บทที่ 2 คุณแม่ลูกแฝด
“หม่าม้า.. หม่าม้าฟื้นแล้ว” เสียงเล็กๆ สองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน
เธอค่อยๆ หันไปมองด้านข้างเตียง มีเด็กสองคนยืนอยู่ เป็นเด็กแฝดชายหญิงอายุราวๆ สามขวบ หน้าตาน่ารักดุจตุ๊กตา แต่ดวงตาของทั้งคู่แดงก่ำ ร่องรอยน้ำตายังชุ่มอยู่บนแก้มเล็กๆ แสดงให้เห็นว่าพวกเขาเพิ่งร้องไห้ออกมาด้วยความกลัวและความกังวล
เด็กชายตัวเล็ก ผมดำสั้นฟูเล็กน้อย ดวงตากลมโตแดงช้ำ ริมฝีปากเล็กๆ ขมวดเป็นรอยยิ้มตื้นๆ มือเล็กๆ สั่นเล็กน้อย เอื้อมมือมาจับมือเธอไว้
ส่วนเด็กหญิงผมดำยาวประบ่าผมหยักศกเป็นลอนคลายๆ ดวงตากลมโตแดงช้ำเหมือนกัน มือเล็กๆ ยกขึ้นกุมผ้าห่มแน่น ราวกับกลัวว่าแม่จะหายไปอีก ภาพนี้ทำให้หัวใจซินเหยาอ่อนละมุน ท่ามกลางความสับสนของร่างกายและโลกใหม่ เธอรู้สึกถึงความอบอุ่นและมั่นคงที่สุดในชีวิต
นี่มันเกิดอันใดขึ้นกันแน่ เหตุใดเด็กสองคนนี้ถึงเรียกข้าว่าแม่
“พวกเจ้า….อึก!” ทันใดนั้น ความเจ็บปวดรุนแรงแล่นวาบเข้ามาในศีรษะ เย่วซินเหยากุมขมับแน่น ร่างกายสั่นสะท้านราวกับจะฉีกขาดเป็นเสี่ยงๆ
ภาพความทรงจำประหลาดพลันหลั่งไหลเข้ามาเป็นสาย ความทรงจำที่ไม่ใช่ของนาง ไม่ใช่สิ่งที่นางเคยพบพานมาก่อน ทุกภาพฉายชัดเจนรวดเร็ว เพียงไม่นานความเจ็บปวดค่อยๆ คลายลง ทว่าภาพความทรงจำยังคงหลั่งไหลเข้ามาไม่หยุด ราวกับน้ำตกที่ถาโถมใส่ นางหอบหายใจถี่ ดวงตาสั่นระริก สับสนกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นในห้วงสมอง
กระทั่งเสี้ยวหนึ่งของความทรงจำเริ่มเชื่อมโยงกันทีละน้อย เย่วซินเหยาจึงได้รู้ว่าร่างนี้มิใช่ของนาง หากเป็นของสตรีผู้หนึ่งที่ทำงานเสี่ยงอันตรายในโลกพิกลประหลาด และสตรีนั้นคือมารดา ของเด็กน้อยสองคนตรงหน้า หัวใจนางไหวสะท้าน ความสับสนแปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้ง นางมองเด็กทั้งคู่ที่เบิกตากว้างจ้องตนเองด้วยความกังวล ริมฝีปากเล็กๆ ของเด็กชายขยับสั่นเครือ
“หม่าม้าเป็นอะไรครับ หมิงหมิงจะไปตามหมอให้นะ” พูดจบร่างเล็กๆ ก็วิ่งออกไปทันที
