ช่วงใกล้เที่ยง เว่ยหลางเดินเข้ามาที่ฉากหลังอย่างแนบเนียน วูบหนึ่ง หลินอวิ๋นเอ๋อร์สังเกตเห็นชายหนุ่มสวมชุดชาวบ้านรับถุงเล็กจากเด็กวัยรุ่นตรงท้ายกระโจมแล้วหายไปหลังกำแพง ลายมือที่มุมถุงสะดุดตานางเหมือนเคยเห็นในสมุดบัญชีคลัง สัญญาณในหัวดังปิ๊ง! เสมียนของกรมกิจการพลเรือน อีกแล้ว นางยิ้มบาง ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ สั่งให้ทหารเวรยามซึ่งมาช่วยงานเป็นการส่วนตัวให้กระจายยืนตามจุด ก่อนจะบอกม่ออี๋
“เจ้าตามเว่ยหลางไป ห้ามเข้าใกล้เกินไป ห้ามเสี่ยงนะ ถ้าสถานการณ์ไม่ดี ให้กลับมาบอกข้าทันที”
ม่ออี๋ทำตาโต รับคำทันควัน “เพคะ!”
ระหว่างนั้น งานก็ยังต้องไหลลื่น หลินอวิ๋นเอ๋อร์จัดคิว ชั้นวางชามสะอาดกับชามใช้แล้วแยกกันอย่างชัดเจน คนล้างมีสองจุกคือจุดน้ำสะอาดและน้ำร้อน คนตักสลับเวรทุกครึ่งชั่วยาม
“อย่าลืมพักบ้างล่ะ อากาศค่อนข้างร้อน พักหลบแดดสักหนึ่งเค่อ สลับผลัดเปลี่ยนกัน”
เสียงกึกดังขึ้น หม้อน้ำแกงมุมเด็กเอนไปทางขอบเตา
“ระวัง!” หลินอวิ๋นเอ๋อร์พุ่งฉับเดียวไปประคองฝาหม้อพร้อมจับแขนเด็กหญิงที่เผลอชน แขนเล็ก ๆ ร้อนผ่าวเพราะเกือบโดนน้ำแกงลวก
“เจ็บหรือไม่” นางเป่าปลายแขนเบา ๆ เหมือนแม่ปลอบลูก
“โชคดีมาก เกือบไปแล้ว”
ชาวบ้านหลายคนรีบกรูเข้ามาช่วย อีกเสี้ยววินาทีที่กำลังวุ่น มือเรียวยาวของใครอีกคนก็ยื่นผ้าชุบน้ำมารับต่ออย่างพอดี
กลิ่นลมเย็นพัดวูบ จ้าวเยี่ยนฝูยืนอยู่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่มุมคิ้วเข้มขยับต่ำลงเล็กน้อยเหมือนคุมความห่วงออกจากใบหน้าไม่อยู่
“เด็กไม่เป็นไรเพคะ” หลินอวิ๋นเอ๋อร์เงยหน้า สบตาเขาเพียงครู่ พอจะเห็นเงารอยกังวลซ่อนอยู่
“ขอบพระทัยท่านอ๋อง”
เขาผละสายตาไปทางหม้อ “เชิงเตาตั้งไม่สมดุล เปลี่ยนฐานรอง”
คำสั่งสั้นกริบ คนงานตอบรับทันควัน อุปกรณ์ใหม่ถูกยกมาจากด้านหลัง เหตุการณ์ผ่านไปเหมือนไม่มีอะไรเกิด แต่หัวใจเล็ก ๆ บางดวงกลับเต้นแรงโครมครามไม่เป็นจังหวะ
ไป๋เยี่ยนหรงมองภาพนั้นอย่างเงียบ ๆ นิ้วบนด้ามพัดเกร็งแน่นเกินงามวูบเดียว ก่อนคลายเป็นปกติ นางเดินเข้ามายืนข้างหลินอวิ๋นเอ๋อร์เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไร
“ข้านำผ้าพันแผลมาด้วยค่ะ ใช้พันแผลให้เด็กเถอะ”
“ขอบใจ” หลินอวิ๋นเอ๋อร์รับมาอย่างไม่เกี่ยง ในสนามจริง นี่ไม่ใช่เวลางัดกันด้วยคำพูด
ยามบ่ายคล้อย เว่ยหลางกับม่ออี๋กลับมารายงานอย่างเงียบ ๆ หลังกระโจม
“พบห้องเช่าใกล้ท่าน้ำ ถุงเล็กถูกเปลี่ยนมือสองครั้ง สุดสายเป็นเสมียนนามว่าลู่เสวียน ภายใต้สังกัดกรมกิจการพลเรือนพ่ะย่ะค่ะ”
ม่ออี๋กระซิบอย่างตื่นเต้น “บ่าวจำหน้าเขาได้ เขาคือคนที่วางกลให้ชาวบ้านมาขอถังข้าวเมื่อวาน!”
