บทที่ 9 กลิ่นเด็กมันเย้ายวน
“โอ้โห….สวยจัด ซ่อนรูปฉิบ” ลีอองเดินออกมาจากจุดที่ทีมเขาอยู่ มาหาเฮดเตอร์พร้อมกับกอดคอเพื่อน “เด็กนี่ของมึงปะ”
“ไม่ใช่”
“งั้นกูขอนะ น่ากิน”
“เลิกได้เลิกนะ นิสัยเห็นใครก็อยากกินไปหมดเนี่ย”
“ก็น้องมันน่ารักนี่หว่า ไอ้ณๆ นั่นน้องมึงใช่ปะ”
ณคุณเดินผ่านมาพอดี ลีอองจึงโบกมือเรียก ณคุณหันไปมองตามสายตาเฮดเตอร์และลีอองก็ต้องตกใจ เขาพยักหน้าตอบเบาๆ แล้วเดินไปหานาเนียร์
“อะไรเนี่ย น้องใส่ชุดพวกนี้ทำไม”
“ก็เจ้านายพี่ณสั่ง”
“ทำไมไม่บอกพี่”
“เนียร์คิดว่าจัดการเองได้ ไม่อยากรบกวนพี่ณ…” เธอตอบกลับพี่ชายด้วยความรู้สึกผิด
“แล้วดูสิ โป๊ขนาดนี้” ณคุณทำได้เพียงถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปมองหน้าเฮดเตอร์ “เฮียให้นาเนียร์เป็นพริตตี้สนามเหรอครับ”
“อืม กูลืมบอกมึง”
“แต่เฮีย น้องผมยังเด็กนะ”
“เด็กที่ไหน ดูสิ” ลีอองแย้งเสียงแข็ง พร้อมกับบุ้ยปากไปหานาเนียร์ “เต็มสาวขนาดนี้ เด็กที่ไหนวะไอ้ณ กูต้องทำดีกับมึงไว้เยอะๆ ละ ว่าที่พี่แฟนในอนาคต”
“พอเลยเฮียลี น้องผมยังเด็ก เพิ่งจบม.หกเอง”
“กำลังน่ารัก”
“ไร้สาระไอ้ลี” เฮดเตอร์ส่ายหน้าเบาๆ “กูมีค่าจ้างให้ ไม่ได้ให้ทำฟรี แยกจากเงินเดือน”
“เฮีย”
“เออ ครั้งหน้ากูจะถามมึงก่อน” เฮดเตอร์หันหลังเดินออกไปจากตรงนั้น ทว่าเขากลับหยุดยืนและมองหน้านาเนียร์
“สนใจหรือไง" ต้นหนเดินเข้ามาใกล้ พร้อมกับเอ่ยถามเสียงเข้ม “หรือว่าเด็กนั่นถูกใจมึง”
“เลิกพล่ามไร้สาระเถอะน่า ไปเตรียมตัวแพ้กูได้แล้ว”
“หึหึ ยากหน่อย กูตั้งใจมาล้มเจ้าสนามอย่างมึง”
“เออ กูด้วย” กันต์เลิกคิ้วเห็นด้วยกับคำพูดของเพื่อนรัก “ว่าแต่ถ้าพวกกูล้มมึงได้ จะได้อะไรวะ”
“แดกเหล้า”
“หึหึ ก็ดี” ต้นหนพยักหน้ารับ ก่อนที่กันต์จะพยักหน้าเห็นด้วยกับเขา “แต่ขอเป็นเหล้าแพงๆ หน่อยนะ”
“หึ” เฮดเตอร์แค่นหัวเราะ จากนั้นทั้งสามจึงไปเตรียมตัวที่รถตัวเอง
