LOGINสิ่งของที่อยู่ในมือนางคือสิ่งของที่มีรูปลักษณ์เป็นป้ายหยกแต่ผิวสัมผัสไม่เหมือนหยกทั่วไป มีร่องรอยที่ผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วงจึงมีรอยร้าวไปทั่วทั้งแผ่น ในตอนที่นางจับมันครั้งแรก นางก็รู้สึกได้ทันทีว่ามันจะใช้งานได้อีกแค่สองถึงสามครั้งเท่านั้น
“อุปกรณ์ติดตามมันอยู่ตรงไหนกัน?” อิงหลิวพลิกป้ายดูหน้าหลังทั้งยังเอาป้ายที่อยู่ในมือไปส่องกับแสงเทียนที่ถูกจุดในห้อง
“ระบบไม่สามารถชี้ชัดได้ โฮสต์ต้องทำการเลื่อนระดับของระบบก่อน”
“เดี๋ยวนะ ระบบของผู้เกิดใหม่มีการทำงานอย่างไรเหรอ แล้วการเลื่อนระดับจะต้องเลื่อนอย่างไร?” นางถามกลับด้วยความสงสัย ใช่ว่าในภพก่อนนางจะไม่เคยอ่านนิยายแนวระบบ แต่ระบบที่โผล่ในนิยายกับระบบในชีวิตจริงใช่ว่าจะมีการทำงานเหมือนกันเสียหน่อย
“ระบบของผู้เกิดใหม่ จะมีการสุ่มวงล้อวันละครั้ง นับรอบทุก ๆ เที่ยงคืน” เสียงระบบหายเงียบไปสักพักก่อนจะกลับมาดังขึ้นอีกครั้ง
“สำเร็จภารกิจลับ ได้รับค่าประสบการณ์ +100”
“ภารกิจลับอะไร หรือการที่ข้าถามว่าระบบจะเลื่อนระดับยังไง คือภารกิจลับ?” นางถามขึ้นอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ทำอะไรก็สำเร็จภารกิจแบบงง ๆ เสียแล้ว
“ภารกิจลับแต่ละครั้งมาไม่เป็นเวลาหรอกโฮสต์ โฮสต์อย่าได้คิดมาก ส่วนการที่โอสต์สำเร็จภารกิจลับในครั้งนี้ก็เป็นเพราะโชคของโฮสต์เท่านั้น ในตอนที่ระบบพูดคุยกับโฮสต์ มันตรงกับที่ระบบแม่มอบภารกิจลับให้พอดี เนื้อหาของภารกิจลับในครั้งนี้ คือ การตรวจสอบสมบัติวิเศษระดับที่ 2 ซึ่งบังเอิญว่าตรงกับสมบัติในมือของโฮสต์พอดี” หลังอิงหลิวฟังคำอธิบายของระบบนางก็เข้าใจ เพราะเมื่อสักครู่นางพยายามตรวจสอบสมบัติในมือเพื่อหาอุปกรณ์ติดตามที่ซ่อนอยู่
“แล้ว ค่าประสบการณ์ที่ได้ มีไว้สำหรับการเลื่อนระดับเหรอ?” สิ้นเสียงของนาง ระบบก็บอกนางให้ทำการตรวจดูสถานะของตน
“โฮสต์: โจวอิงหลิว
ระบบ : 0
ระดับ : คนธรรมดา
ค่าประสบการณ์ : 100/100
คะแนนสะสม : 0
แนวทางบ่มเพาะ : ไม่มี
สถานะ : ปกติ”
“ค่าประสบการณ์ถึงกำหนด ทำการเลื่อนระดับระบบ”
“เลื่อนระดับสำเร็จ ยินดีด้วย โฮสต์เข้าสู่เส้นทาง ผู้ฝึกตน”
“โฮสต์โปรดกดสุ่ม แนวทางในการฝึกตน” อิงหลิวที่กำลังตกใจกับสิ่งที่นางได้ยิน ผู้ฝึกตน!? นางสามารถฝึกตนได้แล้งหรือ!? ก็รีบเปิดปากทันที “สุ่มเลย”
วงล้อที่ปรากฏตรงหน้าทำให้นางอดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น ต้องเข้าใจก่อนว่านางรู้มาตลอดว่าภพที่นางอยู่มีผู้ฝึกตนอยู่จริง และนางก็ใฝ่ฝันว่าอยากจะเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตน แต่เมื่อพบว่าในร่างกายนางไม่มีรากวิญญาณนางก็หยุดคิดเพ้อฝันแล้ว แต่แล้วในวันนี้ความใฝ่ฝันตลอดสิบกว่าปีของนางกำลังจะเป็นจริง
