รุ่งเช้าที่วังหลวงแดดยังไม่แรงนัก แต่ท้องพระโรงกลับร้อนระอุด้วยบรรยากาศตึงเครียด ขุนนางแต่งชุดเต็มยศยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ คลื่นสายตาหลายสิบคู่ทอดไปยังพระแท่นทองที่ฮ่องเต้ยังไม่ได้เสด็จมา เสียงกระซิบแผ่ว ๆ ดังก้องในอากาศ
“ได้ยินหรือยัง เสบียงในคลังหายไปตั้งหลายถัง”
“ได้ยินมาว่าว่าโยงไปถึงกรมกิจการพลเรือนกับกรมอาญาด้วยนะ”
“แต่ใครจะกล้ายืนยันล่ะ นี่มันเรื่องใหญ่เสียยิ่งกว่าสนมในวังแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันเสียอีก”
หลินอวิ๋นเอ๋อร์ก้าวเข้ามาในท้องพระโรงในชุดแพรสีงาเรียบสง่า สายตาหลายคู่หันมาจับจ้อง พระชายาหลินที่ใคร ๆ เคยครั่นคร้าม วันนี้กลับเป็นคนที่ทุกคนรอคอยจะได้ฟังถ้อยคำ นางไม่ได้ยืนชิดข้างท่านอ๋องห้า แต่เลือกยืนด้านหลังเล็กน้อยในตำแหน่งที่ไม่เด่นและไม่ห่างจนเกินไป
ไป๋เยี่ยนหรงในชุดครามเข้มยืนอีกฟาก นางยิ้มอ่อนหวานท่าทีสงบเยือกเย็น แต่หางตาเหลือบมองหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่วาง ในใจพร่ำบอกกับตัวเองว่า วันนี้ต้องเป็นวันของนาง
เสียงกลองประกาศดังขึ้นหนักแน่น “ตึง! ตึง! ตึง!”
“ฝ่าบาทเสด็จ”
เสียงของขันทีใหญ่เอ่ยประกาศ ทุกคนต่างเอ่ยร้องถวายพระพรดังสนั่น ก่อนที่ความเงียบจะเข้ามาแทนที่
“เมื่อคืน ข้าได้รับฎีกามาว่ามีการลักลอบเสบียงในคลังหลวง” ฮ่องเต้ตรัสด้วยน้ำเสียงไม่ดังแต่ก้องไปทั่วทุกมุมของท้องพระโรง
“ให้กรมอาญาและกรมกิจการพลเรือนร่วมกันตรวจสอบ แต่ครั้งนี้ ข้าอยากฟังความจริงต่อหน้าทุกคน”
ขุนนางหลายคนรู้สึกใจหายวาบไปในอก บางคนหน้าก้มต่ำ บางคนเหงื่อผุดขึ้นทั้งที่อากาศก็ไม่ร้อน จ้าวเยี่ยนฝูก้าวออกมาหนึ่งก้าว คุกเข่าแล้วเงยหน้าขึ้น
“กระหม่อมได้ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วพร้อมหลักฐานชัดเจน พบการส่งเสบียงออกนอกคลังผ่านช่องแคบที่ผนังทิศตะวันออก ผู้ร่วมขบวนการคือเสมียนของกรมกิจการพลเรือนนามว่าลู่เสวียนและมีหลักฐานโยงใยไปถึงหัวหน้าระดับรองพ่ะย่ะค่ะ”
เสียงฮือดังพรืดเดียว บางคนเบิกตากว้างด้วยความตกใจ บางคนก็หันไปมองขุนนางตระกูลไป๋ด้วยความตกตะลึง
ไป๋เยี่ยนหรงก้มหน้านิ่ง แต่กลับในใจเต้นแรง นี่มันเร็วเกินกว่าที่คาดเอาไว้มาก หลินซินอวิ๋นเอ๋อร์! ต้องเป็นนางอีกแล้วแน่ ๆ ที่อยู่เบื้องหลังการขุดรากถอนโคนครั้งนี้
ฮ่องเต้เลิกคิ้วเล็กน้อย “มีผู้ใดคัดค้านบ้าง”
ความเงียบกดทับจนเหมือนมีมือใหญ่ ๆ บีบคอทุกคนเอาไว้ ไม่มีใครกล้าออกเสียงแม้แต่คนเดียว ทันใดนั้น หลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว นางคุกเข่าลง เอ่ยด้วยน้ำเสียงชัดถ้อยชัดคำ
“หม่อมฉันขอทูลเสริมเพคะ”
ทุกสายตาหันไปจับจ้องที่นาง
“เมตตาเป็นสิ่งดี แต่หากถูกใช้เป็นข้ออ้างของคนชั่ว มันจะกลายเป็นบ่อเกิดของความอยุติธรรม” นางเอ่ยด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบแต่หนักแน่น
