“พ่อเราหนีไป ไม่อยู่เลี้ยงเราใช่ไหม”
เพิ่งรู้ตัวว่าตนใจร้ายเกินไปก็ตอนที่เห็นดวงหน้าเล็กนั้นเบ้ ทำท่าจะร้องไห้ แต่น้ำตาก็ไม่ได้ไหลออกมา เพราะเจ้าตัวฮึบไว้ได้ทัน ก่อนจะมองแรงมายังเขา ทั้งที่น้ำใสๆ ยังรื้นหน่วยตา “อชิโป้งคุณลุง ไม่ให้คุณลุงมาบ้านอชิ” อาณัติเองก็จังงังไปเลย คำพูดของเขาแรงไปสำหรับเด็กชาย เขาไม่ควรตั้งป้อมกับเด็ก เพราะมันเป็นเรื่องระหว่างผู้ใหญ่ ไม่ว่าพ่อเจ้าเด็กคนนี้ทำอะไรกับเขาไว้ แต่มันก็ไม่เกี่ยวกับคนเป็นลูก “ฉันขอโทษแล้วกันนะ” “อชิโกรธ อชิจะฟ้องคุณตาด้วย” เออวะ ขอโทษแล้วไง ทำไมไม่หายโกรธอีก เป็นครั้งแรกที่อาณัติจนมุม ไม่รู้จะไปต่ออย่างไร เขาไม่คุ้นกับเด็ก ด้วยความที่เป็นลูกคนเล็กในบ้าน เขาจึงไม่ต้องเอาใจใคร และตั้งแต่จำความได้ เขาจะได้รับการปกป้องจากแม่และพี่ชายทั้งสองคนเสมอ คนเหล่านี้ดูแลเขาปานไข่ในหิน คงเป็นเพราะพ่อของเขาจากไปตั้งแต่เขายังเป็นเด็กเล็กมาก แม่กับพี่ชายจึงพยายามทำหน้าที่นั้นแทน และจะว่าไป ถ้าเด็กคนนี้เป็นลูกชายของปกป้อง ความที่พ่อหนีไปไม่ได้เลี้ยงดู หนูน้อยก็ถือเป็นเด็กที่น่าสงสารเหมือนกัน “เราจะฟ้องใครก็ตามใจ แต่ลุงสัญญาว่าจะไม่พูดไม่ดีกับเราอีก โอเคไหม” นอกจากจะไม่ตอบรับ เด็กชายยังสะบัดหน้าพรืดให้อีก จนผู้ใหญ่คู่กรณีได้แต่โคลงศีรษะอย่างหมดทาง หากก่อนที่สงครามระหว่างเจ้าของบ้านและผู้มาเยือนจะยืดเยื้อไปกว่านี้ ผู้หญิงวัยกลางก็เข้ามาแทรกเสียก่อน “อชิคุยกับใคร แล้วแม่เราไปไหนล่ะ” “แม่พาเลโอไปซ่อมครับ แม่ให้อชิอยู่กับป้าเพลินและน้องพลอย แต่น้องพลอยเล่นตุ๊กตา น่าเบื่อมาก อชิก็เลยจะกลับบ้าน แล้วลุงคนนี้ก็มาขวางอชิไว้ อชิเข้าบ้านไม่ได้” เด็กชายเล่ายาวเหยียด อาณัติก็เผลอฟังไปอย่างตั้งใจ ทั้งที่เขาไม่รู้ว่าแต่ละคนที่เจ้าตัวอ้างถึงนั้นเป็นใครกันบ้าง “แล้วคุณมาหาใครคะ” ผู้หญิงคนนี้ถามเขา...ในทีแรกอาณัติคิดจะเดินกลับ เมื่อคนเป้าหมายไม่อยู่ เขาก็ไม่จำเป็นต้องคุยกับใคร หากความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นมาทันใด ชายหนุ่มจึงเปลี่ยนใจบอก “ผมมาหาเจ้าของบ้านครับ แต่รู้ว่าเขาไม่อยู่ งั้นรบกวนช่วยบอกเขาหรือคนในบ้านว่าผมชื่ออาณัติ ผมมารับของที่ฝากไว้เมื่อสี่ปีก่อน เอาไว้สะดวกแล้วผมจะมาใหม่” อาณัติเดินออกมา แต่ด้วยความรู้สึกที่ยังติดตาและต้องการจดจำทำให้เขาหันกลับไปมองเด็กชายบนรถจักรยานคันสีแดง แล้วพบว่าเจ้าตัวน้อยมองตามเขาอยู่เช่นกัน“มึงรู้ได้ยังไงว่าเด็กคนนั้นเป็นลูกพี่ป้อง มีคนบอกมึงเหรอ”
เกริกวิทย์วางแก้วเหล้าที่ผสมเสร็จแล้วลงตรงหน้าของเพื่อนรัก คืนนี้เขาคิดจะขับรถไปหาอาณัติที่โรงแรม ก่อนที่เพื่อนจะกลับต่างจังหวัดในวันพรุ่งนี้ ตั้งใจจะนั่งกินเหล้าพูดคุยให้สมกับไม่เจอตัวเป็นๆ มาหลายปี แต่นึกไม่ถึงว่าจู่ๆ เจ้าตัวจะโผล่หัวมาหาเขาเอง “ทำไมต้องให้ใครบอก แค่มองกูก็รู้แล้วว่าเด็กหัวหย็องนั่นเป็นลูกของคนบ้านนั้น หน้าตาคล้าย...” แวบแรกที่เห็นเด็กชาย อาณัติรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด แต่พอนึกว่าเด็กนั่นเป็นลูกของปกป้อง มันก็ตอบคำถามที่ผุดขึ้นมาให้เขาไปหมดแล้ว “เด็กคล้ายพี่ป้องเหรอ” “คงงั้น”…พี่น้องกัน หน้าตาก็ละม้ายคล้ายกันแหละน่า “ว่าแต่หัวหย็องด้วยเหรอ พี่ป้องไม่ได้หัวหย็องนา หรือจะเป็นดีเอ็นเอจากฝั่งแม่” ว่าจะเลิกคิดเรื่องนี้ แต่เพื่อนก็ผุดคำถามใหม่มาให้เขาอีก...