บทที่ 5 คำเตือน
[ภารกิจด่วน: เตือนคุณหมอให้กลับบ้าน – สำเร็จ!] [ผู้ถูกเลือก: เยว่ซินเหยา] ระดับ 1 ค่าประสบการณ์ 200/10,000 ความสามารถ: พลังหยั่งรู้ฟ้าดินขั้นสูง (ไม่สามารถตรวจดวงชะตาตัวเองได้) พลังชีวิต: 100/100 พลังยุทธ์: 1/10 เงิน: 41,000 หยวน ซินเหยามองยอดเงินอย่างพึงพอใจ พรางสงสัยถึงเรื่องระดับและค่าประสบการณ์จึงได้เอ่ยถามในใจ “จริงสิฉันลืมถามระดับกับค่าประสบการณ์คือสิ่งใด” ‘ระดับก็คือเลเวลยิ่งเลเวลสูง ผู้ใช้งานก็จะยิ่งมีความสามารถเพิ่มมากขึ้น ขอใบ้ว่าระดับสองสามารถเปิดร้านค้าในระบบได้นะคะ ส่วนค่าประสบการณ์ก็มาจากการทำภารกิจสะสมคะแนนหรือการดูดดวงชะตาช่วยเหลือผู้อื่นเมื่อคะแนนเต็มก็จะได้เลื่อนเลเวลค่ะ’ “แล้วพลังยุทธ์ล่ะฉันจะเพิ่มพลังได้อย่างไร” ‘เพิ่มได้โดยการฝึกฝนร่างกาย ใช้หลักการฝึกเดียวกันกับการฝึกพลังปราณเลยค่ะ เพียงแต่โลกแห่งนี้ไม่มีพลังปราณให้ดูดซับ เพียงฝึกฝนให้ร่างกายแข็งแกร่งระดับก็จะเพิ่มขึ้น’ “หมายความว่าฉันเพียงแค่ฝึกจนร่างกายแข็งแรงขึ้น ระดับพลังยุทธ์ก็จะตามมาด้วยงั้นหรือ?” ‘ใช่ค่ะ ร่างกายที่แข็งแกร่งจะเป็นรากฐาน ทุกกล้ามเนื้อ ทุกลมหายใจ คือเส้นทางในการยกระดับพลังยุทธ์ของท่าน และหากท่านตั้งใจทำภารกิจบางภารกิจก็จะมียาเพิ่มพลังกายให้ท่านด้วย‘ “ยาเพิ่มพลังกาย…?” ‘ถูกต้องค่ะ ยานี้จะช่วยทำให้โฮสต์ก้าวหน้าในพลังยุทธ์เร็วกว่าการฝึกเพียงอย่างเดียว’ “อืม เช่นนั้นก็รีบส่งภารกิจที่รางวัลเป็นอย่างอื่นนอกจากเงินมาบ้างเถอะ” ‘ภารกิจส่งมอบให้ตามคำสั่งเบื้องบนค่ะ’ “….” ได้ยินดังนั้นซินเหยาก็เงียบไปราวกับหมดคำจะพูด ใบหน้างามที่นิ่งอยู่แล้วก็ดูจะเย็นชาขึ้นอีกส่วนราวกับไม่สบอารมณ์ ‘การดูดดวงชะตาเพื่อช่วยเหลือผู้อื่นก็สามารถทำคะแนนได้นะคะ แม้จะไม่ได้รางวัลจากระบบ แต่สามารถเรียกเก็บเงินจากผู้ดูดวงชะตาได้ค่ะ ค่าหมอดูจะถูดระบบหักอัตโนมัติ 10% เพื่อส่งมอบให้กับเบื้องบนเป็นการทำบุญเล็กๆ น้อยๆ ค่ะ’ ดึงวิญญาณข้ามาเพื่อใช้งานข้าแล้วยังจะมาหักเงินข้าอีกหรือพวกเจ้านั่งทำอะไรกันไม่ยุติธรรมกับข้าเลย เธอตะโกนด่าเบื้องบนอยู่ในใจ ทันใดนั้น ก็เกิดเสียงฟ้าผ่าดังลั่น โครมมมมมม ครืนนนนนนนน “…” ซินเหยาชะงันเล็กน้อย แต่ใบหน้าก็ยังเรียบนิ่งไม่สะทกสะท้านต่อเสียงฟ้าใดๆ เสียงระบบเตือนก็ดังตามทันที ‘คำเตือนครั้งที่หนึ่ง: ห้ามด่าเบื้องบน’ “นั้นไม่ใช่คำด่า...