หลินอวิ๋นเอ๋อร์เม้มปาก “เมื่อต่อชิ้นส่วนเข้าด้วยกัน เขาใช้ความวุ่นวายของโรงครัวหลวงปิดบังการลักเล็กขโมยน้อย แล้วโยนความผิดให้ผู้อื่น ดูเหมือนนี่จะเป็นช่องโหว่”
“ท่านอ๋องสั่งแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหลางเอ่ยเสียงเรียบ “คืนนี้จะปิดวงเชือก จับทั้งพวกตัวเล็กตัวน้อยและคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง”
“ดี” นางสูดลมหายใจ “ส่วนเราต้องทำให้พรุ่งนี้ผู้คนเห็นว่าความเมตตาไม่ใช่ข้ออ้างของคนทุจริต แต่เป็นเหตุผลให้คนดีได้อยู่อย่างสบายใจ”
ช่วงเย็นย่ำ แดดตะแคงสะท้อนผิวน้ำเป็นสีส้มทอง โรงครัวหลวงทยอยเก็บของ ถังน้ำล้างชามกองเป็นระเบียบ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งยอง ๆ เช็ดสันเตาตรงมุมเด็ก พึมพำกับตัวเอง
“พรุ่งนี้ต้องเพิ่มแผงกันลื่น”
เสียงรองเท้าหนักแน่นคุ้นหูหยุดอยู่ด้านหลัง “เจ้ายังไม่พักอีกหรือ”
เงาคลุมดั่งร่มไม้ จ้าวเยี่ยนฝูยืนประจันมุมเตา สองมือไพล่หลังตามเคย
“ใกล้เสร็จแล้วเพคะ” นางลุกขึ้นปัดชายเสื้อ เก็บพู่กันกับแผ่นป้าย
“วันนี้ชาวบ้านได้กินอิ่มเยอะกว่าที่คาดไว้เสียอีก และต้องขอบคุณที่พวกทหารเวรยามช่วยยกของ”
“ข้าสั่งให้ช่วย เพราะคนบางพวกชอบทำเรื่องง่ายให้วุ่นวาย” เขาไม่เอ่ยชื่อ แต่ทั้งสองก็รู้ว่าหมายถึงใคร
หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยิ้ม “ถ้าเขาทำให้งานวุ่นวายเพื่อซ่อนร่องรอยของตัวเอง พรุ่งนี้เราก็ทำให้งานลื่นจนร่องรอยเขาเด่นชัดขึ้นกว่าเดิม”
“อืม”
เขาตอบเบา ๆ ในลำคอ เสียงนั้นที่ทำให้หัวใจคนฟังอบอุ่นอย่างประหลาด นิ้วของเขายกเหมือนจะเอื้อมไปแตะอะไรสักอย่าง เช่นปอยผมที่หลุดลงมาตรงแก้ม แต่กลับหยุดกลางอากาศ แล้วเปลี่ยนเป็นเก็บมือไพล่หลังดังเดิม
“กลับจวนเถอะ”
“เพคะ”
ไป๋เยี่ยนหรงเดินอ้อมมาจากด้านข้างพอดี รอยยิ้มละมุนคงที่ นางเดินตรงเข้ามาหาท่านอ๋องห้าด้วยท่าทีอ่อนหวาน
“ท่านอ๋อง หม่อมฉันได้จัดตำราต้มยาดับร้อนไว้ คืนนี้จะนำไปให้ที่จวนนะเพคะ”
“ไม่จำเป็น” คำตอบของท่านอ๋องห้าสั้นและตรงไปตรงมา แม้มันจะไม่ใช่คำหยาบคาย แต่ก็ชัดเจนจนคนฟังเม้มปากโดยไม่รู้ตัว
