เสือยืนนิ่งอึ้งในห้องเก็บของที่มืดสลัว ความรู้สึกทั้งประหลาดใจ สับสน และตื่นเต้นปะปนกันไปหมด ริมฝีปากของเขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนแรงของเจสซี่ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก
“คุณเจสซี่...นี่คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!” เสือหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาพยายามผลักดันเจสซี่ออก แต่เธอกลับยิ่งกอดเขาไว้แน่น เจสซี่หัวเราะเบาๆ “ก็เจสซี่บอกแล้วไงคะ ว่าเจสซี่จะทวนความจำให้เสือ” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วตอนนี้เสือจำได้หรือยังคะ ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้กับเสือ” เสือหลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี “คุณเจสซี่ครับ ปล่อยผมเถอะครับ” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “มันไม่ถูกต้อง” “ไม่ถูกต้องตรงไหนคะ” เจสซี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “หรือเสือคิดว่าเจสซี่ไม่ดีพอ? เจสซี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่นะคะ” “คุณดีเกินไปครับ” เสือสวนกลับทันควัน เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ เจสซี่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และมาจากครอบครัวดีๆ . เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด...เป็นได้เพียงแค่เงา ที่ไม่ควรมีตัวตนในชีวิตของใคร “เสือไม่ต้องมาหาข้ออ้างเลย” เจสซี่สวนกลับอย่างรู้ทัน “เจสซี่รู้ว่าเสือไม่ได้รังเกียจเจสซี่ แต่เสือกำลังกลัว กลัวที่จะมีความรัก กลัวที่จะผูกพัน” คำพูดของเจสซี่แทงใจดำเสืออย่างจัง “ผม...ผมแค่...ไม่อยากให้ใครมาเดือดร้อนเพราะผม” “แล้วเจสซี่ล่ะคะ” เจสซี่มองเข้าไปในดวงตาของเขาอย่างจริงจัง “ถ้าการรักเสือจะทำให้เจสซี่เดือดร้อน เจสซี่ก็ยอม” เสือรู้สึกเหมือนหัวใจถูกบีบรัด เขามองใบหน้าของเจสซี่ที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นและจริงใจ และในที่สุดกำแพงน้ำแข็งที่เขาสร้างขึ้นมาตลอดชีวิตก็เริ่มพังทลายลงอย่างช้าๆ เขาไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก แต่เปลี่ยนจากท่าทางปฏิเสธเป็นโอบกอดเจสซี่ไว้แน่น ราวกับว่ากลัวเธอจะหายไป เจสซี่ซบหน้าลงกับแผงอกของเขาอย่างมีความสุข ในที่สุดเธอก็สามารถละลายหัวใจที่เย็นชาของเสือได้สำเร็จ “เสือคะ...เจสซี่ชอบเสือจริงๆ นะ” เธอกระซิบเสียงแผ่วเบา “...