สกาวสวมเสื้อขาวแขนโป่งพอง ดูเหมือนฟักทองยักษ์สีขาวนั่งตามลำพังในห้องพัก เธอดูสมุดจดตารางงาน ก่อนโทรหาศศิกานต์อย่างลุ้นระทึก อีกปลายหนึ่งของสายดังเพียงไม่กี่ครั้ง คนปลายสายก็รับ
"น้องศศิคะ พี่สกาวนะคะ"
"ค่ะ"
"บ่ายนี้มีแคสหน้ากล้อง เรื่องเกี่ยวกับเกิร์ลเลิฟ น้องศศิสนใจไหมคะ"
"มันจะดีเหรอคะพี่ หนูปกตินะคะ"
สกาวดูคนออก หล่อนไม่ถูกหลอกง่ายๆ
"ไปเล่นๆ ก็ได้ ไปให้ผู้ใหญ่เห็นหน้า เผื่อเขาจะสนใจ"
"เอ่อ..ค่ะ ไปก็ไป"
ศศิกานต์มองหาซี ที่บัดนี้กำลังเล่นมือถืออยู่บนโซฟา ในห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่งของทาวน์เฮ้าส์ ห้องรวมที่ทุกคนสามารถมานั่งเล่นได้ เธอหน้าเกร็ง หายใจติดขัด พยายามใจดีสู้เสือ ใจคิดออกแต่เรื่องแง่ลบ กำมือแน่นเพื่อต่อสู้กับตัวเอง เธอจำเป็นต้องเข้าหาคนอื่น และไม่รู้ว่าเขาจะตอบรับว่ายังไง
"พี่ซี แต่งหน้าให้หน่อยได้ไหมคะ วันนี้หนูมีคัดตัวนักแสดง" ยกมือขึ้นพนมเป็นเชิงขอร้อง
"พี่ขอน้ำโค้กขวดโตขวดหนึ่งเป็นข้อแลกเปลี่ยน กินแล้วสดชื่นดี" เรียกค่าตัวในราคาต่ำ เพราะเห็นว่าอาจได้อยู่กันอีกยาว
"โอเคค่ะ" ศศิกานต์มองไปรอบๆ "แล้วคนอื่นไปไหนกันหมดคะ"
"คนอื่นนี่หมายถึง น้องปรีย์ใช่ป่ะ"
มองอย่างรู้ทัน
คนตาคมยิ้มเขินแทนคำตอบ
"ออกไปตั้งแต่เช้าแล้ว เห็นว่ามีงาน"
ซีหยิบกระเป๋าเครื่องสำอางออกมา จับใบหน้าเปล่านั้น ก็พบว่าล้างมาเรียบร้อย แล้วลงมือแปลงโฉมให้สะดุดตา ตรงตานั้นวาดให้ดูคมกริบ ใครจ้องแล้วมีละลาย ศศิกานต์ง่วงนอนจึงทำให้หน้าเลอะตอนอ้าปากหาว มือไวสะดุดกลางทาง ซีตีแขนหญิงสาวไปทีหนึ่ง โทษฐานทำเครื่องสำอางเลอะ เธอซ่อมแซมอย่างรวดเร็ว ก่อนเลื่อนกระจกให้อีกฝ่ายดู
"โห ใครอ่ะ"
"ไม่อยากจะโม้” ยิ้มยิงฟัน “แต่พี่เชียร์เต็มที่นะคะ คว้าบทนำให้ได้นะ จะรอฟังข่าวดี"
ศศิกานต์พยักหน้า
เธอยังคงใช้รถไฟฟ้าเป็นยานพาหนะเหมือนเดิม มีแต่คนมองสาวสวยตัวสูง สวมเสื้อยืดทับด้วยสูทสีดำตัวโคร่งเหมือนเคย เพราะไม่มีเงินซื้อเสื้อผ้าใหม่ กระนั้นคนรอบตัวก็มองมาทีเธอ จนเธอต้องก้มมองเท้าตัวเอง ความรู้สึกอิสระเมื่อวันก่อนเพิ่งจะหายไป เมื่อตอนที่เธอตัดสินใจเข้าวงการบันเทิง บอกตัวเองว่า
ถ้าแสดงละครคนจะมองยิ่งกว่านี้อีก แต่ไม่แน่ว่าบทที่ได้อาจจะเป็นตัวเล็กตัวน้อยในเรื่องก็ได้ ถึงอย่างไรก็ตาม ศศิก็จะสู้!!
