หญิงสาวกำหมัดเชิดหน้าทำท่าตอกกลับพี่สาวเพื่อปกป้องสามี พลันได้ยินพี่สาวกล่าวเสียงเหยียดเบาๆ แต่เย็นเยียบว่า
“จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ ไม่พอใจเสียแล้ว อยากด่าข้าหรือ ต้องการงัดข้อกับข้ากระมัง เอาสิ กล้าหรือไม่? นังลูกอนุ!”
ไป๋เล่อชิงสูดลมหายใจกัดฟันกรอดกระซิบกลับว่า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นแค่ลูกภรรยารองนี่นา คงไม่กล้าเสียเวลาอันมีค่ามาคอยหาเรื่องลูกของนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ คนปกติที่มีจิตสำนึก ย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอ เขาไม่ทำกัน ข้าเองก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง จรรยาต่ำ ศีลธรรมไม่มีเสียด้วย ข้าไม่กล้างัดข้อกับคนอย่างพี่หญิงหรอก เพราะมันเสียเวลา และไม่คุ้มค่าอะไรเลย”
“เจ้า!” ไป๋หลินหน้าชาทันใด วาจานี้ไยมิใช่ด่านาง ว่าเหมือนพวกไร้อารยะ ทำตัวไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทำตัวถ่อย ชอบเสียเวลาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้
แท้จริงไป๋เล่อชิงไม่ได้ด่าทอถึงขั้นนั้น แต่ไป๋หลินร้อนตัวไปเองและคิดวาจาหยาบคายได้เองตามวิสัย
ไป๋หลินกล่าวต่อเสียงเครียด “เดี๋ยวนี้เก่งกาจเหลือเกินนะ ไม่เหมือนตอนอยู่จวนไป๋ หรือเจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วจะทำตัวเหิมเกริมอย่างไรก็ได้ จำไว้ สามีผู้ต่ำต้อยของเจ้า ไม่อาจช่วยเจ้าได้หรอก เอาเวลาไปหาลู่ทางให้สามีเจ้าสอบบัณฑิตดีกว่า อย่ามัวทำตัวเอ้อระเหยลอยชายวันๆ แล้วมาโอหังกับข้าเช่นนี้ หึ! ช่างไม่เจียมตัว!”
หญิงสาวทำท่าเอื้อมมือไปแอบหยิกน้องสาวเหมือนที่ชอบทำตอนอยู่ที่จวนไป๋
ไป๋เล่อชิงรู้ทันจึงเบี่ยงแขนหลบอย่างไว นางไม่ต้องให้สามีช่วยเหลืออันใดมากมายเสียหน่อย กำลังจะบอกว่าปกป้องตัวเองได้ กลับได้ยินเสียงบุรุษกล่าวอย่างเย็นชา
“เรื่องของข้า คงไม่ต้องรบกวนพี่ภรรยาเป็นกังวล”
เสียงนั้นทำสองสตรีสะดุ้งหันขวับ เห็นเป็นอู๋หมิงในอาภรณ์สีครามอึมครึมพาร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาเนิบช้าตรงทางเข้าหน้าร้านอาภรณ์
ชายหนุ่มเป็นอีกคนที่มีบุคลิกและหน้าตาขัดแย้งกับอุปนิสัย ภายนอกแลดูซื่อบื้อทึมทื่อแต่แท้จริงกลับไม่ใช่
ไป๋หลินรีบเม้มปากไม่กล้าพูดอีก
ต่อหน้าผู้อื่นโดยเฉพาะบุรุษ นางไม่กล้าเหมือนอยู่ต่อหน้าน้องสาวหรอกนะ คิดแต่ก็ยังเชิดหน้ามองอู๋หมิง ด้วยถือว่าตัวเองเหนือกว่าอยู่ดี
ส่วนไป๋เล่อชิง เพราะหนีเที่ยวไม่ได้บอกสามีเอาไว้ นางถึงขั้นต้องมองหาที่กำบังเพื่อหลบภัย ทว่าหาไม่ได้ จึงหันไปประจันหน้ากับสามีตรงๆ ผลิยิ้มถามระมัดระวัง
“ท่านพี่มาได้อย่างไร”
อู๋หมิงละสายตาจากไป๋หลินอย่างไม่ให้ค่า มองเพียงภรรยา “ข้ามีกิจธุระกับคุณชายฉางเล็กน้อย”
เขาว่าพลางหันไปมองทางรถม้าที่ฉางเฟิงยืนอยู่ ก่อนหมุนกายผละจากภรรยา เดินไปทางฉางเฟิงแทน
เป็นการทักทายตามประสาบุรุษพูดน้อยโดยแท้
ไป๋เล่อชิงกับไป๋หลินจึงมองตาม
และพวกนางได้เห็น
ฉางเฟิงที่เป็นถึงบัณฑิตซิ่วไฉเป็นฝ่ายเดินมาหาแล้วคารวะทักทายอู๋หมิงก่อนด้วยท่าทีเกรงอกเกรงใจอย่างยิ่งยวด!
