางเสนอ หลินฉิงอันทำเพียงแค่เพิ่มรายการต่าง ๆ เข้าไปในกระดาษเท่านั้น“ลูกค