ศศิกานต์ประมาณด้วยสายตา เห็นคนมาแคสกันราวยี่สิบคน สำหรับละครเกิร์ลเลิฟเรื่องใหม่ที่ค่ายตั้งใจจะดันให้ติดระดับแถวหน้าของเมืองไทยและอาจดังไปทั่วเอเชียก็ได้ มีแต่คนหน้าตาดีมารวมตัวกัน ศศิกานต์ประหม่าจนมือมีเหงื่อออก ออร่าสดใสที่ได้พลังมาจากซีเมื่อเช้าหายไป เธอพยายามนึกถึงเรื่องดีๆ ในชีวิต แต่ก็เหนื่อยเปล่า เพราะนึกอะไรไม่ออก จนมาถึงคิวเธอไปหน้ากล้อง รังสีดำมืดก็ออกมาอีกครั้ง ผู้จัดละครส่ายหน้า
ในฉับพลัน ร่างบางก็เดินผ่านมา เข้ามาสวมกอดเธอจากข้างหลัง
"คิดถึงจังเลย"
"คะ...ใครคะ" ศศิกานต์พูดอย่างสงสัย
"หันหน้ามาดูสิคะ" สุปรีย์นั่นเอง เธอสวมบทนักแสดง เพื่อให้คนตาคมอินไปกับเธอ
"ที่รักนี่เอง" ศศิกานต์ตอบรับตามบท แววตาของเธอส่องประกายเมื่อเห็นดวงหน้าที่หลงใหล รอยยิ้มที่สะกดทุก สายตาฉายออกมา ผู้กำกับ ผู้จัดละคร และครูสอนการแสดง เห็นเคมีที่เข้ากันจนขนลุก
"น้องอะไรนะ ศศิกานต์ใช่มะ ไหนลองอ่านบทนี้สิ"
ผู้กำกับยื่นบทให้
"ฉัตรจะปกป้องคุณเอง ไม่ว่าข้างนอกนั้นจะมีอุปสรรคอะไร ฉัตรจะอยู่ตรงนี้ ไม่ห่างไปไหน"
คนตาคมนั้นเอ่ยออกมาอย่างไหลลื่น ทุกคนตะลึงและเห็นภาพตัวละครที่เขาแสดงออกมา
“รดาขอบคุณนะคะ ถ้าไม่มีคุณ รดาก็ไม่รู้ว่าจะผ่านเรื่องนี้ไปได้ยังไง”
ศศิกานต์เดินเข้าไปโอบเอว เพื่อโอบเธอไว้ในวงแขน สุปรีย์น้ำตาซึม พวกเขาจ้องตากันอย่างลึกซึ้ง แม้จะไม่ได้ทำอะไร แต่คนดูทั้งหมดเขินราวกับเห็นคู่รักจริงๆ กอดกัน และอยากเห็นฉากหวานของทั้งคู่อีก
"โอเคๆ" ผู้กำกับบอก "ผมบอกเลยว่าเราได้ตัวละครที่เป็นนักแสดงนำอีกคนละ ก่อนอื่นผมต้องบอกก่อนว่า ตัวละครนำสองคนนี้ต้องสนิทกันจริงๆ และต้องรักกันมากๆ เพราะแววตามันฟ้องเวลาแสดง เวลาไปให้สัมภาษณ์ แฟนๆจะถ่ายคลิปทุกที่ๆ คุณไป ถ้าไม่รักกันจริงๆ แฟนๆ จะผิดหวัง และทำให้เรื่องอื่นๆ ของเราไม่ได้รับการตอบรับที่ดีด้วย ที่สำคัญมีฉากจูบด้วย ใกล้ชิดมากๆด้วย ศศิและปรีย์รับได้ไหม"
"ได้ค่ะ" ตอบพร้อมกัน
.
.
