สายของอีกวัน ฉันพยายามพาตัวเองลุกขึ้นจากที่นอนเท่าไหร่ก็ลุกไม่ขึ้น มันรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวไปหมดเพราะเขาคนเดียวเลยหาเรื่องรังแกฉันไม่หยุดทำให้ฉันต้องนอนเป็นผักอยู่แบบนี้ อย่าให้ฉันลุกไหวนะจะกระโดดขึ้นไปหยุมหัวเขาให้ดูเลย
"อ้วน ตื่นมาคุยกันก่อนดิ๊" "..." "อย่ามามองแรง" "อะไรของนาย" "จะไปไต้หวันทำไมไม่บอก" "แล้วไปกับใคร" "ไปกี่วัน" "ก็นายไม่พาฉันไปญี่ปุ่นซะที" "ก็ฉันกะเซอร์ไพร์สเธอไง" "นี่ไง เจอฉันเซอร์ไพร์สกลับ" "เป็นไง เซอร์ไพร์สป่ะ" "ตลกเก่งจริงนะ แม่คุณ" เพี๊ยะ! สรุปเป็นเขาที่กำลังนั่งจัดการเลื่อนเที่ยวบินไปญี่ปุ่นเป็นหลังสอบเสร็จ และจองตั๋วไปไต้หวันกับฉันเพิ่มแทน แถมกำชับห้ามฉันไม่ให้งอแงไม่ไปเด็ดขาดเพราะเขาจ่ายเงินจองที่พักไปหมดแล้ว ข้อเสนอดีขนาดนี้ใครจะไม่ไปกัน ฉันนอนกลิ้งไปกลิ้งมาพักร่างอยู่ไม่นานก็ลุกขึ้นไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดเสื้อยืดครอปสีขาวกับกางเกงยีนส์สีขาวสบายสบายออกไปทำอะไรกินลองท้องสักหน่อย สงสัยวันนี้ต้องงดออกไปข้างนอกเพราะต้องเก็บผ้าแยกผ้าทั้งของเขาและของฉันส่งซักสักหน่อย ไหนจะต้องแปลงร่างเป็นแม่บ้านกดโรบอทดูดฝุ่นให้ทำงานอีก "อ้วน ตื่นแล้วหรอ" "ฉันสั่งเส้นหมี่ราดหน้าทะเลมา" "กินกัน" "ขอบคุณนะ" "เปลี่ยนเป็นหอมแทนได้ป่ะ" ฟอดด "หึ" "ไปขับรถเล่นกัน" "อยากส่งผ้าซักก่อน" "ฉันแยกไว้หมดแล้ว" "รอแม่บ้านมารับ" "อยากดูดฝุ่นด้วย" ป๊อก! "โอ้ย ดีดมาได้ เจ็บนะ" "โรบอทมันวิ่งทั่วห้อง ไม่เห็น?" "สรุปไม่ไป?" "ไป! " "รีบกิน แล้วไปเปลี่ยนชุด" "ไปชุดนี้แหละ ชิลชิล" "เปลี่ยน" ฉันว่าฉันเอาแต่ใจตัวเองแล้วนะ แต่พอมาเจอหมอนี่ ฉันดูเบาดูง่ายง่ายสบายสบายไปเลย เพราะเป็นเขาที่เอาแต่ใจตัวเองสุดสุดแถมยังคอยมากำกับมาเจ้ากี้เจ้าการการแต่งตัวของฉันอีก ขนาดคุณพ่อกับคุณแม่ยังไม่เคยห้ามฉันเรื่องนี้เลย จบกันเจ้าหญิงแห่งวงการแฟชั่นอย่างหนูมาย ระหว่างกินมื้อเช้าแสนอร่อย เขาก็บอกว่าจะพาไปพัทยาใกล้ๆ เย็นเย็นค่อยขับรถกลับ ก่อนที่ฉันจะเป็นคนเก็บจานไปล้างเพราะเขาสั่งมาให้แล้วจะให้เขาล้างด้วยก็ยังไงอยู่ แล้วรีบไปเปลี่ยนชุดที่คิดว่าถ่ายรูปตรงไหนก็สวย เป็นกระโปรงยาวสีขาวลายโบว์เล็กเล็กสีชมพูกับเสื้อกล้ามพอดีตัวสีขาวดูเข้าชุดกันสุดสุด โดยไม่ลืมที่จะเตรียมหมวกกับแว่นกันแดดและสเปรย์กันแดดไปด้วย พอออกมาก็เห็นเขานั่งเล่นเกมส์รออยู่ที่โซฟาในชุดเสื้อยืดโอเวอร์ไซส์สีขาวกับกางเกงยีนส์ขายาวเหมือนเดิม