บทที่ 4 ช่วยคุณหมอ
- สามวันผ่านไป - เธอคิดว่าเป็นเวลาที่พอเหมาะ ที่จะออกจากโรงพยาบาลแล้ว ให้อยู่แบบนี้ถึงเจ็ดวัน ไม่ค่อยสะดวกต่อเด็กๆ เท่าไหร่ เด็กๆ ใส่เสื้อผ้าชุดเดิมมาสามวันแล้ว เธอไม่มีใครคอยดูแลเด็กๆให้ ปกติเวลาทำงาน เธอมักจะฝากเลี้ยงเด็กๆ หรือไม่ก็พาไปที่ทำงานด้วย โชคดีที่วันเกิดอุบัติเหตุ เด็กๆ อยู่ที่กองถ่าย เพื่อนร่วมงานจึงพามาที่โรงพยาบาลพร้อมกัน ไม่อย่างนั้นคงจะวุ่นวายกันไปใหญ่ “วันนี้เราจะออกจากโรงพยาบาลกันนะ เด็กๆ” เย่วซินเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “หม่าม้าหายแล้วหรอคะ?” หลันหลันลูกสาวถามด้วยน้ำเสียงใส ปนความดีใจ แววตากลมโตเต็มไปด้วยความตื่นเต้น “หม่าม้ายังอยู่ไม่ถึงเจ็ดวันตามที่คุณหมอแจ้งเลยนะครับ” หมิงหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงกังวล คิ้วเล็กขมวดเล็กน้อย ท่าทางสงบนิ่ง แฝงความเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าวัย เย่วซินเหยาหัวเราะเบาๆ พลางลูบหัวเด็กๆ “หม่าม้าหายดีแล้วครับ หมิงหมิงไม่ต้องกังวลนะครับ” ช่วงบ่ายของวันนั้น เสียงเคาะประตูดังขึ้น หมอประจำตัวเดินเข้ามาในห้องด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน “สวัสดีครับ คุณซินเหยา วันนี้ผมขอตรวจร่างกายอีกสักรอบนะครับ” เย่วซินเหยาพยักหน้าเบาๆ เด็กๆ นั่งสงบอยู่ข้างเตียง หมอเริ่มตรวจชีพจร วัดความดัน ตรวจการหายใจ และสังเกตรอยแผลต่างๆ บนร่างกาย “แผลทั้งหมดหายสนิทดีมากครับ การฟื้นตัวของคุณเร็วและเกือบสมบูรณ์แบบ เหมือนร่างกายของคุณไม่เคยเจ็บปวดมาก่อน” หมอเอ่ยด้วยน้ำเสียงแปลกใจเป็นพิเศษ เมื่อเห็น แผลที่ศีรษะแตกในวันเกิดอุบัติเหตุหายสนิท แถมไม่ทิ้งรอยแผลใดๆ เย่วซินเหยาพยักหน้าเบาๆ เธอไม่ได้แปลกใจ รู้ดีว่าร่างกายนี้ฟื้นสมบูรณ์ตั้งแต่วันแรกที่ดื่มน้ำวิเศษ ที่ยังอยู่ต่อเพียงเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยเกินไป “ค่ะ คุณหมอร่างกายของฉันฟื้นตัวค่อนข้างเร็ว” หมอยังคงทำหน้าประหลาดใจ “ไม่เคยเจอเคสแบบนี้จริงๆ ปกติแผลแตกแบบนี้จะต้องทิ้งรอยเอาไว้บ้าง แต่คุณแทบไม่เหลืออะไรเลยครับ” “อ๋อ พอดีฉันมียาสมานแผลที่ได้มาจากคุณยายค่ะ” เย่วซินเหยาแก้ตัวข้างๆ คูๆ พลางยิ้มบางๆ ให้หมอ “ยาสมานแผลหรือครับ…” หมอเอ่ยอย่างสงสัย เขาทำท่าจะพูดอะไรต่อ แต่ก็เลือกที่จะเงียบไป พลางคิดในใจว่า น่าจะเป็นพวก ยาสมุนไพรโบราณ ที่มีสรรพคุณพิเศษบางอย่าง เขายอมรับความมหัศจรรย์นี้ ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยอยากเชื่อ แต่สายตาก็ยังคงจับจ้องรอยแผลที่แทบจะมองไม่เห็น “คุณหมอคะ ฉันขอกลับบ้านวันนี้เลยได้ไหมคะ” “คุณเพิ่งเกิดอุบัติเหตุรุนแรง แนะนำให้อยู่สักเจ็ดวันนะครับ ถึงแผลที่หน้าผากคุณหาย แต่แขนคุณกระดูกร้าว ร่วมทั้งขาของคุณทั้งสองข้างก็กระดูกราวไม่สามารถเดินไปไหนได้นะครับ” เย่วซินเหยาพยักหน้าเบาๆ ใบหน้าเรียบนิ่งไม่แสดงอารมณ์ แต่เธอก็ปฏิเสธที่จะอยู่โรงพยาบาลต่ออยู่ดี “ค่ะ คุณหมอ ฉันเข้าใจค่ะ แต่จริงๆแล้วฉันมีวิธีจัดการให้ตัวเองได้ค่ะ” หมอเอียงคอ พยายามถามต่อ แต่เห็นสายตาของเย่วซินเหยาแน่วแน่ ก็ทำได้แค่ถอนหายใจเบาๆ “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องระวังตัวอย่างมากนะครับ กลับบ้านแล้วก็อย่าทำกิจกรรมหนักเด็ดขาด” เย่วซินเหยายิ้มรับ “ค่ะ ขอบคุณคุณหมอมากค่ะ” เด็กๆ ที่นั่งอยู่ข้างเตียง พยักหน้าอย่างตื่นเต้น รู้สึกดีใจที่จะได้ กลับบ้านกับหม่าม้า [ติ๊ง!] จู่ๆ เสียงดังแจ้งเตือนก็ดังขึ้นในหัวเย่วซินเหยา พร้อมกับหน้าต่างระบบเด้งขึ้นมาทันที [ภารกิจด่วน: ช่วยเตือนคุณหมอให้รีบกลับบ้านด่วน] รางวัลเมื่อสำเร็จ: เงินรางวัล 20,000 หยวน / คะแนนสะสม 100 แต้ม บทลงโทษหากล้มเหลว: - สถานะ: - ทันทีที่เห็นภารกิจเด้งขึ้นมาเธอจึงเปิดใช้ดวงตาพยากรณ์ทำนายดวงชะตาของคุณหมอตรงหน้าอย่างถือวิสาสะ เพราะคุณหมอใส่แมสปิดปังใบหน้าจึงทำให้ไม่สามารถเห็นชะตาของคุณหมอด้วยวิธีปกติ เหมือนที่เห็นผู้ช่วยคนนั้นได้ การใช้ดวงตาพยากรณ์จะทำให้มองเห็นแบบเจาะลึก ทั้งอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดวงตาพยากรณ์จะถูกเปิดใช้ก็ต่อเมื่อเจ้าตัวเป็นฝ่ายเปิดใช้งานเอง เพื่อป้องกันไม่ให้เธอไปยุ่งกับชะตาของคนอื่นมากเกินไปโดยไม่จำเป็น และเพื่อรักษาความสมดุลระหว่างผู้ใช้พลังพยากรณ์กับชะตาของผู้อื่น สายตาของเธอเริ่มเปล่งแสงอ่อนๆ สีฟ้าใส พลางมองไปที่คุณหมอที่กำลังยืนอยู่ใกล้เตียง แสงนั้นไม่มีใครมองเห็น ยกเว้นเด็กๆ หลันหลันและหมิงหมิงจับจ้องด้วยสายตาเบิกกว้าง แววตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น แต่พวกเขากลับไม่เอ่ยปากพูดอะไร แค่หันไปมองกัน พร้อมพยักหน้าเบาๆ ราวรู้กันดีว่าหม่าม้ากำลังทำอะไรอยู่ ส่วนซินเหยาไม่ได้รับรู้ถึงสายตาของลูกๆเลย ‘ดวงคุณหมอ...ชีวิตและโชคชะตาของเขาเกี่ยวพันกับเหตุการณ์รุนแรงในบ้าน อุบัติเหตุและภรรยาที่กำลังตั้งครรภ์ ซินเหยาเห็นภาพในอนาคตทั้งหมดที่จะเกิดกับคุณหมอท่านนี้’ “คุณหมอคะเดี๋ยวก่อนค่ะ!” ซินเหยา เอ่ยเรียกคุณหมอเสียงดังเมื่อเห็นเค้ากำลังจะเดินออกไป คุณหมอหยุดชะงัก เท้าข้างหนึ่งยังค้างกลางอากาศ หันกลับมาด้วยแววตาแปลกใจ “ครับ?” “พอดีฉันดูดวงชะตาเป็นค่ะ อาจจะเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อสำหรับคุณ แต่เมื่อครู่ฉันเห็นชัดเจนดวงชะตาของคุณโยงไปถึงเหตุการณ์ร้ายแรงในบ้าน และเกี่ยวข้องกับภรรยาของคุณที่กำลังตั้งครรภ์อยู่” คำพูดนั้นทำให้คุณหมอชะงักไปทั้งตัว สีหน้าที่เดิมทีเต็มไปด้วยความมั่นใจกลับซีดเผือดลง ราวกับจิตใจถูกเขย่าจนสั่นคลอน “คุณ…คุณหมายความว่า ภรรยาผม…?” เสียงเขาสั่นเครือ ทั้งยังเต็มไปด้วยความกังวล ซินเหยาจ้องเขาตรงๆ ด้วย ใบหน้าเรียบนิ่งแต่แววตาที่หนักแน่นจนคนฟังไม่อาจมองข้าม “เมื่อครู่ฉันเห็นภาพ เห็นเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับภรรยาของคุณที่ตั้งครรภ์อยู่ มันเชื่อมโยงกับโชคชะตาของคุณอย่างชัดเจน ถ้าคุณไม่รีบกลับไปตอนนี้ ผลลัพธ์อาจเลวร้ายได้ทันที” “คุณรู้ได้ยังไงว่าภรรยาผมตั้งครรภ์” ซินเหยาไม่ตอบทันที เพียงยกสายตาขึ้นเล็กน้อยเหมือนมองทะลุผ่านโลกความจริง ริมฝีปากคลี่ยิ้มบางราวกับทุกสิ่งอยู่ในกำมือ “คุณสามารถตรวจสอบกล้องวงจรปิดที่บ้านคุณได้“ เธอพูดเสียงเรียบ “หากคุณยังอยู่ที่นี่อีกแม้แต่นาทีเดียว...คุณอาจจะเสียเธอไปตลอดกาล” “คุณรู้ได้ยังไง...ว่าภรรยาผมตั้งครรภ์ แล้ว...คุณยังรู้ด้วยว่าที่บ้านผมมีกล้องวงจรปิด?” น้ำเสียงของหมอเต็มไปด้วยความเคลือบแคลง ใบหน้าขมวดคิ้วแน่น สายตาจับจ้องซินเหยาราวกับพยายามหาคำตอบ ซินเหยานั่งนิ่ง ใบหน้าเรียบสงบไม่แสดงความหวั่นไหว ดวงตาลึกล้ำราวกับมองทะลุจิตใจคน “ฉันไม่จำเป็นต้องอธิบายให้คุณเชื่อทั้งหมดหรอกค่ะ เรื่องที่ควรเอ่ยฉันเอ่ยไปแล้วที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับชะตากรรมของคุณ” หมอเม้มปากแน่น หัวใจเขาเต้นแรง ความสงสัยกับความกลัวปะทะกันในอก เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงตรงหน้าเป็นใครและมีวิธีใดถึงรู้เรื่องส่วนตัวขนาดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่ปฏิเสธไม่ได้คือความกังวลกำลังกัดกินใจเขาอย่างรุนแรง “ผม...ผมไม่รู้ว่าควรเชื่อคุณหรือไม่” เขาพูดเสียงต่ำ ลมหายใจติดขัดเล็กน้อย “แต่...