Mag-log in“เอาละๆ เจ้าก้องไม่ต้องไปแล้ว เจ้าดินกับหนูอุ่นน่ะ ไปส่งเด็กๆ ด้วยกันไป” หลังยิ้มมองอยู่สักพัก ย่าคำหอมก็พยักพเยิดสั่งอย่างวางอำนาจ โอกาสทองอยู่ตรงหน้าแบบนี้ จะให้นั่งมองเฉยๆ ได้ไง "ในเมื่อเด็กมันไม่อยากไปกับเจ้าก้อง แต่อยากให้หนูอุ่นไปส่ง จะทำไงได้ หนูอุ่นเพิ่งมาอยู่ที่นี่ รู้จักที่ทางของหมู่บ้านเราแค่ผิวเผิน ให้เจ้าดินไปด้วยกันนั่นแหละ”
“จะไปก็ไปเถอะจ้ะ เดี๋ยวจะดึกไปมากกว่านี้ พ่อแม่เด็กๆ จะเป็นห่วงเอา” ย่าคำแพงเอ่ยขึ้นยิ้มๆ เมื่อพี่สาวลอบหันมาส่งสายตาให้
“ไปก็ไป” คนเห็นทุกอย่างอยู่ในสายตาบอกเสียงเนือยๆ ก่อนจะทำหน้าเซ็งเดินไปจูงจักรยานของตนออกมา จวบจนเขาก้าวขาขึ้นไปนั่งคร่อมอานเตรียมออกเดินทางแล้ว คนร่วมทางกลับยืนนิ่งอยู่ที่เดิม เสียงเข้มเลยร้องบอก “มาขึ้นรถสิ!”
ฤทัยรักษ์มองจักรยานคันเก่าอย่างไม่วางใจ แต่ก็ยอมเดินไปนั่งซ้อนท้ายเขา ส่วนเด็กๆ พากันวิ่งเข้าไปกอดลาเจ้าภาพที่นั่งอยู่บนแคร่ทุกคน
“ขอบคุณที่เลี้ยงหมูกระทะนะค้า”
ย่าคำหอมลูกหัวเล็กๆ ทั้งสามอย่างเอ็นดู “วันหลังแวะมาเล่นกับย่าทวดอีกนะ”
“มาได้เลยๆ อ้ายสิถ่าฮ้องเพลงให้ฟัง” (มาได้เลยๆ พี่จะรอร้องเพลงให้ฟัง)
พอก้องหล้าพูดออกมาแบบนั้น สามแสบก็รีบวิ่งกระเจิงกลับไปหาจักรยานที่จอดไว้หน้าเรือน พากันปั่นหนีโดยไม่รอแดนดินกับฤทัยรักษ์ด้วยซ้ำ
“...” ก้องหล้า
ย่าคำหอมพยายามกลั้นยิ้มเพื่อบอกแดนดินกับฤทัยรักษ์ “รีบตามไปเร็ว เดี๋ยวเด็กๆ ตกใจจนปั่นไปชนอะไรเข้า”
“ฮ่าๆ” แดนดินไม่รีรอเลยที่จะเล่นงานลูกน้อง ผู้ไม่เคยรู้ตัวว่าตนมีเสียงเป็นเอกลักษณ์ในด้านลบ “ถ้าไปชนอะไรเข้าจริงๆ ได้ฮากันทั้งหมู่บ้านแน่ แฮ่มๆ เกิดเหตุระทึกขวัญ เมื่อคืนที่ผ่านมา มีเด็กสามคนปั่นจักรยานหนีเสียงร้องสุดหลอนจนตกคูนา!” รายงานข่าวที่น่าจะเกิดขึ้นจบแล้ว แดนดินก็รีบปั่นจักรยานพาฤทัยรักษ์ตามเด็กๆ ออกไปทันที
ส่วนก้องหล้าที่ชินชากับการกลั่นแกล้งของเจ้านายได้แต่มองตามท้ายรถสองล้อคันนั้นไปด้วยสายตาหมายมั่น
อย่าให้ถึงทีก้องบ้างก็แล้วกัน!
การเดินทางขาไปนั้นไม่มีปัญหา
แต่หลังจากส่งเด็กๆ ถึงบ้านครบทุกคนแล้ว เหตุการณ์ขากลับดันมีปัญหาเฉย
อยู่ๆ เสาไฟฟ้าที่เคยส่องแสงสว่างไสวก็มีอาการติดๆ ดับๆ ขึ้นมาอย่างไม่ทราบสาเหตุ มือเรียวที่ดึงชายเสื้อแดนดินเอาไว้ตั้งแต่เขาเริ่มแกล้งปั่นเร็วๆ พลันเปลี่ยนเป็นจับเอวสอบไว้หมับ เจ้าตัวถึงกับร้องลั่น
“เฮ้ย! จับอะไรของเธอน่ะ มันจั๊กจี้!”