“ยินดีด้วย โฮสต์สุ่มได้ แนวทางบ่มเพาะ แพทย์โอสถ”
“ตรวจพบรากวิญญาณในกายโฮสต์ถูกขโมย กำลังทำการเยียวยา”
“เยียวยาล้มเหลว กำลังทำการขอความช่วยเหลือ โฮสต์โปรดรอสักครู่”
“อะไรนะ รากวิญญาณถูกขโมยเหรอ” อิงหลิวพยายามนึกย้อนกลับ นางเคยเข้ารับการตรวจรากวิญญาณในตอนที่นางอายุครบห้าขวบ ตอนนั้นนางตรวจไม่พบรากวิญญาณ แสดงว่ารากวิญญาณนางถูกขโมยไปก่อนอายุห้าขวบ หรือเป็นเพราะว่าบิดาและมารดาของนาง เดี๋ยวสิ มารดาเคยนางเคยพูดกับบิดาของนางว่า
“…นับจากนี้พวกเราไม่ได้ติดค้างอะไรกับเด็กคนนี้อีก”
ใช่สิ ในตอนนั้นนางคิดว่าพวกเขาหมายถึงเรื่องอื่น เรื่องที่ไม่ได้เลี้ยงดูนาง หรือเรื่องที่พวกเขาจะทิ้งนางไป สุดท้ายก็หมายถึงเรื่องนี้สินะ เรื่องที่ขโมยรากวิญญาณของนางนี่เอง
“ระบบสามารถตรวจสอบดูได้ไหมว่า รากวิญญาณของข้าที่ถูกขโมยไป เป็นรากวิญญาณอะไร?” นางเอ่ยถามขึ้นด้วยความอยากรู้ คงต้องเป็นรากวิญญาณที่หายากเป็นแน่ พวกเขาถึงได้ตัดสินใจที่จะขโมยรากวิญญาณของผู้เป็นบุตรสาวเช่นนาง
“เป็นรากวิญญาณสวรรค์ธาตุน้ำแข็ง” สิ้นเสียงของระบบ นางก็ได้แต่นั่งทำใจ ดีจริง รากวิญญาณสวรรค์ว่าหายากแล้ว ยิ่งเป็นธาตุน้ำแข็ง ใช่ว่าพันปีจะหาได้สักคน แต่บิดามารดาของนางถึงขั้นขโมยรากวิญญาณของบุตรสาวตนไป
“ระบบผู้ที่มีอายุมากกว่าสามสิบปี สามารถเปลี่ยนรากวิญญาณได้หรือไม่?” นางรู้ดีว่าคนในตระกูลโจวอย่างพวกอารอง อาสาม คงไม่ขโมยรากวิญญาณของนางหรอก เพราะร่างกายคนธรรมดาที่ไม่เคยมีรากวิญญาณมาก่อนไม่สามารถรองรับรากวิญญาณของผู้อื่นได้ ยกเว้นแต่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นผู้บ่มเพาะมาก่อน
“ไม่สามารถทำได้ ยกเว้นคนผู้นั้นจะทำลายรากวิญญาณในตัวเพื่อเปลี่ยนรากวิญญาณใหม่ ยังมีอีกวิธีหนึ่งคือ เด็กที่อายุต่ำกว่าสิบปี จะสามารถเปลี่ยนรากวิญญาณได้โดยการใช้โอสถแลกเปลี่ยนวิญญาณ” สิ้นเสียงของระบบ นางก็เข้าใจทันที หากบิดามารดาของนางไม่ได้ต้องการใช้รากวิญญาณสวรรค์นี้ ก็คงเอาไปให้คุณหนูที่พวกเขาเคยพูดถึง น้ำเสียงที่พวกเขาพูดถึงคุณหนูผู้นั้น ช่างเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักอย่างแท้จริง
“โฮสต์อย่าได้เศร้าใจ ระบบขอความช่วยเหลือไปยังระบบแม่แล้ว เพราะครั้งนี้ถึงว่าเป็นกรณีพิเศษ”
“ขอบใจเจ้ามากนะ ข้าไม่คิดใส่ใจแล้ว กลับมาเรื่องก่อนหน้านี้ดีกว่า ระบบของผู้เกิดใหม่มีการทำงานอย่างไรบ้าง ยกเว้นที่สามารถสุ่มได้รายวัน” อิงหลิวเอ่ยถามย้ำอีกครั้ง
“ยกเว้นการสุ่มรายวันที่ไม่สามารถสะสมไปในวันถัดไปได้ ก็มีภารกิจลับหรือภารกิจที่จะถูกส่งมอบมาเป็นกรณีพิเศษ อย่างภารกิจลับที่โฮสต์เพิ่งได้รับเมื่อสักครู่ ส่วนภารกิจที่ส่งมอบเป็นพิเศษส่วนใหญ่จะเป็นการช่วยเหลือเป็นหลัก เพราะระบบอย่างพวกเราถูกสร้างขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้คน ยกเว้นก็แต่ถ้าระบบตรวจพบเจอผู้ที่มีจิตใจดำมืดเกินกว่าที่ช่วยเหลือได้ ภารกิจที่ได้ก็จะเป็นการกำจัดคนผู้นั้น โฮสต์โปรดวางใจ คนประเภทนี้ใช่ว่าจะเจอง่าย ๆ”