ทำไมผมถึงรู้สึกว่าไม่อาจเพิกเฉยกับสิ่งที่คุณพูดได้เลย เรื่องออกจากห้องโรงพยาบาลผมจะให้พยาบาลประสานงานให้ขอตัวก่อนครับ” สิ้นคำ หมอรีบหันกาย ก้าวเท้าออกจากห้องด้วยสีหน้าที่บ่งบอกถึงความร้อนรน แม้ในใจยังคุกรุ่นด้วยความสงสัย แต่ความกังวลกลับแผ่ซ่านรุนแรงจนบังคับให้เขาต้องเร่งรีบ ซินเหยาเพียงนั่งเงียบ มองแผ่นหลังของเขาเดินจากไป ริมฝีปากยกยิ้มบางๆ “ไปเถอะ…ชะตาของเจ้าอยู่ในมือเจ้าแล้ว” เธอพึมพำเบาๆ เสียงใสของระบบดังขึ้นทันทีในหัว พร้อมภาพหน้าจอโฮโลแกรมปรากฏขึ้น [ติ๊ง!] [ภารกิจด่วน: เตือนคุณหมอให้กลับบ้าน – สำเร็จ!]บทที่ 15 ช่วยคนสกุลไป๋“ขอโทษนะคะ คุณใช่อาจารย์เยว่ไหมคะ” ซินเหยาหันไปมอง ผู้หญิงที่ทักเธอ เธอมีอายุประมาณสามสิบต้นๆ ผมดำประบ่าม้วนเบาๆ ใบหน้าสวยหวานแต่ดวงตาไม่สดใส แฝงไปด้วยความเครียดความกังวลเล็กน้อย เธอยิ้มอย่างสุภาพขณะเอ่ยเรียกซินเหยา“อาจารย์?” ซินเหยา เอ่ยทวนคำเธอเอียงศีรษะเล็กน้อย ก่อนจะหรี่ตาลงช้าๆ ในใจเต็มไปด้วยความสงสัยผู้หญิงตรงหน้าซินเหยาเลิกคิ้วเล็กน้อย พยายามรวบรวมความกล้า ในน้ำเสียงแฝงความเกรงใจและความหวังเล็กๆ ขณะที่เอ่ยถามอย่างระมัดระวัง “คุณใช่อาจารย์เยว่ซินเหยาใช่ไหมคะ” เธอจับกระเป๋าไว้แน่น มือสั่นเล็กน้อย แววตาตึงเครียดและเต็มไปด้วยความคาดหวัง ราวกับอยากได้คำยืนยันจากซินเหยา“อืม..ฉันชื่อเยว่ซินเหยา” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ ขณะที่สายตาจับจ้องผู้หญิงตรงหน้าอย่างนิ่งสงบ แววตาเย็นเฉียบ ซินเหยาพอจะรู้จุดประสงค์ของคนตรงหน้าแล้วผู้หญิงคนนั้นเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนสีหน้าจะอ่อนลง คล้ายกับโล่งใจ ความหวังวูบไหวอยู่ในดวงตาคู่สวย แต่ริมฝีปากกลับสั่นเล็กน้อยอย่างไม่กล้าเปล่งถ้อยคำออกมา ซินเหยามองเพียงแวบเดียวก็อ่านความรู้สึกนั้นออกทันที ริมฝีปากโค้งขึ้นน้อยๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
บทที่ 14 โรงเรียนเช้าวันที่สอง ซินเหยาตื่นขึ้นในเวลาเดิม ร่างกายของเธอยังคงสดชื่นจากการพักผ่อน แม้เมื่อวานจะนอนดึก แต่กลับไม่รู้สึกอ่อนล้า หลังจากล้างหน้าเรียบร้อย เธอก็เข้าสู่มิติอีกครั้ง เริ่มต้นด้วยการนั่งขัดสมาธิกลางลานกว้าง ดวงตาหลับลงอย่างสงบ หัวใจเต้นเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ลมหายใจเข้าออกสอดคล้องไปกับพลังธรรมชาติรอบกาย จิตใจของเธอว่างเปล่าแต่มั่นคง การฝึกสมาธิครั้งนี้ลึกซึ้งกว่าเดิม ราวกับเธอกำลังกลายเป็นหนึ่งเดียวกับพลังที่ไหลเวียนอยู่ทั่วทั้งมิติเมื่อจิตใจสงบนิ่งดีแล้ว เธอจึงเปลี่ยนเข้าสู่การฝึกกายและยุทธ์ ซินเหยาเคลื่อนไหวด้วยท่วงท่าที่ดุดันและเฉียบขาดกว่าเมื่อวาน ทุกการก้าว การหมุนตัว และการโจมตีอากาศ เต็มไปด้วยแรงที่ควบคุมได้ดั่งใจ พลังภายในถูกรีดใช้และส่งออกผ่านปลายนิ้วและฝ่ามืออย่างราบรื่น ร่างบางเคลื่อนไหวราวกับสายลม บางครั้งอ่อนโยนพลิ้วไหว บางครั้งรุนแรงดั่งพายุ แต่ไม่ว่าท่วงท่าใดก็ยังคงความงดงามและสง่างามไว้เวลาผ่านไปอีกสองชั่วโมงเต็ม ร่างกายของเธอเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่ออีกครั้ง แต่กลับเปี่ยมไปด้วยพลังและความมั่นคงในลมหายใจ สายตาคมกริบของซินเหยาส่องประกายเจิดจ้า ราวกับมีเ
บทที่ 13 ช้อปปิ้งสองพี่น้องมองแม่ด้วยความสนใจที่กำลังยืนชำระเงินที่เคาน์เตอร์ พลางกระซิบกันเบาๆ“ในความทรงจำของพี่ หม่าม้าไม่ได้รวยนี่นาหรือเราเข้าใจอะไรกันผิด” หมิงหมิงกระซิบเบาๆ พลางขมวดคิ้วคิด“ความทรงจำของหลันหลันก็ด้วยนะ” หลันหลันพยักหน้า พลางเอามือแตะแก้มตัวเองด้วยความสงสัย“พี่แอบใช้โทรศัพท์หม่าม้าก่อนออกมา เห็นหม่าม้ามีเงินแค่สี่หมื่นกว่าหยวนเอง” ได้ยินดังนั้นหลันหลัน ถึงกับเบิกตากว้าง“โหแต่หม่าม้าใช้เงินเก่งมาก แป๊บเดียวจะสองพันหยวนแล้ว”“อื้ม งั้นเราก็ต้องช่วยกันหาเงินเก่งๆ มาให้แม่ใช้”“พี่ยุคนี้ทำงานอะไรถึงได้เงินดีล่ะ”“อืมม.. ไม่แน่ใจเหมือนกันค่อยๆศึกษาไปเดี๋ยวก็มีวิธี” หมิงหมิงยักไหล่พร้อมทำหน้าครุ่นคิด“เช่นนั้นเป้าหมายตอนนี้หาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วก็กินของอร่อยให้ครบทุกร้าน!! อาหารแคปซูลเราอย่าได้เจอกันอีกเลย” ส่วนน้องสาวก็ตบมือเล็กๆ ด้วยความมุ่งมั่น
บทที่ 12 ภารกิจโบนัสซินเหยา มือหนึ่งอุ้มลูกสาว อีกมือหนึ่งจับลูกชาย พากันเดินเข้ามาในห้าง เด็กหญิงในอ้อมแขนเกาะคอแม่แน่น ดวงตากลมใสจ้องมองแสงไฟระยิบระยับด้วยความตื่นเต้น ส่วนเด็กชายที่ถูกแม่จับมือเดินเคียงข้างกลับเชิดหน้าขึ้นอย่างดื้อรั้นนิดๆ แก้มป่องๆ มีสีแดงจากความเหนื่อย แต่ก็ยังไม่ยอมให้แม่อุ้ม“หมิงหมิงให้หม่าม้าอุ้มดีกว่านะ เหนื่อยแล้วใช่ไหมครับ” ซินเหยาก้มลงถามเสียงอ่อนโยนเด็กชายส่ายหัวแรงๆ อย่างดื้อรั้น“ไม่เอาครับ หมิงหมิงไม่อยากให้หม่าม้าเหนื่อยแค่อุ้มน้องหม่าม้าก็หนักแล้วครับ หมิงหมิงเดินเองได้ครับ” หมิงหมิงเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจราวกับตนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ซินเหยาแอบหัวเราะเบาๆ เธอไม่อยากขัดใจ จึงเพียงยื่นมือไปลูบศีรษะลูกชายอย่างเอ็นดู“เช่นนั้นก็จับมือหม่าม้าดีๆ นะครับถ้าเหนื่อยก็บอกหม่าม้านะครับหม่าม้าจะได้หยุดพัก”“อื้ม!” เด็กชายพยักหน้าหนักแน่น แต่สายตาก็เริ่มกวาดมองรอบๆ ห้างที่เต็มไปด้วยร้านอาหารสีสันสดใส กลิ่นหอมลอยคลุ้งชวนให้ท้อง