เย่วซินเหยานิ่งไปครู่หนึ่ง ความอบอุ่นประหลาดแผ่ซ่านขึ้นกลางอก แม้ไม่ใช่ความทรงจำของตนเอง หากแต่ความรู้สึกนั้นชัดเจนยิ่งกว่าภาพใดๆ
“เด็กสองคนนี้…คือบุตรของข้า…” นางพึมพำออกมาเบาๆ
เยว่ซินเหยา หญิงสาววัย 25 ปี อาศัยอยู่ประเทศซี เมืองหลวง หลันเฉิง เธอเรียนจบสาขาการแสดง แต่เส้นทางนักแสดงของเธอถูกตัดทอนลงหลังเหตุการณ์ตั้งครรภ์โดยไม่คาดคิด ทุกอย่างเริ่มต้นเพียงจากคืนฉลองเรียนจบกับเพื่อนๆ แต่เช้าวันต่อมา เธอตื่นขึ้นมาบนเตียงในโรงแรมหรูแห่งหนึ่งพร้อมร่างกายเปลือยเปล่า และพบว่ามีชายหนุ่มนอนคว่ำหน้าอยู่ข้างๆ ด้วยความตกใจทำให้เธอคว้าเสื้อผ้ามาใส่อย่างเร่งรีบและหยิบเงินวางไว้ให้ชายหนุ่มถึงห้าร้อยหยวน แล้ววิ่งออกไปทันที
แม้จะวันนั้นกินยากันตั้งครรภ์เอาไว้แล้ว แต่สุดท้ายกลับเกิดเป็นเด็กฝาแฝดขึ้นมา ชีวิตนักแสดงและอนาคตที่วาดฝันไว้พังทลายลง แต่เธอก็ไม่ยอมจำนน เยว่ซินเหยาเลือกเก็บเด็กไว้ลูกคือครอบครัวที่สวรรค์ส่งมาให้เธอ เธอเป็นเด็กกำพร้าและใช้ชีวิตอย่างโดดเดี่ยวมาตลอดเมื่อรู้ว่าตนตั้งครรภ์ ความรู้สึกทั้งดีใจและเสียใจจึงปะปนกันไปและสิ่งที่เธอไม่คิดจะทำคือการเอาเด็กออก ซินเหยาเลือกใช้ชีวิตต่อไปด้วยการเป็นสตั๊นหญิง ใช้ร่างกายและทักษะการต่อสู้ที่เคยฝึกฝนมาเพื่อหาเลี้ยงตัวเองและลูกๆ
จนกระทั่งเกิดอุบัติเหตุขึ้นทำให้เจ้าของร่างเสียชีวิตและเป็นเธอเข้ามาแทนที่ ซินเหยา ค่อยๆซึมซับและทำความเข้าใจกับโลกใบใหม่และชีวิตใหม่ โลกใบใหม่นี้ไม่มีพลังปราณ ไม่มีวิชาตัวเบา ไม่มีโอสถวิเศษ มีแต่สิ่งที่เรียกว่าเทคโนโลยี เครื่องบินที่พาคนบินอยู่บนฟ้า รถยนต์และมอเตอร์ไซต์ที่วิ่งเร็วกว่ารถม้า โทรทัศน์ มือถือ คอมพิวเตอร์ ภาพความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมที่ไหลเข้าสู่จิตใจเธออย่างไม่ขาดสาย ความทรงจำเหล่านั้นรวมเข้ากับจิตวิญญาณของซินเหยา จนทั้งสองกลายเป็นหนึ่งเดียว ทำให้เธอเข้าใจชีวิตที่ผ่านมาและสถานการณ์ปัจจุบันของร่างนี้ โลกใบนี้ทำเอาเธออึ้งไปหลายรอบ ชีวิตนี้อัศจรรย์เกินไปแล้ว ตายเพราะโดนหลอกให้ทำพิธีช่วยมนุษย์ โดนดึงวิญญาณมาเจอสิ่งที่เรียกว่าระบบ พอฟื้นขึ้นมาก็เจอกับโลกประหลาดพร้อมบุตรอีกสองคน!!
