หลังจากน้องชายคนโตออกจากห้องไป จูฉิงอันได้ยินเสียงคุยของแม่และน้องชายคนรองกำลังกังวลเรื่องอาการป่วยของนาง
“ท่านแม่ เราจะทำยังไงกันดีเล่าขอรับ ฮึก.. ท่านพ่อยังไม่กลับจากล่าสัตว์ตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว เราจะหาเงินที่ไหนช่วยพี่ใหญ่ขอรับ ฮือ..”
“โธ่ ลูกรัก อาหยางอย่าร้องไห้ลูก เดี๋ยวแม่จะเอาผ้าชุบน้ำอุ่นคอยเช็ดตัวให้พี่สาวเจ้าก่อน เมื่อครู่อาเฉิงบอกแล้วว่าพี่สาวเจ้ารู้สึกตัวแล้ว หากนางได้กินข้าวต้มร้อน ๆ กับเช็ดตัวลดไข้สักหน่อยอาการน่าจะดีขึ้น เจ้าไปช่วยอาเฉิงป้อนข้าวพี่ใหญ่ก่อนเถอะ แม่จะไปเตรียมน้ำร้อน”
“ฮึก.. ขอรับท่านแม่”
จูฉิงหยางปาดน้ำตาที่ไหลรินออกก่อนจะเดินไปหาพี่ชายในห้องครัว หลินอ้ายมองตามหลังลูกชายคนรองทั้งน้ำตา ใช่ว่านางจะไม่ห่วงลูกสาว เพียงแต่นางไม่สามารถทำสิ่งใดรุนแรงกับแม่สามีได้ เพราะสามีของนางเป็นคนกตัญญูมากเกินไปจนเขาไม่กล้าว่ากล่าวครอบครัวตัวเอง ทั้งที่นางกับลูกถูกรังแกมาตลอด เขากลับทำเพียงปลอบโยนพวกนางและทำงานหนักมากขึ้นเท่านั้น โดยที่พวกนางไม่เคยได้แตะต้องเงินที่สามีหามาเลยแม้แต่น้อย อาหารการกินก็เป็นพวกนางช่วยกันหาของป่าบนเขาไปแลกกับชาวบ้านมาตลอด เขายังทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นจนลูกสาวนางต้องป่วยหนักถึงขนาดนี้ ครั้งนี้หากสามีกลับมา หลินอ้ายคิดที่จะคุยกับเขาให้รู้เรื่องว่าต่อไปจะทำอย่างไรในเมื่อลูก ๆ นางก็เติบโตขึ้นทุกวัน อาหารการกินตอนนี้แทบไม่พอให้ทั้งห้าคนประทังชีวิต
หลินอ้ายทอดถอนหายใจก่อนจะเดินออกไปหาฟืนที่เก็บเอาไว้ด้านหลังบ้านดินผสมฟางหลังเก่าซึ่งสามีนางลงมือสร้างด้วยตัวเอง นางไม่คิดมาก่อนว่าหลังแต่งงานจะต้องมาอยู่ในที่ซอมซ่อเช่นนี้ ทั้งที่แม่สามี พี่ใหญ่และพี่สะใภ้ของนางต่างได้นอนในบ้านไม้หลังใหญ่ เงินทั้งหมดก็มาจากน้ำพักน้ำแรงสามีของนาง เรื่องนี้มีชาวบ้านเล่าให้นางฟังเองว่าสามีนางทำงานตั้งแต่จำความได้ เขาไม่เคยมีเงินเก็บมาก่อนนอกจากตอนที่ต้องการขอนางแต่งงาน เขาแอบเก็บเงินส่วนตัวเอาไว้จนแม่เฒ่าจูโกรธมาก จนใจที่จูฉางหยูถึงวัยออกเรือน แม่เฒ่าจูจึงไม่อาจยึดเงินก้อนนั้นกลับมาได้ตามที่นางต้องการ ขนาดคนที่ไปสู่ขอนางยังเป็นผู้ใหญ่บ้านแทนที่จะเป็นแม่สามี หากตอนนั้นครอบครัวนางไม่ลำบากล่ะก็ นางคงไม่ตกลงแต่งงานกับเขาแน่