“ประตูนี้คือทางเข้าลิฟต์ส่วนตัวครับ” เขาอธิบายพลางหยิบ คีย์การ์ด ขึ้นมาแตะเครื่องอ่านด้านข้างประตูเสียง ติ๊ง! ดังขึ้นเป็นสัญญาณว่าอนุญาตให้เข้า ซินเหยาเดินประตูเข้าไปพร้อมลูกๆ ทันที แต่กลับพบว่าในห้องมี ประตูลิฟต์อยู่สองตัว ตั้งอยู่คู่กัน และฝั่งตรงข้ามอีกสองตัว ภายในห้องนี้มีลิฟต์ทั้งหมดสี่ตัวหลิวเจ๋อยิ้มเล็กๆ แล้วจึงอธิบายส่วนต่างๆของที่นี่“ฝั่งซ้าย ประตูแรกคือลิฟต์ส่วนตัวของคุณเยว่ซินเหยาครับ ส่วนประตูที่สองจะเป็นลิฟต์ของห้องอื่นที่อยู่ชั้นเดียวกันครับ ส่วนฝั่งขวาเป็น ของชั้นที่ 67 ครับ เพนท์เฮาส์แบบชั้นละสองห้องของที่นี่จะมีแค่สองชั้น คือชั้นที่ 67 และ 68 ครับ ส่วนลิฟต์ตัวนอกจะเป็นชั้นที่2 ถึง 66 เป็นห้องชุด แบบที่มีชั้นละสี่ห้องครับ” ผู้จัดการหลิวเจ๋อชี้ไปที่ เครื่องอ่านคีย์การ์ดของลิฟต์ฝั่งซ้าย ซึ่งมี เลขห้องแสดงอยู่ชัดเจน99/168 ขณะที่ลิฟต์ตัวอื่นก็มีเลขห้องต่างกัน แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเป็นของห้องอื่น ซินเหยาเห็นเลขห้องใบหน้าเย็นชายังคงเรียบเฉย แต่เธอพยักหน้าอย่าง พึงพอใจ“เด็กๆ ไป
บทที่ 11 เพนท์เฮ้าส์ในวันเดียวกันนั้นหลังจากซินเหยากินข้าวเช้าเรียบร้อยแล้ว เธอจึงเรียกลูกๆ ทั้งสองคนมานั่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยนที่ยากจะพบเห็น“เด็กๆค่ะ วันนี้เราจะไปดูบ้านใหม่กันนะคะ” เด็กๆเงยหน้ามองแม่ด้วยสายตาตื่นเต้นปนความสงสัย ซินเหยาอธิบายอย่างใจเย็นว่า บ้านใหม่จะกว้างขวางกว่า มีที่ให้เล่นเยอะขึ้น และทุกคนจะมีห้องเป็นของตัวเอง“เราจะย้ายบ้านใหม่เหรอครับ” ลูกชายคนโตถามเสียงสดใส พร้อมด้วยแววตาสงสัย“ใช่ครับ หม่าม้าได้บ้านมาโดยบังเอิญครับ วันนี้เราจะไปดูกันถ้าเป็นไปได้เราก็จะย้ายวันนี้เลยครับ เด็กๆ ช่วยหม่าม้าเก็บของใส่กล่องไว้นะ ช่วงบ่ายเราจะไปดูบ้านกันครับ”“ได้ครับ / ได้ค่ะ”“ย้ายที่อยู่ใหม่เราต้องใช้เงินหม่าม้ามีเงินเยอะไหมครับ” หมิงหมิงเอ่ยถามด้วยความสงสัย ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความใสซื่อ ซินเหยาได้ยินคำถาม ก็นิ่งไปครู่หนึ่ง พลางคิดถึงเงินที่มีอยู่ แต่เพียงเสี้ยววินาที เธอก็ยิ้มบางๆ และลูบหัวลูกชาย“หม่าม้ามีเงินไม่เยอะครับ แต่หม่าม้าจะ