“เอาไว้ให้คนของโรงครัวหลวงใช้เถอะ”
นางก้มศีรษะลง ฝืนตอบทั้งทีริมฝีปากเม้มแน่น “เพคะ”
คืนนั้น สายลมพัดเอื่อย เว่ยหลางรายงานในห้องลับ
“จับลู่เสวียนได้ที่ห้องเช่าพ่ะย่ะค่ะ พบถุงเล็กพร้อมบันทึกชื่อผู้รับและผู้ส่งหลายราย โยงไปถึงหัวหน้างานระดับรองในกรมกิจการพลเรือน”
เขาวางแผ่นไม้สลักรายชื่อบนโต๊ะ “นี่คือร่องรอยที่เราตามหาพ่ะย่ะค่ะ”
จ้าวเยี่ยนฝูรับแผ่นไม้มา ดวงตาคมเข้มไร้คลื่น “ส่งสำเนาให้กรมอาญา และแจ้งฝ่ายราชกิจวัง พรุ่งนี้เช้า ข้าจะเข้าเฝ้ากราบทูลต่อฮ่องเต้”
เว่ยหลางลังเลชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พระชายาหลินเสนอว่าสามวันพิสูจน์ตัวเองสำหรับผู้ที่เหมาะสมจะได้เป็นผู้ช่วยท่านอ๋อง วันนี้นางวางสนามให้ผู้คนเห็นชัดว่านางคือผู้ที่เหมาะสม กระหม่อมว่า...”
“ว่าอะไร” น้ำเสียงอ๋องห้าเรียบ
“คนจำนวนมากยืนข้างนางแล้วพ่ะย่ะค่ะ” เว่ยหลางเอ่ยตามจริง “โดยที่นางไม่ต้องร้องขอ”
จ้าวเยี่ยนฝูนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ราวกับชั่งน้ำหนักอะไรสักอย่างที่ไม่เกี่ยวกับราชกิจ แล้วตอบสั้น ๆ
“อืม”
รุ่งเช้าวันที่สองของโรงครัวหลวงยังไม่มาถึง แต่ลานหน้าเรือนพระชายาหลินสว่างกว่าทุกวัน บ่าวไพร่ขยันขันแข็งเหมือนมีพลังงานก้อนใหม่อยู่ในอก ม่ออี๋ถือตะกร้าผลไม้กับยาหอมรออยู่ที่ชาน
“พระชายาจะสวมชุดนี้หรือเพคะ” นางยื่นชุดแพรสีอุ่นที่ปักลายใบไผ่ละเอียด
“ดูสบายตา แต่ไม่จืดชืด”
“ชุดนี้แหล่ะ” หลินอวิ๋นเอ๋อร์พยักหน้ารับพร้อมกับยิ้ม
“วันนี้ไม่ต้องแย่งซีนใคร แค่ให้คนเห็นชัด ๆ ว่าเราทำงานจริงก็พอ”
“ซีน? คืออะไรหรือเพคะ”
“ม่ออี๋ เจ้าเนี่ยนะ ขี้สงสัยซะจริง อย่าถามมากเลย ทำตามที่ข้าสั่งก็พอ”
“เพคะ!” ม่ออี๋ตาวาว
นางเพิ่งจะก้าวพ้นประตูเรือน เสียงเคาะไม้เบา ๆ ก็ดังที่ประตูด้านข้าง ทหารเวรยามส่งแผ่นไม้ราชกิจมาประกาศ หลินอวิ๋นเอ๋อร์กวาดสายตาอ่าน วันนี้ช่วงเช้า ฮ่องเต้จะทรงรับฟังเรื่องการลักลอบเสบียง และให้กรมอาญากับฝ่ายราชกิจวังเข้าร่วมไต่สวนในที่แจ้ง
“เร็วกว่าที่คิดแฮะ” นางพึมพำ
“พระชายาจะไปหรือไม่เพคะ” ม่ออี๋ถาม