แล้วยังหันมาแสกนชุดฉันราวกับว่าถ้าไม่ผ่านจะไม่พาออกไปอย่างนั้นแหละ "จะแวะซื้อชาไทยมั้ย" "ค่อยไปกินที่คาเฟ่ทีเดียวดีกว่า" "ไปคาเฟ่นี้กันมั้ย ติดทะเล" "อืม เธอเปิดแมพ" "ขากลับเราจะผ่านเขื่อนตรงนี้มั้ยอะ" "ถ่ายรูปน่าจะสวย" "ผ่านหมดแหละ ถ้าจะไป" ดีที่วันนี้แดดไม่แรงมากเพราะฉันอยากไปถ่ายรูปตรงเบาะนั่งสีชมพูริมหาด แต่ก็ต้องฉีดสเปรย์กันแดดช่วยป้องกันไว้สักหน่อย โดยไม่ลืมที่จะบอกให้เขายื่นสองแขนแกร่งมาให้ฉันฉีดสเปรย์ลงไปที่ผิวของเขาด้วยเป็นการตอบแทนที่อุตส่าห์ขับรถพาฉันมาเที่ยว ระหว่างที่รอชาไทยหวานร้อย อเมริกาโน่เย็นไม่หวาน ครัวซองต์แฮมชีสของเขาและครัวซองค์อัลมอนด์ของฉัน เขาก็รับหน้าที่เป็นตากล้องคอยตามถ่ายรูปให้ฉัน ไม่ใช่แค่ฉันที่ชอบเป็นแบบถ่ายรูปแต่เป็นเขาด้วยที่ชอบถ่ายรูป มุมไหนดีแสงตรงไหนสวยเขาจะคอยเรียกฉันให้ไปยืน ทำท่าเหมือนเผลอบ้าง ยืนหัวเราะคนเดียวบ้าง ซึ่งฉันก็ทำตามอย่างไม่อิดออด ก่อนที่เขาจะเดินเข้ามากอดฉันไว้ใช้มือหนากดหน้าฉันให้ซบเข้าหน้าอกแกร่ง แล้วยื่นกล้องไปถ่ายจากด้านหลังให้เห็นแต่หน้าเขา ทำให้ใจฉันเต้นดังตึกตัก และฉันก็ได้ยินเสียงหัวใจที่เต้นแรงของเขาเหมือนกัน K.NAI: 🫣 ผมกดโพสต์รูปคู่ที่เห็นแค่หน้าผมลงในไอจีของผมทันทีที่เข้ามานั่งหลบแดดตากแอร์เย็นเย็นในร้านและจิบกาแฟคลายร้อน มันเป็นรูปที่ผมใช้เวลาคิดอยู่นานหลายนาทีว่าจะถ่ายเก็บไว้ดีมั้ย เพราะองค์ประกอบที่ครบ แสงก็สวย มุมก็ดี นางแบบก็น่ารัก สมองเลยสั่งให้ผมทำตามเสียงหัวใจตัวเองก้าวเข้าไปหาแล้วกอดยัยลูกหมูเอาไว้ แล้วกดชัตเตอร์ทันที ซึ่งอันที่จริงผมแอบถ่ายรูปคู่แบบนี้ของผมกับเธอไว้หลายรูปนะแต่แอบถ่ายได้แค่ตอนเธอหลับ และนี่เป็นรูปคู่รูปแรกที่เราสองคนไม่ตีกัน ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของเราเท่านั้น "นายลงรูปแบบนี้ แล้วฉันจะลงอะไร" "อ้วน ฉันถ่ายให้เธอเป็นร้อยรูป" "เธอลงสิบรูปก็ไม่ซ้ำรูปนี้หรอก" "..." "นี่ น่าหมันเขี้ยวนัก" "โอ๊ย หยิกมาได้ จมูกฉันพังพอดี" "จมูกหมู" "ฮ่าๆๆ" ผมเอื้อมมือไปหยิกจมูกเธอที่กำลังนั่งทำหน้างอแงอยากจะลงรูปบ้างแต่กลัวคนอื่นจับสังเกตได้เลยไม่กล้าลง ผมจึงหยิบมือถือของเธอที่เข้าแอคเคาท์ไอจีค้างไว้อยู่มาเลือกรูปจากแกลลอรี่สิบห้ารูปที่สวยคนละแบบคนละมุม ใส่แคปชั่นเป็นอิโมจิ รูปกล้อง แล้วกดโพสต์ทันที #อยากมีตากล้องส่วนตัวแบบนี้ 📸 #อ่านเพลินๆ ขำๆกันเหมือนเดิมจ้าฉันค่อยๆ ลืมตาตื่นขึ้นมาหลังจากที่ได้ไปเดินเล่นในสวนดอกไม้สีขาวสวยมากและกว้างมากด้วยมีหิ่งห้อยบินเต็มไปหมดจนรู้สึกอยากจะอยู่ที่นี่ไม่อยากไปไหน จนได้ยินเสียงทุ้มที่คุ้นเคยเรียกชื่อฉันอยู่ไกลๆ พร้อมกับเสียงร้องโยเยจากเด็กน้อยเหมือนร้องเรียกหา ฉันเลยค่อยๆ เดินไปตามเสียงทีละนิดทีละนิดฉันนอนมองใบหน้าที่ดูอิดโรยคิ้วเข้มขมวดเป็นปมแน่นมีมือหนาของเขาจับมือบางของฉันไปแนบแก้มสากไว้ราวกับกลัวหายจนผ่านไปนานหลายนาทีก็ไม่มีวี่แววตื่นขึ้นมา ฉันเลยใช้นิ้วเรียวเล็กที่อยู่ตรงแก้มนั้นลูบสัมผัสปลุกเขาเบาเบาแต่กลับไม่ได้ผล เลยต้องเปลี่ยนเป็นหยิกลงไปแทนทำเขาสะดุ้งเฮือกลืมตาขึ้นมามองหน้าฉันด้วยแววตาเป็นประกายฟอด ฟอด ฟอด"ตื่นแล้วหรอ อ้วน""นายกับลูกลูกรอตั้งนาน""เจ็บมั้ย""เจ็บ""ขอโทษคับ จุ๊บ" "ลูกละ" "เดี๋ยวพยาบาลพามา""รอแป๊บนะนายไปตามหมอก่อน"เขาโผเข้ากอดและหอมฉันอยู่นานราวกับว่าคิดถึงฉันมาก ฉันก็รู้สึกคิดถึงเขามากเหมือนกันเลยปล่อยให้เขากอดอยู่อย่างนั้นทั้งๆ ที่ก็แอบเจ็บแผลอยู่หน่อยๆ จนกระทั่งคุณหมอมาตรวจอาการฉันอย่างละเอียดและบอกให้ฉันกับลูกลูกนอนพักที่นี่อีกสี่ห้าวันให้แข็งแรงขึ้นอีกหน่อยแล้วค่อยก
"สวัสดีคับลูกหมู""ได้ยินเสียงปะป๊ามั้ย""หึ" "อยากออกมาเตะบอลกับป๊าใช่มั้ย""ปะป๊าอย่าพึ่งชวนลูกเตะบอลได้มั้ย""ลูกพากันเตะท้องมามี๊จนจุกไปหมดแล้วเนี่ย""จุ๊บ ขอโทษคับ"ตอนนี้เจ้าลูกชายของผมสองคนที่นอนอยู่ในพุงกลมกลมของเธออายุเกือบหกเดือนแล้ว ท่าทางจะแสบซนกันใช่ย่อย เพราะกว่าที่ผมจะสามารถเข้าใกล้เธอได้ก็ต้องรอเข้าเดือนที่สี่อาการเหม็นผมของเธอถึงจะเบาลงไป ผมถึงสามารถเข้ามาอยู่ในห้องเดียวกันนอนบนเตียงเดียวกันกับเธอได้ แถมยังพากันดิ้นดุ๊กดิ๊กไปมาทำเอามามี๊ตัวกลมเจ็บและจุกอยู่บ่อยๆ จนบางทีผมก็ต้องแกล้งเอ็ดดุไปนิดหน่อยถึงพากันหยุดนอนนิ่งราวกับเป็นเด็กดีเชื่อฟังปะป๊าไม่กล้าดื้อไม่กล้าซน แต่บางทีด้วยความใจร้อนของผมก็อยากให้ลูกหมูออกมาวิ่งเล่นเตะฟุตบอลกับผมซะวันนี้พรุ่งนี้ไปเลย ชานมลูกสาวคนโตก็จะได้ไม่เหงามีเพื่อนเล่นเพิ่มด้วย"นาย ตั้งชื่อลูกกันมั้ย""อืมมม มายมีที่ชอบยัง""มายเลือกไม่ถูกชอบหลายชื่อมาก""หึ มีชื่ออะไรมั่ง""มี เลนส์ ฟิล์ม กล้อง แกรม โฟกัส""เพราะมายชอบถ่ายรูป มีนายเป็นตากล้องให้""งั้น...ชื่อนี้ดีมั้ย เลนส์กับฟิล์ม""นายมองมายผ่านเลนส์ ถ่ายทอดความรู้สึกออกมาเป็นภาพฟิล์ม"
และแล้ววันที่ฉันรอคอยก็มาถึง วันแต่งงานของฉันกับเขา ฉันเฝ้าคุมอาหารและออกกำลังกายอย่างหนักเพื่อที่จะได้เป็นเจ้าสาวที่สวยที่สุดยืนเคียงข้างเขาได้อย่างมั่นใจที่สุดในวันนี้ เราใช้เวลาถ่ายรูปกับเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานนานเกือบสองชั่วโมง ดีที่เจ้าบ่าวของฉันคอยยืนกอดคอฉันบ้าง นวดให้บ้าง โอบเอวประคองฉันไว้บ้างทำให้ฉันไม่เมื่อยเท่าไหร่ แถมยังมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างสองสาวมินนี่และลลิล ที่คอยมาซับเหงื่อช่วยดูแลหน้าผมและป้อนน้ำให้ฉันอยู่ตลอด ฉันมีหน้าที่แค่ยืนแจกรอยยิ้มหวานหวานเท่านั้นหลังจากพิธีการเสร็จ เราสองคนก็ต้องรีบขึ้นมาเปลี่ยนเป็นชุดอาฟเตอร์ปาร์ตี้บนห้องที่เปิดไว้ให้ทันภายในยี่สิบนาที เพราะต้องลงไปสนุกกับเพื่อนๆ ต่อที่งาน อยากขอบคุณตัวฉันเองและเขาด้วยที่เลือกชุดที่ใส่ง่ายใช้เวลาไม่ถึงห้านาทีฉันก็อยู่ในชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว มีเวลาได้นั่งพักหายใจอีกสักหน่อย แต่แล้วดูเหมือนว่าฉันจะคิดผิด"นาย รูดซิปให้มายหน่อยสิ""เดี๋ยวค่อยรูด""อ๊ะ อย่าแกล้งนะ""ไม่แกล้ง เอาจริง""กระโปรงสั้นสั้นมันดีแบบนี้นี่เอง""นายใส่เลยนะ เวลาน้อย""อ๊ะ อื้อ""ซี้ด" "เดี๋ยวได้ทาลิปใหม่หรอก"เพี๊ยะจากที่ผมตั้งใจจะอ
และเราสองคนก็ได้ฤกษ์วันแต่งงานหลังจากฝึกงานเสร็จหนึ่งเดือนทำให้เธอถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับทั้งตื่นเต้นและเป็นกังวลกลัวจะเตรียมงานไม่ทัน ซึ่งผมก็ทำได้แค่ปลอบใจและหาออแกไนซ์มืออาชีพมาช่วยให้เธอเบาใจขึ้นให้เธอมีหน้าที่บอกธีมงานในฝันของเธอกับทีมงานแค่นั้น โดยไม่ได้กำหนดธีมสีว่าจะต้องเป็นสีไหน เพื่อเพื่อนๆ และแขกที่มาร่วมงานจะได้ใส่ชุดและสีที่ตัวเองมั่นใจที่สุดจะได้มีความสุขและสนุกไปกับงานของเราทั้งคู่ แล้ววันนี้เราสองคนมีนัดลองชุดแต่งงานซึ่งก็เป็นร้านเดียวกันกับชุดวันหมั้นนั่นแหละเพราะเธอชอบการตัดเย็บและดีเทลของแบรนด์นี้เลยไม่เปลี่ยนใจไปมองร้านอื่น"นายว่ามายใส่แบบไหนดี""ไม่เอาเกาะอก""เอาสิ มายว่ามายใส่เกาะอกสวย""ไม่สวย""...""แต่มายอยากลอง""...""พี่ขา หนูมายขอลองสองชุดนี้ก่อนค่ะ"ผมได้แต่นั่งไขว่ห้างกอดอกตกอยู่ในพะวังความคิดเฝ้าถามตัวเองด้วยความสงสัยว่าเมื่อครู่นี้เธอจะหันมาถามความเห็นของผมทำไมเพราะสุดท้ายแล้วเธอก็เลือกลองชุดแบบที่ผมไม่ค่อยชอบเท่าไหร่แถมเป็นแบบเกาะอกไม่มีแขนทั้งสองชุดต่างกันแค่กระโปรงทรงสุ่มกับทรงเมอร์เมดก็เท่านั้น ผ่านไปเกือบยี่สิบนาทีพนักงานในร้านก็เดินมาค่อยๆ เ