ระหว่างที่หลินอ้ายกำลังเก็บฟืนไปเติมไฟในห้องครัว จูฉางหยูก็กลับจากไปล่าสัตว์เมื่อคืนนี้พอดี เขารีบเข้าไปช่วยภรรยาเพราะรู้ว่านางร่างกายอ่อนแอหลังจากคลอดลูกชายฝาแฝดให้เขาเมื่อหลายปีก่อน
“ภรรยา เจ้าไม่ต้องยกของพวกนี้ ให้พี่จัดการเอง เจ้าไปรอที่ห้องครัวเถิด”
“ฮึก.. ท่านพี่ วันนี้ข้าไปขอเงินท่านแม่เพื่อจะพาฉิงอันไปหาหมอ แต่นางกลับไม่ให้แถมยังทุบตีข้ากับลูก ๆ จนสะบักสะบอมไปหมด ข้าขอถามท่าน ท่านยังรักข้ากับลูก ๆ อยู่หรือไม่เจ้าคะ ฮือ…”
จูฉางหยูพอได้ยินเสียงร้องไห้พร้อมกับประโยคตัดพ้อของภรรยาเข้าก็ได้แต่รีบวางฟืนลงแล้วเข้าไปกอดภรรยา เขาคิดไม่ถึงว่าท่านแม่จะใจร้ายกับครอบครัวเขามากถึงขนาดนี้ หลังจากกอดปลอบหลินอ้ายไม่นาน จูฉางหยูจึงตอบกลับภรรยาไปตามความรู้สึกของเขา
“เหตุใดข้าจะไม่รักพวกเจ้าเล่า เจ้าอย่าร้องไห้อีกเลยนะภรรยา วันนี้ข้าจะไม่มอบเงินให้ท่านแม่ ตกลงหรือไม่? ข้าจะให้เจ้าเก็บเงินพาลูกไปหาหมอนะ”
“ท่านพี่พูดจริงหรือเจ้าคะ?”
“จริงสิ ข้าจะโกหกเจ้าทำไมกันเล่า เอาล่ะ ๆ เจ้าเลิกร้องไห้ได้แล้ว”
หลินอ้ายปาดน้ำตาออกก่อนจะพยักหน้ารับคำสามี จูฉางหยูเห็นนางหยุดร้องไห้แล้วจึงรีบเก็บท่อนฟืนขึ้นมาใหม่และเดินนำนางเข้าไปยังห้องครัว หลังวางท่อนฟืนใส่ในเตาให้นางแล้ว จูฉางหยูส่งเงิน 100 อีแปะจากการขายสัตว์ป่าให้กับนางเก็บเอาไว้
หลินอ้ายรับเงินมาเก็บเอาไว้ในอกเสื้ออย่างดี พรุ่งนี้นางจะหายืมรถเข็นพาลูกสาวไปบ้านท่านหมอในหมู่บ้าน ไม่เช่นนั้นนางคงไม่มีกะจิตกะใจขึ้นเขาไปหาของป่ามาแลกอาหารกับชาวบ้านแน่ จูฉางหยูเห็นภรรยาเก็บเงินเอาไว้อย่างดีก็ได้แต่ถอนหายใจ เขาไม่คิดเลยว่าเงินทั้งหมดที่หามาได้ ท่านแม่จะไม่ยอมให้ครอบครัวเขาแม้แต่อีแปะเดียว ใช่ว่าเขาจะไม่รู้จากชาวบ้านว่าภรรยากับลูก ๆ ต้องขึ้นเขาไปหาของป่ามาแลกอาหาร เพียงแต่เขาไม่รู้จะพูดกับท่านแม่อย่างไรเพื่อขอเงินคืน ตั้งแต่จำความได้ เขาก็ทำงานหาเงินมาเลี้ยงครอบครัว พี่ใหญ่ของเขาไม่เคยให้เงินท่านแม่แม้แต่อีแปะเดียว ทั้งที่พี่ใหญ่ทำงานเป็นเสี่ยวเอ้อในโรงเตี๊ยมใหญ่ในอำเภอแท้ ๆ ส่วนน้องสาวของเขาก็ชอบกลับมาขโมยเสบียงอาหารของท่านแม่มาตลอดหลายปี