ผมของเด็กคนนั้นแค่หยักศก และเมื่อมันอยู่กับเจ้าตัวก็แลดูน่ารักดี ผมพองๆ ยุ่งเหยิงกับแก้มป่องใสและดวงตากลมดำขลับ “เออ ช่างเถอะ เด็กก็ไม่ได้เหมือนพ่อกับแม่ราวพิมพ์ออกมาอยู่แล้ว อาจเป็นพวกยีนเด่นยีนด้อยที่แฝงมาตั้งแต่บรรพบุรุษแล้วดันมาโผล่ในรุ่นลูกหลานจนดูผิดฝูงไปบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา” คนจุดประเด็นให้สงสัยเป็นคนให้คำตอบเองเสร็จสรรพ แต่มันกลับคาใจของอาณัติไปเสียแล้ว “มึงรู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับคนบ้านนี้อีก” “ไม่เห็นมึงพูดถึงพวกเขาตั้งนาน คิดว่าลืมไปหมดแล้ว” “แค่อยากรู้”“ได้ยินว่าพี่ป้องย้ายไปอยู่ทางใต้ แล้วเขาก็มีแฟนที่นั่น กูไม่รู้ว่าเด็กที่มึงเห็นเป็นลูกจากแฟนคนนี้หรือเปล่า”“ถ้าเขากับแฟนไม่มีปัญหากัน แล้วจะเอาลูกมาทิ้งไว้ในสภาพแวดล้อมแบบนั้นทำไม มันไม่ใช่ตัวเลือกที่ดีที่จะเลี้ยงเด็กสักคนให้โตขึ้นมา...ถ้ากูมีลูก กูไม่ปล่อยลูกกูไว้แบบนั้นแน่”“มึงก็พูดง่ายไป คนมีทางเลือกดีๆ ก็ไม่มีใครอยากอยู่ในที่ที่ไม่ดีหรอก...ว่าแต่สิ่งแวดล้อมที่พูดถึง มันเป็นยังไงวะ”“คล้ายชุมชนเข้าไปทุกที” อาณัติให้นิยามสั้นๆ หากมองอีกมุมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในหนังสยองขวัญไม่ผิดเพี้ยน เงียบและเก่าโทรม ไร้การดูแล แม้แต่หน้าบ้านหลังเป้าหมายที่เขาไปในวันนี้ ประตูรั้วยังมีสนิมเกรอะจนเขาแทบไม่กล้าแตะเพราะกลัวบาดทะยักชายหนุ่มกำลังคิดขำๆ สมองของเขามีแต่บรรยากาศรอบๆ บ้านหลังที่แวะเวียนไปหากับเด็กชายแก้มกลมหัวหย็องคนนั้น“น้องกุ๊บกิ๊บล่ะ เจอเขาหรือเปล่า”มันห้ามไม่ให้เขาหยุดชะงักไม่ได้ มือที่กำลังหยิบแก้วเหล้าของอาณัติค้างกลางอากาศ…“เมื่อกี้มึงถามถึงคนบ้านนั้นเอง กูก็เลยพูดถึงน้องเขาด้วย”“กูไม่ได้ว่าอะไร” อาณัติไหวไหล่เมื่อตั้งตัวได้ “กูไม่เจอเขา แล้วมึงรู้เรื่องของเขาบ้างไหม”“ไม่รู้
ไปรยาเห็นดวงหน้าเล็กกลมโผล่มามองจากกรอบประตูบ้าน…ชะรอยเจ้าตัวน้อยจะรู้ว่าตนได้ทำบางสิ่งที่สร้างความไม่สบายใจให้กับแม่แล้วหญิงสาวหย่อนกายนั่งบนเก้าอี้ไม้หน้าบ้าน ซึ่งปกติมันเป็นที่นั่งเล่นชั้นดีของลูกชาย แล้วเรียกเขาด้วยเสียงอ่อนโยน“อชิ มาหาแม่มาลูก” อชิระเดินไปหาแม่ตามคำเรียก แล้วเบียดกายเล็กเข้าไปหาด้วยท่าทีประจบ จนหัวใจของคนเป็นแม่อ่อนยวบ ไปรยาไม่เคยโกรธหรือโทษลูกสักที ไม่ว่าลูกทำสิ่งใดลงไป เพราะหล่อนถือเป็นความรับผิดชอบของตัวเองทั้งสิ้น หญิงสาวลูบใบหน้าชื้นเหงื่อของลูกอย่างแสนรัก เพ่งพิศดวงหน้าเล็กด้วยหัวใจไหววูบ“เมื่อวานตอนที่แม่ไม่อยู่ มีคนมาที่บ้านเราหรือจ๊ะ”“ครับ”“อชิรู้จักเขาไหม”เด็กชายส่ายหน้าหวือ หากประกายบางอย่างในดวงตากลมทำให้ไปรยาต้องเอียงคอมอง แล้วถามนำทาง“มีอะไรจะเล่าให้แม่ฟังไหม” “อชิโป้งคุณลุง”“เขาทำให้ลูกโกรธหรือจ๊ะ”อชิระพยักหน้าหงึกๆ แล้วมุ่นคิ้วคิด ด้วยกำลังเรียบเรียงเหตุผลเพื่อบอกแม่“อชิจะเข้าบ้าน แล้วคุณลุงมาขวาง...ไม่ให้อชิเข้าครับ”“แล้วลูก เอ่อ...คุยกับเขาด้วยไหม”“คุยเยอะแยะเลยครับ” บอกแม่ว่าคุยเยอะแยะ แต่เจ้าตัวเล็กก็ต้องใช้ความคิดอีกนั่นแหละว่
ไปรยาไม่รู้ว่าของที่อาณัติพูดถึงเป็นอะไร เขาหมายถึงเงินที่ปกป้องยืมไปทุ่มในร้านอาหารกึ่งผับที่เปิดข้างมหาวิทยาลัยแล้วขาดทุนจนทุนจมหาย หรือยังมีของชิ้นอื่นที่พี่ชายของหล่อนเอาไปอีกกันแน่“ถ้าถามจากพี่ป้อง รายนั้นคงบอกความจริงไม่หมดอยู่ดี”ช่วงแรกไปรยายังต้องรับมือกับบรรดาเจ้าหนี้ของพี่ชาย ส่วนคนต้นเหตุนั้นหนีหายตั้งแต่รู้ตัวว่าไม่สามารถกอบกู้ร้านอาหารมาได้แล้ว ปกป้องบอกหล่อนว่าจะไปทำงานหาเงินมาใช้หนี้ ไปรยาจึงสนับสนุน แต่นานไปถึงรู้ว่าพี่ชายจงใจหนี เขาตัดช่องทางติดต่อกับครอบครัว หล่อนจึงต้องรับหน้ากับเจ้าหนี้ของเขาตามลำพัง...ในเวลานั้นไปรยาไม่กล้าบอกให้พ่อรู้ แต่นั่นแหละ สุดท้ายหล่อนก็ปิดความลับนี้ไม่ได้พ่อผิดหวังในตัวปกป้อง แต่หล่อนก็ไม่ได้ดีไปกว่าพี่ชาย เพราะในวันเดียวกัน พ่อยังต้องมารับรู้ว่าลูกสาวคนเดียวกำลังตั้งท้องโดยไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็กอีกด้วยสีหน้าเจ็บปวดและผิดหวังของพ่อยังตราอยู่ในใจ ไปรยาร้องไห้ ความอ่อนแอและสิ้นหวังจู่โจมเข้ามาอย่างถึงที่สุด ในบางค่ำคืนเมื่อหลับตานอน ไปรยาเคยภาวนาว่าขอให้พรุ่งนี้ตนไม่ต้องตื่นมาอีกเลยความทุกข์ของหญิงสาวไม่ได้รอดพ้นจากสายตาของพ่อ พ่อ
อชิระเป็นเด็กว่าง่ายกับแม่ ตั้งแต่รู้ความมาก็แทบไม่ดื้อและไม่ค้านอะไรทั้งสิ้น สองแม่ลูกเดินมาถึงหน้าหมู่บ้าน แล้วจึงหยุดอยู่ริมถนน มือน้อยๆ ของลูกชายก็กระตุกมือของแม่เมื่อเจ้าตัวเห็นรถคันใหญ่แล่นผ่านหน้าไป“อชินั่งรถเมล์ไปรับพี่เลโอได้ครับ” ดวงตากลมของลูกที่แหงนมองมานั้นทำให้น้ำตาของคนเป็นแม่แทบคลอหน่วยตา...พลังใจจากลูกทำให้หล่อนมีเรี่ยวแรงเพิ่มขึ้นอีกมากโข“ไม่เป็นไรครับ วันนี้เรานั่งแท็กซี่ไปดีกว่า อชิกับแม่จะได้นั่งสบาย”“ได้ครับ แม่กุ๊บกิ๊บจะได้ไม่เหนื่อยด้วยครับ”เด็กชายยิ้มแฉ่ง มือเรียวนุ่มของแม่จึงลูบแก้มกลมๆ อย่างอดใจไม่ได้ ซึ่งเป็นจังหวะที่รถแท็กซี่แล่นมาจอดเทียบพอดีกว่าจะจัดการธุระสำคัญเสร็จ รถยนต์คู่ใจของไปรยาที่มีอายุมากกว่าสิบห้าปีก็มาจอดในที่ประจำเมื่อเวลาผ่านเก้านาฬิกาไปแล้วเมื่อเปิดประตูรถออกมา ไปรยาก็เร่งสาวเท้าลัดเลาะไปตามทางเดินริมสวนเพื่อไปยังจุดนัดหมาย แม้รู้ว่าตัวเองสาย แต่หล่อนก็พยายามไปให้ถึงเร็วที่สุดร่างของหญิงสาวในเครื่องแต่งกายด้วยเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำสวมรองเท้าผ้าใบลำลองนั้นอยู่ในสายตาของผู้ชายคนหนึ่ง เขามองหล่อนตั้งแต่วิ่งออกมาจากลานจอดรถ ก