เสียงเครื่องยนต์คำรามลั่นสนามท่ามกลางอุณหภูมิยามเย็นที่เริ่มเย็นลงเล็กน้อย แต่ความร้อนระอุบนแทร็กกลับพุ่งสูงขึ้นทุกขณะ เสียงเชียร์จากผู้ชมรอบสนามดังสนั่นราวกับคลื่นโหมกระหน่ำ บรรยากาศอบอวลด้วยกลิ่นน้ำมัน ยาง และความคึกคักของค่ำคืนที่กำลังจะกลายเป็นตำนาน
นาเนียร์ยืนอยู่ข้างแทร็ก ดวงตากวาดมองรถแข่งทั้งสี่คันที่เข้าประจำจุดพร้อมกันอย่างมีระเบียบ สีดำด้านดุดันของรถเฮดเตอร์ สีแดงเพลิงของต้นหน และสีฟ้าเข้มแสบตาของลีออง และสีเงินสะท้อนแสงของกันต์
แม้จะรู้สึกเกร็งกับสายตาหลายคู่ที่จับจ้องมาทางเธอ แต่นาเนียร์ก็ยืดตัวขึ้นเต็มความสูง มือหนึ่งจับเสาธงแน่นพลางหายใจเข้าลึก กลิ่นไอของสนามแข่งแตกต่างจากกลิ่นหอมจางๆ บนตัวเธออย่างสิ้นเชิง แต่นั่นไม่ได้ทำให้เธอสั่นไหว
3… 2… 1…
ธงในมือนาเนียร์สะบัดลงอย่างเฉียบคม พร้อมเสียงล้อที่บดกับพื้นแทร็กจนฝุ่นและควันพวยพุ่ง รถทั้งสี่คันพุ่งออกไปดั่งลูกธนูที่ถูกปล่อยจากสาย แข่งกันพริบตาเดียวก็กลายเป็นจุดเล็กๆ ที่ไกลออกไป
รอบแรก รถของต้นหนขึ้นนำแบบเฉียดฉิว ตามติดด้วยเฮดเตอร์ที่ตามจี้แบบไม่ให้หายใจหายคอ ลีอองและกันต์เบียดกันแย่งอันดับที่สาม สลับกันไปมาราวกับกำลังเล่นสงครามประสาท
เสียงประกาศผ่านไมโครโฟนเรียกเสียงเฮได้เรื่อยๆ
“รอบที่สอง เฮดเตอร์แซงต้นหนแล้วครับ! มาด้วยความเร็วราวกับปีศาจ โอ้โห ลีอองเฉี่ยวกันต์ไปเฉียดฉิว!”
นาเนียร์กลืนน้ำลาย ความเร็วที่พวกเขาใช้มันเหนือความคาดหมายของเธอ ทุกวินาทีคือการแข่งขันกับความกล้าและความตาย
ในรอบสุดท้าย รถเฮดเตอร์นำมาเป็นอันดับหนึ่งแบบทิ้งห่างเพื่อนร่วมสนามคันอื่นไปพอสมควร ต้นหนพยายามเร่งเครื่องไล่ตามแต่ไม่อาจทัดเทียม ส่วนลีอองและกันต์ยังคงเบียดกันเหมือนเด็กแย่งของเล่น
เส้นชัยอยู่แค่เอื้อม!
นาเนียร์ยืนประจำตำแหน่งอีกครั้ง มือกำเสาธงแน่นขณะจ้องไปยังรถที่พุ่งตรงเข้ามา ดวงตาเธอสะท้อนเงารถคันสีดำด้านที่วิ่งเข้ามาด้วยความเร็วมหาศาล
วูบ!