สองพี่น้องถึงกับตะลึงงันมองหน้ากันอย่างงุนงง
ไป๋หลินถาม “ฉางเฟิงกับอู๋หมิงรู้จักกันด้วยหรือ”
ไป๋เล่อชิงส่ายหน้า “แม้ข้ากับฉางเฟิงรู้จักกันตั้งแต่เยาว์วัย แต่ข้าก็ไม่อาจรู้ทุกเรื่องของเขาหรอกนะ”
นางไม่อยากเสวนากับพี่สาวแล้วจึงว่าตัดบท
“ข้าขอตัวก่อนเจ้าค่ะ ท่านก็รีบซื้อผ้าเถอะ ท่าทางพี่เขยเหมือนมารอพบสามีของข้ามากกว่ามาส่งท่านนะ ไม่แน่คุยเสร็จอาจกลับเลยก็เป็นได้”
พูดจบก็ยอบกายตามมารยาทแล้วเดินผละไปทันที ไม่สนใจพี่สาวอีกเลย
ไป๋หลินชะงักกับวาจาน้องสาวยิ่งนักจึงมองค้อนจนตาแทบถลนออกมา
นางรู้สึกเสียหน้าเรื่องสามีเสียจริง แต่ว่า...
หญิงสาวหันมองฉางเฟิงกับอู๋หมิงอีกครา
พวกเขาคุยอะไรกัน?
ไฉนฉางเฟิงถึงต้องทำท่าทางนอบน้อมปานนั้น?
ไป๋หลินหงุดหงิดจนบิดผ้าเช็ดหน้าในมือแทบขาด
ที่หอน้ำชา เฉิงเอินปลอบโยนไป๋เล่อชิงที่นั่งจิบชาทั้งน้ำตา“เอาเถิดน่า หน้าที่ของกุนซือไม่ต้องจับดาบออกรบ อย่างน้อยสามีของเจ้าก็ไม่ต้องเสี่ยงอันตรายเกินไป”คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังเศร้ามิคลาย “หากข้ายังไม่ชอบอู๋หมิงก็คงดี ไหนเลยจะรู้สึกอาลัยอาวรณ์ปานนี้ เหงามากด้วย”ครานี้เป็นเฉิงเอินบ้างที่พยักหน้า ถอนหายใจดังเฮ้อ...รู้สึกทั้งเหงาแล้วก็เศร้าตามสหายจนห่อเหี่ยวไปหมดหลังจากวันนั้นก็ผ่านมาแล้วถึงหนึ่งปี“เวลาล่วงเลยจนยามนี้แล้วแท้ๆ ยังร้องไห้อยู่อีก” เฉิงเอินถามไป๋เล่อชิงทันทีที่เจอหน้าแล้วได้เห็นดวงตาอีกฝ่ายแดงก่ำมีน้ำเอ่อคลอเจียนหยาดหยดลงมา นางรีบรินน้ำชาแล้วสั่ง “นั่งๆ อ่ะ จิบชาก่อน ค่อยๆ พูดจา”ไป๋เล่อชิงนั่งลงตามการฉุดมือของเฉิงเอินแล้วว่า “ข่าวคราวล่าสุดที่มากับจดหมายของหลานชายแม่สามี” นางสูดจมูกกลั้นน้ำตาแล้วว่าต่อ “เจ้ารู้หรือไม่ว่าเรื่องใด”“เรื่องของอู๋หมิงปะไร ทุกครั้งก็เป็นเช่นนั้น” เฉิงเอินนิ่วหน้ากล่าว ครั้งก่อนได้ฟังว่าอู๋หมิงสร้างผลงานเป็นที่ประจักษ์ได้รับความโปรดปรานจากเยี่ยนอ๋องอย่างยิ่ง ต่อมาได้ฟังว่าอู๋หมิงต้องเดินทางไปที่ใดมิอาจทราบ เร้นกายไปไม่นานก็กลับมา