เจ้าพวกเบื้องบนบัดซบ!! นี่สิคือคำด่า” ซินเหยาตอบเสียงนิ่ง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย ราวกับระบบเตือนไม่ใช่เรื่องใหญ่ ครืนนนนนนนน… ครืนนนนนนนน… ฟ้าผ่ากระหน่ำอย่างต่อเนื่อง ทำให้ทุกสิ่งรอบตัวสั่นสะเทือน ทันใดนั้น ระบบก็เด้งเตือนอีกครั้ง พร้อมตัวหนังสือสีแดงฉูดฉาดบนหน้าจอ ‘คำเตือนครั้งสุดท้าย ห้ามด่าเบื้องบน ห้ามด่าเบื้องบน! ไม่งั้นท่านจะโดนทัณฑ์สวรรค์’ ซินเหยาเหลือบมองหน้าจอ แล้วยักคิ้วขึ้นอย่างไม่สะทกสะท้าน ใบหน้าของเธอยังคงเรียบนิ่ง ราวกับคำเตือนนั้นเป็นเรื่องธรรมดา แต่เธอไม่ได้ตอบหรือคิดอะไร เพื่อเรียกทัณฑ์สวรรค์ให้มาลงโทษ “หักก็หัก...ตามนั้นเถอะ” ไม่นานก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นอีกครั้ง ซินเหยาหันไปเห็นพยาบาลถือแฟ้มเอกสารเดินเข้ามา “สวัสดีค่ะ คุณซินเหยา วันนี้จะออกจากโรงพยาบาลใช่ไหมคะ?” พยาบาลถามอย่างอ่อนโยน ซินเหยาพยักหน้า นางพยาบาลจึงช่วยจัดเอกสารการออกจากโรงพยาบาลให้เรียบร้อย นัดให้มาตรวจอาการอีกสองอาทิตย์ จากนั้นจึงพยุงซินเหยาให้นั่งลงบนรถเข็น เธอจึงนั่งรถเข็ญไปตามน้ำ ทั้งที่จริงแล้วเธอหายดีแล้วด้วยซ้ำ รถเข็นถูกเข็ญไหลไปตามทางอย่างสงบ เสียงล้อรถเข็นกระทบพื้นเบาๆ ระหว่างทาง ซินเหยาสะดุดสายตากับเงาร่างวิญญาณทั้งแบบปกติ และแบบสยองขวัญตลอดทาง แต่เธอเพียงเหลือบมอง ก่อนจะละสายตาไป ไม่ได้ใส่ใจแม้แต่น้อย เมื่อออกมาถึงหน้าประตูโรงพยาบาล รถที่ซินเหยาเรียกไว้ผ่านแอปพลิเคชันก็มาถึงพอดี เธอจึงขึ้นรถพร้อมกับเด็กๆ ทั้งสองที่ตามขึ้นมานั่งเรียบร้อย รถเคลื่อนออกไปสู่บ้านพักของเธอ - ทางด้านคุณหมอ - หลังจากออกจากห้องคนไข้ที่เตือนเขา เขารีบโทรหาภรรยาด้วยความรีบร้อน แต่ปลายสายเงียบสนิท ไม่มีใครรับ สายตาเขาเริ่มสั่นคลอนด้วยความกังวล “ทำไม…ทำไมไม่รับสาย?” เขาพึมพำกับตัวเอง ก่อนจะตัดสินใจอย่างเด็ดขาด รีบตรงไปยังแผนกรถฉุกเฉินของโรงพยาบาล “ขอโทษครับ ผม…ผมต้องใช้รถแอมบูแลนซ์ด่วนที่สุด ไปที่บ้านของผมทันทีครับ!” เสียงหมอเต็มไปด้วยความเร่งด่วน ทำให้เจ้าหน้าที่มองเขาด้วยความตกใจ แต่ไม่กล้าเถียง เมื่อเห็นสีหน้าของหมอ หมอไม่รอช้า ก้าวขึ้นรถด้วยความกังวล เขาไม่รู้ว่าสิ่งที่คนไข้คนนั่นพูดจะเป็นจริงหรือไม่แต่สัญชาตญาณของเขาร้องเตือนว่า ถ้าไม่รีบไป…ภรรยาและลูกในท้องอาจตกอยู่ในอันตรายจริงๆ หากไม่มีอะไรจริงๆ ก็ไม่เป็นไรเขาก็พร้อมรับผิดชอบค่าใช้จ่ายหรือความเสียหายใดๆ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดตอนนี้คือ ความปลอดภัยของภรรยาและลูกในท้อง