“นั่นสิ...แต่กิ๊บก็ยังงงว่าพี่ยุ้ยขอบคุณกิ๊บทำไม” “ตอนแรกเขาจองสามวัน แต่พอเห็นกุ๊บกิ๊บเมื่อเช้า เขาก็เปลี่ยนใจจองยาวเป็นเดือนเลย ดูท่าจะกระเป๋าหนักน่าดู”“จริงหรือคะ แล้วเขาเป็นใครกัน” อารมณ์ดีใจที่โรงแรมมีลูกค้ารายใหญ่เข้ามาตั้งแต่เช้าค่อยๆ คลาย คุณแม่ลูกหนึ่งกะพริบตาปริบๆ สีหน้าระแวดระวังขึ้นมาทันใด การทำงานเป็นพนักงานอยู่ในโรงแรม แม้เป็นโรงแรมระดับดี แต่มักมีพวกเสี่ยใหญ่ที่ชอบหลอกล่อทีเล่นทีจริง แถมบางคนพอรู้ว่าหล่อนเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวก็ยิ่งเพิ่มดีกรีความกระหาย“อยากรู้ชื่อลูกค้าหรือเปล่า” “ไม่เอาดีกว่าค่ะ ไม่ต้องบอก”ไปรยาปฏิเสธรัวเร็ว ขอไม่รู้ไม่เห็นและไม่เกี่ยวข้องไว้ก่อน เพราะดูท่าจะไม่ชอบมาพากลเสียแล้ว ก่อนหล่อนจะจ้ำเท้าไปยังพื้นที่รับประทานอาหารมื้อเช้าของแขกที่เข้าพักในโรงแรมหญิงสาวเป็นพนักงานในสำนักงานส่วนหน้า วันนี้หล่อนเข้าทำงานสาย แม้จะบอกผู้จัดการไว้ก่อนแล้ว แต่หล่อนก็อยากชดเชยด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้เต็มขีดภายในเวลาที่จำกัด และเมื่อถึงเวลาเลิกงานของตัวเอง หล่อนจึงแทบทรุดเพราะหมดแรง“ขอโทษนะคะที่วันนี้มาสายแล้วยังกลับเร็วอีก พรุ่งนี้สัญญาว่าจะเข้างานตั้ง
“เย่ๆ แม่กุ๊บกิ๊บมารับอชิแล้ว”แค่เปิดประตูรถออกมาหลังจากนำรถไปจอดหน้าประตูรั้วเตี้ยๆ หน้าบ้านพักครูประจำชั้นของลูกชาย ไปรยาก็ได้ยินเสียงใสๆ ดังขึ้น หัวใจที่เต้นระส่ำมาตลอดทางถูกปลอบประโลมด้วยรอยยิ้มของลูกอชิระกำลังยิ้มแป้น ดวงตาเรียวยิบหยี ก่อนเจ้าตัวน้อยจะหันไปบอกคุณครูที่ออกมาดูด้วยตัวเอง“คุณครูคร้าบ แม่อชิมาแล้วครับ”ท่าทางของเด็กชายนั้นสดใสร่าเริง หากไปรยาไม่รู้ว่าก่อนหน้าที่หล่อนจะมาถึงนั้น อชิระเป็นอย่างไรบ้าง“สวัสดีค่ะ กิ๊บมารับอชิช้า ต้องรบกวนคุณครูให้ช่วยดูแล ขอโทษด้วยนะคะ”“ไม่เป็นไรค่ะ อชิบอกครูไว้แล้วว่าสงสัยวันนี้เลโอจะเกเร แม่กุ๊บกิ๊บเลยมารับช้า” คุณครูบอกอย่างเอ็นดู ไปรยาก็อดที่จะยิ้มอย่างภูมิใจในตัวลูกชายไม่ได้ ลูกชายเชื่อมั่นในตัวเธอ อชิระพยายามทำตัวเข้มแข็งเสมอ แต่ไปรยาก็รู้ว่าเจ้าตัวทำได้ดีในระดับที่เด็กสามขวบจะทำได้เท่านั้น หล่อนจึงพยายามไม่ผิดเวลานัด เพราะไม่อยากให้ลูกรู้สึกโดดเดี่ยวจนเกิดเป็นความไม่มั่นคงขึ้นในจิตใจ...ทว่าหลายครั้งก็ยังมีเหตุที่หล่อนไม่อาจควบคุมได้“งั้นอชิเข้าไปเอากระเป๋า แล้วลาคุณครูปุ้ย เราจะกลับบ้านกันค่ะ” เพียงแค่แม่บอก อชิระก็วิ่งปรู
รถยนต์คันสีขาวค่อนข้างเก่าแล่นมาจอดหน้าบ้านหลังสีฟ้าในเวลาหกโมงเย็นไปแล้ว ระยะทางจากบ้านพักครูถึงบ้านหลังนี้ไม่ไกลหรอก ใช้เวลาขับรถไม่กี่นาทีก็ถึง หากวันนี้สองแม่ลูกสมัครใจที่จะขับรถออกนอกเส้นทางไปยังตลาดขายส่งของสดและผลิตผลทางการเกษตรที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนัก...แม้คนเป็นแม่จะไม่ได้อะไรกลับมาเป็นชิ้นเป็นอัน แต่สำหรับเด็กชายนั้นกำลังปลื้มอย่างหนักกับของที่แม่ยอมซื้อให้เมื่อหญิงสาวนำรถเข้าไปจอดภายในรั้วบ้านอย่างเรียบร้อย หล่อนจึงอนุญาตให้ลูกชายลงจากรถได้ อชิระปีนลงมา ในมือถือถุงพลาสติกใสที่มีถุงน้ำอยู่ข้างใน...และเจ้าตัวก็ลืมข้าวของชิ้นอื่นของตัวเองไปเสียสิ้น“คุณตาคร้าบ อชิมีปลาหางปายูนเยอะแยะเลย อชิจะเลี้ยงให้มันตัวโตๆ เลยครับ” เด็กชายบอกเสียงเจื้อยแจ้ว พลางยกถุงในมือให้คุณตาข้างบ้านดู อชิระจะเรียกทุกคนที่เป็นผู้ใหญ่วัยเดียวกับคุณตาของตัวเองว่าคุณตาแทบทั้งสิ้น“อชิจะเลี้ยงปลาอะไรนะ ตาฟังไม่ถนัด”“ปลาหางปายูนครับ” เด็กชายบอกเสียงดังฟังชัด แถมท่าทียังมั่นใจเสียด้วย จนคนเป็นแม่ต้องบอกตามหลัง“ปลาหางนกยูงค่ะคุณตา พาไปซื้อที่ตลาดมาเมื่อกี้”“ใช่ครับๆ อชิจะเลี้ยงปลาหางปายูน” อชิระพยักหน้
“คุณมาบ้านฉันทำไม” ไปรยาเปิดฉากถามเมื่อเห็นว่าลูกชายเข้าบ้านไปแล้ว“กุ๊บกิ๊บอยู่บ้านหลังนี้หรือ”“นี่เป็นบ้านของฉัน”คำพูดแสนธรรมดา หากทำให้คนฟังต้องกลั้นลมหายใจ เขาเคยถามคำถามนี้กับเด็กชายเมื่อตอนพบกันครั้งแรก และยังจำได้แม่นยำว่าเจ้าตัวตอบเขาว่าอย่างไร‘ใช่ครับ นี่บ้านของอชิ’ “กุ๊บกิ๊บอยู่กับเจ้าหย็อง...” เผลอหลุดปากไปแล้ว และดวงตาของคนเบื้องหน้าที่อยู่ห่างแค่รั้วโปร่งกั้นก็ทอประกายวาบ หล่อนสาวเท้ามาหาเขาอย่างเอาเรื่อง “อย่าเรียกลูกฉันว่าเจ้าหย็องอีก” เสียงกร้าวราวแม่เสือลูกอ่อนจากคนหน้าหวานที่ยังมีเครื่องสำอางแต่งแต้มอย่างจัดเต็มนั้นทำให้อาณัตินิ่งงันเหมือนถูกตรึง...เขาได้คำตอบโดยที่ยังไม่ได้ถาม“เขาไม่ใช่ลูกพี่ป้องหรือ”ไปรยาถึงกับงงงันเมื่อได้ยินเสียงถามราวกับละเมอของเขา หล่อนนึกไม่ถึงว่าอาณัติจะเข้าใจอย่างนั้น แต่พอนึกถึงเหตุผลว่าคงเป็นเพราะเขาโฟกัสแต่เรื่องของพี่ชายกับเขาที่ยังคาราคาซังกันอยู่ ซึ่งพี่ชายของหล่อนก็เป็นฝ่ายผิดเต็มประตู หญิงสาวจึงต้องเปลี่ยนตัวเองจากการรุกไล่มาเป็นฝ่ายตั้งรับแทนท่าทีที่อ่อนลงของไปรยาอยู่ในสายตาของอาณัติ เขาจึงฉวยโอกาสถามหล่อนต่อ“พี่ป้องไม่อย
“หน้าตาโหงวเฮ้งดีเชียว หน้าเรียวผุดผ่อง หน้าผากนูนเกลี้ยง ไม่มีรอย แก้มก็อิ่ม ผิวพรรณดี”บรรยากาศภายในห้องพักผ่อนของบ้านจัดสรรสองชั้นในโครงการหรูเป็นไปอย่างสงบ หากท่าทีของคุณนายอรอรก็สร้างความแปลกใจให้กับลูกชายและแม่ของหลานนัก“ไหน เอามือมาให้แม่ดูสิ” แค่จบคำพูด คุณนายอรอรก็ดึงมือบางของคนที่นั่งข้างๆ มากุมไว้เอง หญิงสาวถึงกับสะดุ้ง เพราะไม่ทันตั้งตัว “มือไม่นุ่มเท่าไร หนูคงต้องทำงานอยู่ตลอดสินะ แต่ไม่เป็นไร ทาโลชันบ่อยๆ ไม่นานก็หาย แต่นิ้วมือเรียวอวบดี ลักษณะส่งเสริมคู่ครอง”“แม่ทำอะไรเนี่ย แล้วแม่เป็นหมอดูโหวงเฮ้งตั้งแต่เมื่อไร”อาณัติอดที่จะถามเพราะสงสัยไม่ได้ อีกทั้งยังเกรงว่าไปรยาจะอึดอัดและกลัวว่าที่แม่สามีไปเสียก่อน“ฉันหัดดูตั้งแต่มีพี่สะใภ้แก”ถ้านับนิ้วก็คงเป็นเวลาไม่กี่เดือนสินะ...ลูกชายตีสีหน้าประหลาดเมื่อมองแม่หมอมือใหม่กำลังลองวิชากับว่าที่ลูกสะใภ้คนใหม่ หากคนใกล้ชิดคุณนายอรอรที่ติดตามมาด้วยนั้นก็บอกให้เขาเข้าใจ“สบายใจเถอะค่ะ คุณนายรักลูกสะใภ้จนเป็นที่เลื่องลือทั้