ตกเย็น ดวงอาทิตย์ส่องแสงสีส้มทอดสีสว่างลงบนใบไม้ผ่านไปยังพื้นดิน ความเครียดและความเหนื่อยล้าได้รับการบรรเทาจากคนที่เราคุยด้วย เสียงและบรรยากาศรอบตัวทำให้ผู้คนเร่งรีบเปลี่ยนเป็นผ่อนคลาย หลายคนเดินเล่นริมถนนซื้อของกินกลับบ้านหรือไม่ก็นั่งเปลี่ยนอารมณ์ที่ร้านค้าริมทาง
ธนูทำหมูกระทะให้ทุกคนกิน เขามีสูตรน้ำจิ้มที่คิดขึ้นเอง ความจริงการคิดสูตรก็ไม่ได้ยากอะไร สิ่งสำคัญคือรักษามาตรฐานความอร่อยให้คงอยู่ แม้ว่าเจ้าของจะให้พ่อครัวคนอื่นทำ และจำนวนเครื่องปรุงทุกครั้งที่ทำขึ้นต้องใช้การตวงที่เท่ากัน ตอนนี้รสชาติออกมาดีแล้ว แต่ธนูยังลังเลใจว่าร้านอาหารที่อยากเปิดเป็นร้านแบบไหน
หญิงสาวสามคนขึ้นไปนั่งบนดาดฟ้าตามคำเชิญของชายหนุ่มเพียงคนเดียว กลิ่นหมูกระทะลอยไปทั่ว บวกกับเสียงประทุเนื้อบนกระทะ ทำน้ำลายไหลเป็นแถบ ทุกคนหิวกันมาก ต่างคนต่างแย่งเนื้อกันกิน สุปรีย์เอามือไปตีศศิกานต์ เมื่อเห็นเธอกินเยอะไป
"พอแล้วนะคะศศิ เดี๋ยวพุงออก"
"ศศิเชื่อธนู ว่าไม่ได้กินของอร่อยบ่อยๆ แบบนี้หรอก" ชายเพียงคนเดียวแย้ง
"สปอยเพื่อนได้ไง" สุปรีย์ว่าธนู เบื่อนหน้าไปแอบมองคนตาคมแล้วยิ้มเล็กยิ้มน้อย เธอไม่รู้ว่าซีและธนูเห็นแววตาคู่นั้น
"เอ่อ..ศศิมีเรื่องจะประกาศค่ะ" ศศิกานต์เงยหน้าขึ้นพร้อมกับยิ้มที่นานๆ จะมีสักที "ศศิกับปรีย์ได้เป็นนักแสดงนำละครด้วยกันนะคะ ชื่อเรื่องว่าสะดุดรักยัยแสนดี"
"ว้ายยย ดีใจด้วย พี่ก็อยากบอกว่าพี่ก็ถูกจ้างไปแต่งหน้านักแสดงเรื่องนี้ด้วยนะคะ"
"ดื่มน้ำเปล่าฉลองอนาคตที่ดีของพวกเราทั้งสี่คนสักหน่อย" สุปรีย์ยกแก้วน้ำเปล่าขึ้น แม้จะอยากกินน้ำหวานแค่ไหน ก็ต้องอดทนไว้
"ขอถามอะไรหน่อยได้ไหม" ศศิกานต์ถามสุปรีย์
"ได้ทุกอย่างค่ะ ศศิ"
"ทำไมตอนที่แคสตัวนักแสดง ปรีย์ถึงเข้ามากอดเรา"
"หูยยยย" ซีอุทาน "เล่าให้หมดเลยนะ"
"ก็เราอ่านบทแล้ว เราว่าเราเห็นตำรวจหญิงซ้อนภาพกับ
ศศิเลย ตรงที่ศศิเหมือนอัศวิน แถมตอนนั้นศศิก็เครียดเหมือนตอนถ่ายโฆษณา เราเลยเข้าไปกอดให้หายเครียด มีคนบอกว่าเรามีออร่าสว่างไสวนะ ตอนนี้ได้ใช้ประโยชน์แล้วเห็นไหม"
ศศิกานต์น้ำตาคลอเบ้า เธอคิดถึงคนที่เคยช่วยตัวเองเอาไว้เมื่อตอนเรียน แต่เธอต้องปกปิดความลับเรื่องทำศัลยกรรมเอาไว้
"ขอบคุณนะ" เอ่ยพลางแอบส่งมินิฮาร์ทให้
ธนูกับซีแอบสบตากันเป็นอันรู้กัน
.
.