คุณหมอหนุ่มรีบขึ้นรถแอมบูแลนซ์ทันที เจ้าหน้าที่ประจำรถช่วยเปิดประตูให้ เขาขึ้นไปนั่งบนเบาะ มือหนึ่งถือโทรศัพท์ กดเปิดกล้องวงจรปิดที่บ้านดู ภาพสัญญาณเรียลไทม์ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ เจ้าหน้าที่ก็สตาร์ทรถ ไฟไซเรนกะพริบเสียงดัง รถแอมบูแลนซ์แล่นออกจากโรงพยาบาลทันที หมอจ้องจอภาพอย่างตั้งใจ ทุกสายตาไม่ละจาก ภาพของภรรยาที่กำลังเดินไปมาบนชั้นสองของบ้าน ทำให้หัวใจเขาเต้นแรงมากยิ่งขึ้น พยายามกดโทรออกไปหาภรรยาแต่ก็ไม่มีคนรับ ภาพจากกล้องวงจรปิดแสดงให้เห็นภรรยากำลังเดินลงบันไดด้วยความระมัดระวัง และแล้ว…วินาทีที่ทำให้หัวใจหมอแทบหยุดเต้น ภาพจากกล้องจับได้ชัดเจนว่า ภรรยาก้าวลงสะดุดขอบบันได ร่างของเธอเสียการทรงตัว เธอล้มไปกระแทกกับขั้นบันไดกลางๆ ร่างสะบัดไปตามแรงกระแทก แต่เธอยังพยายามยกมือป้องตัวและกอดท้องไว้ ภาพนั้นทำให้หมอแทบลืมหายใจ ในขณะเดียวกัน รถแอมบูแลนซ์แล่นมาถึงหน้าบ้านพอดี หมอรีบพุ่งลงจากรถ เขาไม่รอช้า วิ่งเข้าไปยังบันไดที่ภรรยาล้มลง หมอช้อนร่างภรรยาไว้แน่น มือของเขาสัมผัสกับรอยช้ำและเลือดเล็กน้อยที่ไหลออกจากศีรษะ เธอหายใจแรงและตื่นตกใจ แต่ยังโชคดีที่ไม่มีบาดแผลลึก “ไม่เป็นไร…ผมอยู่ตรงนี้แล้ว ปลอดภัยแล้วนะครับ” หมอพูดเสียงสั่นพลางกุมมือภรรยาไว้แน่น เจ้าหน้าที่แอมบูแลนซ์รีบเข้ามาช่วย เขาและหมอจัดท่าร่างภรรยาให้นอนลงบนเปลอย่างระมัดระวัง จากนั้นรีบเคลื่อนย้ายขึ้นรถไปยังโรงพยาบาลทันที ระหว่างทาง หมอจับมือเธอไว้แน่น ปลอบโยนและตรวจอาการเบื้องต้นอย่างระมัดระวัง ตรวจดูการหายใจ อัตราการเต้นของหัวใจ และความปลอดภัยของทารกในครรภ์ เมื่อถึงโรงพยาบาล ทีมแพทย์ช่วยกันตรวจเช็กอย่างละเอียด พบว่าเธอมีเพียงรอยฟกช้ำเล็กน้อยและบาดแผลเล็กๆ จากการกระแทก หมอถอนหายใจด้วยความโล่งใจ แพทย์ทำปฐมพยาบาลและเฝ้าสังเกตอาการสักพัก “คุณปลอดภัยแล้ว…ลูกในท้องก็ปลอดภัยเช่นกัน” หมอพูดพลางยิ้มเบาๆ ภรรยาหลับตาอย่างเหนื่อยล้า หัวใจหมอค่อยๆ คลายความตึงเครียด หลังจากเหตุการณ์ที่น่ากลัวครั้งนี้ ในความคิดของเขา ภาพซินเหยาที่เตือนล่วงหน้าและช่วยให้เขามาถึงทันเวลายังคงชัดเจนอยู่ในใจ หมอรู้สึกถึงขอบคุณอย่างลึกซึ้ง “ขอบคุณ…ขอบคุณจริงๆ ที่เตือนผมทันเวลา” เขาพึมพำเบาๆ ราวกับพูดกับตัวเอง แต่ก็เป็นคำขอบคุณต่อซินเหยา คนที่ทำให้เขาและครอบครัวปลอดภัยจากเหตุการณ์อันตรายนี้บทที่ 15 ช่วยคนสกุลไป๋“ขอโทษนะคะ คุณใช่อาจารย์เยว่ไหมคะ” ซินเหยาหันไปมอง