ฤทัยรักษ์ไม่ตอบอะไรสักคำเดียว แต่แดนดินรู้สึกได้ถึงอาการเกร็งตัวของเธอ เลยถามไปว่า
“มีอะไรหรือเปล่า”
“เปล่า”
“มีสินะ”
“...ไม่มี”
แดนดินหันไปดูคนตอบมาเสียงแผ่ว เห็นเธอกำลังมองรอบตัวด้วยสีหน้าตื่นกลัวก็เลิกคิ้ว ขามาแม่ตัวตุ่นนี่ยังดีๆ อยู่เลย มีแกล้งทำตัวถ่วงน้ำหนักให้เขาปั่นลำบากด้วย ตอนนี้คิดจะแกล้งอะไรเขาอีกล่ะ นั่งดีๆ ไม่เป็นเลยหรือไง คิดแล้วชายหนุ่มก็ยิ้มหยัน หันกลับมามองทางข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไร แต่มือกลับค่อยๆ กำเบรกให้จักรยานจอดนิ่งก่อนจะเอี้ยวตัวไปถาม “ตกลงว่ามีอะไร”
ฤทัยรักษ์เม้มปากแน่นไม่ตอบ ในใจอยากจะร้องไห้ออกมา เขาจะจอดที่ไหนไม่จอด ดันมาจอดใต้เสาไฟที่กะพริบๆ อยู่เสียนี่ เธอมองใบหน้าดุๆ ที่มืดบ้างสว่างบ้างเพราะไฟเสียแล้วใจไม่ดียิ่งกว่าเก่า
พรึบ!
แขนเรียวกอดเอวสอบไว้แน่นทันทีที่ไฟดับลง หญิงสาวหวาดกลัวสิ่งที่มองไม่เห็นจะออกมาจนหัวใจเต้นแรงไม่หยุด แต่คนตัวใหญ่กลับดูไม่สะทกสะท้านอะไรเลย
“อ้าว! ไฟเป็นอะไรน่ะ อยู่ดีๆ ก็ดับเฉย”
เธอรีบบอกเขาเสียงสั่น “เรารีบกลับบ้านกันเถอะค่ะ ไฟแถวนี้มันติดๆ ดับๆ ไม่น่าไว้ใจเลย ไม่รู้ว่าจะมี...”
“อ้อ...” แดนดินเข้าใจในบัดนั้นว่าอาการแปลกๆ ของอีกฝ่ายเกิดจากอะไร “กลัวผีออกมาเหรอ”
“ห้ามพูดออกมานะ!”
“พูดอะไร ผี....”
“คุณ!” น้ำตาเม็ดใสที่คลอเบ้าอยู่นานแล้วไหลออกมาทันที แต่เพราะอยู่ในความมืด คนปากเสียมองไม่เห็น เขาถึงพูดย้ำออกมาอีก
“ไม่ต้องกลัวหรอกน่า แถวนี้ไม่มีผีหรอก”
“คนใจร้าย!” ฤทัยรักษ์ปล่อยออกจากตัวเขา เพื่อโอบกอดตัวเองเอาไว้แทน เธอหลับตาแน่นปี๋ทั้งน้ำตาอาบแก้ม ไม่เอ่ยอะไรกับแดนดินอีก ด้วยกลัวเขาจะเอ่ยคำต้องห้ามออกมาไม่หยุด
พอหญิงสาวเงียบไป คนที่ต้องการแกล้งเลยก้มลงไปดู ตอนนั้นไฟสว่างขึ้นมาพอดี เลยได้เห็นธารน้ำตาบนใบหน้าสวยเข้าพอดี
ให้ตายเถอะ!
ที่เธอไม่ตอบเพราะแอบร้องไห้อยู่เงียบๆ นี่เอง
“ร้องไห้ทำไม” คนไม่ชอบน้ำตาถามอย่างรับมือไม่ถูก ท่าทางกอดตัวเองไว้นั่น เล่นเอาเขาแอบรู้สึกผิดที่แกล้งแรงไปเลย “เอ้าๆ ไฟก็มาแล้ว เธอจะกลัวอะไรกัน ฉันก็อยู่ด้วยทั้งคน”
“ฮือ”
“ไม่ต้องมาร้องเลย ฉันไม่ชอบน้ำตา”
“ฮึก! ฮือออออ”
“อย่ามาฮึกมาฮือ ถ้ายังไม่เงียบอีก พ่อจะปล่อยทิ้งเอาไว้ตรงนี้คนเดียวเลยนะ”
“ใจร้าย!”
