“น้องไก่โต้ง! น้องจูเนียร์! เดือนหน้าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดไหมจ๊ะ?” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของดาริกาดังนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงตัว
ไก่โต้งและจูเนียร์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย “เจ๊! นึกยังไงมาชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดครับเนี่ย?” จูเนียร์ถามเพื่อคลายความข้องใจ “พอดีแม่ฉันขายบัตรงานวิ่งของหมู่บ้านไม่หมดน่ะสิ เลยมาบังคับให้ฉันหาคนไปวิ่งด้วย” ดาริกาเอ่ยพลางทำหน้าเซ็ง ๆ “ไหน ๆ พวกนายก็ออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว ไปวิ่งนิดหน่อยคงไม่เหนื่อยมากหรอกน่า วิ่งเสร็จเดี๋ยวให้ที่บ้านชั้นพาไปเที่ยวต่อ” จากนั้นดาริกาก็ร่ายยาวถึงโครงการวิ่งประจำหมู่บ้านที่หมู่บ้านเธอจัดขึ้น พร้อมทั้งออดอ้อนเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างเต็มที่ให้ไปด้วยกัน จนในที่สุด ไก่โต้งกับจูเนียร์ก็ใจอ่อน ยอมตกปากรับคำที่จะไปวิ่งด้วยในที่สุด “ว่าแต่เจ๊กับพี่ฝนลงวิ่งเทรลกี่กิโลล่ะครับ จะได้ลงระยะเดียวกัน” ไก่โต้งอ่านใบสมัครในมือพลางหันไปถามดาริกา “สามสิบกิโลเมตรจ้ะ!” ดาริกาตอบเสียงสดใส “ฮะ!! เจ๊! แล้วเจ๊ซ้อมบ้างรึยังเนี่ย?” เมื่อจูเนียร์ได้ยินคำตอบของดาริกา เขาก็รีบถามด้วยความห่วงใย น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตกใจอย่างชัดเจน “พวกผมไม่เป็นไรหรอก ร่างกายฟิตตลอดอยู่แล้ว แต่พวกเจ๊จู่ ๆ ไม่ซ้อมจะไปวิ่งเลย ระวังเจ็บเอานะครับ!” “ต้องซ้อมด้วยเหรอ?” ดาริกาทำหน้าตาไม่รู้เรื่องราว ดวงตากลมโตกระพริบปริบ ๆ ราวกับไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน “เอางี้! ไหน ๆ ผมสองคนก็ต้องไปดูแลเจ๊แล้ว พวกผมจะช่วยซ้อมให้เอง! เริ่มตั้งแต่อาทิตย์หน้าก็แล้วกัน!” จูเนียร์ยื่นข้อเสนออย่างกระตือรือร้น พร้อมทั้งวางแผนการซ้อมคร่าว ๆ ในหัวทันที “ซ้อมอะไรกัน? อย่าบอกนะแกอยากเป็นนักมวยอาชีพนะเจ้าจูเนียร์” เสียงทุ้มแหบของ ประสิทธิ์ หัวหน้าค่ายมวยดังขึ้น พร้อมกับร่างสูงใหญ่ที่เดินเข้ามาทักทาย “ไม่เอาหรอกครับ! เจ็บตัวเปล่า ๆ เป็นครูจับเป้าคอยสอนนักเรียนก็พอแล้วครับ” จูเนียร์รีบปฏิเสธแทบไม่ทัน พร้อมรอยยิ้มเจื่อนๆ ก่อนจะถามต่อ “หัวหน้ามามีอะไรรึเปล่าครับ?” “ไม่มีอะไรมากหรอก