“อ๋อ ข้าเข้าใจแล้ว แล้วเรื่องรางวัลภารกิจล่ะ?” อิงหลิวยังคงนั่งงงกับรางวัลที่นางเพิ่งได้รับ
“รางวัลภารกิจลับเป็นการสุ่ม อย่างภารกิจลับเมื่อครู่ รางวัลคือค่าประสบการณ์ ส่วนภารกิจทั่วไปจะเป็นคะแนนสะสม ซึ่งส่วนนี้จะสามารถแลกเปลี่ยนในร้านค้า หรือ เปลี่ยนเป็นค่าประสบการณ์ในอัตราส่วน 1 ต่อ 1 “
“และการเลื่อนระดับในแต่ละระดับ จะมีของรางวัลในแต่ละระดับ อย่างระดับที่หนึ่ง ของรางวัลคือ การเข้าสู่เส้นทางผู้ฝึกตน” อิงหลิวนั่งนิ่ง ตั้งใจฟังในสิ่งที่ระบบกำลังอธิบาย ก่อนที่นางจะพยักหน้าเข้าใจ
“ข้าเข้าใจแล้ว แล้วตอนนี้ข้าสามารถตรวจสอบสมบัติวิเศษพวกนี้ได้หรือยัง?” นางวนกลับมาสนใจสมบัติวิเศษอีกครั้ง เพราะในจี้หยกที่บิดามารดามอบให้ตอนนางสองขวบมีสมบัติหลายสิบชิ้น
“ค้นพบอุปกรณ์ติดตาม โฮสต์โปรดตรวจสอบ”
“ค้นพบอุปกรณ์ติดตาม โฮสต์โปรดตรวจสอบ”
“ค้นพบอุปกรณ์ติดตาม โฮสต์โปรดตรวจสอบ”
“ค้นพบอุปกรณ์ติดตาม โฮสต์โปรดตรวจสอบ”
“ค้นพบ...”
“ค้นพบ...” “ค้นพบ...+20”
“ปิดการแจ้งเตือนก่อนระบบ” นางค่อนข้างมึนหัวกับเสียงการแจ้งเตือนพบอุปกรณ์ติดตาม หลังนางเอาสมบัติวิเศษทั้งหมดออกมาจากจี้หยก สมบัติวิเศษที่มีเกือบ ๆ ห้าสิบชิ้น ก็ค้นพบอุปกรณ์ติดตามไม่ต่ำกว่ายี่สิบชิ้นแล้ว
“ที่ไม่มีอุปกรณ์ติดตามก็คือม้วนผ้า ปิ่นปักผม กำไล แหวน และก็สมุนไพรอีกสิบกว่าต้น ที่เหลืออย่างรองเท้า ป้ายหยก หนังสือบ่มเพาะ กับสมบัติที่มีความสามารถหลากหลายสินะที่มีอุปกรณ์ติดตาม แล้วใครที่อยากจะติดตามข้ากัน หรือว่าอยากติดตามท่านพ่อท่านแม่ แต่ข้าเป็นผู้รับกรรม” อิงหลิวลองวิเคราะห์ดู หากผู้ที่ติดอุปกรณ์ติดตามเป็นพวกเขาคู่นั้น การติดตามนางไปก็ไม่มีผลดีอะไร รากวิญญาณนางถูกขโมยไปแล้ว ไม่สามารถบ่มเพาะได้อีก ก็ตัดสาเหตุข้อนี้ออกไปได้เลย อย่างนี้ก็ต้องเป็นเหตุผลข้อที่สอง มีคนกลุ่มหนึ่งหรือคนผู้หนึ่งต้องการติดตามบิดามารดาของนาง แต่พวกเขายกจี้หยกและสมบัติวิเศษพวกนี้ให้นาง ทำให้นางกลายเป็นผู้รับเคราะห์กรรมในครั้งนี้แทน
“ดีจริงที่ข้ามีระบบ ไม่อย่างนั้นไม่อยากคิดถึงผลที่อาจจะตามมาเลย ระบบสามารถตรวจสอบและกำจัดอุปกรณ์ติดตามพวกนี้ได้หรือไม่?” อิงหลิวลองถามขึ้นมาอีกครั้ง เพราะระบบเลื่อนระดับขึ้นมาหนึ่งระดับแล้ว อาจจะมีพอมีทางแก้
“ยังไม่สามารถทำได้ ระดับของระบบยังไม่เพียงพอ แต่โฮสต์สามารถเอาสมบัติวิเศษที่มีอุปกรณ์ติดตามไปเข้าร่วมการประมูลได้ เพราะทางโรงประมูลสามารถกำจัดอุปกรณ์ติดตามพวกนี้ได้อย่างง่ายดาย แต่โฮสต์จะเสียสมบัติพวกนี้ไปและได้รับเงินกลับมาแทน” หลังฟังระบบชี้แนะทางออก นางก็เริ่มวางใจ แม้จะเสียดายสมบัติวิเศษพวกนี้เล็กน้อย แต่ของพวกนี้ก็ไม่ใช่ของล้ำค่าอะไรมากมาย แต่ละชิ้นผ่านการใช้งานอย่างหนักหน่วง แลกกับความปลอดภัยที่นางจะได้รับ คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม
“ดีที่จี้หยกนี้ไม่มีอุปกรณ์ติดตาม ไม่อย่างนั้นคงต้องยุ่งยากกว่านี้เป็นแน่”
เช้าวันใหม่หลังอิงหลิวจัดการธุระของตัวเองเสร็จ นางก็สวมใส่เสื้อคลุมที่เพิ่งได้รับเมื่อวาน ตรงเข้าโรงประมูลเพื่อเอาสมบัติวิเศษที่มีอุปกรณ์ติดตามไปเปลี่ยนเป็นเงินไว้ติดตัว หลังขอพบผู้จัดการของโรงประมูลสาขาย่อยนางก็รีบบอกถึงสาเหตุที่นางขอเข้าพบ
“ท่านช่วยกางม่านพลังป้องกันการสอดแนมและการดักฟังจะดีกว่านะเจ้าคะ” อิงหลิวเอ่ยแนะนำด้วยความเคารพ เห็นตราที่ติดบนหน้าอก ผู้บ่มเพาะของหอ หลิงหลง โรงประมูลแห่งนี้เป็นกิจการของหอหลิงหลงอย่างนั้นเหรอ
“เรียบร้อยแล้วคุณหนู เชิญคุณหนูพูดธุระของท่านได้เลย” ชายชราตรงหน้าตอบกลับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“เจ้าค่ะ ข้าเอาสมบัติวิเศษพวกนี้มาเข้าร่วมการประมูลเจ้าค่ะ แต่ว่า...” บนโต๊ะตรงหน้าที่เคยว่างเปล่า กลับเต็มไปด้วยสมบัติวิเศษระดับต้น ที่ผ่านการใช้งานมาเป็นเวลานาน แต่ถึงกระนั้นสำหรับผู้บ่มเพาะไร้สังกัดก็ยังถึงว่าเป็นของมีราคา
“อ๋อ มีอุปกรณ์ติดตาม ข้าจะไม่ถามว่าคุณหนูเอาสมบัติวิเศษพวกนี้มาจากไหน แต่หากนำเข้าประมูลจะต้องมีหักราคาค่าทำลายอุปกรณ์ติดตาม คุณหนูยอมรับได้หรือไม่?” ชายชราตรงหน้าเพียงแค่มองดู ก็รู้ได้ทันทีว่าสมบัติวิเศษตรงหน้ามีอุปกรณ์ติดตามอยู่ทุกชิ้น
“ข้ารับได้ รบกวนท่านด้วย” นางพยักหน้ายอมรับข้อตกลงทันที
“จากราคาสิบส่วน โรงประมูลหักหนึ่งส่วน ค่าทำลายอุปกรณ์อีกหนึ่งส่วน เท่ากับคุณหนูจะได้รับแปดส่วนจากราคาทั้งหมด” สิ้นเสียงของชายชรา อิงหลิวก็เผยยิ้มใต้เสื้อคลุมทันที
“นี้คือป้ายของผู้เข้าร่วมงานประมูล คุณหนูเชิญเก็บไว้ ถ้าคุณหนูต้องการนำของเข้าร่วมงานประมูลอีก ก็สามารถใช้ป้ายนี้ได้ทุกโรงประมูลในสังกัดของหอ หลิงหลง หวังว่าจะได้ทำการค้ากับคุณหนูอีก”
“ขอบคุณมากนะเจ้าคะ”
“อีกสามวันเชิญคุณหนูมาเข้าร่วมงานประมูล ถ้าหากคุณหนูไม่สะดวกสามารถใช้ป้ายนั่นขึ้นเงินได้ที่หอ หลิงหลงทุกสาขา”
“ขอบคุณอีกครั้งเจ้าค่ะ”
ดินแดนนภา
หลี่เหมยหรงกับโจวลู่เหอเป็นลูกหลานของผู้อาวุโสภายในสำนักเซียนเหิน มารดาทั้งสองของพวก ถูกส่งไปที่ดินแดนชั้นล่างเพื่อสร้างฐานอำนาจต่าง ๆ โดยร่วมมือกับลูกหลานของผู้อาวุโสคนอื่น หลังที่พวกเขาเกิดก็ถูกส่งมาเลี้ยงดูภายในสำนัก สลับกับลงไปดินแดนชั้นล่าง พวกเขาได้รับวิชาบ่มเพาะ ได้รับโอสถ และได้รับสมบัติมากมาย จนกระทั่งวันที่คุณหนูของพวกเขาเกิดพวกเขาก็ตั้งมั่นกับตัวเองว่าจะเลี้ยงดูคุณหนูให้ดีที่สุด แต่แล้วเรื่องเลวร้ายก็เกิดขึ้น...