ย้อนกลับไปก่อนหน้านั้น
ณ ห้องแคสนักแสดง รายล้อมไปด้วยผู้กำกับ ผู้จัดละคร ครูสอนการแสดง ทีมงาน และนักแสดงหน้าใหม่ ทีมงานต้องการนักแสดงที่เห็นแล้วมีภาพซ้อนทันทีว่าเป็นตัวละครในเรื่อง จึงทำการแคสอย่างจริงจังตั้งแต่เนิ่นๆอากาศในห้องเย็นเฉียบจนต้องกระชับเสื้อคลุม คนที่มาตัวเปล่าจึงต้องลูบแขนตัวเองแก้ขัดไปก่อน
หน้ากล้องมอนิเตอร์ นักแสดงลูกครึ่งไทย-ญี่ปุ่นมองการแคสหน้ากล้องเงียบๆ เธอสวมแว่นดำ ปกปิดแววตาได้หมดจด แต่ปากกำลังยิ้มอยู่ ผิวขาวสว่างราวกับได้รับการฉีดวิตามิน ตอนนั้นเธอมองเห็นแววตาของศศิกานต์แล้วใจละลาย เธอแค่มาแคสตามหน้าที่ เพราะจะได้เล่นบทเด่นๆ หญิงสาวจึงม้วนผมเล่นอย่างใจลอย กระซิบบอกผู้จัดการส่วนตัว
"พี่คะ เกลอยากได้คนนี้ หนูจะเล่นละครกับเขา เล่นบทอะไรก็ได้"
"แหม บอกช้าไป ตอนนี้เหลือแต่บทนางอิจฉานะคะ น้องเกลเคยเล่นแต่บทเพื่อนนางเอก หรือบทคนดี จะไหวเหรอ"
"อาชีพเราก็ต้องมีความแปลกใหม่บ้างนะคะ เกลจะเล่นค่ะ"
เกลเอ่ยพลางยิ้มอย่างมีเลศนัย
อะไรที่อยากได้ เกลจะต้องคว้ามาให้ได้ ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเข้าหายากแค่ไหนก็ตาม
รบกวน กดไลค์ กดแชร์ กดติดตาม และคอมเม้นท์ ให้กำลังใจนักเขียนด้วยนะคะ อยากให้เนื้อเรื่องเป็นยังไง ภาษาให้เป็นแบบไหน หรือชอบงานตรงไหน คอมเม้นท์มาได้นะคะ
อภิชญาขอเงินลูกสาวคนสุดท้องทุกเดือน ศศิกานต์ให้โดยไม่อิดออด แต่เธออยากให้แม่ทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน จึงบอกมารดาให้หางานทำ และเลิกขอเงินเธอสักที หญิงกลางคนโกรธลูกสาว เธอไม่เหลืออะไรเลย กำลังเครียดที่ชีวิตถึงทางตัน เธอกัดเล็บจนกุด ตัดสินใจอยู่นานว่าจะขายสมบัติชิ้นไหนดี ลูกสาวคนโตและคนรองทั้งสองคนก็ไม่สามารถช่วยเหลือเรื่องเงินได้ อภิชญาเคียดแค้นศศิกานต์ เธออุตส่าห์สอนและช่วยเหลือลูกสาวคนสุดท้อง แต่ขณะเดียวกันกลับมองไม่เห็นความผิดตัวเอง จึงได้แต่โทษศศิกานต์ว่าคนเป็นคนที่ผลักไสให้เธอมาถึงทางตัน สุดท้ายตัดสินใจมาในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ที่คนตาคมกับคนร่างบางจะแสดงด้วยกัน ไม่รอให้การสัมภาษณ์เริ่ม เธอเดินแทรกเข้าไปในกล้อง หยิบปืนออกมา นักข่าวกดไลฟ์งานแถลงข่าว คนดูมากจนกลายเป็นไวรัล พร้อมติดแฮชแท็ก #เซฟศศิ ตำรวจรีบมารักษาความปลอดภัยในงานสัมภาษณ์ กันคนออกจากห้องประชุม ในห้องจึงเหลือแค่กล้องที่ตั้งเอาไว้ คนส่วนใหญ่อยู่นอกห้อง "คุณอภิชญาครับ ผมว่าเราคุยกันได้นะครับ คุณอภิชญาอยากได้อะไรครับ" ตำรวจเกลี้ยกล่อม "ฉั