ผู้หญิงที่ทักเธอ เธอมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมดำประบ่าม้วนเบาๆ ใบหน้าสวยหวานแต่ดวงตาไม่สดใส แฝงไปด้วยความเครียดความกังวลเล็กน้อย เธอยิ้มอย่างสุภาพขณะเอ่ยเรียกซินเหยา“อาจารย์?” ซินเหยา เอ่ยทวนคำเธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยผู้หญิงตรงหน้าซินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พยายามรวบรวมความกล้า ในน้ำเสียงแฝงความเกรงใจและความหวังเล็กๆ ขณะที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณใช่อาจารย์เยว่ซินเหยาใช่ไหมคะ” เธอจับกระเป๋าไว้แน่น มือสั่นเล็กน้อย แววตาตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับอยากได้คำยืนยันจากซินเหยา“อืม..ฉันชื่อเยว่ซินเหยา” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่สายตาจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แววตาเย็นเฉียบ ซินเหยาพอจะรู้จุดประสงค์ของคนตรงหน้าแล้วผู้หญิงคนนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะอ่อนลง คล้ายกับโล่งใจ ความหวังวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ริมฝีปากกลับสั่นเล็กน้อยอย่างไม่กล้าเปล่งถ้อยคำออกมา ซินเหยามองเพียงแวบเดียวก็อ่านความรู้สึกนั้นออกทันที ริมฝีปากโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
บทที่ 14 โรงเรียนเช้าวันที่สอง ซินเหยาตื่นขึ้นในเวลาเดิม ร่างกายของเธอยังคงสดชื่นจากการพักผ่อน แม้เมื่อวานจะนอนดึก แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนล้า หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย เธอก็เข้าสู่มิติอีกครั้ง เริ่มต้นด้วยการนั่งขัดสมาธิกลางลานกว้าง ดวงตาหลับลงอย่างสงบ หัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมหายใจเข้าออกสอดคล้องไปกับพลังธรรมชาติรอบกาย จิตใจของเธอว่างเปล่าแต่มั่นคง การฝึกสมาธิครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ราวกับเธอกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งมิติเมื่อจิตใจสงบนิ่งดีแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเข้าสู่การฝึกกายและยุทธ์ ซินเหยาเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่ดุดันและเฉียบขาดกว่าเมื่อวาน ทุกการก้าว การหมุนตัว และการโจมตีอากาศ เต็มไปด้วยแรงที่ควบคุมได้ดั่งใจ พลังภายในถูกรีดใช้และส่งออกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามืออย่างราบรื่น ร่างบางเคลื่อนไหวราวกับสายลม บางครั้งอ่อนโยนพลิ้วไหว บางครั้งรุนแรงดั่งพายุ แต่ไม่ว่าท่วงท่าใดก็ยังคงความงดงามและสง่างามไว้เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงเต็ม ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคงในลมหายใจ สายตาคมกริบของซินเหยาส่องประกายเจิดจ้า ราวกับมีเ
บทที่ 13 ช้อปปิ้งสองพี่น้องมองแม่ด้วยความสนใจที่กำลังยืนชำระเงินที่เคาน์เตอร์ พลางกระซิบกันเบาๆ“ในความทรงจำของพี่ หม่าม้าไม่ได้รวยนี่นาหรือเราเข้าใจอะไรกันผิด” หมิงหมิงกระซิบเบาๆ พลางขมวดคิ้วคิด“ความทรงจำของหลันหลันก็ด้วยนะ” หลันหลันพยักหน้า พลางเอามือแตะแก้มตัวเองด้วยความสงสัย“พี่แอบใช้โทรศัพท์หม่าม้าก่อนออกมา เห็นหม่าม้ามีเงินแค่สี่หมื่นกว่าหยวนเอง” ได้ยินดังนั้นหลันหลัน ถึงกับเบิกตากว้าง“โหแต่หม่าม้าใช้เงินเก่งมาก แป๊บเดียวจะสองพันหยวนแล้ว”“อื้ม งั้นเราก็ต้องช่วยกันหาเงินเก่งๆ มาให้แม่ใช้”“พี่ยุคนี้ทำงานอะไรถึงได้เงินดีล่ะ”“อืมม.. ไม่แน่ใจเหมือนกันค่อยๆศึกษาไปเดี๋ยวก็มีวิธี” หมิงหมิงยักไหล่พร้อมทำหน้าครุ่นคิด“เช่นนั้นเป้าหมายตอนนี้หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็กินของอร่อยให้ครบทุกร้าน!! อาหารแคปซูลเราอย่าได้เจอกันอีกเลย” ส่วนน้องสาวก็ตบมือเล็กๆ ด้วยความมุ่งมั่น
บทที่ 12 ภารกิจโบนัสซินเหยา มือหนึ่งอุ้มลูกสาว อีกมือหนึ่งจับลูกชาย พากันเดินเข้ามาในห้าง เด็กหญิงในอ้อมแขนเกาะคอแม่แน่น ดวงตากลมใสจ้องมองแสงไฟระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กชายที่ถูกแม่จับมือเดินเคียงข้างกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นนิดๆ แก้มป่องๆ มีสีแดงจากความเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ยอมให้แม่อุ้ม“หมิงหมิงให้หม่าม้าอุ้มดีกว่านะ เหนื่อยแล้วใช่ไหมครับ” ซินเหยาก้มลงถามเสียงอ่อนโยนเด็กชายส่ายหัวแรงๆ อย่างดื้อรั้น“ไม่เอาครับ หมิงหมิงไม่อยากให้หม่าม้าเหนื่อยแค่อุ้มน้องหม่าม้าก็หนักแล้วครับ หมิงหมิงเดินเองได้ครับ” หมิงหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซินเหยาแอบหัวเราะเบาๆ เธอไม่อยากขัดใจ จึงเพียงยื่นมือไปลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“เช่นนั้นก็จับมือหม่าม้าดีๆ นะครับถ้าเหนื่อยก็บอกหม่าม้านะครับหม่าม้าจะได้หยุดพัก”“อื้ม!” เด็กชายพยักหน้าหนักแน่น แต่สายตาก็เริ่มกวาดมองรอบๆ ห้างที่เต็มไปด้วยร้านอาหารสีสันสดใส กลิ่นหอมลอยคลุ้งชวนให้ท้อง