จะมาบอกว่าอาทิตย์หน้าริคุกับไมเคิลจะบินมาเก็บตัวที่ค่ายเราแล้ว” ประสิทธิ์บอกไก่โต้งและจูเนียร์ด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “รอบนี้ให้พวกแกคอยจับเป้าซ้อมให้พวกเขานะ” หลังจากนั้น ประสิทธิ์ก็ถอนหายใจออกมาเล็กน้อยก่อนจะพูดขึ้นอีก “แต่ตอนนี้มีปัญหาอยู่นิดหน่อย พอดีค่ายเรามีนักมวยต้องขึ้นชกวันนั้นเยอะ ที่พักมันเลยไม่พอ... แกกับไก่โต้งช่วยไปหาที่พักแถว ๆ ค่ายเราหน่อยสิ เอาดี ๆ หน่อยนะ ให้สะดวกสบาย เดินมาค่ายง่าย ๆ เลย ส่วนค่าใช้จ่ายหัวหน้าค่ายทางโน้นเขาจะจ่ายเอง” ประสิทธิ์มอบหมายงานสำคัญให้ไก่โต้งและจูเนียร์ “คุณลุงลองดูคอนโดยัยฝนไหมคะ? มีห้องชุดให้เช่าราคาไม่แพง เป็นส่วนตัวด้วย แถมยังอยู่ใกล้ยิมอีกต่างหาก” ดาริกาที่ยืนฟังอยู่ตลอดรีบเสนอขึ้นมาอย่างฉับไว ประสิทธิ์หันมามองดาริกา พยักหน้าเห็นด้วยกับข้อเสนออันน่าสนใจนั้น ก่อนจะหันไปขอร้องพิรุณาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล “งั้นลุงฝากหนูฝนช่วยดูหน่อยนะลูก” พิรุณาตอบรับอย่างเต็มใจ “ได้ค่ะลุงประสิทธิ์” เมื่อประสิทธิ์เดินออกไปแล้ว ดาริกาก็รีบหันมาแซวพิรุณาทันที ดวงตาเป็นประกายระยิบระยับ “ไงล่ะยัยฝน! แกต้องขอบคุณฉันนะ! เพราะฉันคนเดียวเลยนะเนี่ยที่ทำให้พ่อหนุ่มน้อยนักมวยสุดหล่อถึงได้มาพักที่เดียวกับแกได้!” ดาริกาเชิดหน้าขึ้นเล็กน้อย ชื่นชมกับความหัวไวของตัวเองที่สามารถเสนอทางออกให้ประสิทธิ์ และในขณะเดียวกันก็ได้เปิดโอกาสให้เพื่อนรักได้ใกล้ชิดกับริคุมากขึ้น “ขอบคุณอะไรแก! ฉันไม่ได้อยากจะให้เขามาพักที่เดียวกับฉันสักหน่อย!” พิรุณาบ่นออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่จริงจังนัก “เออ... เจ๊ แล้วหลังจากที่เขาแอดเฟรนด์เจ๊ไป เขาทักมาคุยอะไรกับเจ๊บ้างปะ?” ไก่โต้งถามด้วยความอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ “อืม... ไม่มีนะ ก็มีแค่กดไลก์รูปบ้าง” พิรุณาตอบไก่โต้งอย่างใจเย็น “ฉันบอกพวกเธอแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร ก็ไม่เชื่อกัน!” “ริคุนี่ไม่เป็นงานซะเลย! จะจีบสาวแค่ไลก์รูปไม่ได้หรอกนะ!” จูเนียร์บ่นอุบอิบอย่างผิดหวังแทน “แกก็อย่าไปพูดเรื่อยเปื่อย! แกบอกว่าเขาแฟนคลับเยอะนี่นา เดี๋ยวฉันโดนแอนตี้นะ! อีกอย่างเขาแค่แอดมาเอง ไม่ได้มีอะไรสักหน่อย!” พิรุณารีบห้ามจูเนียร์ไม่ให้พูดจาเลยเถิดไปมากกว่านี้ เมื่อกลับถึงคอนโด