เธอสบัดธงขึ้นสูงเมื่อรถของเฮดเตอร์เข้าเส้นชัยเป็นคันแรก ท่ามกลางเสียงเฮของผู้ชมรอบสนามที่กระหึ่มราวกับแผ่นดินไหว ความตื่นเต้น ความมันส์ และพลังแห่งชัยชนะแผ่กระจายออกไปทั่วทุกอณูอากาศ
ไม่นานหลังจากนั้น ต้นหนเข้าเส้นชัยตามมาเป็นที่สอง ตามด้วยลีอองและกันต์ที่ยังแข่งกันจนนาทีสุดท้ายราวกับไม่มีใครยอมใครแม้แต่เสี้ยววินาที
รถของเฮดเตอร์จอดสนิทตรงจุดพัก เขาก้าวลงจากรถ ถอดหมวกกันน็อคออกเผยใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อและรอยยิ้มมุมปาก
เขามองตรงไปยังนาเนียร์ที่ยังถือธงอยู่ ใบหน้าของเธอแดงซ่านเล็กน้อยจากอารมณ์ที่ยังพลุ่งพล่านจากการแข่ง แต่ดวงตาทั้งคู่สบกันนิ่งๆ อยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เขาจะเอ่ยคำสั้นๆ กับตัวเอง…
“โชว์ธงได้ดี…แต่กลิ่นเธอหอมกว่าชัยชนะวันนี้อีก”
แล้วจึงหมุนตัวไปหาทีมและเพื่อนที่ทยอยเดินเข้ามา ทิ้งไว้เพียงหัวใจที่เต้นแรงเกินเหตุของใครบางคนข้างสนาม…
นาเนียร์ยังยืนนิ่งอยู่ตรงนั้น ธงในมือค้างอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะลดมือลงช้าๆ หัวใจของเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเสียงเครื่องยนต์ที่ยังดังกึกก้องอยู่รอบข้าง หรือเป็นเพราะสายตาคมดุคู่นั้นที่มองตรงมาที่เธอเมื่อครู่
มันเป็นแววตาที่ไม่ใช่แค่นักแข่งมองพริตตี้สนาม ไม่ใช่แค่เจ้าของสนามมองพนักงานพิเศษ แต่มันลึกซึ้งกว่านั้น…ลึกเสียจนเธอเผลอกลืนน้ำลาย แล้วหันหน้าหนีออกไปก่อนจะเผลอแสดงสีหน้าอะไรมากกว่านี้
“ทำดีมากน้องนาเนียร์” ทีมงานคนหนึ่งเดินเข้ามารับธงจากมือเธอไป “ไม่ต้องอยู่ต่อแล้วนะคะ เดี๋ยวพี่พาไปเปลี่ยนชุด”
“ค่ะ…” เธอพยักหน้าเบาๆ แต่ก่อนจะเดินจากไป สายตาก็ยังเผลอเหลือบมองไปที่กลุ่มชายหนุ่มที่ยืนคุยกันอยู่อีกครั้ง
กันต์เดินเข้าไปตบหลังเฮดเตอร์เบาๆ
“ยอมรับว่ามึงขับดีว่ะ วันนี้ของจริงเลย”
เสียงต้นหนหัวเราะในลำคอ
“ไม่อยากชม แต่ก็ต้องชม…มันเร็วจริง”
“พวกมึงพูดเหมือนไม่เคยแข่งกับกูมาก่อน” เฮดเตอร์ยักคิ้วก่อนจะหยิบขวดน้ำดื่มขึ้นมาดื่ม ท่ามกลางเสียงหัวเราะของเพื่อนร่วมสนาม
ลีอองเดินเข้าไปคว้าไหล่เฮดเตอร์เบาๆ
“แต่มึงได้รางวัลพิเศษเพื่อน ไม่ใช่แค่เข้าเส้นชัยคนแรก แต่ยังมีเด็กโบกธงให้ด้วยความเต็มใจสุดๆ กูเห็นนะตอนมองกันเมื่อกี้น่ะ”
“พูดมาก” เฮดเตอร์พูดเรียบๆ แต่สีหน้ากลับนิ่งกว่าปกติ สายตายังไม่ยอมละไปจากจุดที่นาเนียร์เพิ่งเดินจากไป เขาไม่ได้พูดอะไรอีก แต่น้ำเสียงข้างในกลับชัดเจนยิ่งกว่าเสียงเร่งเครื่องเมื่อครู่
เด็กนั่นเริ่มเข้าตากูแล้วจริงๆ
อีกฟากหนึ่ง ณคุณที่ยืนรออยู่หน้าเต็นท์นักแข่ง เดินตรงไปหาน้องสาวทันทีที่เธอเปลี่ยนชุดเสร็จ
“กลับบ้านเลยไหม เดี๋ยวพี่ขับรถให้”
นาเนียร์พยักหน้าเบาๆ ขณะเดินเคียงข้างพี่ชายออกจากสนาม
“พี่ณ”
“หืม?”