“เออ ฉันสายโหดเว้ย!”
“ใจร้ายใจดำจริงๆ ฮืออออ”
“เดี๋ยวเถอะ!”
“ฉันจะฟ้องคุณย่า” ฤทัยรักษ์เอ่ยเสียงสั่นเครือ
“เออ ถ้ายังไม่หยุดร้องไห้ คืนนี้เธอได้เดินกลับไปฟ้องแน่”
“ก็มันหยุดร้องไม่ได้นี่”
ขณะที่ฤทัยรักษ์กำลังปาดๆ เช็ดๆ น้ำตาทิ้งอย่างโมโหตัวเองที่มาน้ำตาแตกต่อหน้าคนบ้านี่ จู่ๆ ก็มีสัมผัสบางเบาแตะลงบนไหล่เล็ก ความตื่นกลัวที่ยังไม่หายไปทำให้หญิงสาวร้องกรี๊ดผวาเข้าไปกอดคนตัวใหญ่ไว้แน่น ใบหน้างามซุกเข้ากับแผ่นหลังกว้างเหมือนต้องการจะหลบซ่อนจากสิ่งนั้น
“อะไรๆ เป็นอะไรของเธออีกเนี่ย!”
คนถูกกอดเองก็ตกใจเช่นกัน แต่ฤทัยรักษ์ก็เอาแต่กรีดร้องพร้อมกับสะบัดตัวไล่ตัวอะไรไม่รู้ที่ไต่จากหัวไหล่ไปที่หลังแล้ว
“เอามันออกไป! เอามันออกไป!”
แดนดินเห็นท่าไม่ดีรีบดึงหญิงสาวลงจากรถ กะจับคนไปส่องไฟดูว่าโดนอะไรถึงดิ้นปัดๆ ขนาดนี้ แต่ฤทัยรักษ์กลับผวากอดเขาเอาไว้แน่นกว่าเดิม สุดท้ายเลยต้องก้าวไปยืนใต้เสาไฟทั้งที่ยังกอดกันนั่นแหละ ดวงตาคมปราดมองหาตัวปัญหาไม่นานก็เจอ
"โธ่! ฉันก็นึกว่าตัวอะไร มันก็แค่ตั๊กแตนเอง ยัยหนูตุ่นเอ๊ย!” เขาเอ่ยเสียงกลั้วหัวเราะเมื่อตั๊กแตนกลางคืนสีเขียวตัวใหญ่เกาะอยู่กลางหลังเล็ก มันทักทายเขาด้วยการบินมาเกาะที่หัวเขาแทนด้วย
ฤทัยรักษ์ได้ยินแบบนั้นก็ช้อนหน้ามองเขานิ่งงัน “ตั๊กแตน?”
“นี่ไง” มือใหญ่ชี้ต้นเหตุ ซึ่งยังเกาะอยู่บนหัวตัวเอง
“...เอ่อ”
“ไม่ต้องมาเอ่อ ปล่อยฉันได้แล้ว”
ไม่รอให้เขาบอกซ้ำ ร่างเล็กรีบถอยห่างออกมาทันที เสียงหวานอุบอิบแก้ตัว “คุณนั่นแหละ แกล้งจนฉันกลัวไปหมด”
“อ้าว นี่ช่วยไว้นะ”
“ก็แกล้งก่อนนี่ กลับไปฉันจะฟ้องคุณย่า!”