แต่ท่านแม่กลับตบตีภรรยาเขาและหาว่าเป็นขโมยแทนเสียนี่ กว่าที่เขาจะรู้เรื่องก็มักจะเป็นหลังกลับจากการล่าสัตว์ เขาไม่เข้าใจว่าเหตุใดท่านแม่จึงได้ทำเช่นนี้ ทั้งที่เขาเองก็เป็นลูกชายนางเช่นเดียวกับพี่ใหญ่และน้องสาว ตอนนี้เขาชักจะสงสัยแล้วว่าตนเองเป็นลูกของนางจริงหรือไม่ เพราะหน้าตาและผิวพรรณของเขาต่างจากทั้งคู่ราวฟ้ากับเหว
ขณะที่จูฉางหยูกำลังครุ่นคิดอยู่นั้น เสียงไอในห้องทำให้เขาต้องรีบตั้งสติก่อนจะเดินเร็ว ๆ เข้าไปดูลูกสาวที่กำลังป่วยหนัก
“พี่ใหญ่!!! ท่านเป็นอะไรมากหรือไม่ขอรับ อย่าทำให้ข้าตกใจสิขอรับ”
“แค่ก ๆ ข้า.. ไม่เป็นอะไร แฮ่ก..” จูฉิงอันพูดอย่างเหนื่อยหอบ
นางเพียงแค่กินข้าวต้มซึ่งเต็มไปด้วยน้ำมากกว่าเม็ดข้าวได้ไม่กี่คำ อาการไอจากพิษไข้ก็กำเริบขึ้นมาเสียแล้ว
“ฉิงอัน! เป็นยังไงบ้างลูก มาให้พ่อดูเจ้าก่อน”
จูฉิงเฉิงกับจูฉิงหยางรีบหลบทางให้ท่านพ่อเข้าไปดูพี่สาวพวกเขาบนเตียง จูฉางหยูวางมือบนหน้าผากของนางก็พบว่าลูกสาวของเขาตัวร้อนมากจนมือแทบไหม้ หากเขามาช้ากว่านี้ล่ะก็ ลูกสาวของเขาคงตายแน่แล้ว
“พวกเจ้าไปตามท่านแม่ก่อน พ่อจะอุ้มพี่สาวเจ้าไปบ้านท่านหมอ”
พูดจบจูฉางหยูก็ไม่รอคำตอบจากลูกชาย เขากลัวว่าถ้าช้าไปกว่านี้อาจเกิดเรื่องไม่ดีกับลูกสาวของเขาขึ้นจริง ๆ จูฉางหยูอุ้มจูฉิงอันที่ตัวเบาราวกับนุ่นวิ่งออกจากกระท่อมซอมซ่อไปอย่างรวดเร็ว ระหว่างทางเขาเอาแต่เรียกไม่ให้จูฉิงอันหลับไปอีกครั้งก่อนถึงมือหมอ เพราะเขากลัวว่าหากลูกสาวหลับไปแล้วจะไม่ตื่นขึ้นมาพบเขากับทุกคนอีก
ก่อนจูฉางหยูจะพาจูฉิงอันไปถึงบ้านหมอชรา แม่เฒ่าจูที่นั่งนินทาชาวบ้านกับบรรดาแม่เฒ่าบ้านอื่นเห็นเขาเข้าพอดี นางรีบหยิบไม้เท้าแล้วเดินไปขวางทางเขาพร้อมกับด่าทอเสียงดัง
“เจ้าลูกบ้า!!! นี่เจ้าจะพานังตัวขาดทุนไปไหนอีก เหตุใดกลับมาจากล่าสัตว์แล้วไม่นำเงินมาให้ข้า เอาเงินที่เจ้าขายสัตว์ป่าออกมาให้ข้าเดี๋ยวนี้นะ!”
“ท่านแม่ ข้าจะพาลูกไปหาหมอ เงินล่าสัตว์ข้าไม่มีหรอกขอรับ ท่านแม่โปรดอย่าขวางทาง!”
คราวนี้จูฉางหยูไม่ยอมแม่ของเขาอีกแล้ว ในเมื่ออาการของจูฉิงอันจำเป็นต้องพบหมอเป็นการด่วน
“บังอาจนัก! ข้าเป็นแม่ของเจ้านะ เจ้ากล้าขัดคำสั่งข้าหรือ? ข้าจะตีเจ้ากับนังตัวขาดทุนนี่ให้ตาย นี่แน่ะ ๆ”
เพี๊ยะ! ปั่ก!