“…เฮียเตอร์เขาดูเก่งมากเลยนะ” เธอพูดเสียงแผ่ว ดวงตายังฉายแววที่เธอไม่อาจอธิบายได้ว่าคือความทึ่ง หรืออะไรบางอย่างที่ลึกซึ้งกว่านั้น
ณคุณหันมามองน้องสาวนิดหนึ่ง พลางถอนหายใจเบาๆ
“อย่ามองเขาแบบนั้นนะเนียร์ เขาไม่ใช่คนที่เราจะเข้าใจได้ง่ายๆ หรอก”
นาเนียร์ไม่ตอบ เธอแค่ยิ้มบางๆ แล้วเบือนหน้ามองออกไปนอกหน้าต่างของรถ
แสงไฟจากสนามแข่งยังสะท้อนเข้ามาในดวงตา แต่ภายในหัวของเธอกลับวนเวียนแต่ภาพของชายหนุ่มคนนั้น เสียงรถคำราม กลิ่นน้ำมัน และแววตาคมกริบที่ยังไม่จางหายจากความทรงจำของเธอเลยสักนิด
“เฮียเขา…เหมือนไฟที่ถูกเติมเชื้อเพลิงอยู่ตลอดเวลาเลย”
“อืม…เราก็อย่าอยู่ใกล้ไฟล่ะ ไฟมันร้อน เดี๋ยวจะมอดไหม้ไม่เหลือแม้แต่เศษเสี้ยว”
“ค่ะ น้องรู้ว่าไฟมันอันตราย เราต้องรักษาระยะ…ไม่งั้นคงมอดไหม้เหมือนที่พี่ณว่า”
———————————————
ฝากกดใจ+คอมเมนต์เป็นกำลังใจให้ด้วยนะคะ 🫰🏻❤️
บทที่ 15 เป็นพาร์ทเนอร์กันไหม?นาเนียร์ก้าวลงจากรถ ขาทั้งสองข้างสั่นพั่บๆ จนต้องหาที่ยึดเหนี่ยวไม่ให้ตัวเองล้มพับลงกับพื้น“ไหวไหมเนี่ยน้องนาเนียร์”“ไหวค่ะ”“เฮียเตอร์พาไปลองรถมาเหรอ”“ค่ะ”เธอพยักหน้าให้รุ่นพี่เบาๆ แล้วถอดหมวกกันน็อกออก“โห หน้าซีดมาก ไหวแน่นะน้อง”“ไหวค่ะไหว” เธอตอบกลับโดยไม่เงยหน้ามองรุ่นพี่ จากนั้นจึงเดินเข้าไปด้านใน เจอแอร์และพัดลมเย็นๆ ถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง และในจังหวะนั้น ณคุณก็เดินถือกล่องเครื่องมือเดินผ่านพอดี“ไปทำไรมาเนี่ย ไหนพี่ดูสิ” เขาไม่ได้เดินผ่านไป แต่กลับรีบปนี่เข้ามาหาน้องสาวเพราะเห็นว่านาเนียร์หน้าซีดมาก“เฮียเตอร์พาไปลองรถ เกือบตายแน่ะ”“หืม? พาน้องไปลองรถมาเหรอ”“ค่ะ”ณคุณขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินคำตอบ น้ำเสียงก็เปลี่ยนจากความเป็นห่วงเป็นแข็งขึ้นเล็กน้อย“แล้วทำไมหน้าซีดขนาดนี้” เขาหันไปมองรอบๆ ราวกับกำลังหาเป้าหมายที่ชื่อเฮดเตอร์นาเนียร์รีบโบกไม้โบกมือ“ไม่ใช่แบบนั้นพี่ณ…ก็แค่…เฮียเขาขับเร็วมากน่ะ น้องยังไม่ชิน”แต่คำอธิบายนั้นไม่ได้ช่วยให้ณคุณคลายสีหน้าขุ่นเคืองลง เขาวางกล่องเครื่องมือลงบนโต๊ะใกล้ๆ แล้วใช้มือจับแขนน้องสาวให้หมุนตัวไปมาเบาๆ“ไ