“ไปสิ แต่ข้าจะไม่ยืนด้านหน้าหรอกนะ” หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยิ้มน้อย ๆ “แค่ยืนให้ถูกที่เหมือนเดิมก็พอ”
ก่อนจะออกจากเรือน หลินอวิ๋นเอ๋อร์หยุดอยู่หน้าโต๊ะ ทำเครื่องหมายพู่กันหนึ่งจุดใต้คำว่า วางตน บนกระดานเล็ก ๆ ของตนเอง นางสูดลมหายใจยาว วันนี้ความเมตตาจะถูกใช้เป็นข้ออ้างของคนชั่วไม่ได้อีกแล้ว และราชกิจจะตัดสินด้วยหลักฐาน
ที่ริมคลอง โรงครัวหลวงวันที่สองจะเริ่มในอีกไม่ช้า ชาวบ้านยังต่อแถวพร้อมรอยยิ้มบนใบหน้า รอคอยรับอาหารเพื่อจะได้กินอิ่มท้อง
แสงของยามเช้ากรีดม่านเมฆเป็นริ้วบาง ๆ สายลมเอื่อยพัดเบา ๆ หลินอวิ๋นเอ๋อร์ก้าวออกมาต้อนรับวันใหม่ด้วยหัวใจที่มั่นคงและรอยยิ้มที่ทำให้ผู้คนอยากยืนข้างนางโดยที่ไม่ต้องร้องของพื้นที่จากผู้ใด...
เช้าวันนัด บนท้องฟ้ามีเมฆบาง ๆ เคลื่อนช้าเหมือนใครตั้งใจยืดเวลาออกให้นานที่สุด ลมหลังฝนพัดเย็นจนใส่สูทแล้วพอดี หลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนหน้ากระจกในห้อง ทำผมหางม้าสูงเรียบร้อย ลองยิ้มเบา ๆ ที่ไม่ตึงเกินและไม่อ่อนปวกเปียกเกินไป จากนั้นสูดลมหายใจยาว ครั้งหนึ่งเพื่อบอกหัวใจว่า นี่คือโลกของความจริง ไม่ใช่วังหลังที่เธอเคยไปอยู่เธอสวมต่างหูมุกเม็ดเล็ก เหลือบมองสมุดไดอารี่ปกผ้าลินินบนโต๊ะ“ไปด้วยกันนะ”เธอเอ่ยกับสมุดเหมือนคุยกับเพื่อนทั้งที่รู้ว่ามันเป็นแค่สมุด ก่อนจะหยิบแล็ปท็อปสีน้ำตาลเข้ม กอดแฟ้มเอกสารไว้แน่น เธอพร้อมแล้วสำหรับวันนี้...ย่านธุรกิจยังไม่ถึงชั่วโมงเร่งด่วนเต็มกำลัง รถยังไหล เธอลงจากแท็กซี่หน้าตึกบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ตึกกระจกสูงสะท้อนเมฆสีเทาอ่อนเหมือนผืนไหมแผ่ปกท้องฟ้า เสี้ยววินาทีที่ยกหน้าเงย เธอได้ยินเสียงหัวใจตัวเองดังเหมือนเสียงกลองยามล็อบบี้หินอ่อนกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ให้ความมั่นใจแปลก ๆ เสียงรองเท้าหนังของผู้คนจังหวะต่างกันสับสน แต่ทุกคนมีทิศทางของตัวเอง บนผนังหน้าจอแอลอีดีฉายฉากไฮไลต์จากเกมดัง“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ” เลขาหน้าตาคมในชุดสูทครีมก้าวเข้ามาหา ยิ้