พิรุณาก็ตรงไปติดต่อนิติบุคคลทันทีเพื่อสอบถามห้องชุดที่ว่างสำหรับนักมวย เจ้าหน้าที่คีย์ข้อมูลในคอมพิวเตอร์อยู่พักหนึ่งก็เงยหน้าขึ้นมายิ้มให้พิรุณา “พอดีเลยค่ะคุณฝน มีเหลืออยู่ห้องเดียวค่ะ แถมยังอยู่ข้างห้องคุณฝนพอดีเลยด้วย” “ห้องอื่นไม่มีแล้วเหรอคะ?” พิรุณาถามกลับด้วยน้ำเสียงที่เจือความผิดหวังเล็กน้อย เธอไม่ค่อยอยากให้ริคุและไมเคิลมาอยู่ข้างห้องเท่าไรนัก เพราะถ้ารู้ถึงหูดาริกาเมื่อไหร่ เธอต้องโดนแซวไม่เลิกแน่ ๆ “ไม่มีเลยค่ะคุณฝน แต่ถ้าเอาเป็นสองห้องแยกกัน ยังพอมีว่างนะคะ” เจ้าหน้าที่เสนอทางเลือก “ไม่เป็นไรค่ะ งั้นเอาห้องนั้นก็ได้ค่ะ” พิรุณาตอบตกลงในที่สุด เพราะเธอไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้แล้ว ที่ญี่ปุ่น ริคุกำลังสาละวนกับการจัดเก็บเสื้อผ้าและอุปกรณ์ต่าง ๆ ลงกระเป๋าเดินทาง เพื่อเตรียมตัวบินมาเก็บตัวที่ประเทศไทย โดยมีไมเคิลนั่งไขว่ห้างมองอยู่บนเตียงอย่างสบายอารมณ์ “ทำไมต้องเลือกชุดนานขนาดนั้นวะริคุ? ปกติแกไม่เห็นต้องเลือกอะไรเลยนี่หว่า... หรือแกนัดเจอผู้หญิงคนนั้น?” ไมเคิลเอ่ยแซวพร้อมรอยยิ้มกรุ้มกริ่ม “เธอชื่อฝน ไม่ได้ชื่อผู้หญิงคนนั้น!” ริคุหันมาแก้เสียงเข้ม “แล้วฉันก็ไม่ได้นัดเธอ เรายังไม่เคยคุยกันเลยด้วยซ้ำ! แกอย่ามาพูดซี้ซั้วนะไมค์!” ไมเคิลทำหน้าตกใจสุดขีด “ห้ะ! แกแอดเขาไปเป็นเดือนแล้วนะเนี่ย! ยังไม่ทักไปคุยอีกเหรอวะ!?” เขาโวยวายพร้อมส่ายหน้าไปมาอย่างระอา “แกอยู่กับฉันมาตั้งนาน ไม่ซึมซับวิธีจีบสาวจากฉันเลย แย่จริง ๆ! ป่านนี้ทริปเปิ้ลทรีกับยัยฝนคงคุยกันทุกวันแล้วมั้งเนี่ย!” ไมเคิลพูดยั่วอีกครั้ง “พูดมากน่าแก! ออกไปจากห้องฉันได้แล้ว! แกเก็บของเสร็จแล้วยัง? ใกล้จะถึงเวลาเดินทางแล้วนะ” ริคุรีบไล่ไมเคิลให้ไปเก็บกระเป๋าตัวเอง ไมเคิลเดินผิวปากออกจากห้องไปอย่างอารมณ์ดี แต่ก่อนจะปิดประตู เขาก็ยื่นหน้ากลับเข้ามากล่าวทิ้งท้ายกับริคุด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “ระวังเจ้าทริปเปิ้ลทรีจะตัดหน้าไปก่อนนะ!” ก่อนจะเดินจากไปอย่างสบายใจ ปล่อยให้ริคุยืนถอนหายใจกับความกวนของเพื่อนรัก“น้องไก่โต้ง! น้องจูเนียร์! เดือนหน้าอยากไปเที่ยวต่างจังหวัดไหมจ๊ะ?” เสียงเจื้อยแจ้วสดใสของดาริกาดังนำมาก่อนที่เจ้าตัวจะเดินมาถึงตัวไก่โต้งและจูเนียร์เงยหน้าขึ้นมองด้วยความประหลาดใจระคนสงสัย “เจ๊! นึกยังไงมาชวนไปเที่ยวต่างจังหวัดครับเนี่ย?” จูเนียร์ถามเพื่อคลายความข้องใจ“พอดีแม่ฉันขายบัตรงานวิ่งของหมู่บ้านไม่หมดน่ะสิ เลยมาบังคับให้ฉันหาคนไปวิ่งด้วย” ดาริกาเอ่ยพลางทำหน้าเซ็ง ๆ “ไหน ๆ พวกนายก็ออกกำลังกายประจำอยู่แล้ว ไปวิ่งนิดหน่อยคงไม่เหนื่อยมากหรอกน่า วิ่งเสร็จเดี๋ยวให้ที่บ้านชั้นพาไปเที่ยวต่อ” จากนั้นดาริกาก็ร่ายยาวถึงโครงการวิ่งประจำหมู่บ้านที่หมู่บ้านเธอจัดขึ้น พร้อมทั้งออดอ้อนเด็กหนุ่มทั้งสองคนอย่างเต็มที่ให้ไปด้วยกัน จนในที่สุด ไก่โต้งกับจูเนียร์ก็ใจอ่อน ยอมตกปากรับคำที่จะไปวิ่งด้วยในที่สุด“ว่าแต่เจ๊กับพี่ฝนลงวิ่งเทรลกี่กิโลล่ะครับ จะได้ลงระยะเดียวกัน” ไก่โต้งอ่านใบสมัครในมือพลางหันไปถามดาริกา“สามสิบกิโลเมตรจ้ะ!” ดาริกาตอบเสียงสดใส“ฮะ!! เจ๊! แล้วเจ๊ซ้อมบ้างรึยังเนี่ย?” เมื่อจูเนียร์ได้ยินคำตอบของดาริกา เขาก็รีบถามด้วยความห่วงใย น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตกใจอย่างชัดเจน “พวกผมไม่เ
หลังจากแยกจากไมเคิล ริคุก็รีบเดินกลับห้องพร้อมกับความรู้สึกไม่สบายใจที่ค้างคาอยู่ข้างใน ทันทีที่มาถึงห้อง เขาก็เปิดอินสตาแกรมบนมือถือขึ้นดูอย่างรวดเร็ว ก่อนจะกดค้นหาบัญชีของไก่โต้ง‘อืม... ไปดูมวยจริงด้วย’ เขาพึมพำกับตัวเองขณะไล่ดูโพสต์และรูปภาพ จนกระทั่งสายตาไปสะดุดเข้ากับรูปหนึ่งที่พิรุณายืนอยู่ร่วมกับกลุ่มของไก่โต้ง ‘เธอก็ไปด้วยเหรอเนี่ย?’ความไม่สบายใจที่แฝงอยู่เริ่มชัดเจนขึ้น เขากลัวว่าเธอจะเห็นลีลาการชกอันดุดันของทริปเปิ้ลทรีแล้วจะติดใจ‘เธอยังไม่เห็นลีลาการชกของฉันเลยนะ... อย่าเพิ่งชอบหมอนั่นสิ!’ ความคิดนั้นแวบเข้ามาในหัวอย่างห้ามไม่ได้เมื่อความรู้สึกไม่สบายใจก่อตัวขึ้น ริคุก็เริ่มไล่ดูอินสตาแกรมของคนรอบ ๆ ตัวพิรุณา รวมถึงบัญชีของทริปเปิ้ลทรีด้วย ในที่สุด เขาก็ต้องรู้สึกผิดหวังปนหงุดหงิดเล็กน้อย เมื่อเห็นสตอรีที่ทริปเปิ้ลทรีก้มตัวลงพูดคุยกับพิรุณาอย่างสนิทสนม รวมถึงรูปถ่ายคู่ที่พิรุณายืนชิดใกล้กับทริปเปิ้ลทรี พร้อมทั้งติดแท็กชื่ออีกฝ่ายด้วยอาจเป็นเพราะคำพูดของไมเคิลที่ยังคงก้องอยู่ในหู ผนวกกับภาพที่เห็นอยู่ตรงหน้า ริคุจึงรวบรวมความกล้ากดคอมเมนต์ลงไปในอินสตาแกรมของไก่โต้ง“วัน