ผมก็...ไม่ได้รังเกียจคุณเลยครับคุณเจสซี่” เสือตอบอย่างตะกุกตะกัก แต่คำพูดนั้นก็ทำให้เจสซี่พอใจเป็นอย่างมาก หลังจากนั้นทั้งคู่ก็ยืนกอดกันในความเงียบอยู่นาน ปล่อยให้ความรู้สึกนำทาง หัวใจทั้งสองดวงเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน... ไม่นานนัก พราวก็เดินมาเคาะประตูห้องเก็บของ “เฮ้! อยู่ในนี้กันหรือเปล่าเหมยกับอาชากลับไปแล้วนะ” เจสซี่กับเสือรีบผละออกจากกันอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของทั้งคู่ขึ้นสีแดงระเรื่อเล็กน้อย “อ...อยู่ค่ะพราว!” เจสซี่ตอบเสียงสั่น “ทำไมอยู่ในห้องเก็บของกันสองคนแถมยังปิดไฟอีกอ่ะ! มีพิรุธนะเนี่ย!” พราวพูดอย่างจับผิด พร้อมกับรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ เสือรีบจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่เข้าทาง “ไม่มีอะไรครับคุณพราว ผมแค่มาช่วยคุณเจสซี่หาของเฉยๆ” “ช่วยหาของในที่มืดๆเนี่ยนะ” พราวแซวไม่เลิก “ไม่เนียนเลยนะเนือ!” ทั้งเจสซี่และเสือได้แต่หัวเราะแก้เขิน แล้วเดินตามพราวออกไปจากห้องเก็บของ ในใจของเสือก็รู้สึกโล่งใจที่พ้นจากสถานการณ์ที่น่าอึดอัด แต่ในขณะเดียวกันก็รู้สึกใจหายอย่างประหลาด เมื่อถึงเวลาต้องแยกย้ายกลับบ้าน เจสซี่ยืนอยู่ตรงหน้าเสือแล้วยิ้มอย่างมีความหมาย “เสือคะ พรุ่งนี้ไปหาเจสซี่ที่โรงแรมได้ไหม” เสือมองเจสซี่อย่างลังเล “เอ่อ...ผม...” “มาเถอะค่ะ ถือว่าเป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ของเรา” เจสซี่พูดพร้อมกับส่งสายตาอ้อนวอน “เจสซี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเสืออีกเยอะเลยนะ” เจสซี่ดูท่าทางของเสืออาจจะไปยากเธอจึงพูดต่อประโยคท้ายว่า "ถ้าคุณไม่มาหาเจสซี่ เจสซี่จะไปหาคุณที่ไร่ชาพรหมเทพทุกวัน คุณเลือกเอานะคะว่าจะมาหาเจ็ทแค่วันเดียวหรือจะเห็นหน้าเจสซี่ทุกวัน" พูดจบเธอก็ส่งรอยยิ้มทิ้งท้าย เสือพยักหน้าอย่างเลี่ยงไม่ได้ “ก็ได้ครับ”เขารู้ว่าคนอย่างเจสซี่เธอทำจริงและไม่ได้พูดเล่นแน่นอนเขาจึงเลือกอย่างแรกแน่ อย่างน้อยก็เห็นหน้าเธอแค่วันเดียวเธอคงไม่มารบกวนเขาอีกแน่ๆ เจสซี่ยิ้มกว้างอย่างมีความสุข เธอเขย่งปลายเท้าขึ้น หอมแก้มเสืออีกครั้ง แต่คราวนี้เป็นจูบที่นุ่มนวลและอ่อนหวานกว่าเดิมมาก เสือแทบจะล้มทั้งยืนผู้หญิงคนนี้ร้ายกาจกว่าที่เขาคิด และเขาก็ไม่รู้ว่าเราบอดี้การ์ดคนอื่นก็เห็นภาพนั้นทุกคนก็ยืนอึ้งว่าคนที่ไร้หัวใจอย่างเสือกับปล่อยให้ผู้หญิงอย่างเจสซี่เพื่อนของว่าที่นายหญิงแห่งไร่ชาพรหมเทพยืนจูบไม่ขัดขืน “แล้วเจอกันนะคะเสือ” เธอกระซิบเบาๆ ก่อนจะเดินขึ้นรถไปกับพราว เสือยืนนิ่งมองรถของเจสซี่จนลับสายตา ใบหน้าของเขามีรอยยิ้มที่เผยออกมาอย่างไม่รู้ตัว เขาไม่แน่ใจว่าอนาคตจะเป็นอย่างไร แต่เขารู้แค่ว่าตอนนี้ เขาอาจจะกำลังตกหลุมรัก ผู้หญิงที่ชื่อเจสซี่เข้าอย่างจัง "ฮันแน่..! พี่พวกผมเห็นนะ" ไอ้พวกรุ่นน้องบอดี้การ์ดต่างพากันกรูออกมาจากที่ซ่อนแล้วก็พากันแซวเสือยกใหญ่ เสือจับปลายกระบอกปืนแล้วหันไปเล็งบรรดารุ่นน้องบอดี้การ์ดแล้วยิงปืนใส่ไป 1 นัดทุกคนต่างพากันวิ่งแต่กระเจิง "โถ่พี่แซวนิดแซวหน่อย เล่นบทโหดกับพวกผมเลยนะ เดี๋ยวพวกผมก็กลายเป็นศพกันพอดี" เหล่าบรรดารุ่นน้องที่อยู่กับไอ้บิ๊กก็พากันแซวแล้ววิ่งหนีเตลิดออกจากวงเพราะกลัวจะโดนลูกปืนจากบอดี้การ์ดหน้าโหดไร้หัวใจอย่างสวยอีกนัด "ไปให้พ้นเลยพวกมึงนี่ ป่านนี้เจ้านายถึงห้องหอแล้วมั้ง มีใครไปดูหรือยัง!" เสือตะโกนไล่หลังให้พวกบอดี้การ์ดรีบตามอาชาผู้เป็นนายกลับไปที่เรือนทอง เช้าวันรุ่งขึ้น ณ โรงแรมหรูใจกลางเมือง เสือขับรถส่วนตัวมาจอดที่หน้าโรงแรมตามนัดหมาย เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดตากับกางเกงสแล็คสีดำเรียบๆ ที่นานๆ ครั้งจะได้หยิบมาใส่ เพราะปกติแล้วเครื่องแบบบอดี้การ์ดของเขาคือชุดสูทสีดำเสมอ เมื่อเดินเข้าไปในล็อบบี้ เขาก็เห็นเจสซี่กำลังนั่งจิบกาแฟอยู่ที่โซฟาตัวยาว เธอยังคงสวยสะดุดตาเช่นเคย วันนี้เธอสวมเสื้อสายเดี่ยวสีขาวโชว์ผิวเนียนละเอียดกับกางเกงยีนส์ขาสั้น เผยให้เห็นเรียวขาที่ยาวสวย เจสซี่ยิ้มหวานเมื่อเห็นเสือเดินเข้ามา “มาแล้ว เหรอคะ...เจสซี่คิดว่าเสือจะเบี้ยวนัดซะแล้ว”เจสซี่ที่เธอเฝ้ารอให้เสือมาหาเธอทุกขณะ ส่วนเพื่อนสาวอย่างเหมยกับอาชาก็บินลัดฟ้าไปฮันนีมูนที่ซัปโปโรประเทศญี่ปุ่นเป็นที่เรียบร้อยเธอที่ตอนนี้พักงานจากการเดินแบบมีเวลาว่างประมาณ 1-2 เดือนเธอจึงอยากจะอยู่ที่นี่ประเทศไทยและใช้เวลาเดินหน้าจีบคนที่เธอชอบอย่างเสือ เสือเดินเข้าไปนั่งตรงข้ามเธอ “ผมไม่ใช่คนแบบนั้นครับ”เสือหมายความว่าเขาไม่ใช่คนที่จะผิดนัดกับใครง่าย ๆ เขาเป็นคนรักษาคำพูดยิ่งกว่าชีวิต “ดีจังเลยค่ะ” เจสซี่หัวเราะเบาๆ “แล้ว...ตกลงคุณตัดสินใจได้หรือยังคะ ว่าจะให้โอกาสเจสซี่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของคุณได้ไหม” เสือมองเจสซี่อย่างลังเล เขาไม่เคยคิดมาก่อนว่าชีวิตของเขาจะต้องมาถึงจุดนี้ จุดที่หัวใจของเขาเริ่มสั่นคลอนให้กับผู้หญิงที่เพิ่งจะรู้จักกันได้ไม่นาน แต่ความจริงใจของเจสซี่นั้นชัดเจนเกินกว่าที่เขาจะปฏิเสธได้ “คุณเจสซี่...