เช้าวันฝนตก เมฆครึ้มเหนือเมืองหลวงทอเงาหนาแน่นไปทั่วตึกสูงเรียงราย ถนนใหญ่เต็มไปด้วยรถที่เคลื่อนช้า ๆ ฝนโปรยละอองบางจนกระจกแท็กซี่พราวน้ำ หลินอวิ๋นเอ๋อร์นั่งเบาะหลัง กำเอกสารแฟ้มสีน้ำเงินแน่น แล็ปท็อปถูกเก็บอยู่ในกระเป๋าหนังสีน้ำตาลเรียบหรูที่เธอเพิ่งซื้อเพื่อโอกาสนี้โดยเฉพาะหัวใจเต้นแรงทุกครั้งที่รถเคลื่อนผ่านตึกสูง จนกระทั่งแท็กซี่หยุดหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัท อินฟินิตี้ เกม สตูดิโอ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทผู้พัฒนาเกมระดับท็อปของภูมิภาค ตึกกระจกสูงกว่าสี่สิบชั้นสะท้อนท้องฟ้าสีหม่น แต่โลโก้สีทองรูปมังกรพันวงล้อเกมกลับเปล่งประกายชัดเจนเหนือประตูใหญ่ เธอลงจากรถ สูดลมหายใจลึก พยายามบอกตัวเองให้ใจเย็น ๆ“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ วันนี้ไม่ใช่แค่วันธรรมดา แต่คือวันที่อาจเปลี่ยนชีวิตเธอไปทั้งชีวิต สู้ ๆ นะ”โถงล็อบบี้โอ่อ่าตกแต่งด้วยหินอ่อน เงากระจกใสสะท้อนภาพพนักงานในชุดสูทยุคใหม่สลับกับจอแอลอีดีขนาดใหญ่ที่ฉายตัวอย่างเกมดัง ๆ ของบริษัท เสียงพนักงานต้อนรับเอ่ยทักพร้อมรอยยิ้ม“คุณหลินอวิ๋นเอ๋อร์ใช่ไหมคะ? เชิญที่ชั้น 15 ห้องประชุมใหญ่เลยค่ะ ทีมพัฒนารออยู่”“ขอบคุณค่ะ”เธอยกมือไหว้เล็กน้อยก่อนก้าวเข้าสู่ล
หลังจากที่ตัดสินใจอยู่นาน ในที่สุดหลินอวิ๋นเอ๋อร์ก็ตัดสินใจยื่นใบลาออก เธอพยายามอย่างเต็มที่ที่จะลืมเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เธอได้เผชิญมา แต่ก็ไม่สามารถทำได้เลย การลาออกไปพักกายพักใจ อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดในตอนนี้ บางทีการได้ไปสถานที่ใหม่ ๆ ทำสิ่งใหม่ ๆ อาจจะช่วยให้หายเศร้าไก้บ้าง ถึงแม้ว่าหัวหน้าของเธอจะพยายามบอกให้เธอตัดสินใจใหม่ แต่หลินอวิ๋นเอ๋อรก็ยังคงยืนกรานคำเดิม“ฉันตัดสินใจดีแล้วค่ะหัวหน้า ฉันจะอยู่ทำงานต่ออีก 2 สัปดาห์ เคลียร์งานที่ค้างอยู่ให้เสร็จค่ะ”“ในเมื่อเธอตัดสินใจแล้ว งั้นก็โชคดีนะอวิ๋นเอ๋อร์ เธอเป็นคนเก่ง ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ต้องสำเร็จแน่”“ขอบคุณนะคะหัวหน้าที่เข้าใจฉัน และก็ขอบคุณที่ดูแลอย่างดีมาตลอดค่ะ”เวลา 2 สัปดาห์มาถึงอย่างรวดเร็ว โต๊ะทำงานถูกเก็บอย่างเรียบร้อย เธอเอ่ยลาเพื่อนร่วมทีมทีละคน“ไว้เจอกันนะ”“ไปพักให้เต็มที่ อย่าคิดถึงที่นี่ก็กลับมาได้เสมอ” หัวหน้าเอ่ยกับเธออีกครั้ง“ส่งรูปทะเลมาอวดด้วยนะ” เพื่อนอีกคนเอ่ยแซวหลังจากกอดลาทุกคนเสร็จแล้ว เธอก็เดินไปยังหน้าลิฟต์ได้อย่างไม่โหวกเหวก แต่พอประตูลิฟต์ปิดลง เธอก็เห็นภาพสะท้อนของตัวเอง หญิงสาวร่างบางเล็กที่กำล
ค่ำคืนที่ออฟฟิศปิดไฟหมดแล้ว มีเพียงแสงจากจอมอนิเตอร์สาดลงบนใบหน้าซีดของเธอ นิ้วพิมพ์ไปเรื่อย ๆ น้ำตาก็หยดลงบนคีย์บอร์ด เธอหัวเราะทั้งน้ำตา“หลินอวิ๋นเอ๋อร์ เธอนี่บ้าจริง ๆ ถึงขนาดคิดถึงคนที่ไม่มีอยู่จริงไปซะได้”เช้าวันจันทร์ฝนพรำ รถไฟฟ้าแน่นขนัดจนเธอต้องขยับเท้าตามแรงเบียด เหงื่อคนอื่นผสมกลิ่นน้ำหอมจาง ๆ ลอยปะทะ เธอตรึงสายตาไว้กับประกาศสีฟ้า “สถานีถัดไป” เหมือนตั้งใจจ้องอะไรสักอย่างเพื่อไม่ให้ใจหลุดไปไกลกว่านี้ แต่ระหว่างเสียงรถลากรางโลหะ เธอกลับได้ยินเสียงกลองยามเสียดขึ้นแทรกมาในหัวอย่างดื้อดึง จังหวะนั้นเองที่เธอก้มลงมองมือขวาของตัวเอง มือที่ครั้งหนึ่งเคยถูกกุมแน่นไว้ใต้ศาลาดอกเหมย แล้วรีบชักสายตาหนี ราวกับการมองนานจะทำให้ความทรงจำกลายเป็นจริงขึ้นมาอีกประตูรถเปิด ชุดทำงานพรืดไหลลงชานชาลา เธอก้าวเร็ว ๆ ฝนเม็ดเล็กกระทบแก้ม เธอแอบขำกับตัวเอง ฝนในโลกนี้ก็เย็นเหมือนฝนในโลกนั้น แต่ทันทีที่วูบนึกถึงคำว่า “โลกนั้น” หัวใจเธอก็ร่วงวูบเหมือนยืนอยู่บนโถงหินว่างเปล่าทันทีออฟฟิศกระจกสูงสะท้อนท้องฟ้า บัตรแตะประตูดังติ๊ด ไฟสีเขียวสว่างขึ้น เธอฝืนยิ้มทักทีม“อรุณสวัสดิ์ค่ะ”เธอกล่าวทักทายเพื่อนร่