อากาศยามบ่ายคล้อยวันนี้เย็นสบาย ลมพัดเอื่อย ๆ ช่วยคลายความร้อนอบอ้าวที่สะสมมาตลอดวัน พิรุณาเดินทอดน่องไปตามทางเดินในค่ายมวย แวะทักทายคนรู้จักที่เธอมักพบเจอก่อนกลับคอนโดเสมอ หลังจากมาเรียนที่นี่ได้สักพัก เธอก็เริ่มคุ้นเคยและสนิทสนมกับคนในค่ายมวยมากขึ้น เธอพบว่าผู้คนเหล่านี้ล้วนเป็นคนจริงใจ ใจดี และมีน้ำใจ การได้พูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องราวระหว่างทางก่อนกลับคอนโด ช่วยให้เธอคลายความตึงเครียดจากการทำงานมาทั้งวันได้ไม่น้อย“พี่ฝน! มาพอดีเลย! หัวหน้าค่ายกำลังเช็กจำนวนคนที่จะไปดูมวยที่สนามวันศุกร์นี้พอดีเลยครับ พี่กับพี่ดาวไปไหม” จูเนียร์ถามด้วยน้ำเสียงร่าเริง ดวงตาเป็นประกายพิรุณายืนใช้ความคิดชั่วครู่ เธอไม่เคยดูมวยจริงจังมาก่อนเลยในชีวิต ให้เรียนน่ะพอได้ แต่ถ้าต้องไปดูคนชกกันแบบจริงจัง ยอมรับว่าเธอรู้สึกกลัวลึก ๆ ในใจ ภาพนักมวยแลกหมัดกันอย่างดุเดือดผุดขึ้นมาในความคิด“ไปเถอะนะพี่! เปิดประสบการณ์ใหม่ ๆ ไง” ไก่โต้งชวนสำทับ พลางส่งสายตาอ้อนวอน พิรุณาสบตากับน้องทั้งสองที่ดูจะตั้งใจชวนเธอเหลือเกิน ด้วยความเกรงใจและไม่อยากทำให้น้อง ๆ ผิดหวัง เธอจึงพยักหน้าตกลงไปในที่สุด แม้ในใจจะยังรู้สึกประหวั่นเ
หลังกินราเมงเสร็จ ริคุได้เดินไปส่งกระต่ายที่ห้องพัก ก่อนจะเดินกลับยิมพร้อมฮานะ เสียงฝีเท้าของพวกเขาดังกระทบพื้นถนนเบา ๆ ท่ามกลางความเงียบสงบของยามค่ำคืน อากาศเย็นลงเล็กน้อยหลังพระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปแล้ว“พี่ริคุ พี่รู้ไหมว่ากระต่ายชอบพี่น่ะ” ฮานะเปรยขึ้นมาทำลายความเงียบ เธอตัดสินใจพูดขึ้นเพื่อเตือนรุ่นพี่ที่เธอนับถือเหมือนพี่ชายแท้ ๆ คนนี้ รุ่นพี่ผู้มีจิตใจดีงาม บางทีก็ดีจนเกินไปจนไม่รู้จักปฏิเสธคน เธออดเป็นห่วงไม่ได้จริง ๆ ว่าวันหนึ่งริคุจะพลาดท่าเพราะความใจดีของเขาเอง“รู้สิ ทำไมเหรอ” ริคุตอบกลับฮานะด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย“พี่รู้แล้วยังจะไปไหนมาไหนกับกระต่ายอีกเหรอคะ! อย่าบอกนะว่าพี่ชอบกระต่าย!!” ฮานะทำหน้าเหลือเชื่อ น้ำเสียงบ่งบอกถึงความตกใจ เธอพูดต่อโดยไม่ทิ้งช่องว่างให้ริคุได้ปฏิเสธ “พี่รู้ไหมว่ากระต่ายไม่ใช่คนแบบที่พี่คิดหรอกนะ... แต่เอาเถอะ ถ้าพี่ชอบฮานะก็จะไม่ขัดขวางหรอก”“เดี๋ยวก่อน! ไปกันใหญ่แล้ว!” ริคุที่หาช่องว่างได้ก็รีบปฏิเสธเสียงหลง “พี่ไม่ได้บอกว่าชอบกระต่ายสักหน่อย”“พี่ไม่ชอบแล้วไปไหนมาไหนกับกระต่ายทำไม แถมยังดูเอาใจด้วย!” ฮานะกล่าวเตือนพี่ชายของเธอเสียงเข้ม “พี่รู้ไหมว