แล้วอาณัติก็ส่งเบอร์โทร.ของพ่อตาไปให้แม่ เขาได้เบอร์นี้มาพร้อมกับเบอร์ของปกป้อง...หรือจะพูดให้ถูกนั่นก็คือเขาแอบเก็บเบอร์ของพ่อตามาในคราวนั้นด้วยพอเห็นว่าหมดธุระกับเขาแล้ว คุณนายอรอรก็เอนกายนอนบนเก้าอี้นอนเล่นในห้องพักผ่อนแล้วหลับตาลง เป็นการปิดการสนทนากลายๆ จากนั้นอาณัติถึงได้ขับรถออกมารับลูกชายนี่แหละ“พ่อครับ คุณย่าจะใจดีกับแม่กุ๊บกิ๊บไหมครับ”คำถามของลูกทำให้เขาต้องนิ่งงัน รับรู้ถึงสายใยระหว่างแม่และลูกชายที่ไม่อาจแยกจากกัน“คุณย่าเป็นคนใจดี พ่อคิดว่าคุณย่าจะใจดีกับแม่ด้วย แต่ถ้าอชิอยากรู้จริงๆ อชิต้องถามคุณย่าเอาเองนะ”เด็กชายตีสีหน้าครุ่นคิด เรียวคิ้วเล็กขมวดเข้าหากันอย่างน่าเอ็นดู จู่ๆ เขาก็อยากรู้ความคิดของลูกขึ้นมา“คุณย่าต้องใจดีกับแม่กุ๊บกิ๊บแน่นอนครับ เพราะแม่กุ๊บกิ๊บสวย แม่กุ๊บกิ๊บรักอชิมากด้วย”“เหตุผลเข้าท่า...แต่ถ้าแม่กุ๊บกิ๊บรักพ่ออู๋ด้วยก็จะสมบูรณ์แบบมากกว่านี้”“แม่กุ๊บกิ๊บรักพ่ออู๋ครับ ถ้าแม่ไม่รัก แม่ไม่ให้พ่อกอดหรอก ไม่ให้พ่อหอมแก้มด้วย”“เดี๋ยว
ช่วงบ่ายของวันศุกร์ ผู้ชายรูปร่างสูง หน้าตาหล่อเหลา รูปลักษณ์เด่นสะดุดตากำลังยืนอยู่ที่หน้าประตูรั้วโรงเรียนอนุบาล เขาจะอยู่ตรงนี้ตรงตามเวลาทุกวัน เป็นอันรู้กันว่าเขาเป็นคุณพ่อของเด็กชายอชิระหากก่อนหน้านี้ไม่ว่าคุณครูหรือเพื่อนนักเรียนตัวน้อยต่างคุ้นเคยว่าคุณแม่ของอชิระจะเป็นคนมารับเด็กชาย และคุณแม่ก็มักมารับช้ากว่าพ่อแม่ของนักเรียนคนอื่นด้วยเหตุผลจากภาระหน้าที่การงาน ทำให้อชิระต้องกลับบ้านเป็นกลุ่มสุดท้ายเกือบทุกวัน แต่เดี๋ยวนี้เพียงแค่เลิกเรียน เด็กชายก็วิ่งออกมาเป็นคนแรกๆ เพราะรู้ว่าพ่อของตนจะต้องมารออยู่ก่อนแล้ว…และวันนี้ก็เช่นกัน“พ่ออู๋มารับอชิแล้วครับ”เด็กชายร้องบอกคุณครู แล้วกระโดดเหยงๆ พลางโบกไม้โบกมือให้พ่อเห็นว่าตนมาแล้ว“อชิลาคุณครูแล้วก็กลับบ้านได้ค่ะ อย่าลืมสวัสดีคุณพ่อด้วยนะคะ”“ครับคุณครู” เด็กชายทำตามคุณครูบอกอย่างว่าง่าย เมื่อวิ่งไปหาพ่อก็ยกสองมือป้อมๆ ขึ้นมาไหว้หัวใจของอาณัติเบ่งบาน เขาบอกไม่ได้เลยว่าความสุขในทุกวันนี้นอกจากการเห็นรอยยิ้มของลูกแล้ว ยังมีสิ่งใดที่มีค
“บอกพี่สิว่ากุ๊บกิ๊บยังติดอะไร ถึงได้ไม่อยากเริ่มต้นใหม่กับพี่”“คุณก็รู้”“พี่รู้? รู้อะไร?”“คุณกลับมาที่นี่เพื่ออะไรคะ ก่อนที่คุณจะรู้ว่าฉันมีอชิอยู่ด้วย”คำถามนั้นทำให้ชายหนุ่มนิ่งงัน ก่อนเขาจะถามกลับทั้งที่รู้แก่ใจว่าหล่อนหมายถึงอะไร“กุ๊บกิ๊บหมายถึงหนี้ของพี่ป้องใช่ไหม”“ตอนนี้มันไม่ได้เป็นแค่หนี้ของพี่ป้องค่ะ แต่เป็นหนี้ของครอบครัวเรา”“พี่ไม่เคยคิดอย่างนั้น ถึงพี่ป้องจะเป็นพี่ชายของกุ๊กกิ๊บ แต่พี่ก็ไม่เคยอยากให้กุ๊บกิ๊บมาใช้หนี้แทนเขา มันไม่ยุติธรรม ใครก่อเรื่องไว้ก็ต้องให้คนนั้นรับผิดชอบ”อาณัติพูดง่าย...แต่ในความเป็นจริง ไปรยากับพ่อทำไม่ได้“เราเลี่ยงความรับผิดชอบไม่ได้หรอกค่ะ”“เพราะพี่ป้องหนีไป กุ๊บกิ๊บกับพ่อต้องอยู่รับหน้าก็เลยต้องใช้หนี้แทนเขาอย่างนั้นหรือ”ในทีแรกไปรยาไม่ได้คิดว่าเรื่องจะมาถึงขั้นนี้ หล่อนเข้าใจว่าปกป้องไปทำงานที่อื่นเพื่อจะหาเงินส่งมาใช้หนี้ พี่ชายคงรับผิดชอบหนี้สินที่ตัวเองก่อขึ้น หากหล่อน