ในวันนั้นมีผู้บ่มเพาะไร้สังกัดฝีมือร้ายกาจบุกเข้ามาเข่นฆ่าคนในสำนักไปไม่น้อยกว่าร้อยคน ดีที่เจ้าสำนักพาคุณหนูหลบหนีไปทัน โจวลู่เหอเอาตัวเข้ารับพิษแทนมารดาของคุณหนู ส่วนนางหลี่เหมยหรงยอมเสียพลังวิญญาณถึงหนึ่งขั้นเพื่อยื้อชีวิตของนายน้อยบุตรชายของเจ้าสำนักกับภรรยาคนก่อน
หลังเหตุการณ์ในวันนั้น โจวลู่เหอถูกยกฐานะเป็นผู้อาวุโส และหลี่เหมยหรงถูกแต่งตั้งให้เป็นภรรยาของนายน้อย มู่ชิงเย่
นายน้อยมู่ ไม่ได้รับความโปรดปรานจากเจ้าสำนักเฟิ่ง จึงต้องใช้แซ่ของผู้เป็นมารดา ธิดาสวรรค์มู่เฉียน อัจฉริยะแพทย์โอสถที่ดวงตามืดบอดด้วยความรัก จึงเลือกแต่งกับเจ้าสำนักเซียนเหิน จนเป็นเหตุให้นางถึงแก่ความตาย
แม้หลี่เหมยหรงจะได้แต่งงานกับนายน้อยมู่ แต่จิตใจของนางก็ยังคงภักดีกับเฟิ่งลู่เยี่ยน คุณหนูคนสำคัญของสำนักเซียนเหิน ในวันที่นางได้รับภารกิจให้ทำการลอบสังหารสามีของตนเอง นางทำภารกิจไม่สำเร็จ จึงต้องหลบหนีออกจากดินแดนนภาซึ่งการเดินทางในครั้งนั้นก็มีโจวลู่เหอหนึ่งในผู้ที่ร่วมทำภารกิจเดินทางมาด้วย และไม่คิดว่านางจะตั้งท้องในช่วงนี้พอดี ซึ่งนางรู้ดีว่าบุตรในท้องของนางคือสายเลือดของ มู่ชิงเย่ ระหว่างที่นางจะตัดสินใจจะทำแท้ง มารดาของนางหลานสาวของผู้อาวุโสในสำนัก ฮูหยินเอกของขุนนางแซ่หลี่ทราบเรื่องก็ตัดสินใจจัดงานแต่งของนางกับโจวลู่เหอ ลูกของผู้อาวุโสอีกคน เพราะต้องการใช้เส้นสายทางการค้าของตระกูลโจว โจวลู่เหอก็ไม่ปฏิเสธเพราะเขาก็ได้ประโยชน์ในการแทรกซึมส่งคนเข้าสู่วงการขุนนางเช่นกัน
และถือเป็นเรื่องดี ที่บุตรของนางมีรากวิญญาณหายากยิ่งกว่ายาก คือ รากวิญญาณสวรรค์ธาตุน้ำแข็ง นางและโจวลู่เหอจึงตัดสินใจขโมยรากวิญญาณของเด็กน้อยตรงหน้า เพื่อเป็นของขวัญให้กับคุณหนูคนสำคัญของพวกนาง
“ท่านว่า สมบัติพวกนั้นที่อยู่ในจี้หยก จะยังคงทำงานได้ดีอยู่อีกหรือไม่?” หลี่เหมยหรงถามบุรุษที่มีใบหน้าหล่อเหลาข้างกาย
“มันไม่ถึงว่าเป็นสมบัติด้วยซ้ำ แค่สิ่งของพัง ๆ ไร้ราคา ที่ดีหน่อยก็คืออุปกรณ์ติดตามที่คนในสำนักติดตั้งไว้” โจวลู่เหอตอบกลับด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“อุปกรณ์ติดตามพวกนั้นยังถือว่ายังใช้งานได้ดี หากสักวันคนในสำนักต้องการหาตัวสายเลือดของมู่ชิงเย่ ก็คงหาตัวได้ไม่ยาก แม้รากวิญญาณจะถูกขโมยไปแล้ว แต่ร่างกายก็พอมีประโยชน์ให้ใช้งานอยู่”
“ก็จริงอย่างเจ้าว่า” โจวลู่เหอเห็นด้วยกับสิ่งที่สตรีข้างกายเอ่ยออกมา
“ส่วนรากวิญญาณนั้น ข้าก็แค้นพวกท่านนะ แต่ข้าก็คิดได้ พวกท่านรู้หรือไม่ว่าสิ่งที่ข้าคิดได้คืออะไร?” หลังอิงหลิวพูดขึ้นมา สีหน้าของคนตรงหน้านั้นก็เผยถึงความสงสัยออกมาอย่างชัดเจน“สิ่งที่พวกท่านทำลงไปนั้น แม้จะเป็นการกระทำที่อยู่ภายใต้ยาพิษหรืออาคมอะไรพวกนั้น แต่ทั้งหมดก็ล้วนเป็นความผิดของพวกท่าน ดังนั้นแล้วผลการกระทำที่จะตามกลับมานั้นก็เป็นพวกท่านที่รับผลนั้นไป และข้าเชื่อว่าความผิดที่พวกท่านกระทำนั้นก็ไม่ได้มีแค่ข้าแค่คนเดียวหรอกนะ แต่พวกท่านคงได้กระทำความผิดออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วล่ะมั้ง เหล่าผู้ที่ถูกพวกท่านกระทำลงไปคงได้คิดหาวิธีสังหารพวกท่านไม่เว้นแต่ละวันเป็นแน่” สิ้นเสียงของอิงหลิว ทั้งโจวลู่เหอและหลี่เหมยอี้ที่อยู่ในร่างของหลี่เหมยหรงก็เผยสีหน้ายากจะคาดเดา“และแน่นอนว่าเรื่องต่อจากนี้ข้าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยว ส่วนในตอนนี้ทั้งยาพิษที่อยู่ในตัวของหลี่เหมยหรง พิษเสน่หากล้ำกลืนที่เป็นยาพิษระดับ5 ท่านเอาโอสถถอนพิษไปกินก่อนเถอะ” อิงหลิวพูดจบก็เดินไปหยิบเอาโอสถถอนพิษที่อยู่บนชั้นวางให้กับหลี่เหมยอี้“ส่วนอาคมและพันธสัญญาที่อยู่ในตัวของพวกท่านนั้น คงต้องใช้เวลาสักพักในการทำลายสิ่งพวกนั้น” ห
สถานที่ที่สามสาวตระกูลลี่บอกกับนางว่าเป็นที่ใช้กักขังโจวเจียลี่ คือ จวนขุนนางแซ่หลินแห่งแคว้นไป๋ หากข่าวลือที่อิงหลิวได้ยินมาไม่ผิด ขุนนางแซ่หลิน หรือแม่ทัพใหญ่หลินนั้น เป็นคนของดินแดนนภามาตั้งแต่ต้นและเป็นศิษย์สายนอกคนหนึ่งของสำนักปราบเซียนที่ได้รับมอบหมายให้มาสร้างรากฐานภายในแคว้นไป๋แม่ทัพใหญ่หลินมีบุตรชายบุตรสาวที่มีฝีมือไม่ธรรมดา และหนึ่งในนั้นก็มีตำแหน่งไม่แพ้ผู้เป็นบิดา คือ แม่ทัพหนุ่มอนาคตไกล หลินหยู ด้วยอายุเพียงสิบแปดปีเท่านั้นก็สามารถบ่มเพาะพลังจนถึงขั้นสร้างรากฐานตอนปลายแล้ว ซ้ำยังมีรากวิญญาณแท้ ธาตุไฟ อีกด้วยหลินฮุ่ยเจีย บุตรสาวเพียงคนเดียวของตระกูลขุนนางแซ่หลิน ก็มีพรสวรรค์ไม่แพ้บุตรคนอื่น ปัจจุบันมีอายุสิบเจ็ดปี ก็สามารถบ่มเพาะพลังมาจนถึงขั้นสร้างรากฐานขั้นต้น และยิ่งครอบครองรากวิญญาณเซียน ธาตุวาโยพิสุทธิ์ จึงเป็นยิ่งกว่าไข่มุกในมือของผู้เป็นบิดา“แล้วทำไมเจียลี่ ถึงได้ยอมถูกกักขังในจวนขุนนางแซ่หลินนี้กัน คงไม่ใช่ว่าเกิดไปหลงรักบุรุษบางคนเข้าหรอกนะ” อิงหลิวคิดมาถึงจุดนี้ก็เริ่มหนักใจเล็กน้อย หากว่าเกิดไปหลงรักผู้อื่นจริง นางคงได้ใช้กำลังพากลับบ้านเป็นแน่--------------