พิรุณาเดินกลับมาถึงห้องคอนโดอย่างหมดแรง วันนี้ที่ทำงานมีปัญหานิดหน่อยทำให้เธอต้องอยู่ค่ำ สิ่งแรกที่เธอทำเมื่อมาถึงห้องไม่ใช่การทิ้งตัวลงบนโซฟานุ่ม ๆ อย่างที่ใจอยาก แต่เป็นการตรงดิ่งเข้าห้องน้ำไปชำระร่างกายทันที เธอไม่ชอบความรู้สึกเหนียวเหนอะหนะจากเหงื่อไคลหลังเผชิญมลภาวะจากข้างนอก เมื่อร่างกายสดชื่นขึ้นจากสายน้ำที่ไหลผ่าน เธอจึงเดินออกมาในชุดลำลองสบาย ๆเธอคว้าแผ่นโบรชัวร์บนโต๊ะทำงานขึ้นมาดู ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง เธอเป็นแบบนี้เสมอ ก่อนนอนจะต้องอ่านอะไรบางอย่างติดเป็นนิสัย ‘ไหน ๆ ก็จะต้องไปเรียนแล้ว อ่านดูหน่อยก็ดี’ เธอคิดในใจแสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงสาดส่องลงบนแผ่นกระดาษเงาวับ “คอร์สสำหรับผู้สนใจเรียนรู้ทักษะมวยไทยเบื้องต้น ช่วยป้องกันตัว พร้อมกับลดน้ำหนัก พิเศษวันนี้ ซื้อ 1 แถม 1…” เธออ่านข้อความนั้นช้า ๆ ในใจพลางขมวดคิ้ว รู้สึกว่ามันช่างไม่น่าดึงดูดเอาเสียเลย แถมรูปยิมที่อยู่บนโบรชัวร์ก็ดูไม่ทันสมัย เทียบกับพวกฟิตเนสดังที่เธอเป็นสมาชิกอยู่ไม่ได้แม้แต่น้อย‘แบบนี้จะมีคนสมัครไหมหนอ หรือจะมีแค่เธอกับยัยดาวที่หลงสมัครเป็นกลุ่มแรกกันนะ?’ พิรุณาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ ความกังวลเล็ก ๆ ผุดขึ้
ในช่วงบ่ายแก่ ๆ ท้องฟ้าเริ่มขมุกขมัว ราวกับจะรู้ว่าใกล้เวลาเลิกงาน ‘ไม่ทันอีกแล้วสินะ’ พิรุณาพึมพำกับตัวเอง พลางมองเม็ดฝนที่เริ่มโปรยปรายลงมานอกหน้าต่างวันนี้คงต้องทำงานรอฝนหยุดอีกตามเคย เธอถอนหายใจพลางเอื้อมมือไปเปิดคอมพิวเตอร์ที่เพิ่งปิดไป“กริ๊ง กริ๊ง” เสียงโทรศัพท์โต๊ะทำงานของใครสักคนดังขึ้น แต่ไม่มีทีท่าว่าใครจะยอมรับสาย พิรุณาเลยตัดสินใจดึงสายมาที่โต๊ะตัวเอง “สวัสดีค่ะ แผนกค้นคว้าทางวิชาการค่ะ ไม่ทราบเรียนสายใครคะ”“ยัยฝน ชั้นเอง ไม่ต้องสุภาพขนาดนั้นก็ได้” เสียงที่คุ้นเคยของดาริกา หรือดาว ลอยมาตามสาย“ยัยดาว โทรเข้าที่ทำงานทำไม ไม่โทรเข้ามือถือล่ะ”“โทรแล้ว แต่แกไม่รับ” พิรุณาเหลือบมองโทรศัพท์ของตัวเองแล้วก็พบว่ามีมิสคอลจากดาวหลายสาย เธอแทบไม่ต้องเดาก็รู้ว่าเพื่อนของเธอคนนี้คงทะเลาะกับแฟนตามเคยณ ร้านอาหารแห่งหนึ่งหลังจากคุยกับดาวเธอก็ได้ปิดคอมพิวเตอร์อีกครั้ง เพราะทนการออดอ้อนของเพื่อนไม่ไหว“แกคิดดูสิ เขาไม่แคร์ชั้นเลย จนถึงวันนี้ก็ยังไม่มาง้อ แล้วรู้ไหม ชั้นไปถามเพื่อนที่ทำงานเขา เพื่อนเขาบอก เขามีคนใหม่แล้วเป็นเด็กฝึกงาน ใช่สิ พวกเรามันแก่แล้ว!!!” ดาริการะบายเสียงดังลั่น