ศศิกานต์นั่งเพียงลำพังในห้องนอน เธอเปิดจดหมายที่ไม่เขียนชื่อคนส่ง ไม่มีตราไปรษณีย์ และมีเพียงภาพและข้อความที่ขู่คุกคามเธอ พร้อมกับแนบรูปถ่ายของศศิกานต์ตอนเรียนมหาวิทยาลัย และมีรอยปากกากากบาทสีแดงเต็มหน้าเธอ “นึกถึงคำพูดของปรีย์เลย” “คำไหน” “คำที่ว่า แฟนๆ มีหลายแบบ ต้องระวังตัว นี่ก็เป็นแค่หนึ่งในจดหมายข่มขู่ที่เราได้จากแฟนๆ ของปรีย์” “มีมากกว่านี้อีกเหรอ!” สุปรีย์ตกใจ แต่ศศิกานต์ไม่ได้หยิบจดหมายฉบับอื่นขึ้นมา นี่ยังไม่นับข้อความในโลกออนไลน์ที่ทำร้ายจิตใจคนตาคมยิ่งกว่านี้อีก ร่างบางเข้ามากระชับอ้อมกอด ก่อนถาม “ไม่เศร้าเหรอคะ หรือว่ากลัวบ้างไหม” “เศร้าค่ะ แต่ทำใจได้แล้วเพราะเจอแบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร อีกอย่างศศิไม่กลัวค่ะ ตอนเรียนก็ประมาณนี้ นี่ยังดีที่ไม่มีใครเข้าถึงตัวศศิได้ แถมตอนนี้ยังมีปรีย์
เกลโทรหาเพื่อนคนหนึ่ง เธอเป็นอีกคนที่ชอบให้คำปรึกษาด้านความรักกับเพื่อนๆ เกลนัดกรรณิกาหรือกรรณ นัยน์ตาดำโตอ่อนหวาน จมูกโด่ง ผมดำขลับ เคยเรียนโรงเรียนนานาชาติที่เดียวกันกับเกล ทั้งคู่นัดเจอกันที่คอนโดหรูของดาราสาว ภายในห้องตกแต่งด้วยสีชมพูพาสเทล ประดับประดาด้วยดอกไม้ปลอม พวกเขาพูดคุยในห้องรับแขก หากเดินไปดูภายในห้องนอนของเกลจะพบว่ามีรูปภาพของศศิกานต์แปะเต็มฝาผนัง เกลเลือกที่จะปกปิดเอาไว้ ว่าเธอคลั่งรักขนาดไหน “ไหนเล่าให้เพื่อนฟังสิ” กรรณิกาเริ่มเมื่อทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟา “ฉันชอบคนๆ หนึ่งอยู่ แล้วไม่ว่าจะพยายามยังไง เขาก็ไม่เคยมีฉันในสายตา” “ชอบเขาตรงไหน” “ตรงที่ใจดี ซื่อสัตย์ ถ่อมตน และ...” เกลทิ้งช่วงประโยคของเธอ “และอะไร” “สวยโคตร...” โอ๊ะ ไม่ใช่ผู้ชายเรอะ กรรณิกาคิดในใจ เพราะไม่ได้ติดตามข่าววงการบันเทิงจึงไม่รู้มาก่อน “ไม่ว่าจะตื่นหรือหลับ ก็จะคิดถึงเขาตลอดเวลา จนฉันแทบเป็นบ้าไปแล้ว” “ทรมานไหม” “ทรมาน” “เลิกคิดได้ไหม” “ไม่ได
พวกเขาเดินเข้าไปในกระโจมสีขาวพร้อมกันทั้งห้าคน กระโจมเล็กลงไปถนัดใจ หมอดูเป็นผู้หญิง แต่งตัวเหมือนชาวยิปซี ผมหยักโศกยาวถึงกลางหลัง ข้างหน้าเธอมีลูกแก้ววิเศษที่มองเข้าไปแล้วจะเห็นอนาคต เกลจ้างเธอมาในราคาแพง เพื่อให้คำทำนายเข้าข้างเธอมากที่สุด "ใครก่อนคะ" "ผมก่อนครับ ผมอยากรู้เรื่องธุรกิจ" ธนูยกมือ ขยับตัวไปข้างหน้า หมอดูมองลูกแก้วสักพักก็ตอบอย่างคล่องแคล่ว "ธุรกิจถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ร้านจะเจ๊งอย่างแน่นอน" ธนูตกใจที่เธอทายแม่นราวกับตาเห็น "แล้วจะต้องทำอย่างไร" "ไม่รู้" หมอดูตอบหน้าตาเฉย ไม่ต้องการให้ใครคิดว่าเธอรู้ทุกเรื่อง "อ้าว ทำไมแบบนั้น" "ไม่ต้องดูลูกแก้ว แค่ถามลูกค้าสิ ว่าอยากได้แบบไหน นี่เป็นหัวใจของการค้าเลยนะ การสำรวจความต้องการของลูกค้าน่ะ" "อ่อ เข้าใจล่ะ" ธนูรู้สึกว่าเป็นคำตอบที่จะว่าเดามั่วก็เดามั่ว แต่ในทำนองเดียวกันก็เป็นเรื่องจริงเสียด้วย “ผมอยากรู้อีกเรื่อง” คำถามนี้คาใจเขามาตลอด “อะไ
ธนูและซีรับฟังเรื่องจากทั้งสองสาวจนหมด ต่อมาในวันอาทิตย์พวกเขานั่งดูทีวีในห้องส่วนกลาง ทีวีกำลังออนแอร์ข่าวให้สัมภาษณ์ของศศิกานต์ ข้างหน้าของเธอมีไมค์หลายตัววางอยู่ มาจากสำนักข่าวหลายแห่ง พร้อมแสงแฟลชรัวใส่หน้าของพระนางที่โด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย "จริงไหมที่แม่พูดว่า แม่น้อยใจน้องศศิ" "เรามีความเห็นเรื่องงานไม่ตรงกัน ศศิยังชอบบทเกิร์ลเลิฟ เพราะตัวเองเป็นLGBTQ อยากให้คนดูเปิดใจรับศศินะ แต่แม่กลัวว่าศศิจะอยู่ในวงการไม่นาน สำหรับเรื่องที่ทะเลาะกัน ศศิตั้งใจจะไปง้อแม่แหละ ส่วนเรื่องงานคงต้องห่างๆกันค่ะ" สกาวนั่งฟังอยู่หน้าจอทีวี อมยิ้มที่เธอมองคนไม่ผิด ศศิกานต์ยอมรับว่าตัวเองเป็น LGBTQ "ปรีย์เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ทะเลาะกับแม่หรือเปล่า ข่าวมันออกมาแบบนี้" นักข่าวชงเรื่องอย่างชาญฉลาด "ไม่อยากเอาคนอื่นมาโยง ทุกคนมีพื้นที่ที่ทำอะไรแล้วสบายใจ เราก็เลือกที่เป็นเรา" "แฟนๆ มองเรื่องนี้ยังไงบ้าง" "บางคนจั่วหัวมาเลย ว่าลูกอกตัญญู แต่บางคนเข้าใจเรา เพราะรู้จักเรา ตามเรามานาน ตอนนี้แ
สู่ขวัญเป็นหญิงสาววัยสามสิบห้าปี เคยเป็นนางงามจากเวทีดัง เธอคว้ารางวัลอันดับหนึ่งจากเวทีนานาชาติ และสุดท้ายได้แต่งงานกับเศรษฐีฝรั่ง มีลูกสาวด้วยกันหนึ่งคนชื่อน้องแสนดี แต่ไม่นานก็เลิกกับสามีแล้วย้ายกลับมาอยู่ประเทศไทย เธอไม่เคยทำงานมาก่อน แต่ใช้เงินก้อนสุดท้ายมาเปิดร้านอาหารเล็กๆ และตอนนี้ร้านกำลังเข้าตาจน เธอจึงเดินทางมาเยี่ยมแม่อภิชญาของเธอ "ไหว้ยายสิลูก แสนดี" สู่ขวัญแนะนำลูกสาว "Say hi to you grandma." "ซาหวัดดีค่า คุณยาย" หลานสาววัยสิบขวบทักยายของเธอเป็นครั้งแรก "หน้าสวยเหมือนแม่ จมูกโด่งเหมือนพ่อ ผิวก็ดี โตขึ้นเป็นนางเอกได้เลยนะ" อภิชญาชื่นชมหลานสาวเหมือนนักช้อปมองดูสินค้าราคาแพงที่จะมีราคาสูงกว่าเดิมในอนาคต "หนูพาลูกมาให้แม่รู้จักก่อน เผื่อเราจะผลักดันแก เหมือนที่แม่ดันหนูกับน้องๆ" "ต้องหัดภาษาไทยให้หลานเยอะๆ นะ สู่ขวัญ ภาษาไทยก็ต้องอ่านออก หนูคิดดูซิว่า ถ้าอ่านบทภาษาไทยไม่ออกจะเป็นปัญหาขนาดไหน" "ค่ะ นั่นสิคะ" "แล้วนี่ลูกมาหาแม่ทำไม ชวนมาหลายรอบก็ไม่มา แสดงว