จูฉางหยูได้แต่เอาร่างที่สูงใหญ่บังลูกสาวเอาไว้ ก่อนที่หลินอ้ายกับลูกชายของเขาจะมาถึงพอดี เขาจึงบอกภรรยาให้วิ่งไปบอกท่านหมอไว้ก่อน เขาจะพาลูกตามไปทีหลัง
“เพ้ย! พวกเจ้าคิดว่าข้าเป็นหัวหลักหัวตอหรืออย่างไร ข้าบอกว่าไม่ให้พามันไปหาหมอ เจ้าหูหนวกหรือ?”
“ท่านแม่!!! ท่านทำเกินไปแล้วนะขอรับ ลูกสาวข้าป่วยหนักขนาดนี้ เงินทั้งหมดที่ข้าทำงานมาเหตุใดท่านไม่เอาให้ภรรยาข้าพาลูกไปหาหมอเล่า ถ้าข้ามาไม่ทันแล้วลูกสาวข้าเป็นอะไรไปจะทำเช่นไร”
“บ๊ะ! นี่เจ้ากล้าขึ้นเสียงใส่ข้าหรือ? ลูกเจ้าป่วยตายแล้วอย่างไร? นางเป็นแค่ตัวขาดทุนของบ้าน จะดูแลอะไรดีนักหนา”
“เหตุใดท่านแม่จึงได้ใจร้ายยิ่งนัก? ตอนนี้ข้าไม่มีเวลามาเถียงกับท่าน ถ้าท่านยังไม่ถอยไป ข้าคงต้องล่วงเกินท่านแล้วขอรับ”
จูฉางหยูรีบหลบไม้เท้าแม่เฒ่าจู ก่อนจะวิ่งผ่านนางไปยังบ้านท่านหมอโดยไม่เหลียวหลังกลับ มีเพียงเสียงก่นด่าของแม่เฒ่าจูที่ลอยอยู่ด้านหลังเขาเท่านั้น
หลังจากต่างคนต่างอวดเรื่องของขวัญกันได้อีกพักใหญ่ หวางกงกงก็เชิญทุกคนไปร่วมรับประทานอาหารก่อนจะแลกของขวัญกันและมอบซองแดงให้เด็กๆ ที่ต่างเล่นเครื่องเล่นกันจนเหงื่อเต็มตัวไปหมดฮ่องเต้ยังขอบคุณหยูฉิงอันด้วยที่สร้างเครื่องเล่นเหล่านี้ขึ้นมา เพราะองค์ชายน้อยก็มักจะได้มาเล่นเครื่องเล่นที่นี่อยู่บ่อย ๆ เช่นกัน“นี่เป็นเรื่องที่หม่อมฉันสมควรทำอยู่แล้วเพคะ หากฝ่าบาทต้องการแบบให้กับช่างหลวงสร้างขึ้นมาก็บอกหม่อมฉันได้นะเพคะ”“ตกลง ๆ ขอบใจเจ้ามากที่ไม่เคยหวงแหนความรู้เลยตลอดหลายปีที่ผ่านมา หากไม่มีเจ้าสักคน แคว้นหมิงคงไม่สามารถพัฒนาได้ถึงขั้นนี้”“ฝ่าบาทชมเกินไปแล้วเพคะ เป็นเพราะความร่วมมือของทุกคนในแคว้นต่างหากที่ทำให้แคว้นของเราพัฒนาได้อย่างรวดเร็วเช่นนี้”“เฮ้อ เจ้านี่นะ ไม่เคยคิดที่จะเอาความดีความชอบแม้สักนิด เอาล่ะ ๆ เราทานอาหารกันก่อนดีกว่า เด็ก ๆ คงจะหิวกันแล้วล่ะ”
วันปีใหม่เช้าวันนี้จวนหยูวุ่นวายไปด้วยบ่าวไพร่ที่กำลังจัดเตรียมงานเลี้ยงปีใหม่ที่จะมีแขกเริ่มมาในยามซื่อของวัน องค์หญิงหมิงจูกับหยูฉิงเฉิงเองก็กำลังแต่งตัวให้กับลูกชายและลูกสาวของพวกเขาอยู่ เสื้อผ้าต่าง ๆ ล้วนมาจากในวังที่ฮองเฮาสั่งคนตัดให้กับหลาน ๆ ของพระองค์อย่างน่ารักหลินอ้ายกับหยูฉางหยูก็แต่งตัวด้วยชุดที่ดีที่สุดเพื่อต้อนรับปีใหม่เช่นกัน ส่วนลูกชายคนเล็กก็กำลังจัดการบุตรชายทั้งสองกับฮูหยินน้อยที่เรือนอีกหลัง