“ประตูนี้คือทางเข้าลิฟต์ส่วนตัวครับ” เขาอธิบายพลางหยิบ คีย์การ์ด ขึ้นมาแตะเครื่องอ่านด้านข้างประตูเสียง ติ๊ง! ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เข้า ซินเหยาเดินประตูเข้าไปพร้อมลูกๆ ทันที แต่กลับพบว่าในห้องมี ประตูลิฟต์อยู่สองตัว ตั้งอยู่คู่กัน และฝั่งตรงข้ามอีกสองตัว ภายในห้องนี้มีลิฟต์ทั้งหมดสี่ตัวหลิวเจ๋อยิ้มเล็กๆ แล้วจึงอธิบายส่วนต่างๆของที่นี่“ฝั่งซ้าย ประตูแรกคือลิฟต์ส่วนตัวของคุณเยว่ซินเหยาครับ ส่วนประตูที่สองจะเป็นลิฟต์ของห้องอื่นที่อยู่ชั้นเดียวกันครับ ส่วนฝั่งขวาเป็น ของชั้นที่ 67 ครับ เพนท์เฮาส์แบบชั้นละสองห้องของที่นี่จะมีแค่สองชั้น คือชั้นที่ 67 และ 68 ครับ ส่วนลิฟต์ตัวนอกจะเป็นชั้นที่2 ถึง 66 เป็นห้องชุด แบบที่มีชั้นละสี่ห้องครับ” ผู้จัดการหลิวเจ๋อชี้ไปที่ เครื่องอ่านคีย์การ์ดของลิฟต์ฝั่งซ้าย ซึ่งมี เลขห้องแสดงอยู่ชัดเจน99/168 ขณะที่ลิฟต์ตัวอื่นก็มีเลขห้องต่างกัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นของห้องอื่น ซินเหยาเห็นเลขห้องใบหน้าเย็นชายังคงเรียบเฉย แต่เธอพยักหน้าอย่าง พึงพอใจ“เด็กๆ ไป
บทที่ 11 เพนท์เฮ้าส์ในวันเดียวกันนั้นหลังจากซินเหยากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเรียกลูกๆ ทั้งสองคนมานั่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยากจะพบเห็น“เด็กๆค่ะ วันนี้เราจะไปดูบ้านใหม่กันนะคะ” เด็กๆเงยหน้ามองแม่ด้วยสายตาตื่นเต้นปนความสงสัย ซินเหยาอธิบายอย่างใจเย็นว่า บ้านใหม่จะกว้างขวางกว่า มีที่ให้เล่นเยอะขึ้น และทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง“เราจะย้ายบ้านใหม่เหรอครับ” ลูกชายคนโตถามเสียงสดใส พร้อมด้วยแววตาสงสัย“ใช่ครับ หม่าม้าได้บ้านมาโดยบังเอิญครับ วันนี้เราจะไปดูกันถ้าเป็นไปได้เราก็จะย้ายวันนี้เลยครับ เด็กๆ ช่วยหม่าม้าเก็บของใส่กล่องไว้นะ ช่วงบ่ายเราจะไปดูบ้านกันครับ”“ได้ครับ / ได้ค่ะ”“ย้ายที่อยู่ใหม่เราต้องใช้เงินหม่าม้ามีเงินเยอะไหมครับ” หมิงหมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความใสซื่อ ซินเหยาได้ยินคำถาม ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พลางคิดถึงเงินที่มีอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาที เธอก็ยิ้มบางๆ และลูบหัวลูกชาย“หม่าม้ามีเงินไม่เยอะครับ แต่หม่าม้าจะ