ซินเหยาค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้น ร่างกายรู้สึกหนักและอ่อนแรงไปทั้งตัว ศีรษะมีผ้าพันแผลรัดแน่น แขนข้างหนึ่งถูกใส่เฝือก แขนอีกข้างก็ยังรู้สึกชาและเคลื่อนไหวได้ไม่สะดวก ขาทั้งสองก็ถูกใส่เฝือกเช่นกัน
ความเจ็บปวดจากบาดแผลแล่นไปทั่ว ราวกับไฟเล็กๆ ไหลผ่านเส้นประสาททุกเส้น มือของซินเหยากำแน่นบนผ้าห่ม ใบหน้าคมขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวด
“หม่าม้าเจ็บมากไหมคะ” เสียงเล็กๆ ของลูกสาวดังขึ้น ซินเหยาหันไปมองดวงตากลมโตแดงช้ำของเด็กหญิง ซินเหยากัดฟันเล็กน้อย ขมวดคิ้วด้วยความเจ็บปวดจากผ้าพันแผลและเฝือกที่รัดแขน แต่หัวใจกลับอ่อนละมุน เธอพยายามรวบรวมเสียงให้มั่นคงที่สุด แม้จะเจ็บแค่ไหนก็ไม่อยากให้เด็กตรงหน้าต้องเป็นห่วง
“ไม่…ไม่มากหรอกลูก หม่าม้าแค่เจ็บเล็กน้อย นอนตื่นเดียวก็หายแล้ว” เธอพยายามยิ้ม แม้รอยยิ้มจะสั่นเล็กน้อยและเต็มไปด้วยความเจ็บปวด
เด็กหญิงพยักหน้าเบาๆ น้ำตายังเต็มดวงตา แต่รอยยิ้มเล็กๆ ผุดขึ้นด้วยความโล่งใจ ร่างเล็กของเด็กหญิงค่อยๆ ยื่นมือไปแตะมือแม่เพื่อสร้างความมั่นใจ
ซินเหยาก้มหน้ามองเด็กหญิง มือเล็กๆ ของลูกที่แตะมือเธอเบาๆ ทำให้หัวใจของนาง อบอุ่นขึ้นอย่างบอกไม่ถูก ความเจ็บปวดจากบาดแผลเหมือนเบาบางลงทันที ดวงตาของเธอพร่าเล็กน้อยด้วยความรู้สึกที่ผสมผสานระหว่างความรักและความห่วงใย ในช่วงเวลานั้น เธอรู้สึกชัดเจนว่า นี่คือความรู้สึกของสิ่งที่เรียกว่าแม่ ความผูกพันที่ไม่อาจอธิบายด้วยคำพูด ความอบอุ่นที่เกิดขึ้นเพียงแค่สัมผัสจากลูก ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ซินเหยายิ้มบางๆ แม้จะเจ็บร่างกาย แต่ความรู้สึกในใจกลับเต็มไปด้วยพลังและความมั่นคง เธอค่อยๆ ประคองมือเล็กนั้นไว้แน่นขึ้น รู้สึกว่าตอนนี้ เธอไม่ได้อยู่ในโลกประหลาดตัวคนเดียวต่อไป ความเจ็บปวดจากร่างกายและความสับสนในใจถูกกลบด้วยความอบอุ่นและความรับผิดชอบใหม่ของเธอคือหน้าที่แม่ที่พร้อมจะปกป้องและดูแลลูกทั้งสอง
หัวใจของซินเหยาปั่นป่วนขึ้นมาอย่างเงียบๆ ความรักและความผูกพันกับเด็กน้อยกลายเป็นแรงผลักดันให้เธอมีชีวิตต่อไป แม้ร่างกายจะอ่อนล้าและบาดแผลยังเจ็บปวด แต่ในใจของเธอมีเพียงความมั่นคงและความตั้งใจ
ข้าไม่ใช่เพียงเย่วซินเหยาในโลกใหม่เท่านั้น ข้าคือแม่ของพวกเจ้า ไม่ยอมให้ใครทำร้ายลูกของข้าได้ ซินเหยาเอ่ยในใจ มือของเธอกำแน่นเธอพร้อมจะเผชิญทุกอุปสรรคในโลกใหม่ไม่ใช่เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูกทั้งสอง
ทันใดนั้น ประตูห้องเปิดออกเบาๆ หมอประจำโรงพยาบาลก้าวเข้ามา พร้อมกับลูกชายที่ยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของเด็กชายยังแดงช้ำ น้ำตาเกาะอยู่ที่ขอบตาเหมือนเพิ่งร้องไห้ออกมา