ไป๋เล่อชิงห่อเหี่ยวถึงขั้นพร่างพรูพร่ำพรรณนาเปลืองคำมากมายจนหายใจไม่ทันกระนั้นวาจาต่อมาของอู๋หมิงพลันทำให้ไป๋เล่อชิงหยุดพร่ำเพ้อในใจ“ขอบคุณที่เจ้าเข้าใจ”ไป๋เล่อชิงก้มหน้าหลุบตา ไม่อยากเข้าใจสักนิด หึ! แต่ปากบอก “เจ้าค่ะ ข้าเข้าใจท่านพี่ที่สุด” “ข้าชอบที่เจ้าเป็นเช่นนี้”ไป๋เล่อชิงชะงักเล็กน้อย “ช่ะ” เงยหน้ามองเขา “ชอบหรือ?”“อืม”นางเบิกตา เขาชอบนาง อา...“แล้วข้าเป็นเช่นไรหรือ?” หญิงสาวถามอย่างใคร่รู้“ถ่อมตัวเรียบง่ายและเชื่อฟัง ไม่ฟูมฟายเหนี่ยวรั้ง”สิ้นวาจาชื่นชมจากสามี คนเป็นภรรยาก็ยิ้มแห้ง หลุบตามิกล้ามองเขาตรงๆ นางกัดฟันกลั้นใจเอาไว้ปะไร“มาเถอะเข้าห้องกัน คืนนี้ข้าอยากอำลาเจ้าด้วยดี”ความหมายอันลึกซึ้งนี้ล้วนรู้ดีระหว่างสามีภรรยา ทำเอาพวงแก้มไป๋เล่อชิงแดงซ่าน ตัวเกร็งแข็งค้างทันใดอู๋หมิงยื่นมือ “ราตรียาวนาน แต่เวลาไม่รอใคร มัวชักช้าอยู่ไย”“หืม?” ไป๋เล่อชิงมองมือใหญ่ที่ยื่นมา ครั้นเงยหน้ามองเขาก็คิดว่าตัวเองตาฝาด เพราะ...อู๋หมิงยิ้ม....หญิงสาวกะพริบตา นี่คือครั้งแรกที่เขายิ้มมิน่าเชื่อว่ายามที่ริมฝีปากที่มักปิดสนิทนี้แย้มออก จะทำอู๋หมิงรูปงามชวนมองปานนั้นไป๋เล่อชิงยื่
ห้องรับอาหารในเรือนหลักสกุลอู๋ซืออวิ๋นได้ยินว่าสหายต่างวัยของบุตรชายเป็นถึงท่านรองแม่ทัพหยาง นางรู้สึกฉงนระคนตื่นเต้นอย่างยิ่ง “เหตุใดเจ้าไม่เชิญเขามาบ้านเรา แม่จะได้เลี้ยงต้อนรับให้เอิกเกริก” เรื่องเช่นนี้นางไม่คิดตระหนี่ อยากป่าวประกาศให้กึกก้องเลยเชียวว่าสกุลอู๋มีสายสัมพันธ์ไม่ธรรมดา“เขามีกิจธุระอื่นต้องรีบไปจัดการขอรับ มิอาจรั้ง” อู๋หมิงกล่าวเสียงนิ่งอย่างไม่เห็นความจำเป็นต้องวุ่นวายปานนั้นซืออวิ๋นทอดถอนใจ “ช่างน่าเสียดายเหลือเกิน” โอกาสเชิดหน้าชูตาให้สกุลอู๋ที่แร้นแค้นเช่นนี้หามิได้ง่ายๆ นางถามอีก “ว่าแต่ เขามาหาเจ้าด้วยเหตุใดหรือ?”