“หม่อมฉันเห็นด้วยกับท่านอ๋องห้าที่ว่าต้องสืบจนถึงต้นสายปลายเหตุ มิฉะนั้นความเมตตาที่เรามอบให้ราษฎรจะกลายเป็นช่องโหว่ให้พวกโกงกินได้เพคะ”
เสียงซุบซิบดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่เสียงนินทาแต่เป็นเสียงยอมรับ ฮ่องเต้มองนางนิ่ง ก่อนแย้มพระสรวลบาง ๆ
“ชายาหลิน เจ้านี่ช่างพูดได้คมคายยิ่งนัก”
ไป๋เยี่ยนหรงเม้มริมฝีปากแน่นจนเลือดแทบซึม แต่ก็ยังต้องฝืนยิ้ม
เว่ยหลางก้าวออกมาถือบันทึกหลักฐาน วางลงตรงหน้าขุนนางกรมกิจการพลเรือน เหล่าขุนนางเบิกตากว้างเมื่อเห็นลายมือชื่อและตราประทับโยงใยกันเป็นเครือข่ายใหญ่ บรรยากาศหนักอึ้งจนแทบไม่มีใครหายใจได้เต็มปอด
จ้าวเยี่ยนฝูหันไปสบตากับหลินอวิ๋นเอ๋อร์เพียงชั่ววูบ ในดวงตาคมกริบนั้นมีแววบางอย่างที่ไม่ใช่แค่การยอมรับ แต่เป็นการเห็นค่าอย่างแท้จริง
นางเองก็รู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนบางอย่างในอกที่ไม่ใช่เพราะความกลัว แต่มันคือการเริ่มเชื่อใจที่ก่อตัวขึ้นมาแล้ว...
และนี่เพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของศึกใหญ่ที่จะตัดสินว่าใครคู่ควรจะยืนเคียงข้างท่านอ๋องห้าอย่างแท้จริง
เสียงกลองสามครั้งสุดท้ายดับลง ท้องพระโรงยังไม่คลายความอึดอัด เสียงซุบซิบของเหล่าขุนนางดังก้องราวกับคลื่นกระทบฝั่ง บางคนก้มหน้าจนแทบจรดพื้น บางคนก็แอบเหลือบตามองตระกูลไป๋ด้วยความระแวง
ไป๋เยี่ยนหรงยังยืนด้วยท่วงท่าสง่างามในชุดสีครามเข้ม รอยยิ้มละมุนไม่หายไปจากใบหน้า แต่ในอกกลับเหมือนมีกองไฟลุกโชนกำลังเผาไหม้
“ไม่! ข้าจะไม่ยอมเสียหน้าเช่นนี้” นางพึมพำ
ฮ่องเต้ทอดพระเนตรลงมา “ขุนนางไป๋ เจ้ามีสิ่งใดจะกล่าวแก้ตัวหรือไม่”
ไป๋เฟิงจื้อ เจ้ากรมกิจการพลเรือน บิดาของไป๋เยี่ยนหรงก้าวออกมา คุกเข่าลงพร้อมกับเอ่ยเสียงดังสนั่น
“ฝ่าบาท กระหม่อมจะไม่ปฏิเสธว่ามีเสมียนสังกัดของกระหม่อมเกี่ยวข้อง แต่กระหม่อมขอยืนยันว่าไม่ได้มีคำสั่งจากตระกูลไป๋โดยตรง กระหม่อมพร้อมให้สอบสวนทุกเรื่องด้วยความบริสุทธิ์ใจพ่ะย่ะค่ะ!”
เสียงฮือดังขึ้นอีกครั้ง คราวนี้ปะปนกันทั้งความชื่นชมในความกล้าและสงสัยในความจริงใจ หลินอวิ๋นเอ๋อร์ก้าวออกไปเล็กน้อย นางยังคงรักษามารยาทไม่แทรกตรงกลาง แต่เอ่ยเสียงเรียบพอให้ได้ยินทั่วกัน
“ผู้ที่ลักเล็กขโมยน้อย ใช่แล้ว อาจเป็นแค่พวกบ่าวรับใช้ตัวเล็ก ๆ แต่ถ้าไม่มีใครหนุนหลัง คงไม่กล้าหยิบถังเสบียงออกจากคลังกลางได้อย่างเป็นระบบเช่นนี้หรอกกระมัง”
เสียงขุนนางบางคนอุทาน “จริงด้วย!”
ขุนนางบางคนพึมพำ “หลักฐานที่จับได้เมื่อคืนมันฟ้องว่านี่เกินกว่าจะเป็นเพียงเสมียนธรรมดา”
ฮ่องเต้ยกพระหัตถ์ขึ้น ทุกเสียงเงียบลง “ดี เช่นนั้นก็ให้กรมอาญาจัดการไต่สวนเต็มรูปแบบ ใครข้องเกี่ยว อย่าได้ละเว้น!”
“ฝ่าบาทเพคะ!” ไป๋เยี่ยนหรงเอ่ยขึ้นเสียงใส น้ำเสียงยังคงอ่อนหวาน แต่แฝงไปด้วยแรงกดดัน
“หม่อมฉันเพียงเป็นสตรี มิได้ข้องเกี่ยวกับราชกิจ แต่ที่พระชายาหลินได้กล่าวไปนั้น ก็ไม่ควรเหมารวมว่าผู้หญิงทุกคนในตระกูลไป๋ต้องรับผิดนะเพคะ!”
ทุกสายตาหันไปที่นาง มีทั้งสายตาที่เห็นใจอละสายตาที่คอยจับผิด หลินอวิ๋นเอ๋อร์ก้าวออกมาช้า ๆ สบตานางอย่างสงบ
“หม่อมฉันไม่ได้กล่าวว่าผู้หญิงตระกูลไป๋ทุกคนต้องรับผิดเพคะ หม่อมฉันเพียงสื่อให้เห็นว่าใครก็ตามที่ใช้คำว่าเมตตามาบังหน้าเพื่อยืดมือออกไปหยิบสิ่งที่ไม่ควรหยิบ ย่อมต้องแสดงตนออกมา”
น้ำเสียงนั้นไม่ได้ดังมาก แต่ก็ดังพอที่จะก้องเข้าสู้โสตประสาทของทุกคน เหมือนเสียงระฆังที่ดังกังวาน ไป๋เยี่ยนหรงยิ้มบาง
“เช่นนั้น เราก็คงต้องรอดูกันต่อไป”
จ้าวเยี่ยนฝูที่ยืนอยู่เงียบมาตลอดก้าวออกมากล่าวเสียงทุ้มก้อง
“ต่อให้ใครหนุนหลัง ข้าก็จะลากคอมันออกมาประหารให้ได้!”
ดวงตาคมกริบตวัดไปทั่วทั้งท้องพระโรง น้ำเสียงเย็นชาเสียจนหลายคนขนลุกซู่ ฮ่องเต้พยักหน้า
“เอาตามที่จ้าวเยี่ยนฝูว่า”
หลังเลิกจากท้องพระโรง เสียงวิจารณ์ดังไปทั้งทางเดินหินอ่อน ขุนนางบางคนเดินเลี่ยงไปอีกทางเพราะไม่อยากปะทะกับคนฝั่งตระกูลไป๋ แต่บางคนกลับรีบเข้ามาทำความเคารพพระชายาหลินด้วยสายตาชื่นชม หลินอวิ๋นเอ๋อร์เดินออกมาอย่างเงียบ ๆ ม่ออี๋รีบเข้ามาประคอง
“พระชายาเพคะ วันนี้ท่านพูดได้เฉียบขาดยิ่งนัก บ่าวได้ยินพวกขุนนางพูดถึงกันไม่หยุดปาก!”
“อย่าอยากให้เขาพูดถึงเรามากนักเลย” หลินอวิ๋นเอ๋อร์หัวเราะเบา ๆ “ให้เขาพูดถึงกฎเกณฑ์จะดีกว่า”
เย็นวันเดียวกันที่โรงครัวหลวง พวกชาวบ้านยังคงต่อแถวเป็นระเบียบ ข่าวในท้องพระโรงกระจายเร็วยิ่งกว่าควันไฟ หลายคนมองพระชายาหลินด้วยแววตาใหม่ จากที่เคยหวาดกลัวนางก็กลับกลายเป็นยกย่องนาง
“พระชายาหลิน ขอบพระทัยที่ทำให้พวกข้าน้อยได้กินอิ่ม!”
“พระชายาหลินมีเมตตาจริง ๆ”
“พระชายาหลินช่างยุติธรรม พวกเราได้กินอิ่มนอนหลับเพราะท่านจริง ๆ”
เสียงหัวเราะและคำขอบคุณดังไม่ขาดสาย หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มรับโดยไม่พูดโอ้อวด ทัพพีในมือตักข้าวต้มลงถ้วยต่อเนื่องอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย
ไป๋เยี่ยนหรงที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามยังคงยิ้มหวานเช่นเดิม แต่แววตาลึก ๆ กลับเต็มไปด้วยความไม่ยอมแพ้ นางสาบานในใจว่าต้องหาทางพลิกเกมให้ได้!
และในเงาไกลออกไป จ้าวเยี่ยนฝูยืนกอดอกมองภาพหญิงสาวที่ตักข้าวต้มแจกจ่ายชาวบ้าน ดวงตาที่เคยว่างเปล่าเริ่มมีแสงบางอย่างวูบวาบขึ้นโดยไม่รู้ตัว นางไม่ใช่เพียงพระชายาหลินที่ใครต่อใครต่างก็บอกว่าจิตใจอำมหิตอีกต่อไป แต่เป็นสตรีที่หัวใจเขาเริ่มหันไปมองแล้วจริง ๆ...
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั