[บทที่ 1 ระบบพยากรณ์สวรรค์
บัดซบ! นี่มันเรื่องอะไรกัน
ซินเหยารู้สึกตัวอีกที ร่างของนางกำลังลอยคว้างอยู่เหนือพื้น สายลมเย็นวาบปะทะใบหน้า เสียงกรีดร้องดังระงมรอบกาย
“รีบหลบ! สายสลิงขาดแล้ว!” เสียงใครบางคนตะโกนขึ้นอย่างแตกตื่น ก่อนที่ภาพสุดท้ายที่นางเห็นคือแสงไฟที่วูบไหว และพื้นแข็งที่ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ
พลั่ก!
แรงกระแทกสะท้านไปทั่วร่าง ความเจ็บปวดแผ่ซ่านรุนแรงจนสมองมืดดับ ภาพทุกอย่างถูกกลืนหายไปในความว่างเปล่าอีกครั้ง
จนกระทั่งเสียงกังวานใส ๆ แทรกเข้ามาอีกครั้ง
‘ติดตั้งระบบสำเร็จ’
‘ยินดีต้อนรับเข้าสู่ ระบบพยากรณ์สวรรค์เจ้าค่าา’
เย่วซินเหยา ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาอย่างช้าๆ รอบกายปรากฏ ภาพพื้นหญ้ากว้างใหญ่ สีเขียวสดใส ลมเย็นพัดผ่าน ใบไม้ไหวเล็กน้อยและแสงแดดอ่อนๆ ส่องลงมากระทบพื้นหญ้า ทำให้เธอรู้สึกสงบแต่ก็แฝงไปด้วยความแปลกประหลาด
ข้างหน้าเป็นบ้านหลังใหญ่สองชั้น ตั้งตระหง่าน มีหลังคาสีเข้ม หน้าต่างบานใหญ่สะท้อนแสงอาทิตย์อย่างงดงาม ด้านหน้าบ้านมี ลานกว้างและสวนดอกไม้ เรียงรายเป็นระเบียบ แต่พอเพ่งดูดีๆ ก็เห็นว่าในมุมหนึ่งมี ต้นไม้ใหญ่ที่เหมือนจะมีพลังวิเศษแผ่รังสีอ่อนๆ
ทางด้านซ้ายมือของบ้านทอดตัวไปเป็น แม่น้ำใส จนน้ำสะท้อนแสงแดดเป็นประกายสีรุ้งระยิบระยับ ข้างๆ บ้านมีบ่อน้ำเล็กๆ น้ำในบ่อใสจนมองเห็นก้นบ่อ แต่กลับแผ่ประกายสีรุ้งราวกับเก็บพลังบางอย่างเอาไว้ บ่อน้ำนี้ดู ทรงพลังและลึกลับ ราวกับเป็นศูนย์กลางของพลังธรรมชาติในมิติแห่งนี้
“เจ้าคือตัวอะไรกันแน่ เทพ ภูตผีหรือปีศาจ” ซินเหยาเอ่ยถามด้วยความสงสัย
‘ข้าคือระบบเจ้าค่ะ’ น้ำเสียงใสกังวานเอ่ยตอบ
“…” นางอ้าปากค้างไปชั่วขณะ ไม่รู้จะด่า หรือจะถามต่อดี ระบบคืออันใด ขยายความได้หรือไหม ตัวตนเจ้าก็ไม่มีได้ยินแต่เสียง
‘อย่ามองข้าเป็นสิ่งลี้ลับเลย ระบบก็คือระบบ… เอาไว้ช่วยท่านดำเนินชีวิตใหม่ยังไงล่ะ’
“ข้าตายแล้วมิใช่หรือ ยังจะมีชีวิตอันใดอีก”
‘ท่านตายจากโลกเก่าเจ้าค่ะ วิญญาณท่านถูกดึงมาในโลกใหม่นี้ เพื่อใช้ชีวิตอีกครั้ง ส่วนข้ามีหน้าที่ช่วยเหลือและมอบภารกิจจากเบื้องบนให้ท่าน’
“ใช้ชีวิตอีกครั้ง? ภารกิจจากเบื้องบน?”
‘ใช่เจ้าค่ะ แต่ละภารกิจหากท่านทำสำเร็จก็จะมีรางวัลให้ท่านด้วย ท่านจะใช้ชีวิตในโลกใบใหม่ได้ง่ายขึ้น’
“โลกใบใหม่ที่เจ้าว่า ข้าจะยังมีพลังปราณและพลังหยั่งรู้ฟ้าดินติดตัวหรือไหม” ซินเหยาเอ่ยถาม น้ำเสียงเต็มไปด้วยความเสียดายเพราะนางฝึกฝนอย่างหนักกว่าจะก้าวถึงขั้นสูง หากต้องเริ่มจากศูนย์นางย่อมไม่ยอมง่ายๆ
ระบบเงียบไปชั่วอึดใจ ก่อนเสียงใสจะดังขึ้นอีกครั้ง ‘ความทรงจำเดิมยังคงอยู่และพลังปราณจะถูกเปลี่ยนเป็นพลังยุทธ์แทนแต่จะถูกปิดผนึกไว้ เพื่อไม่ให้ท่านเอาเปรียบโลกใหม่นี้เกินไป หากท่านทำภารกิจสำเร็จ รางวัลอาจเป็นการปลดผนึกพลังทีละขั้น หรือแม้แต่ประทานพลังรูปแบบใหม่ที่เหมาะกับโลกนั้น’
“ปิดผนึก…” ซินเหยาขมวดคิ้วแน่น “เช่นนั้นมิใช่ว่าข้าต้องกลับไปเริ่มต้นเป็นคนอ่อนแออีกหรือ”
‘มิใช่เจ้าค่ะ’ ระบบตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
‘ท่านยังมีพรสวรรค์การหยั่งรู้และความเข้าใจวิถีปราณติดตัว ความรู้การฝึกฝนไม่สูญหาย เพียงแต่ร่างกายใหม่นี้จะไม่มีกำลังมหาศาลเหมือนเดิม ท่านต้องสร้างฐานใหม่ขึ้นมาอีกครั้ง หากท่านมีความพยายาม ภารกิจและรางวัลจะทำให้เส้นทางฝึกฝนครั้งนี้ไม่ยากเท่าเดิม’
ดวงตาของซินเหยาสั่นไหวเล็กน้อย
“แล้วถ้าข้าไม่ยอมรับล่ะ?” นางถามเสียงแผ่ว
‘ระบบจะไม่บังคับท่าน’ เสียงนั้นตอบอย่างเย็นชาและจริงจังในคราวเดียว
‘แต่ถ้าท่านปฏิเสธ วิญญาณท่านจะคงล่องลอยอยู่ในพื้นที่ว่างเปล่าราวๆ แสนปี ถึงจะได้ถูกดึงไปเข้าสู่วัฏสังสารอีกครั้ง และระบบก็ไม่รับประกันว่าท่านจะได้เกิดเป็นตัวอะไร’
“แสนปี!” นี่มันเกินไปแล้ว ซินเหยาคิดอย่างแค้นใจ นางช่วยผู้คนไม่ให้อดตายนับแสนนับล้านคน นี่คือผลตอนแทนความดีเช่นนั้นหรือ เบื้องบนท่านจะเอาเปรียบข้าเกินไปหรือไหม! ไม่เหลือทางให้เลือกเช่นนี้
‘เอาล่ะ เช่นนั้นระบบจะส่งท่านไปพื้นที่ว่าง...’
“เดี๋ยว!! ตกลงข้าตกลงไปใช้ชีวิตใหม่” ซินเหยาเอ่ยอย่างจำยอม
แม้ถ้อยคำจะบ่งบอกถึงการยอมรับ แต่ใบหน้าของนางกลับเต็มไปด้วยความไม่สบอารมณ์ ดวงตาคมเรียวยังคงฉายแววแข็งกร้าว มุมปากตึงราวกับบังคับไม่ให้สั่น เส้นคิ้วขมวดแน่น คล้ายคนที่ถูกกดดันให้เลือกทางที่ไม่อยากเลือก สายตาของนางไม่ได้มีประกายแห่งความหวัง หากเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองและไม่พอใจที่ต้องจำนนต่อสถานการณ์
‘ถ้าเช่นนั้น ขอตอนรับสู่โลกใบใหม่ค่ะ’
‘ขอแนะนำสถานที่แห่งนี้อย่างเป็นทางการ ที่นี่คือมิติจิตของท่าน ท่านสามารถเข้าออกได้ตามใจชอบ เพียงแค่นึกถึง จะเข้ามาแต่จิตหรือเข้ามาทั้งตัวก็ได้เช่นกัน บ่อน้ำนั้นคือ น้ำวิเศษครอบจักวาล ท่านสามารถรักษาโรคภัย บาดแผล หรือฟื้นฟูพลังได้ทุกชนิด แต่ขอให้ใช้อย่างระมัดระวัง เพราะการใช้อย่างฟุ่มเฟือยอาจส่งผลต่อสมดุลพลังของท่าน น้ำวิเศษหากนำไปใช้ภายนอกหรือให้บุคคลภายนอกรู้อาจจะภัยมาสู่ท่านได้ ส่วนต้นไม้นั้นก็เป็นต้นไม้วิเศษเช่นกันผลของมันจะออกทุกวัน ผลของมันจะช่วยให้จิตวิญญาณแข็งแรง ขอแนะนำว่าไม่ควรนำออกนอกมิติเพราะมันจะดึงดูดวิญญาณร้ายมาได้’ ซินเหยาฟังอย่างเงียบงันพยายามทำความเข้าใจสิ่งต่างๆรอบกาย
ไม่นานก็ปรากฏหน้าจอโปร่งใสขนาดใหญ่อยู่ตรงหน้าซินเหยา แสดงข้อมูลแบบ 3 มิติ ตัวอักษรและไอคอนลอยเด่นชัด ล้อมรอบด้วยกรอบแสงสีเงินอ่อนๆ สามารถหมุนและปรับมุมมองได้ตามสายตาของซินเหยา ดวงตาของนางเพ่งไปที่จอ ข้อความและตัวเลขกระพริบเล็กน้อย ราวกับสิ่งมีชีวิต
เมื่อเธอเอื้อมมือไปแตะ แถบสถานะก็ตอบสนองราวกับสัมผัสจริง ตัวอักษรสว่างขึ้นเล็กน้อย และมีเส้นแสงบางๆ ลากไปตามนิ้วเหมือนหน้าจอสัมผัสเหนืออากาศโดยตรง ทำให้ซินเหยาเห็น ชื่อภารกิจ, ระดับพลัง, และคำสั่งจากระบบ อย่างชัดเจนโดยไม่ต้องออกแรงหรือพูดอะไรเลย
ซินเหยาไม่สามารถเก็บความตื่นเต้นไว้ได้ ดวงตาของนางเบิกกว้าง เงยหน้ามองตัวอักษรลอยอยู่ตรงหน้าราวกับของวิเศษ มือที่แตะไปก็สั่นเล็กน้อย ความรู้สึกเหมือนได้จับสิ่งมหัศจรรย์ที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน
[ผู้ถูกเลือก: เยว่ ซินเหยา]
ระดับ 1
ค่าประสบการณ์ 0/10,000
ความสามารถ: พลังหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นสูง (ไม่สามารถตรวจดวงชะตาตัวเองได้)
พลังชีวิต: 50/100
พลังยุทธ์: 1/10
เงิน: 1,000
[ภารกิจปัจจุบัน]
[ภารกิจ: ฟื้นความทรงจำ]
รางวัลเมื่อสำเร็จ: เงินรางวัล 10,000 หยวน / คะแนนสะสม 100 แต้ม
บทลงโทษหากล้มเหลว: -
สถานะ: -
“อะไรคือการฟื้นความทรงจำ ข้าไม่ได้ความจำเสื่อมเสียหน่อย”
‘เดี๋ยวท่านก็จะทราบเองเจ้าค่ะ เอาละได้เวลาที่ท่านต้องเผชิญกับโลกใหม่แล้วของให้โชคดีเจ้าค่ะ หากมีสิ่งใดเรียกระบบในใจได้เลยเจ้าค่ะ’
วูบบบ
ติ๊ด… ติ๊ด… ติ๊ด…
เสียงเครื่องวัดชีพจรดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซินเหยาค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกกดทับอยู่ด้วยภูเขา กลิ่นยาฆ่าเชื้อฉุนขึ้นจมูกจนทำให้เธอเบ้หน้าเล็กน้อย ใบหน้าคมขมวดคิ้วอย่างระแวง สายตาของนางกวาดไปรอบห้องด้วยความงุนงง เตียงคนไข้แบบมาตรฐาน โต๊ะเล็กๆ ข้างเตียงมีขวดน้ำและอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์วางอยู่เป็นระเบียบ
บทที่ 15 ช่วยคนสกุลไป๋“ขอโทษนะคะ คุณใช่อาจารย์เยว่ไหมคะ” ซินเหยาหันไปมอง ผู้หญิงที่ทักเธอ เธอมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมดำประบ่าม้วนเบาๆ ใบหน้าสวยหวานแต่ดวงตาไม่สดใส แฝงไปด้วยความเครียดความกังวลเล็กน้อย เธอยิ้มอย่างสุภาพขณะเอ่ยเรียกซินเหยา“อาจารย์?” ซินเหยา เอ่ยทวนคำเธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยผู้หญิงตรงหน้าซินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พยายามรวบรวมความกล้า ในน้ำเสียงแฝงความเกรงใจและความหวังเล็กๆ ขณะที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณใช่อาจารย์เยว่ซินเหยาใช่ไหมคะ” เธอจับกระเป๋าไว้แน่น มือสั่นเล็กน้อย แววตาตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับอยากได้คำยืนยันจากซินเหยา“อืม..ฉันชื่อเยว่ซินเหยา” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่สายตาจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แววตาเย็นเฉียบ ซินเหยาพอจะรู้จุดประสงค์ของคนตรงหน้าแล้วผู้หญิงคนนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะอ่อนลง คล้ายกับโล่งใจ ความหวังวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ริมฝีปากกลับสั่นเล็กน้อยอย่างไม่กล้าเปล่งถ้อยคำออกมา ซินเหยามองเพียงแวบเดียวก็อ่านความรู้สึกนั้นออกทันที ริมฝีปากโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
บทที่ 14 โรงเรียนเช้าวันที่สอง ซินเหยาตื่นขึ้นในเวลาเดิม ร่างกายของเธอยังคงสดชื่นจากการพักผ่อน แม้เมื่อวานจะนอนดึก แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนล้า หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย เธอก็เข้าสู่มิติอีกครั้ง เริ่มต้นด้วยการนั่งขัดสมาธิกลางลานกว้าง ดวงตาหลับลงอย่างสงบ หัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมหายใจเข้าออกสอดคล้องไปกับพลังธรรมชาติรอบกาย จิตใจของเธอว่างเปล่าแต่มั่นคง การฝึกสมาธิครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ราวกับเธอกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งมิติเมื่อจิตใจสงบนิ่งดีแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเข้าสู่การฝึกกายและยุทธ์ ซินเหยาเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่ดุดันและเฉียบขาดกว่าเมื่อวาน ทุกการก้าว การหมุนตัว และการโจมตีอากาศ เต็มไปด้วยแรงที่ควบคุมได้ดั่งใจ พลังภายในถูกรีดใช้และส่งออกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามืออย่างราบรื่น ร่างบางเคลื่อนไหวราวกับสายลม บางครั้งอ่อนโยนพลิ้วไหว บางครั้งรุนแรงดั่งพายุ แต่ไม่ว่าท่วงท่าใดก็ยังคงความงดงามและสง่างามไว้เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงเต็ม ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคงในลมหายใจ สายตาคมกริบของซินเหยาส่องประกายเจิดจ้า ราวกับมีเ
บทที่ 13 ช้อปปิ้งสองพี่น้องมองแม่ด้วยความสนใจที่กำลังยืนชำระเงินที่เคาน์เตอร์ พลางกระซิบกันเบาๆ“ในความทรงจำของพี่ หม่าม้าไม่ได้รวยนี่นาหรือเราเข้าใจอะไรกันผิด” หมิงหมิงกระซิบเบาๆ พลางขมวดคิ้วคิด“ความทรงจำของหลันหลันก็ด้วยนะ” หลันหลันพยักหน้า พลางเอามือแตะแก้มตัวเองด้วยความสงสัย“พี่แอบใช้โทรศัพท์หม่าม้าก่อนออกมา เห็นหม่าม้ามีเงินแค่สี่หมื่นกว่าหยวนเอง” ได้ยินดังนั้นหลันหลัน ถึงกับเบิกตากว้าง“โหแต่หม่าม้าใช้เงินเก่งมาก แป๊บเดียวจะสองพันหยวนแล้ว”“อื้ม งั้นเราก็ต้องช่วยกันหาเงินเก่งๆ มาให้แม่ใช้”“พี่ยุคนี้ทำงานอะไรถึงได้เงินดีล่ะ”“อืมม.. ไม่แน่ใจเหมือนกันค่อยๆศึกษาไปเดี๋ยวก็มีวิธี” หมิงหมิงยักไหล่พร้อมทำหน้าครุ่นคิด“เช่นนั้นเป้าหมายตอนนี้หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็กินของอร่อยให้ครบทุกร้าน!! อาหารแคปซูลเราอย่าได้เจอกันอีกเลย” ส่วนน้องสาวก็ตบมือเล็กๆ ด้วยความมุ่งมั่น
บทที่ 12 ภารกิจโบนัสซินเหยา มือหนึ่งอุ้มลูกสาว อีกมือหนึ่งจับลูกชาย พากันเดินเข้ามาในห้าง เด็กหญิงในอ้อมแขนเกาะคอแม่แน่น ดวงตากลมใสจ้องมองแสงไฟระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กชายที่ถูกแม่จับมือเดินเคียงข้างกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นนิดๆ แก้มป่องๆ มีสีแดงจากความเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ยอมให้แม่อุ้ม“หมิงหมิงให้หม่าม้าอุ้มดีกว่านะ เหนื่อยแล้วใช่ไหมครับ” ซินเหยาก้มลงถามเสียงอ่อนโยนเด็กชายส่ายหัวแรงๆ อย่างดื้อรั้น“ไม่เอาครับ หมิงหมิงไม่อยากให้หม่าม้าเหนื่อยแค่อุ้มน้องหม่าม้าก็หนักแล้วครับ หมิงหมิงเดินเองได้ครับ” หมิงหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซินเหยาแอบหัวเราะเบาๆ เธอไม่อยากขัดใจ จึงเพียงยื่นมือไปลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“เช่นนั้นก็จับมือหม่าม้าดีๆ นะครับถ้าเหนื่อยก็บอกหม่าม้านะครับหม่าม้าจะได้หยุดพัก”“อื้ม!” เด็กชายพยักหน้าหนักแน่น แต่สายตาก็เริ่มกวาดมองรอบๆ ห้างที่เต็มไปด้วยร้านอาหารสีสันสดใส กลิ่นหอมลอยคลุ้งชวนให้ท้อง
“ประตูนี้คือทางเข้าลิฟต์ส่วนตัวครับ” เขาอธิบายพลางหยิบ คีย์การ์ด ขึ้นมาแตะเครื่องอ่านด้านข้างประตูเสียง ติ๊ง! ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เข้า ซินเหยาเดินประตูเข้าไปพร้อมลูกๆ ทันที แต่กลับพบว่าในห้องมี ประตูลิฟต์อยู่สองตัว ตั้งอยู่คู่กัน และฝั่งตรงข้ามอีกสองตัว ภายในห้องนี้มีลิฟต์ทั้งหมดสี่ตัวหลิวเจ๋อยิ้มเล็กๆ แล้วจึงอธิบายส่วนต่างๆของที่นี่“ฝั่งซ้าย ประตูแรกคือลิฟต์ส่วนตัวของคุณเยว่ซินเหยาครับ ส่วนประตูที่สองจะเป็นลิฟต์ของห้องอื่นที่อยู่ชั้นเดียวกันครับ ส่วนฝั่งขวาเป็น ของชั้นที่ 67 ครับ เพนท์เฮาส์แบบชั้นละสองห้องของที่นี่จะมีแค่สองชั้น คือชั้นที่ 67 และ 68 ครับ ส่วนลิฟต์ตัวนอกจะเป็นชั้นที่2 ถึง 66 เป็นห้องชุด แบบที่มีชั้นละสี่ห้องครับ” ผู้จัดการหลิวเจ๋อชี้ไปที่ เครื่องอ่านคีย์การ์ดของลิฟต์ฝั่งซ้าย ซึ่งมี เลขห้องแสดงอยู่ชัดเจน99/168 ขณะที่ลิฟต์ตัวอื่นก็มีเลขห้องต่างกัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นของห้องอื่น ซินเหยาเห็นเลขห้องใบหน้าเย็นชายังคงเรียบเฉย แต่เธอพยักหน้าอย่าง พึงพอใจ“เด็กๆ ไป
บทที่ 11 เพนท์เฮ้าส์ในวันเดียวกันนั้นหลังจากซินเหยากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเรียกลูกๆ ทั้งสองคนมานั่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยากจะพบเห็น“เด็กๆค่ะ วันนี้เราจะไปดูบ้านใหม่กันนะคะ” เด็กๆเงยหน้ามองแม่ด้วยสายตาตื่นเต้นปนความสงสัย ซินเหยาอธิบายอย่างใจเย็นว่า บ้านใหม่จะกว้างขวางกว่า มีที่ให้เล่นเยอะขึ้น และทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง“เราจะย้ายบ้านใหม่เหรอครับ” ลูกชายคนโตถามเสียงสดใส พร้อมด้วยแววตาสงสัย“ใช่ครับ หม่าม้าได้บ้านมาโดยบังเอิญครับ วันนี้เราจะไปดูกันถ้าเป็นไปได้เราก็จะย้ายวันนี้เลยครับ เด็กๆ ช่วยหม่าม้าเก็บของใส่กล่องไว้นะ ช่วงบ่ายเราจะไปดูบ้านกันครับ”“ได้ครับ / ได้ค่ะ”“ย้ายที่อยู่ใหม่เราต้องใช้เงินหม่าม้ามีเงินเยอะไหมครับ” หมิงหมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความใสซื่อ ซินเหยาได้ยินคำถาม ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พลางคิดถึงเงินที่มีอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาที เธอก็ยิ้มบางๆ และลูบหัวลูกชาย“หม่าม้ามีเงินไม่เยอะครับ แต่หม่าม้าจะ