“...” แดนดิน
วันนี้แดนดินออกไปติดต่อเรื่องการรับเด็กๆ เป็นลูกบุญธรรมในอำเภอ ทางฤทัยรักษ์เองก็รับเอาครอบครัวลูกสุนัขอายุราวสองเดือนหน้าตาน่ารักน่าฟัดเข้ามาเป็นสมาชิกใหม่ของเรือนเช่นกัน โดยได้รับการอนุมัติจากคุณย่าเจ้าของเรือนเรียบร้อย กว่าจะอาบน้ำขัดตัวให้เสร็จ คนอาบให้ก็เปียกปอนจนต้องขึ้นไปเปลี่ยนชุดใหม่ฤทัยรักษ์เปลี่ยนมาสวมเสื้อยืดกับผ้าซิ่นสีครามแล้วลงเรือนมาหาคุณย่าทั้งสองที่นั่งอยู่บนแคร่ไม้ไผ่ข้างเรือน คนเลี้ยงมาแต่เด็กเห็นชุดของเธอแล้วยิ้มชมทันที“แต่งตัวน่ารักเชียวนะจ๊ะ”“ก็น่ารักอยู่หรอก แต่หนูซื้อเสื้อผ้ามาใหม่แล้วนี่ ทำไมยังนุ่งผ้าซิ่นอยู่อีกล่ะลูก” ย่าคำหอมกะพริบตาถาม“หนูอุ่นว่าแบบนี้มันใส่ได้สไตล์ดีค่ะ แบบหนูหิ่นไงคะ”“หนูอุ่นกลายเป็นหนูหิ่นไปแล้วเหรอเนี่ย”สองคุณย่าหัวเราะออกมาพร้อมกัน หญิงสาวได้แต่หัวเราะตามแห้งๆ ความจริงแล้วเธอกลับมาสวมชุดหนูหิ่นก็เพราะสาธิตมีความอยากสวยอยู่ในตัวสูงเกินไป เสื้อผ้าที่เลือกให้ก็ ‘ผู้หญิ๊งผู้หญิง’ ไป พอเธอใส่มันออกมาเผยโฉมวันแรกก็ไปเตะลูกกะตาใครบางคนเข้า‘นั่นเสื้อเรอะ กลับไปใส่ชุดหนูหิ่นของเธอเลยนะยัยหนูตุ่น!’ปากว่ายังไม่เท่าตามอง สายตาคมกริบของแดน
เป็นนานกว่ายายมาจะให้คำตอบกับแดนดิน แกส่ายหน้าบอกเสียงสะอื้น “ยายเฮ็ดบ่ได้ จั่งได๋กะบ่ได้ ตอนนี้ยายยังมีแฮงเลี้ยงหลานอยู่ ฮอดยามล้มตายมื้อได๋ จั่วว่ากันได้บ่นายดิน” (ยายทำไม่ได้ ยังไงก็ไม่ได้ ตอนนี้ยายยังมีเลี้ยงหลานอยู่ ถึงวันตายเมื่อไร ค่อยว่ากันได้ไหมนายดิน)“ฉันอยากทำเรื่องตอนนี้เลย ยายไม่ต้องกังวลว่าฉันจะละเลยพวกแกในอนาคต ฉันรับปากว่าจะดูแลพวกแกให้ดีที่สุด ย่าเองก็อยากได้เหลนมานานแล้ว”“ตอนนี้มันกะดี แต่ถ้านายดินแต่งงานไปล่ะ เมียนายดินสิเห็นดีนำบ่ เขาสิฮักสิแพงไอ้แฝดของยายบ่” (ตอนนี้มันก็ดี แต่ถ้านายดินแต่งงานไป เมียนายดินจะเห็นด้วยเหรอ เขาจะรักจะชอบไอ้แฝดของยายไหม)แดนดินยังไม่ได้ตอบ คำหอมก็ถอนใจบอกเสียงดัง“บ่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นยายมา ชาตินี้ข้อยคงบ่มีหลานสะใภ้กับชาวบ้าน จ่มเช้าจ่มแลงให้หาเมียได้แล้ว หลานข้อยมันกะยังบ่หามาให้เห็นจั่กคน มันหาเหลนแฝดมาให้เลยกะดีคึกัน ข้อยสิยกนายกไฮ่ให้เบิดเลย!” (ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องนั้นยายมา ชาตินี้ฉันคงไม่มีหลานสะใภ้กับชาวบ้าน บ่นเช้าบ่นเย็นให้หาเมียได้แล้ว หลานฉันมันก็ยังไม่หามาให้เห็นสักคน มันหาเหลนแฝดมาให้เลยก็ดีเหมือนกัน ฉันจะยกที่นาไร่สว