อิงหลิวขึ้นขี่หลังของเทียนคงตรงไปยังสถานที่กลางเมืองหลวงที่อยู่ไม่ไกลจากจวนตระกูลโจวนัก ในทันทีที่นางอยู่บนที่สูงนางก็มองเห็นสถานการณ์ที่อยู่ด้านล่างบนพื้นดินได้อย่างชัดเจน ในคราแรกที่นางอ่านรายละเอียดของภารกิจฉุกเฉินที่นางได้รับมาในตอนนั้น นางนึกถึงภาพเลวร้ายมากที่สุดทันที ไม่ว่าจะเป็นการนองเลือดครั้งใหญ่ที่อาจจะเกิดขึ้นกลางเมืองหลวง ทั้งอาจจะมีสิ่งที่เลวร้ายมากกว่านั้นเกิดขึ้นก็ได้ แต่ภาพที่ปรากฏในตอนนี้แม้จะมีการนองเลือดบ้าง แต่ก็ไม่ได้ร้ายแรงกว่าที่ทุกคนจะรับได้“ดูจากชุดแล้ว พวกเขาคงเป็นคนของสำนักเทียบฟ้า” อิงหลิวเห็นกลุ่มคนที่กำลังกระจายกำลังเข้าควบคุมสถานการณ์ในส่วนพื้นที่ที่สำนักของพวกเขารับผิดชอบ เพราะในส่วนพื้นที่ที่อยู่ข้างกันนางเห็นเป็นกลุ่มที่สวมใส่ชุดอีกเครื่องแบบหนึ่ง“พระจันทร์เหรอ หรือเป็นสำนักจันทร์เสี้ยวที่รั้งอยู่อันดับที่สอง” นางจำได้รางๆ ว่าทั้งสองสำนักนี้ไม่ค่อยถูกกันนัก ไม่สิ ออกจะชังขี้หน้ากันด้วยซ้ำ แต่ภาพตรงหน้าทั้งสองกลุ่มกลับสามารถร่วมมือกันเพื่อรับมือกับสถานการณ์เลวร้ายพวกนี้ได้“นับว่าเป็นเรื่องที่ดี ไม่แปลกที่ไป๋จูและเสวี่ยเฟยจะมีท่าทางแบบนั้น เอาล่ะไปด
หลังอิงหลิวพูดจบการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของหญิงสาวทั้งสามก็ฉายชัดออกมาทันที สายตาของพวกนางเผยถึงความตกใจและความหวาดกลัว แต่สิ่งที่ทำให้อิงหลิวนึกแปลกใจคือริมฝีปากของพวกนางที่กำลังพูดอะไรบางอย่างออกมาโดยไม่มีทีท่าจะหยุด“นั่นมัน...” สิ้นเสียงของอิงหลิว ไป๋จู เสวี่ยเฟย และเทียนคงที่เพิ่งบินลงมาก็ทำการเรียกใช้พลังเพื่อหยุดการกระทำของกลุ่มหญิงสาวตรงหน้าทันทีไป๋จูเดินไปหยุดข้างกายผู้เป็นนายพร้อมทั้งร้องบอกถึงการกระทำของกลุ่มหญิงสาวที่ถูกแช่แข็ง พวกมันไม่รู้หรอกว่าพวกนางกำลังคิดจะทำอะไร แต่ที่พวกมันรู้คือการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติที่อยู่รอบตัว ความดำมืดที่ค่อย ๆ กัดกินพลังวิญญาณที่อยู่รอบตัวพวกนาง ก็เป็นการแสดงให้รู้ได้เลยว่าสิ่งที่พวกนางกำลังกระทำอยู่นั้นไม่เป็นผลดีต่อคนทั่วไป และยิ่งเป็นอันตรายต่อผู้เป็นนายของมันที่มีความใกล้ชิดกับธรรมชาติมากกว่าผู้บ่มเพาะคนอื่น“ขอบใจพวกเจ้ามาก ที่จริงแล้วข้าพอรู้ว่าพวกนางกำลังจะทำอะไร” อิงหลิวลูบหัวสัตว์อสูรทั้งสามที่เดินมาอยู่ข้างกายนาง นางสัมผัสได้ถึงความห่วงใยที่พวกมันมีต่อนางมากกว่าครั้งไหน ๆ คงเป็นเพราะพวกมันกำลังตกใจกับสถานการณ์ที่นางเพิ่งเผชิญอยู่