เสียงพัดลมคอมหมุนเบา ๆ ภายในห้องเงียบงัน ต่างกับเมื่อครู่ที่ยังเต็มไปด้วยเสียงกลองและเสียงเอ่ยถวายบังคม เธอก้มลงกอดเข่า น้ำตาไหลพรั่งพรู“นี่มันแค่ความฝันจริง ๆ หรือว่า ข้าจะไม่ได้เจอท่านอีกแล้วใช่ไหม ท่านอ๋อง...”หน้าจอสี่เหลี่ยมวาวแสงสีฟ้าจาง ๆ สะท้อนเงาใบหน้าซีดของหลินอวิ๋นเอ๋อร์ ดวงตาแดงฉ่ำชื้นด้วยน้ำตา ขนตาเปียกชิดกันเป็นแพ เธอยังนั่งท่าเดิม มือซ้ายคาเหนือแป้นพิมพ์ มือขวาวางทับเมาส์ เหมือนโลกทั้งใบเพิ่งถูกหยุดเวลาไว้ตอนที่เธอยังหายใจเข้าไม่สุดเธอเหลือบสายตาไปมุมจอ นาฬิกาดิจิทัลบอกเวลา 03:17 น. ตัวเลขนิ่งสนิทจนทำให้หัวใจเจ็บยิ่งขึ้น เพราะเวลาตี 3 ของโลกนี้ ไม่ใช่ยามสามของวังหลังที่เธอเคยได้ยินเสียงฆ้องยามจากหอระฆังดังกังวานก้องบนหน้าจอเกมเล่ห์รักวังบุปผาค้างอยู่ที่ฉากสุดท้าย กล่องข้อความกรอบทองหม่นกึ่งโปร่งปรากฏอยู่กลางจอ ปุ่มยืนยันกะพริบเป็นจังหวะช้า ๆ เหมือนจงใจกลั่นแกล้ง สายตาเธอถูกตรึงด้วยบรรทัดเดียวที่เย็นชากว่าดาบ“จบสิ้นแล้ว”เธอขยับนิ้วโป้งไถแป้นเมาส์เล็กน้อย ความเคยชินบอกให้ลองคลิก คลิกเพื่อย้อน คลิกเพื่อหาเส้นทางลับ คลิกเพื่อเปิดอะไรสักอย่างที่พาเธอกลับไป แต่หน้าจอกลับ
ท้องพระโรงวันนี้แตกต่างจากทุกครั้ง เสียงกลองดังขึ้นสามครั้ง ฮ่องเต้เสด็จมาประทับบนบัลลังก์ ขุนนางน้อยใหญ่เรียงรายตามลำดับชั้น จ้าวเยี่ยนฝูและหลินอวิ๋นเอ๋อร์ยืนเคียงกันต่อหน้าพระพักตร์ สายตาผู้คนจับจ้องพวกเขาเต็มไปด้วยความคาดหมายเว่ยหลางก้าวออกมากลางลาน ก้มคำนับแล้วรายงาน“กระหม่อมได้หลักฐานยืนยันจากกรมอาญาและหมอหลวง ว่ากระปุกยาที่พบในเรือนของพระชายา ไม่ใช่ยาพิษร้ายแรง หากแต่เป็นเพียงยาล่อให้คนเข้าใจผิด อีกทั้งพบปิ่นปักผมของสาวใช้สกุลไป๋ ที่กำแพงฝั่งตะวันตก นอกจากนี้ เซวียนเอ๋อร์สาวใช้คนสนิทของคุณหนูไป๋ก็ได้สารภาพแล้วว่าทุกสิ่งที่ทำเป็นคำสั่งของนาง”เสียงฮือฮาดังก้องไปทั่วท้องพระโรง ประตูด้านข้างถูกเปิดออก ไป๋เยี่ยนหรงถูกนำตัวเข้ามา นางยังคงแต่งกายงดงามแต่ใบหน้าเคร่งเครียด สายตาแดงกร้าวจ้องหลินอวิ๋นเอ๋อร์อย่างไม่ปิดบัง“เป็นเจ้า! นังสารเลว! นังคนชั่วที่มาแย่งสิ่งที่ควรเป็นของข้า!” เสียงของนางก้องสะท้อน สั่นไปทั่วท้องพระโรงหลินอวิ๋นเอ๋อร์ไม่หวั่นไหว นางก้าวออกมายืนกลางลาน ใบหน้าอ่อนโยนแต่สายตาแน่วแน่“สิ่งที่เจ้าพยายามไขว่คว้ามาแต่ต้นคือหัวใจของเขา แต่หัวใจไม่ใช่สิ่งที่จะปล้นหรือบังคั