“หม่าม้าครับ คุณหมอมาแล้ว!” เสียงเด็กชายสั่นเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความดีใจ หมอหนุ่มขยับก้าวเข้ามาใกล้เตียง ตรวจดูอาการก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อาการของคุณแม่ค่อยข้างรุนแรงนะครับ ศีรษะแตกแต่ไม่ถึงขั้นต้องเย็บ สิ่งที่น่ากังวลคือแขนซ้ายกระดูกราวและขาทั้งสองขากระดูกราว ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลอย่างน้อยเจ็ดคืน เพื่อให้กระดูกเชื่อมตัวและไม่เกิดภาวะแทรกซ้อน ช่วงนี้อย่าเพิ่งขยับตัวนะครับ”
“ค่ะ” ซินเหยารับคำอย่างว่าง่าย จากนั้นหมอจึงเดินออกไป ไม่กี่นาทีต่อมา ประตูห้องก็เปิดอีกครั้ง ผู้ช่วยผู้กำกับก้าวเข้ามา แล้วยิ้มแห้งๆ พร้อมแฟ้มเอกสารในมือ
“สวัสดีครับคุณเย่วซินเหยา” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสุภาพแต่จริงจัง
บทที่ 15 ช่วยคนสกุลไป๋“ขอโทษนะคะ คุณใช่อาจารย์เยว่ไหมคะ” ซินเหยาหันไปมอง ผู้หญิงที่ทักเธอ เธอมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมดำประบ่าม้วนเบาๆ ใบหน้าสวยหวานแต่ดวงตาไม่สดใส แฝงไปด้วยความเครียดความกังวลเล็กน้อย เธอยิ้มอย่างสุภาพขณะเอ่ยเรียกซินเหยา“อาจารย์?” ซินเหยา เอ่ยทวนคำเธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยผู้หญิงตรงหน้าซินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พยายามรวบรวมความกล้า ในน้ำเสียงแฝงความเกรงใจและความหวังเล็กๆ ขณะที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณใช่อาจารย์เยว่ซินเหยาใช่ไหมคะ” เธอจับกระเป๋าไว้แน่น มือสั่นเล็กน้อย แววตาตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับอยากได้คำยืนยันจากซินเหยา“อืม..ฉันชื่อเยว่ซินเหยา” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่สายตาจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แววตาเย็นเฉียบ ซินเหยาพอจะรู้จุดประสงค์ของคนตรงหน้าแล้วผู้หญิงคนนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะอ่อนลง คล้ายกับโล่งใจ ความหวังวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ริมฝีปากกลับสั่นเล็กน้อยอย่างไม่กล้าเปล่งถ้อยคำออกมา ซินเหยามองเพียงแวบเดียวก็อ่านความรู้สึกนั้นออกทันที ริมฝีปากโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
บทที่ 14 โรงเรียนเช้าวันที่สอง ซินเหยาตื่นขึ้นในเวลาเดิม ร่างกายของเธอยังคงสดชื่นจากการพักผ่อน แม้เมื่อวานจะนอนดึก แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนล้า หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย เธอก็เข้าสู่มิติอีกครั้ง เริ่มต้นด้วยการนั่งขัดสมาธิกลางลานกว้าง ดวงตาหลับลงอย่างสงบ หัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมหายใจเข้าออกสอดคล้องไปกับพลังธรรมชาติรอบกาย