บทที่ 14 สนใจเสียงเครื่องยนต์คำรามแข่งกับลมที่กระแทกกระจกอย่างต่อเนื่อง รถพุ่งทะยานไปตามโค้งของสนามด้วยความเร็วที่ทำให้ท้องไส้ของนาเนียร์เหมือนถูกดึงรั้งไว้ด้านหลัง เธอกำเข็มขัดตัวเองแน่น เท้าก็เหยียบพื้นแน่นคล้ายจะช่วยเขาเบรกรถ แม้รู้ดีว่ามันไม่ได้ช่วยให้รถช้าลงเลยสักนิดเฮดเตอร์เหลือบตามองเธอจากมุมสายตา เห็นใบหน้าใต้หมวกกันน็อกที่ซีดนิดๆ กับริมฝีปากที่เม้มแน่นเหมือนพยายามเก็บอาการ เขายกยิ้มบาง ไม่ใช่ยิ้มเอ็นดู แต่เป็นยิ้มของคนที่กำลังพอใจที่ได้เห็นอีกฝ่ายตกอยู่ในอาณาเขตของตัวเอง“กลัวเหรอ” เสียงของเขาทุ้มต่ำ แทรกผ่านเสียงเครื่องยนต์เข้ามาในหูเธอ“มะ…ไม่กลัวค่ะ” นาเนียร์ตอบสั้นๆ แต่สายตายังจ้องถนนข้างหน้า“ไม่กลัวก็หันมามองสิ”เธอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามองเขาตามที่บอก แล้วก็ต้องเผลอกลืนน้ำลาย เพราะระยะห่างระหว่างใบหน้าของเขากับเธอตอนนี้ใกล้จนเห็นประกายแววตาคมชัดทุกเส้นสาย ราวกับเขาตั้งใจจะให้เธอสบตาแล้วจมอยู่ในนั้นเฮดเตอร์กระตุกพวงมาลัยเข้าโค้งแรง จังหวะนั้นแรงเหวี่ยงทำให้ร่างของนาเนียร์เอียงเข้าหาเขาโดยอัตโนมัติ มือหนาของเขายกขึ้นมารับไว้ที่เอวอย่างรวดเร็ว“จับไว้ดีๆ” เขากร
บทที่ 13 ลองเครื่องนิ้วเรียวยาวของเฮดเตอร์วางโทรศัพท์ลงบนโต๊ะ ก่อนจะลูบหน้าผากตัวเองแรงๆ ทีหนึ่งด้วยความหงุดหงิด คราวนี้ไม่ใช่เพราะเอกสารตรงหน้า ไม่ใช่เพราะเสียงครางจากปลายสายก่อนหน้า…แต่เพราะความเงียบที่วนกลับมาอีกครั้ง มันเหมือนหลอกให้เขาต้องกลับมานั่งอยู่กับความรู้สึกที่ตัวเองก็ยังไม่อยากยอมรับเขาก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง นิ้วไถรายชื่ออย่างช้าๆ ก่อนจะหยุดที่ชื่อสุดท้ายในกลุ่มที่พอไว้ใจได้“ลีออง” ตัวเลือกสุดท้ายติ๊ด…เสียงรอสายดังเพียงแค่สองครั้ง(ว่าไงมึง วันนี้เงียบเหงาเหรอ ถึงได้โทร.