“ส่งข้าไปเป็นที่ปรึกษาให้กองทัพทหารเกราะดำ” อู๋หมิงยังคงกล่าวด้วยสีหน้าเรียบเฉย ทว่าคนฟังพลันตาโต สีหน้าแววตาไหนเลยยังเรียบสงบอยู่ได้“เป็นถึงที่ปรึกษาเชียวหรือ? กองทัพทหารเกราะดำที่ว่านั่นไยมิใช่เป็นของท่านอ๋องแห่งเสียนหยาง เช่นนี้...” ยิ่งพูดยิ่งตื่นเต้นยินดี ซืออวิ๋นแย้มยิ้มเต็มวงหน้า “หรือว่าเจ้าจะได้เป็นกุนซือข้างกายจอมทัพเยี่ยนอ๋อง”อู๋หมิงพยักหน้าเนือยๆ ช่างเป็นท่าทางที่สวนทางและย้อนแย้งกับอาการตื่นเต้นของมารดาอย่างสิ้นเชิง เขาลอบชำเลื
ลู่หว่านเองก็เข้าใจอารมณ์แรกรักนั้นจึงกล่าว “แค่ยิ้มเองนะ หากเขาหัวเราะนับว่าหล่อเหลากว่านี้มาก”ไป๋เล่อชิงพลันตาโต “พี่สะใภ้เคยเห็นหรือ?”“แน่นอน ตอนที่เฉิงอวี่ของข้าร่วมร่ำสุรากับอู๋หมิง พวกเขามักมีเรื่องเล่าขบขันมากมาย ข้าเองก็แอบเห็นสามียามที่หัวเราะร่วนอารมณ์ดี ช่างน่ามองนัก แม้อู๋หมิงจะดูดี แต่ไม่มีใครหล่อเหลาเท่าเฉิงอวี่ของข้าหรอกนะ”ลู่หว่านยิ้มหวานดวงตาพร่างพราวเมื่อเอ่ยถึงสามีเฉิงเอินถึงขั้นส่ายหน้าทำเสียงเอือมระอา “พี่สะใภ้น่าหมั่นไส้เกินไปแล้ว” “เจ้า!” ลู่หว่านหน้าม้านตีไหล่น้องสามีเบาๆทีหนึ่งอย่างขวยเขินล้อเล่นกันอยู่ครู่หนึ่งก็พากันเลือกซื้อผ้าอย่างตั้งใจ มีเพียงไป๋เล่อชิงที่แอบมองอู๋หมิงอยู่บ่อยครั้ง นี่คือการซื้อของที่นางรู้สึกอุ่นใจที่สุดเป็นครั้งแรก รู้สึกปลอดภัยอย่างมาก ความรู้สึกประหลาดสายหนึ่งตีปะทุขึ้นกลางอกจนทะลักล้นใจ นั่นคือความรู้สึกอันใดคงไม่ต้องสงสัยนานนัก“ชิงชิง มิใช่ว่าแอบชอบสามีตัวเองแล้วกระมัง?” เฉิงเอินกระทุ้งแขนถามไป๋เล่อชิงเขินอายจะแย่แต่นางก็ยิ้มแล้วยอมรับว่า “ใช่ ไม่ผิดใช่หรือไม่?”“โอ้! ช่างกล้า”“ข้ากล้ายิ่งกว่านี้ ตอนก่อนแต่งปะไร”“โอว นั
รถม้าห่างจากร้านอาภรณ์ราวสามจั้ง[1]ฉางเฟิงค่อยๆ ยื่นถุงเงินส่งให้อู๋หมิงอย่างนอบน้อม พร้อมเอ่ยด้วยสุ้มเสียงกริ่งเกรงว่าอาจจะทำให้คนฟังรำคาญใจ “ลำบากสหายอู๋แล้ว ขอบคุณที่รับงานนี้ของข้า นี่คือเงินตามที่ตกลงไว้”อู๋หมิงรับถุงเงินมาด้วยท่าทีเย็นชาโดยไม่เอ่ยวาจา แค่งานรับจ้างคุ้มกันหญิงชู้ที่กำลังตั้งครรภ์ของฉางเฟิงเดินทางไปคลอดยังเรือนชนบทที่ปลอดภัยไม่นับเป็นอันใด