จิตใจของเธอว่างเปล่าแต่มั่นคง การฝึกสมาธิครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ราวกับเธอกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งมิติเมื่อจิตใจสงบนิ่งดีแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเข้าสู่การฝึกกายและยุทธ์ ซินเหยาเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่ดุดันและเฉียบขาดกว่าเมื่อวาน ทุกการก้าว การหมุนตัว และการโจมตีอากาศ เต็มไปด้วยแรงที่ควบคุมได้ดั่งใจ พลังภายในถูกรีดใช้และส่งออกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามืออย่างราบรื่น ร่างบางเคลื่อนไหวราวกับสายลม บางครั้งอ่อนโยนพลิ้วไหว บางครั้งรุนแรงดั่งพายุ แต่ไม่ว่าท่วงท่าใดก็ยังคงความงดงามและสง่างามไว้เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงเต็ม ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคงในลมหายใจ สายตาคมกริบของซินเหยาส่องประกายเจิดจ้า ราวกับมีเ
บทที่ 13 ช้อปปิ้งสองพี่น้องมองแม่ด้วยความสนใจที่กำลังยืนชำระเงินที่เคาน์เตอร์ พลางกระซิบกันเบาๆ“ในความทรงจำของพี่ หม่าม้าไม่ได้รวยนี่นาหรือเราเข้าใจอะไรกันผิด” หมิงหมิงกระซิบเบาๆ พลางขมวดคิ้วคิด“ความทรงจำของหลันหลันก็ด้วยนะ” หลันหลันพยักหน้า พลางเอามือแตะแก้มตัวเองด้วยความสงสัย“พี่แอบใช้โทรศัพท์หม่าม้าก่อนออกมา เห็นหม่าม้ามีเงินแค่สี่หมื่นกว่าหยวนเอง” ได้ยินดังนั้นหลันหลัน ถึงกับเบิกตากว้าง“โหแต่หม่าม้าใช้เงินเก่งมาก แป๊บเดียวจะสองพันหยวนแล้ว”“อื้ม งั้นเราก็ต้องช่วยกันหาเงินเก่งๆ มาให้แม่ใช้”“พี่ยุคนี้ทำงานอะไรถึงได้เงินดีล่ะ”“อืมม.. ไม่แน่ใจเหมือนกันค่อยๆศึกษาไปเดี๋ยวก็มีวิธี” หมิงหมิงยักไหล่พร้อมทำหน้าครุ่นคิด“เช่นนั้นเป้าหมายตอนนี้หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็กินของอร่อยให้ครบทุกร้าน!! อาหารแคปซูลเราอย่าได้เจอกันอีกเลย” ส่วนน้องสาวก็ตบมือเล็กๆ ด้วยความมุ่งมั่น
บทที่ 12 ภารกิจโบนัสซินเหยา มือหนึ่งอุ้มลูกสาว อีกมือหนึ่งจับลูกชาย พากันเดินเข้ามาในห้าง เด็กหญิงในอ้อมแขนเกาะคอแม่แน่น ดวงตากลมใสจ้องมองแสงไฟระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กชายที่ถูกแม่จับมือเดินเคียงข้างกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นนิดๆ แก้มป่องๆ มีสีแดงจากความเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ยอมให้แม่อุ้ม“หมิงหมิงให้หม่าม้าอุ้มดีกว่านะ เหนื่อยแล้วใช่ไหมครับ” ซินเหยาก้มลงถามเสียงอ่อนโยนเด็กชายส่ายหัวแรงๆ อย่างดื้อรั้น“ไม่เอาครับ หมิงหมิงไม่อยากให้หม่าม้าเหนื่อยแค่อุ้มน้องหม่าม้าก็หนักแล้วครับ หมิงหมิงเดินเองได้ครับ” หมิงหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซินเหยาแอบหัวเราะเบาๆ เธอไม่อยากขัดใจ จึงเพียงยื่นมือไปลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“เช่นนั้นก็จับมือหม่าม้าดีๆ นะครับถ้าเหนื่อยก็บอกหม่าม้านะครับหม่าม้าจะได้หยุดพัก”“อื้ม!” เด็กชายพยักหน้าหนักแน่น แต่สายตาก็เริ่มกวาดมองรอบๆ ห้างที่เต็มไปด้วยร้านอาหารสีสันสดใส กลิ่นหอมลอยคลุ้งชวนให้ท้อง
“ประตูนี้คือทางเข้าลิฟต์ส่วนตัวครับ” เขาอธิบายพลางหยิบ คีย์การ์ด ขึ้นมาแตะเครื่องอ่านด้านข้างประตูเสียง ติ๊ง! ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เข้า ซินเหยาเดินประตูเข้าไปพร้อมลูกๆ ทันที แต่กลับพบว่าในห้องมี ประตูลิฟต์อยู่สองตัว ตั้งอยู่คู่กัน และฝั่งตรงข้ามอีกสองตัว ภายในห้องนี้มีลิฟต์ทั้งหมดสี่ตัวหลิวเจ๋อยิ้มเล็กๆ แล้วจึงอธิบายส่วนต่างๆของที่นี่“ฝั่งซ้าย ประตูแรกคือลิฟต์ส่วนตัวของคุณเยว่ซินเหยาครับ ส่วนประตูที่สองจะเป็นลิฟต์ของห้องอื่นที่อยู่ชั้นเดียวกันครับ ส่วนฝั่งขวาเป็น ของชั้นที่ 67 ครับ เพนท์เฮาส์แบบชั้นละสองห้องของที่นี่จะมีแค่สองชั้น คือชั้นที่ 67 และ 68 ครับ ส่วนลิฟต์ตัวนอกจะเป็นชั้นที่2 ถึง 66 เป็นห้องชุด แบบที่มีชั้นละสี่ห้องครับ” ผู้จัดการหลิวเจ๋อชี้ไปที่ เครื่องอ่านคีย์การ์ดของลิฟต์ฝั่งซ้าย ซึ่งมี เลขห้องแสดงอยู่ชัดเจน99/168 ขณะที่ลิฟต์ตัวอื่นก็มีเลขห้องต่างกัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นของห้องอื่น ซินเหยาเห็นเลขห้องใบหน้าเย็นชายังคงเรียบเฉย แต่เธอพยักหน้าอย่าง พึงพอใจ“เด็กๆ ไป
บทที่ 11 เพนท์เฮ้าส์ในวันเดียวกันนั้นหลังจากซินเหยากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเรียกลูกๆ ทั้งสองคนมานั่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยากจะพบเห็น“เด็กๆค่ะ วันนี้เราจะไปดูบ้านใหม่กันนะคะ” เด็กๆเงยหน้ามองแม่ด้วยสายตาตื่นเต้นปนความสงสัย ซินเหยาอธิบายอย่างใจเย็นว่า บ้านใหม่จะกว้างขวางกว่า มีที่ให้เล่นเยอะขึ้น และทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง“เราจะย้ายบ้านใหม่เหรอครับ” ลูกชายคนโตถามเสียงสดใส พร้อมด้วยแววตาสงสัย“ใช่ครับ หม่าม้าได้บ้านมาโดยบังเอิญครับ วันนี้เราจะไปดูกันถ้าเป็นไปได้เราก็จะย้ายวันนี้เลยครับ เด็กๆ ช่วยหม่าม้าเก็บของใส่กล่องไว้นะ ช่วงบ่ายเราจะไปดูบ้านกันครับ”“ได้ครับ / ได้ค่ะ”“ย้ายที่อยู่ใหม่เราต้องใช้เงินหม่าม้ามีเงินเยอะไหมครับ” หมิงหมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความใสซื่อ ซินเหยาได้ยินคำถาม ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พลางคิดถึงเงินที่มีอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาที เธอก็ยิ้มบางๆ และลูบหัวลูกชาย“หม่าม้ามีเงินไม่เยอะครับ แต่หม่าม้าจะ