ในระหว่างที่สำนักใหญ่ทั้งหมดบนหน้าทำเนียบกำลังเข้าสู่ช่วงตึงเครียด สำนักแห่งอื่นที่ไม่ได้มีชื่อเสียงเท่าสำนักใหญ่นั้นก็เริ่มมีการประชุมเช่นกัน หากแต่ไม่ใช่เป็นการประชุมที่มีไว้รับมือคนจากต่างดินแดนแต่เป็นการประชุมเพื่อเก็บเกี่ยวผลประโยชน์ที่มาจากการลงมือในครั้งนี้ของพวกสำนักใหญ่“พวกเจ้าว่าครั้งนี้ศิษย์ของสำนักไหนจะล้มตายมากที่สุด” น้ำเสียงเจ้าเล่ห์ของเจ้าสำนักปลายแถวดังขึ้นทันทีเมื่อเห็นเจ้าสำนักแห่งอื่นมากับครบแล้ว“ก็คงไม่พ้นสำนักอสูรคำรามหรอก ลืมไปแล้วหรือไงว่าสำนักของมันกำลังจะหลุดจากบนทำเนียบแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักของมันคงสั่งศิษย์ให้ไปสร้างชื่อเสียงในภารกิจนี้กลับมาอีกครั้งล่ะมั้ง” ใบหน้าของบุรุษวัยกลางคนเผยชัดถึงความเอือมระอาของเจ้าสำนักแห่งนั้น“เจ้ายังคิดถึงเหตุการณ์ในครั้งนั้นอีกหรือไง หานฟง” น้ำเสียงหวานของสตรีคนหนึ่งดังขึ้นหลังเห็นใบหน้าของสหายตนที่เริ่มปรากฏร่องรอยอารมณ์บางอย่าง“มันเป็นเรื่องที่ผ่านมานานแล้ว ข้าไม่ได้สนใจมันแล้วล่ะ หนี่ซิน” สิ้นเสียงนั้น สตรีที่ถูกเรียกชื่อก็เผยยิ้มกว้างออกมา แม้จะรู้ว่าคำตอบที่นางเพิ่งได้รับจะเป็นเพียงคำโกหกก็ตามภายในสำนักอสูรคำรามที่ต
“เจ้ากำลังจะพูดอะไรกันแน่!?” ผู้อาวุโสเจียงแห่งสำนักเทียบฟ้าถามขึ้นมาด้วยแววตาที่แฝงไปด้วยความสงสัย แต่ก็ไม่น่าแปลกใจมากนัก เพราะหากเป็นตัวนาง นางก็ย่อมระมัดระวังตัวเป็นเรื่องธรรมดา“ผู้อาวุโสเจียงไม่รู้สึกแปลกใจบ้างหรือว่า ช่วงนี้มีผู้บ่มเพาะไม่คุ้นหน้าเดินไปมาให้เห็นกันได้ทั่ว ทั้งที่ปกติแล้วผู้ฝึกตนหรือผู้บ่มเพาะก็ไม่ได้พบเจอได้ง่ายดายขนาดนั้น” อิงหลิวเปิดปากพูดถึงข้อสงสัยข้อแรกขึ้นมา เพื่อจะได้ดูทีท่าของคนจากสำนักอื่นด้วย“แล้วมันเกี่ยวอะไรกับที่เจ้าพูดก่อนหน้ากัน” นายน้อยเฮยเผยแววตาบางอย่างออกมาหลังได้ฟังสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูด“หากผู้บ่มเพาะมากมายพวกนั้นไม่ได้อยู่ในสำนักของพวกเจ้า และไม่ได้เข้าไปฝึกฝนในสำนักอื่นบนดินแดนนี้ นั่นหมายความว่าเช่นไร พวกเจ้ารู้หรือไม่” สิ้นเสียงนาง สายตาที่คนทั้งสี่หันมาจับจ้องนางก็เริ่มเข้มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด“ที่เจ้าหมายถึง คงไม่ใช่ว่า...” ผู้อาวุโสจ้าน ซึ่งเป็นผู้อาวุโสที่อยู่ในตำแหน่งนี้มานานกว่าผู้อื่นก็เผยสีหน้าเคร่งเครียดออกมา“จ้านเว่ย เจ้ารู้เรื่องอะไรกันแน่” นายน้อยเฮยซึ่งปกติแล้วงานในสำนักก็มีมากจนล้นมือจึงไม่ได้สนใจข่าวสารภายนอกเหมือนกับส