หลายวันผ่านไป“พ่อใหญ่ไปไส คึบอกมากับแม่ใหญ่” (ตาไปไหน ทำไมไม่มากับยาย)“พ่อใหญ่...”คำถามจากหลานชายเรียกก้อนสะอื้นขึ้นมาจุกอยู่ที่ลำคอของยายมา แกบอกกับหลานไม่ได้จริงๆ ว่าผู้เป็นตาได้จากโลกนี้ไปแล้ว ตลอดงานศพของตาทองที่จัดขึ้นอย่างเรียบง่ายในสองวันที่ผ่านมา ยายมาพยายามทำใจรับการจากลานี้ให้ได้ พยายามตั้งหลักเพื่อหลานๆ เมื่อเสร็จงานแล้วจึงมารับหลานที่ฝากไว้เรือนคำหอมกลับบ้านสวน อยากจะเอาเจ้าตัวหอมของยายกลับไปนอนกอดเหมือนตอนที่ผู้เป็นตายังอยู่ แต่พอหลานชายถามหาคนที่จากไป หัวใจที่คิดว่าเข้มแข็งกลับร้าวราน ได้แต่นั่งน้ำตาซึมมองหน้าหลานอย่างพูดไม่ออกเจ้าของเรือนเห็นท่าทีของผู้เป็นยายแล้วถอนใจ พยักหน้าเรียกเด็กน้อยทั้งสอง ค่อยๆ อธิบายให้พวกแกเข้าใจ “ฟังทวดดีๆ นะ ตอนนี้ตาทองบ่ได้อยู่กับพวกเฮาแล้ว เพิ่นไปอยู่ในที่ที่ดีมากๆ เลย ลูกเป็ดกับลูกไก่ฮู้บ่ว่าตาทองไปอยู่ที่ไหน” (ฟังทวดดีๆ นะ ตอนนี้ตาทองไม่ได้อยู่กับพวกเราแล้ว ตาไปอยู่ในที่ที่ดีมากๆ เลย ลูกเป็ดกับลูกไก่รู้ไหมว่าตาทองไปอยู่ที่ไหน)เด็กๆ ส่ายหน้าตอบพร้อมกัน“อยู่ในนี้” คำหอมจิ้มไปที่อกเล็กๆ ของพวกแกด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ตาทองเพิ่นเบิดเวลาอย
เหตุการณ์ถูกแตนยกพวกรุมต่อยครั้งนี้ทำให้คุณย่าคำหอมมีหวังเรื่องจับคู่ขึ้นมาเล็กน้อยระหว่างยืนรอใส่บาตรในเช้าวันถัดมา จึงสั่งให้ก้องหล้าแอบไปสืบความคืบหน้าระหว่างแดนดินกับฤทัยรักษ์อย่างใกล้ชิดแล้วเอามารายงานท่านในตอนเย็นทุกวัน เพิ่งจะสั่งเสร็จก็เห็นแดนดินกับฤทัยรักษ์เดินตามกันมาห่างๆ พอดี“อ้าว มากันแล้วเหรอ มาๆ พระท่านใกล้จะมาแล้วลูก” กวักมือเรียกไปก็แอบมองท่าทีเหลือบตามองกันของเด็กทั้งสองยิ้มๆ แกล้งทำเป็นถามก้องหล้า “เอ๊ะ! ดอกไม้อยู่ไหนล่ะเจ้าก้อง”“ดอกไม้? ยังไม่ได้ตัดเลยจ้ะ ก้องลืม” ก้องหล้าเกือบจะบอกว่ายายบัวกำลังเอาดอกไม้ไปล้าง ดีที่เห็นคุณย่าขยิบตาส่งสัญญาณก่อน“งั้นหนูอุ่นไปตัดให้จ้ะ/ดินไปตัดให้จ้ะ”คนอาสาพร้อมกันหันไปสบตากันแวบหนึ่ง จากนั้นก็เมินไปมองคนละทางก้องหล้าเห็นแล้วรีบเอ่ย “ไปช่วยกันเก็บสิจ๊ะ เดี๋ยวหลวงตาท่านจะมาแล้วนะ”คุณย่ายิ้มบอก “เอาดอกเข็มหอมมาก็ได้ เมื่อเช้าย่าเห็นออกดอกขาวเต็มต้นเลย”“ได้จ้ะ" แดนดินหมุนตัวเดินนำไปก่อนทันที สักพักจึงได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา เมื่อเดินมาถึงต้นเข็มหอมหน้าบันไดเรือน เสียงที่เบาราวกับยุงบินก็ถามขึ้น“คุณเป็นยังไงบ้างคะ”“เป็นยังไ