ปกติเขารับจ้างงานคุ้มกันทองคำแพรพรรณล้ำค่าที่โจรป่าคอยจ้องตามปล้นชิงตลอดทาง ลำบากกว่านี้มากมายนักอู๋หมิงเก็บถุงเงินใส่แขนเสื้อทำท่าหันตัวเดินจากไป ฉางเฟิงเห็นเช่นนั้นก็รีบรั้งไว้ “สหายอู๋ ช้าก่อน”ชายหนุ่มปรายตามองช้าๆ เลิกคิ้วเป็นเชิงคำถาม “ว่า?”ฉางเฟิงถูมือพูดอย่างเกรงใจว่า “เรื่องงานจ้างนี้ ท่านไม่แพร่งพรายใช่หรือไม่? ชื่อเสียงบัณฑิตดีงามของข้าจะด่างพร้อยไม่ได้เด็ดขาด” เพิ่งแต่งงานได้แค่สี่เดือนแท้ๆ กลับมีอนุนอกเรือนที่ใกล้คลอดแล้ว หากผู้คนรู้เข้า แย่แน่!“เจ้าคิดว่า ข้าดูเป็นคนปากมาก?”อู๋หมิงถามสีหน้าเรียบเฉย แม้แต่น้ำเสียงก็เฉยชา แววตาไม่บ่งบอกอารมณ์ใด ทำให้ไม่รู้ว่าเริ่มหงุดหงิดระดับไหน ทำเอาคนถูกถามรีบส่ายหน้า ปฏิเสธ
หญิงสาวกำหมัดเชิดหน้าทำท่าตอกกลับพี่สาวเพื่อปกป้องสามี พลันได้ยินพี่สาวกล่าวเสียงเหยียดเบาๆ แต่เย็นเยียบว่า “จุ๊ๆ ดูเจ้าสิ ไม่พอใจเสียแล้ว อยากด่าข้าหรือ ต้องการงัดข้อกับข้ากระมัง เอาสิ กล้าหรือไม่? นังลูกอนุ!”ไป๋เล่อชิงสูดลมหายใจกัดฟันกรอดกระซิบกลับว่า “ใช่แล้ว ข้าก็เป็นแค่ลูกภรรยารองนี่นา คงไม่กล้าเสียเวลาอันมีค่ามาคอยหาเรื่องลูกของนายหญิงผู้ยิ่งใหญ่หรอกนะ คนปกติที่มีจิตสำนึก ย่อมมีศักดิ์ศรีมากพอ เขาไม่ทำกัน ข้าเองก็ไม่ใช่พวกไร้สมอง จรรยาต่ำ ศีลธรรมไม่มีเสียด้วย ข้าไม่กล้างัดข้อกับคนอย่างพี่หญิงหรอก เพราะมันเสียเวลา และไม่คุ้มค่าอะไรเลย”“เจ้า!” ไป๋หลินหน้าชาทันใด วาจานี้ไยมิใช่ด่านาง ว่าเหมือนพวกไร้อารยะ ทำตัวไร้ค่าไร้ศักดิ์ศรี ทำตัวถ่อย ชอบเสียเวลาหาเรื่องคนไม่มีทางสู้ แท้จริงไป๋เล่อชิงไม่ได้ด่าทอถึงขั้นนั้น แต่ไป๋หลินร้อนตัวไปเองและคิดวาจาหยาบคายได้เองตามวิสัย ไป๋หลินกล่าวต่อเสียงเครียด “เดี๋ยวนี้เก่งกาจเหลือเกินนะ ไม่เหมือนตอนอยู่จวนไป๋ หรือเจ้าคิดว่าออกเรือนไปแล้วจะทำตัวเหิมเกริมอย่างไรก็ได้ จำไว้ สามีผู้ต่ำต้อยของเจ้า ไม่อาจช่วยเจ้าได้หรอก เอาเวลาไปหาลู่ทางให้ส