รถคันสีขาวค่อนข้างเก่าเคลื่อนมาจอดหน้าบ้านจัดสรรที่อยู่ค่อนไปทางด้านหลังของโครงการหรู แม้บ้านหลังนี้จะมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับหลังอื่นในโครงการเดียวกัน แต่พื้นที่รอบบ้านนั้นกว้างขวางไม่ต่างกันไปรยาเปิดประตูรถออกมาหลังจากดับเครื่องยนต์แล้ว เมื่อสักครู่หล่อนขับรถผ่านป้อมยามหน้าหมู่บ้านก็สัมผัสได้ถึงมาตรการรักษาความปลอดภัยที่มีค่อนข้างสูง หากพอมาถึงบ้านหลังนี้ หล่อนก็ขับรถเข้ามาได้เลย เพราะประตูรั้วเปิดกว้างอยู่หล่อนมาไม่ผิดบ้านแน่นอน เพราะเห็นรถคันสีดำคุ้นตาจอดอยู่ เมื่อมองผ่านผนังกระจกเข้าไปในห้องหนึ่งซึ่งมีสภาพโล่งว่าง ไม่มีผ้าม่านกำบัง และทั่วทั้งห้องก็แทบไม่มีเฟอร์นิเจอร์ หล่อนก็เห็นลูกชายกำลังนั่งอยู่กลางพื้นห้อง ใกล้กันนั้นก็เห็นคนตัวใหญ่นั่งอยู่บนเก้าอี้ด้วยท่าทางจดจ่ออยู่กับอะไรสักอย่าง...พวกเขายังไม่รู้ถึงการมาของหล่อนไปรยาตัดสินใจเดินเข้าไปในบ้าน ผ่านห้องโถงใหญ่แล้วตรงไปยังห้องนั้น เมื่อหล่อนปรากฏตัวอยู่ตรงประตู พวกเขาจึงเงยหน้าขึ้นมามอง“แม่มารับอชิแล้ว”อชิระร้องบอก รอยยิ้มกว้างประดับบนดวงหน้าเล็กกลมที่เปรอะเปื้อนเศษอาหาร เนื้อตัวก็มอ
เป็นเวลานานกว่าสองสัปดาห์แล้วที่อาณัติรับหน้าที่ไปรับอชิระกลับจากโรงเรียน โดยไปรยาได้แจ้งกับทางโรงเรียนไว้ล่วงหน้าแล้ว เนื่องจากช่วงนี้สถานการณ์ของโรงแรมดีขึ้น ลูกค้าเข้ามาพักมากกว่าเดิม หัวหน้าแผนกจึงขอให้หล่อนยืดเวลาเลิกงานเป็นห้าโมงเย็นเหมือนกับพนักงานคนอื่นหลังจากเลิกเรียน อชิระจึงต้องอยู่กับพ่อ เพื่อรอแม่เลิกงานแล้วกลับบ้านไปพร้อมกัน ระหว่างนั้นเด็กชายจะอยู่ในห้องพักของพ่อในโรงแรม แต่บางวันพ่อก็จะพามาที่บ้านหลังใหม่ที่เพิ่งซื้อได้ไม่นาน ซึ่งเป็นบ้านที่อยู่ในโครงการหรูที่อชิระเคยมาดูพร้อมพ่อและแม่นั่นเอง และตอนนี้บ้านหลังนี้ก็อยู่ในระหว่างการตกแต่ง“พ่อครับ อชิเอาปลาหางปายูนมาอยู่กับปลาคาร์ปได้ไหมครับ”อชิระถามขึ้นเมื่อเกาะผนังกระจกในห้องพักผ่อนแล้วมองออกไปข้างนอก เห็นคนงานกำลังสร้างบ่อปลาคาร์ปภายในพื้นที่สวน เด็กชายเห็นว่าบ่อมีขนาดใหญ่ ถ้าหากจะให้ปลาหางนกยูงของตนมาอยู่ด้วยก็คงน่าสนใจไม่น้อย“ปล่อยให้ปลาหางนกยูงอยู่ในอ่างบัวนั่นแหละดีแล้ว มันอยู่ตรงนั้นสบายแล้วนะ”อาณัติเกรงว่าถ้าปล่อยให้ปลาทั้งสองชนิดมาอยู่ร่วมกัน ปลาหางนกยูงอาจ