หาผมเนี่ย)เสียงกวนประสาทของลีอองดังขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงเบาๆ ที่เปิดคลออยู่ด้านหลัง ไม่ใช่เสียงหอบ ไม่ใช่เสียงหญิงสาว ไม่ใช่เสียงเตียงลั่นแอ๊ดแอ๊ดเฮดเตอร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกปนขบขันเล็กๆ เป็นครั้งแรกของคืน“อย่างน้อยก็มีมึงที่ว่าง…”(ไม่ว่างก็ต้องว่างแหละ โทรมาขนาดนี้ หายากนะที่มึงจะโทร.หากูก่อน ดึกแล้วด้วย มีไรว่ามา)“ไม่มีอะไรมาก แค่อยากเช็กว่ากูไม่ได้เหลือแค่เอกสารกับเสียงพัดลมในห้องทำงาน และที่สำคัญกูโทร.หามึงคนสุดท้าย”(หืมมมม~ ฟังดูเหงาแปลกๆ นะมึง หรือลูกน้องมึงแอบทิ้งไปเสพสุขกันหมดแล้ว?)เฮดเ
บทที่ 12 คนในอดีตณคุณทิ้งความงุนงงไว้ข้างหลัง ก่อนปั่นหน้ายิ้มแย้มเมื่อนาเนียร์เดินมาถึงรถพอดี“พี่ณ วันนี้ทำงานเหนื่อยมากๆ ขออ้อนได้ไหม”“ก๋วยจั๊บร้านประจำ?” ณคุณเอ่ยขึ้นอย่างรู้ใจน้องสาว ทำเอาคนที่ตั้งใจมาอ้อนพี่ชายให้พาไปกินของอร่อยต้องหลุดยิ้มดีใจ“เก่งจัง รู้ใจน้องไปหมดเลย”“นี่พี่เรานะ เลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ทำไมจะไม่รู้”“ขอบคุณนะพี่ณ ที่ไม่ทอดทิ้งน้องไปไหน”นาเนียร์จับชายเสื้ิพี่ชายเบาๆ แกว่งมือไปมาอย่างเขินอาย จากนั้นเธอก็เขย่งปลายเท้าขึ้นหอมแก้มพี่ชายเบาๆ“อะไรเนี่ย หอมแก้มพี่ทำไม”“ขอบคุณ รู้สึกอยากขอบคุณและอยากขอโทษพี่ณที่ทำตัวให้ปวดหัว”“ไม่เอาน่า ไปหาอะไรกินกันเถอะ”“อืม”ขณะเดียวกันก็มีสายตาหนึ่งคู่ที่มองลงมาจากห้องทำงาน เฮดเตอร์มองสองพี่น้องที่เดินเคียงกันไปขึ้นรถ มุมปากเขาเหยียดยิ้มบางๆ ก่อนจะหันหลังเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ทำงาน22:00 บ้านของณคุณ“ตัวแสบ จะอ่านหนังสือถึงกี่โมงเนี่ย พรุ่งนี้ตื่นสายไม่รู้ด้วยนะ”“น้องไม่เคยตื่นสาย แต่ว่าอยากอ่านบทนี้ให้จบก่อนค่ะ”“เอางั้น?”“อืม แป๊บเดียว”“งั้นพี่อยู่เป็นเพื่อน”“โอเคค่ะ” นาเนียร์ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อณคุณหยิบหนั
บทที่ 11 ไม่เข้าใจเหตุผล“เฮ! ทำไมหน้าซีดแบบนั้น ไม่สบายเหรอ”ณคุณตะโกนเรียกน้องสาว เมื่อนาเนียร์เดินเข้ามาใกล้ เขาก็รีบถอดถุงมือช่างออกแล้วยกขึ้นไปอังหน้าผากน้องสาวทันที “ก็ไม่ได้ตัวร้อน ทำไมทำหน้าเครียดมาแบบนั้น”“พี่ณ”“หืม?”