สำหรับหยูจิ่นเซิงและเฉียนหลานนั้นก็แต่งตัวกันเต็มที่เพื่อให้สมกับวันปีใหม่ ยังไม่รวมซองแดงที่พวกเขาจะแจกให้ลูกหลานอีกไม่น้อยด้วย พวกเขาคาดเดาว่าวันนี้จะต้องเป็นงานที่ทุกคนสนุกกันมากแน่ ยิ่งหยูฉิงอันส่งของเล่นเด็กมาไว้ที่จวนหยูจำนวนไม่น้อยสำหรับให้หลาน ๆ เล่นตอนที่โตกว่านี้ด้วยแล้ว พวกเขายิ่งรักหลานสาวคนนี้มากขึ้นทุกที นางไม่เคยหวงสิ่งของใดเลย มีแต่มอบให้กับน้องชายทั้งสองและครอบครัวด้านจวนกั๋วกงก็วุ่นวายไม่แพ้กัน กว่าที่พี่เลี้ยงจะไล่จับเหล่าคุณชายน้อย ค
ที่ชายแดนตะวันตก หลังจากลูกของหยูฉิงหยางคลอดแล้ว ท่านพ่อตาได้ตั้งชื่อบุตรชายทั้งสองให้เขาว่า หยูอันเหิงและหยูอันไห่ เพราะหยูฉิงหยางอยากให้ในชื่อบุตรชายของเขามีชื่อพี่สาวอยู่ด้วย เขาสำนึกในบุญคุญของพี่สาวเสมอที่พาครอบครัวค้าขายจนได้เข้าเรียนและรับราชการในราชสำนักได้อย่างทุกวันนี้อีกไม่กี่เดือนก็จะถึงวันปีใหม่ แม่ทัพใหญ่ซวงอี้จึงชวนทุกคนกลับไปฉลองปีใหม่ที่เมืองหลวง เพราะเขาเดินทางมาอยู่ชายแดนตะวันตกได้เกือบสามเดือนแล้ว หยูฉิงหยางจึงไปขอลาราชการกับแม่ทัพชายแดนตะวันตกตามมารยาท ก่อนจะส่งม้าเร็วเดินทางไปถวายฎีกาเรื่องการพาครอบครัวไปรวมตัวกันในวันปีใหม่ที่ใกล้จะถึงในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้านี้ม้าเร็วเดินทางไปถึงเมืองหลวงโดยใช้เวลาเพียงหนึ่งเดือน เมื่อฮ่องเต้ได้รับฎีกาของหยูฉิงหยางแล้ว พระองค์ก็ทรงอนุญาตให้เขาพาครอบครัวกลับมาได้ ความจริงปีนี้พระองค์คิดที่จะจัดงานเลี้ยงปีใหม่ให้กับเหล่าขุนนางเหมือนทุกปี เพียงแต่พอคิดได้ว่าการจัดงานบ่อยครั้งก็เสียเงินในคลังไปไม่น้อย ซึ่งพระองค์ยังคงอยากใช้เงินเหล่านั้นในการพัฒนาแคว้นม
จดหมายของหยูจิ่นเซิงไปถึงจวนแม่ทัพที่ชายแดนตะวันตกในอีกหนึ่งเดือนต่อมา หยูฉิงหยางที่กำลังดูแลภรรยาที่กำลังท้องแฝดเช่นเดียวกับพี่ชายรีบนำจดหมายมาตอบพร้อมให้คนนำของฝากที่ท่านแม่ฝากมาให้เขากับฮูหยินไปเก็บไว้ในคลังเสบียงเสียก่อน“ท่านพี่ เหตุใดท่านแม่จึงส่งของกินมาเสียเยอะแยะเช่นนี้เล่า”“ฮ่า ฮ่า ท่านคงกลัวว่าเจ้าจะไม่ได้กินอาหารดี ๆ น่ะสิ ท่านแม่คงเป็นห่วงลูกของเรานั่นแหละน้องหญิง เจ้าเองก็บำรุงเยอะ ๆ เล่า จะได้คลอดง่าย ๆ เหลืออีกไม่กี่เดือน เจ้าก็จะคลอดเด็ก ๆ ออกมาแล้วนะ”“ข้ากินจนจะอ้วนเป็นหมูแล้วนะท่านพี่ หากท่านไม่ชอบที่ข้าอ้วนจะทำอย่างไร”“เจ้าก็คิดมากเกินไปน้องหญิง พี่มีหรือจะไม่ชอบเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะรูปร่างเปลี่ยนไปอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นที่รักของพี่ตลอดไปนั่นแหละ ทีหลังอย่าคิดมากรู้ไหม”หยูฉิงหยางกอดภรรยารักเอาไว้ในอ้อมแขนอย่างแสนรัก เขารู้ดีว่านางคงกลัวว่าเขาจะมีหญิงอื่นกระมัง
หนึ่งเดือนต่อมา จดหมายจากหยูฉิงหยางส่งมาบอกทุกคนว่าสะใภ้เล็กท้องแล้ว ทำให้ทุกคนดีใจมาก ส่วนองค์หญิงหมิงจูนั้น ยังไม่มีใครกล้าสอบถามอะไรในเรื่องนี้ แต่เหล่าผู้อาวุโสต่างสอบถามหยูฉิงเฉิงแทน“อาเฉิง เหตุใดสะใภ้ใหญ่ไม่ท้องเสียทีเล่า”“เฮ้อ ข้าก็ไม่รู้ขอรับท่านปู่ แต่ข้าก็ขยันขันแข็งทุกวันนะขอรับ”“แล้วช่วงนี้ดูเหมือนนางจะดูมีน้ำมีนวลและน้ำหนักขึ้นบ้างหรือไม่เล่า”“ท่านย่าเดาได้เหมือนตาเห็นเลยขอรับ ข้าสังเกตว่านางดูเหมือนจะอ้วนขึ้นนิดหน่อยและท้องของนางก็ป่องออกมาเล็กน้อยด้วยนะขอรับ”“เช่นนั้นประเดี๋ยวให้พ่อบ้านไปเรียกหมอมาตรวจสักหน่อย นางอาจท้องแล้วไม่รู้ตัวก็ได้ เหมือนพี่ใหญ่เจ้าที่กว่าจะรู้ว่าท้องสองก็ตอนสามเดือนแล้ว”“ขอรับ หากมีข่าวดีเหมือนน้องสามก็คงดี เด็ก ๆ จะได้เกิดไล่เลี่ยกัน”หย
หลังจากหยูฉิงเฉิงได้รับตำแหน่งใหม่เป็นผู้ตรวจการพิเศษ เขาก็ยังคงเข้าไปทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับแผนการพัฒนาบ้านเมืองที่เคยเสนอต่อฝ่าบาทไปก่อนหน้านี้ ซึ่งมหาเสนาบดีเซี่ยยังคงรายงานการทำงานของขุนนางที่ถูกส่งออกไปให้กับเขารับทราบ เพื่อที่หยูฉิงเฉิงจะได้วางแผนการเดินทางไปตรวจงานได้ในภายหลังด้านองค์หญิงหมิงจูพอเป็นสะใภ้ตระกูลหยูแล้ว พระองค์ยังคงเข้าวังไปเยี่ยมเสด็จแม่อยู่บ่อย ๆ เนื่องจากที่จวนหยูไม่มีสิ่งใดให้นางทำบ้างเลย ครั้นจะให้นางไปนั่งปักผ้ากับท่านย่าและแม่สามีนางก็ไม่ค่อยชอบนัก ปกตินางชอบเล่นพิณและวาดรูปมากกว่า แต่ก็กลัวว่าเสียงพิณจะไปรบกวนการทำงานของท่านย่าและแม่สามีของนางเข้า นางจึงมาเล่นที่วังให้เสด็จแม่ฟังแทนเฉียนหลานกับหลินอ้ายนั้นพอรู้อยู่บ้างว่าองค์หญิงน่าจะอึดอัดและเหงาที่ต้องอยู่จวนโดยไม่มีสิ่งใดทำ พระองค์จึงได้เสด็จเข้าวังบ่อย ๆ เมื่อหยูฉิงเฉิงกลับจวนมาแล้วทราบเรื่องเข้า เขาจึงคุยกับองค์หญิงในคืนวันหนึ่ง“น้องหญิง เจ้าเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่จวนนี้หรือ”