ไปรยาออกมาจากห้องนอนหลังจากอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนอนแล้ว เสียงโทรทัศน์ในห้องนั่งเล่นยังคงดังมาให้ได้ยิน หญิงสาวจึงเดินไปดูลูกชายที่นอนปิกนิกที่หล่อนปูไว้ให้นั้นว่างเปล่า แต่มีรอยยับย่นของผ้าปูนอนซึ่งบอกให้ว่าเจ้าตัวคงเพิ่งลุกไปไหนสักที่ และไม่ต้องมองหานาน หญิงสาวก็เห็นร่างเล็กยืนขยุกขยิกข้างโต๊ะไม้ตรงมุมห้อง ซึ่งบนโต๊ะนั้นมีช่อดอกไม้วางอยู่“อชิทำอะไรคะ” ไปรยาถาม หลังจากมองลูกอยู่หลายวินาที แล้วเด็กชายก็หันมาตอบ“อชิดูดอกไม้ครับ”“อชิชอบหรือคะ แม่ยกให้เอาไหม”“ไม่เอาครับ ดอกไม้ของแม่กุ๊บกิ๊บ พ่ออู๋ให้ดอกไม้สวยๆ แม่กุ๊บกิ๊บต้องเก็บไว้ดีๆ นะครับ”“หือ...อะไรเนี่ย ลูกชายของแม่”ไปรยานึกขันคนเจ้ากี้เจ้าการ ตั้งแต่เป็นธุระจัดการนำดอกไม้มาให้หล่อน กระทั่งบอกให้หล่อนเก็บดอกไม้ช่อนี้ไว้ดีๆ“งั้นแม่จะเอาดอกไม้ใส่แจกันไว้ก็แล้วกันนะคะ”ไปรยาตอบสนองคำพูดของลูกชาย เพราะเห็นว่าดอกไม้ช่อนี้คงมีราคาไม่น้อย หากปล่อยให้เหี่ยวเฉาเร็วเกินไปก็น่าเสียดาย
กว่าครอบครัวเล็กซึ่งประกอบด้วยพ่อแม่และลูกชายตามสายตาของพนักงานขายบ้านโครงการหรูจะเสร็จสิ้นจากการดูบ้านและขับรถออกจากโครงการก็เป็นเวลาใกล้หกโมงเย็น หากพวกเธอยินดีให้บริการ เพราะสัมผัสได้ว่าลูกค้ามีกำลังซื้อ อีกทั้งเขาสนใจที่จะซื้อบ้านอย่างจริงจังอาณัติพาไปรยาและอชิระไปรับประทานอาหาร เขาเลือกร้านอาหารที่อยู่ใกล้โครงการบ้านจัดสรรแห่งนั้น เพราะเห็นว่าเลยเวลาอาหารเย็นของเด็กชายไปพอสมควร แต่เจ้าตัวเล็กก็ไม่บ่นว่าหิวสักคำ เพราะได้กินทั้งนมและขนมไปจนอิ่มแปล้แล้วดังนั้นกว่ารถคันสีดำจะแล่นไปจอดหน้าบ้านชั้นเดียวหลังสีฟ้าได้ก็เป็นเวลาหัวค่ำ อาณัติลงจากรถแล้วไปเปิดประตูให้ลูกชายลงมา ขณะที่ไปรยากำลังไขกุญแจประตูรั้วบ้าน“อชิหยิบดอกไม้ของพ่อมาด้วย”ดอกไม้ช่อใหญ่ที่วางบนเบาะหลังข้างเก้าอี้ที่นั่งของอชิระยังคงงดงามดี แม้มันจะไม่สดเหมือนกับตอนที่ร้านมาส่ง เด็กชายหอบดอกไม้ช่อนั้นแทบไม่ไหว จนพ่อต้องยื่นมือไปช่วยอีกแรงไปรยาหันไปมองสองพ่อลูกที่ช่วยกันหอบดอกไม้ทั้งช่ออย่างแปลกใจ พวกเขาเดินผ่านประตูรั้วที่หล่อนเปิดกว้างไว้ให้เข้ามาในเขตบ้าน หล่อนนึกสงสัยว่าทั้งสองคน
“แม่ว่ายังไงครับ หลังนี้เป็นบ้านตัวอย่างนะ แต่จะมีอีกหลังที่คล้ายกัน อยู่ด้านหลังของโครงการ หลังนั้นไม่มีสระว่ายน้ำ อชิน่าจะชอบครับ เพราะรอบบ้านเป็นสนามหญ้าทั้งหมด”อาณัติกำลังวิดีโอคอลกับคุณนายอรอร ไปรยาเห็นเข้าก็ดึงลูกชายออกมาห่างๆ เพราะหล่อนไม่รู้ว่าแม่ของเขาคิดกับอชิระอย่างไร อีกทั้งหล่อนเองก็ยังไม่รู้จักแม่ของเขา รู้แต่ว่าท่านเป็นเศรษฐินีที่มีชื่อในระดับจังหวัด และหล่อนก็รู้เรื่องนี้หลังจากเลิกรากับอาณัติไปแล้ว‘ไอ้อู๋มันทิ้งกุ๊บกิ๊บไปเมืองนอก เพราะเงินไม่กี่แสนเนี่ยนะ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วย ไม่เข้าใจจริงๆ เป็นลูกเศรษฐีประสาอะไร...คิดเล็กคิดน้อยไม่เข้าท่า’ปกป้องต่อว่าอาณัติลับหลัง ไปรยาได้ฟังก็น้ำตาตกใน เวลานั้นหล่อนสับสน ทุกข์ใจ และหดหู่ ได้แต่รับรู้การตัดสินใจของพี่ชายว่าเขาจะออกไปจากบ้านด้วย แล้วสุดท้ายก็เหลือเพียงหล่อนคนเดียว กระทั่งพ่อเข้ามาจัดการจนทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง ซึ่งทำให้ไปรยาลุกขึ้นเดินไปข้างหน้าได้อีกครั้ง“กำลังคิดอะไร หน้าเศร้าอีกแล้ว”เสียงนุ่มทุ้มดังอยู่ใกล้ๆ ไปรยารู้สึกตัวก็ต