เมื่อเดินเข้าไปในป่าได้ไม่นาน คนไม่เคยเก็บเห็ดก็เห็นแดนดินก้มๆ เงยๆ อยู่แถวต้นอะไรสักอย่างที่ใบใหญ่ยักษ์แต่ต้นสูงแค่เข่า เธอรีบเดินเข้าไปหาเพื่อดูหน้าตาของเห็ดที่เขามาเก็บ“นี่คือเห็ดเผาะ สุดยอดเห็ดในป่านี้”ฤทัยรักษ์กะพริบตามองเห็ดในมือแดนดินดีๆ มันมีลักษณะเป็นลูกสีขาวเท่าเหรียญสิบบาท ดูแล้วเหมือนไข่งูมากกว่าเห็ดอีก “คุณแน่ใจนะ ว่านั่นคือเห็ดเผาะ”“แน่ใจสิ ชาวบ้านแถบนี้เรียกมันว่าเห็ดเผาะ ทางเหนือเรียกว่าเห็ดถอบ มีเฉพาะช่วงต้นฤดูฝนแบบนี้ เอาไปแกงร้อนๆ อร่อยมาก เธอรีบมาเก็บช่วยกันเร็วๆ ถ้าคนอื่นมาถึง เราจะเก็บไม่ทันเขานะ”ท่าทางมองไปรอบๆ เหมือนกลัวคนจะโผล่มาแย่งเห็ดในป่าของเขาทำให้เธอพลอยตื่นเต้นไปด้วย รีบนั่งลงถาม “คุณก็บอกมาสิว่ามันขึ้นอยู่ตรงไหนยังไง ฉันจะได้ช่วยเก็บ”แดนดินชูกิ่งไม้ในมือให้ดูแล้วหันไปเปิดใบไม้ที่ทับถมเต็มพื้นออก “เขี่ยใบไม้ขึ้นแบบนี้นะ นี่ไงเห็ดเผาะ!”หญิงสาวชะโงกดูจุดสีขาวๆ ที่ซ่อนอยู่ใต้ใบไม้ที่เขาเขี่ยดูแล้วหาไม้มาเขี่ยใบไม้ที่พื้นใกล้ๆ ออกบ้าง พอเห็นจุดขาวๆ ขึ้นอยู่หลายจุดก็ร้องดีใจ “ตรงนี้ก็มีค่ะ!”“รีบเก็บแล้วเอามาใส่ถุงนี่” เสียงเข้มสั่งการพลางยกย่ามที่ทำจา
สุดท้ายฤทัยรักษ์ก็พยักหน้าให้แดนดินอย่างไม่มีทางเลือก“ดีมาก” เขายิ้มกริ่มปล่อยมือออกทันที พอเห็นปากเล็กทำท่าจะร้องเรียกคนก็เอ่ยเตือนทันที “ไม่ร้องหาคนช่วยสิ”“ไอ้บ้า! ฉันมาที่นี่เพราะมีปัญหาเรื่องเจ้าหนี้ของคุณชายกับคุณหญิงจริงๆ ไม่ได้ร่วมมือทำอะไรกับใครทั้งนั้นแหละ” ตะโกนบอกไปแล้วเธอก็ถอยหนีออกมาห่างๆ มือไม้ของเขาอย่างไม่ไว้ใจ“ถ้าเธอไม่มีแผนอะไรจริงๆ แล้วทำไมถึงไม่บอกไอ้คุณชายนายหัวนั่นว่าหนีอยู่ที่นี่ ทำไมต้องเก็บไว้เป็นความลับด้วย”“คนนิสัยไม่ดี แอบฟังคนอื่นคุยโทรศัพท์!”“คนอื่นแหกปากพูดเสียขนาดนั้น ไม่แอบก็ได้ยิน”“ฉันไม่ได้มีแผนการอะไรจริงๆ พวกเราหนีมาอยู่ที่นี่เพราะกลัวเจ้าหนี้ตามมาทวงเงิน ถ้าบอกไปว่าพวกเราอยู่ที่นี่แล้วเขาเอาไปบอกเจ้าหนี้ให้ตามมาหาพวกเราที่นี่ก็แย่สิ” อันนี้เธอไม่ได้โกหกนะ ถ้าเกิดว่าหม่อมราชวงศ์หอมจันทร์รู้ว่าพวกเธอมาซ่อนอยู่ที่นี่ แม่คงแจ้นมาเอาเรื่องทันที โทษฐานไปสมรู้ร่วมคิดกับสองหนุ่มหักหลังคุณหญิงเธอ!แดนดินหรี่ตามองคนที่เถียงฉอดๆ เขามั่นใจว่าต้องมีอะไรซ่อนอยู่เบื้องหลังการมาของเธอ คิดแล้วก็เริ่มเดินวนรอบร่างเล็กช้าๆ “จะว่าไปแล้ว ฉันมีเบอร์โทรของไอ้คุณชา