“คนเราสามารถมีอะไรกับคนที่ไม่ใช่คนรักของตัวเองได้เหรอ”ณคุณแทบสำลักน้ำลายกับคำถามตรงๆ ของน้องสาว และรุ่นน้องที่กำลังก้มหน้าทำงานอยู่ข้างๆ ถึงกับอ้าปากค้าง มองหน้านาเนียร์พร้อมกัน“หุบปาก” ณคุณหันไปสั่ง เพราะรู้ว่ายังไงก็ถูกแซวแน่ๆ ก่อนจะหันไปมองหน้านาเนียร์ จากนั้นจึงดึงแขนเธอเดินไปยังมุมที่ไม่มีคนพลุกพล่านเท่าไร “อะไร ทำไมเราถามพี่แบบนี้”“ก็แค่อยากรู้ค่ะ แต่ว่าพี่ณก็เคยทำนี่นา”“พะ พอเลยๆ ไม่ต้องพูด”“ก็น้องอยากรู้นี่คะ”“พี่เชื่อว่าเรามีคำตอบในใจแล้ว”“แล้วพี่ณคิดว่าเนียร์จะตอบอะไร”“พี่รู้น่าตัวแสบ ไปทำงานได้แล้ว และอย่าลืมว่าอีกไท่กี่วันเขาจะเปิดสอบแล้ว ตั้งใจหน่อย”“ครับผม จะไม่ทำให้พี่ณผิดหวัง”นาเนียร์ตอบพร้อมรอยยิ้มกว้าง แม้แววตายังดูไม่สดใสเท่าปกตินัก ทว่าก็พยายามกลบเกลื่อนความสับสนในใจด้วยท่าทีร่าเริง ก่อนจะหมุนตัวเดินออกไปจากมุมนั้น ทิ้งให้ณคุณยังย
บทที่ 10 อย่าเล่นกับไฟรถเคลื่อนตัวออกจากสนามแข่งอย่างช้าๆ ทิ้งเสียงวุ่นวายและกลิ่นน้ำมันไว้เบื้องหลัง เส้นทางที่ทอดยาวเบื้องหน้าเงียบงัน มีเพียงแสงไฟถนนที่สะท้อนเข้ามาในรถเป็นระยะ กับเสียงเครื่องยนต์ที่ดังสม่ำเสมอ ราวกับปลอบโยนความคิดฟุ้งซ่านของหญิงสาวที่นั่งเงียบอยู่เบาะข้างคนขับณคุณเหลือบมองน้องเป็นระยะ นาเนียร์ยังคงมองออกไปนอกหน้าต่าง ดวงตานิ่งสงบ แต่ในความนิ่งนั้นกลับซ่อนบางอย่างไว้จนคนเป็นพี่รู้สึกได้ มันคือความเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่เขาไม่ค่อยสบายใจนัก“เขาไม่ใช่คนธรรมดาเนียร์” ณคุณพูดขึ้นอีกครั้ง น้ำเสียงนิ่งจริงจัง “คนแบบนั้น ถ้าเข้าไปใกล้มากเกินไป มันจะเปลี่ยนเราโดยไม่รู้ตัว”นาเนียร์หันกลับมามองพี่ชาย ชั่ววินาทีนั้นเองที่แววตาเธอเผยความสับสนออกมาอย่างปิดไม่มิด“น้องแค่…แค่อยากรู้จักมากกว่านี้ แต่ก็ไม่ได้อยากให้ไฟแผดเผาตัวเองจนตายขนาดนั้น” เธอสารภาพเสียงแผ่ว “เขาเหมือนมีอะไรบางอย่างที่น้องอยากเข้าใจ อยากมองให้ลึกลงไปกว่าสิ่งที่เขาแสดงออก”ณคุณถอนหายใจยาว เขาไม่ได้ต่อว่า ไม่ได้พูดห้ามเหมือนก่อนหน้านี้ แต่สีหน้าเขายังคงเคร่งเครียด“ตัวตนของเฮดเตอร์มันไม่สวยงามอย่างที่เราคิดนะเ