เราสองคนยืนกอดกันอยู่พักหนึ่ง ผมก็พาเธอเดินเข้าไปดูห้องน้ำที่มีอ่างกุชชี่ขนาดใหญ่ไว้สำหรับแช่น้ำกันสองคนและอาจจะพาลูกหมูตัวน้อยน้อยลงมาเล่นน้ำด้วย ถัดไปอีกหน่อยเป็นวอคอินโครเซทสำหรับเธอที่ชอบแต่งตัวสวยสวยซึ่งผมแบ่งที่แขวนเสื้อผ้าส่วนของเธอไว้ให้ถึงเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์อีกสามสิบเปอร์เซ็นต์เป็นเสื้อผ้าของผม โดยตรงกลางห้องมีตู้กระจกไว้แชร์กันสำหรับใส่เครื่องประดับอย่างสร้อยต่างหูและนาฬิกาข้อมือของเราสองคน ก่อนจะพาไปดูห้องนอนลูกลูกที่ผมทำเตรียมไว้สามห้องสำหรับสามคนเพื่อสานต่อธุรกิจของครอบครัวเราสองคนในอนาคต และที่ขาดไม่ได้ก็คือห้องสุดท้ายที่มีประตูเชื่อมกับห้องนอนใหญ่ของผมกับเธอเป็นห้องของลูกสาวคนโตของเราคือห้องของชานมนั่นเอง ซึ่งภายในห้องก็มีทั้งเบาะที่นอนนุ่มนุ่ม คอนโดหลายระดับหลายชั้นไว้ให้เจ้าตัวเล็กได้เลือกนอนตามใจชอบ รวมถึงห้องน้ำแมวอัตโนมัติด้วย ทำเธอกระโดดกอดผมอย่างดีใจและทำท่าทางตื่นเต้นไม่หยุดเดินเข้าห้องนั้นออกห้องนี้ดูว่าขาดเหลืออะไรตรงไหนเธอจะได้ไปเดินเลือกซื้อมาเพิ่ม"มายอยากแก้ตรงไหนมั้ย""ยังมีเวลา จะได้เสร็จทันก่อนย้ายเข้ามา""มายไม่อยากแก้ เพราะนายตั้งใจเลือกและทำให้มาย""ม
"ไอ้เตอร์ ฝึกงานเสร็จมึงจะแต่งเลยป่าววะ""อืม กูอยากมีลูกเลย มึงอะ""กูก็อยากแต่งเลย แต่ไม่รู้มายจะอยากแต่งมั้ย""มีแพลนกับเค้าบ้างมั้ยมึงอะ ไอ้กาย""...""อย่าไปถามมัน ไอ้นี่มันเสือซุ่มเงียบ""..."วันนี้ผมกับเธอขับรถพาชานมลูกสาวของเรามาพบสื่อมวลชนที่คาเฟ่มินิมินนี่ ทันทีที่สองสาวเห็นเจ้าตัวกลมก็พากันเอ็นดูผลัดกันอุ้มผลัดกันเล่นอยู่ไม่ห่าง ไม่นับรวมกับลูกค้าในร้านที่ต่างมาขอถ่ายรูปลูกผมจนต้องต่อแถวคิวยาวไปถึงหน้าร้าน เรียกว่าเวลานี้ชานมกลายเป็นซุปตาร์หน้าใหม่ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ก็ลูกสาวของผมน่ารักจริงๆ นี่นาตัวกลมกลมขนนุ่มๆ ตาโตโต แถมขี้อ้อนมากมากด้วยจะว่าไปก็เหมือนมามี๊ของเธอนั่นแหละ ไม่รู้ว่าถ้าเกิดว่ามีลูกหมูตัวเล็กเล็กที่เกิดจากผมเอง จะขี้อ้อนแบบนี้มั้ยถ้าใช่ผมก็คงหลงลูกมากไม่อยากห่างไปไหนแน่เราสองคนอยู่นั่งคุยนั่งเล่นกับเพื่อนๆ จนเย็นก่อนจะแยกย้ายกลับบ้านใครบ้านมัน และวันนี้เป็นอีกวันที่ผมมาค้างที่บ้านของเธอเป็นปกติไปแล้วเพราะตั้งแต่มีชานมเธอก็จะชวนผมมาที่นี่ทุกอาทิตย์จนคุณอาทั้งสองยกห้องนอนส่วนตัวให้ผมหนึ่งห้องเป็นที่เรียบร้อย และที่บ้านคุณพ่อคุณแม่ของผมก็มีห้องนอนส่วนตัวขอ