ผมไม่แน่ใจว่าผมจะดูแลคุณได้ดีพอ” เสือพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “อาชีพของผมมันอันตราย คุณอาจจะต้องเจอเรื่องที่ไม่คาดคิด...และผมไม่อยากให้คุณต้องเดือดร้อนเพราะผม” เสือไม่อยากจะต้องเอาชีวิตและหัวใจของใครเอามาใส่กำมือของเขาเขาเป็นคนไม่มีญาติพี่น้องที่ไหนมีเพียงแค่อาชาเป็นนายเหนือหัวและไม่เหลือใครอีกแล้ว เจสซี่ยื่นมือมาจับมือเสือไว้แน่น “เจสซี่รู้ค่ะ และเจสซี่ก็พร้อมที่จะเผชิญหน้ากับทุกอย่าง เจสซี่อยากอยู่เคียงข้างเสือ...ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”เจสซี่เธอเลือกแล้วที่จะมีบอดี้การ์ดเป็นว่าที่พ่อของลูกเธอจึงไม่หวั่นใจเลยหากเสือจะต้องเผชิญอันตรายและเธอก็ต้องการเสือจริงๆ แววตาของเจสซี่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น ทำให้เสือรู้สึกอบอุ่นในหัวใจอย่างประหลาด เขารู้ว่าผู้หญิงคนนี้ไม่ได้มาเล่นๆ แต่เธอกล้าที่จะเดินเข้ามาในชีวิตเขาอย่างไม่ลังเล “คุณเป็นผู้หญิงที่กล้าหาญมากนะครับ” เสือพูดพร้อมกับส่งรอยยิ้มบางๆ ที่มุมปาก “ก็เพื่อเสือไงคะ” เจสซี่ตอบอย่างออดอ้อน “แล้ว...ตกลงเสือให้โอกาสเจสซี่ได้ไหมคะ” เสือมองหน้าเจสซี่อีกครั้ง แล้วในที่สุดเขาก็พยักหน้าช้าๆ “ผมจะลองดูครับแต่.....”คำว่าแต่ของเสือเว้นช่องว่างและระยะห่างเอาไว้ "ถ้าเกิดว่ามันไม่ใช่สัญญาได้ไหมว่าจะไม่ฝืน"เสือลองเปิดใจให้กับเจสซี่นี่เป็นผู้หญิงคนแรกที่เขากล้าที่จะให้เข้ามามีบทบาทในชีวิตของเขาใครๆก็บอกว่าเสือไร้หัวใจ เจสซี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ เธอแทบจะกระโดดเข้ากอดเสือด้วยความตื่นเต้น “กรี๊ดดด! เจสซี่ดีใจที่สุดเลยค่ะ! งั้น...ตั้งแต่วันนี้เรามาเริ่มเดทกันเลยดีไหม” เสือทำหน้าเหรอหรา “เดี๋ยวนะครับ...เราต้องเดทกันด้วยเหรอ” “ก็แน่นอนสิคะ!” เจสซี่พูดอย่างมั่นใจ “เดทแรกของเรา...เดี๋ยวเจสซี่จะพาไปเอง” เจสซี่ลุกขึ้นยืนแล้วจูงมือเสือให้เดินตามเธอไปอย่างรวดเร็ว โดยที่เสือยังไม่ทันได้ตั้งตัว พวกเขาเดินออกจากโรงแรมแล้วตรงไปยังรถคันหรูของเจสซี่ที่จอดอยู่ด้านนอก “เราจะไปไหนกันครับคุณเจสซี่” เสือถามอย่างสงสัย “เดี๋ยวก็รู้ค่ะ” เจสซี่ตอบ พร้อมกับส่งรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “รับรองว่าเสือจะต้องเซอร์ไพรส์แน่นอน” ตลอดทางที่นั่งอยู่ในรถ เสือรู้สึกเหมือนโลกทั้งใบของเขากำลังเปลี่ยนไป เจสซี่เปิดเพลงคลอไปตลอดทางและชวนเขาคุยเรื่องต่างๆ อย่างออกรส ทั้งเรื่องชีวิตในออสเตรเลียของเธอ การทำงานเป็นนางแบบ และเรื่องความฝันของเธอ เสือไม่เคยคิดมาก่อนว่าผู้หญิงที่ดูบ้าบิ่นและกล้าหาญอย่างเจสซี่จะมีอีกมุมหนึ่งที่น่ารักและอ่อนหวานซ่อนอยู่ ยิ่งได้คุยกับเธอ เขาก็ยิ่งรู้สึกเหมือนได้เจอคนที่ใช่ ที่สามารถเติมเต็มส่วนที่ขาดหายไปในชีวิตของเขาได้ เมื่อรถมาจอดที่ปลายทาง เสือก็ต้องตกตะลึง เพราะเจสซี่พาเขามาที่หอศิลป์แห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นสถานที่ที่เขาไม่เคยคิดจะเข้าไปเลยในชีวิตนี้ “คุณเจสซี่...” เสือเอ่ยด้วยความประหลาดใจ “ชอบไหมคะ” เจสซี่ถาม “เจสซี่รู้ว่าเสือเป็นคนสุขุม ชอบอะไรที่เงียบๆ และมีศิลปะ เลยคิดว่าที่นี่น่าจะเหมาะกับเดทแรกของเรา” เสือมองเจสซี่ด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความซาบซึ้ง เขาไม่คิดว่าเธอจะใส่ใจรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เกี่ยวกับเขาได้ขนาดนี้ “ชอบครับ...ขอบคุณนะครับ” เสือพูดอย่างจริงใจ ทั้งคู่เดินชมงานศิลปะไปด้วยกันอย่างเงียบๆ เจสซี่อธิบายถึงความหมายของภาพวาดแต่ละภาพให้เสือฟัง ส่วนเสือก็ได้แต่รับฟังอย่างตั้งใจ ในใจของเขาเต็มไปด้วยความรู้สึกที่อบอุ่น หลังจากเดินชมงานศิลปะจนทั่ว เจสซี่ก็พาเสือมานั่งพักที่ร้านกาแฟในหอศิลป์ ก่อนที่เธอจะหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาแล้วเปิดเพลงหนึ่งเพลงให้เสือฟัง “เพลงนี้เป็นเพลงโปรดของเจสซี่เลยนะคะ” เธอบอก “เจสซี่อยากให้เสือลองฟังดู” เสือรับโทรศัพท์จากเจสซี่แล้วกดเล่นเพลงที่เธอบอก ท่วงทำนองเพลงป็อปที่นุ่มนวลและไพเราะดังขึ้นมาในหูของเสือ เนื้อเพลงที่กล่าวถึงการตามหาความรักที่แท้จริง และเมื่อได้พบแล้วก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างเพื่อรักษาความรักนั้นไว้...มันช่างคล้ายกับความรู้สึกของเขาในตอนนี้เหลือเกิน เสือมองเจสซี่ที่นั่งยิ้มหวานอยู่ตรงหน้า “เพลงเพราะมากครับ” “ใช่ไหมล่ะ” เจสซี่ตอบ “เจสซี่อยากให้เสือลองเปิดใจ แล้วจะรู้ว่าโลกนี้ยังมีอะไรที่สวยงามอีกเยอะเลย” เสือยิ้มรับ เขารู้ว่าเจสซี่ไม่ได้หมายถึงแค่เพลงเพลงนี้ แต่เธอกำลังหมายถึงความรักที่เธอมอบให้เขาต่างหาก... “...เอาล่ะค่ะ! เราไปต่อกันเถอะ” เจสซี่พูดขึ้นมา “เจสซี่มีอีกหนึ่งที่ ที่อยากจะพาเสือไปมากๆ เลย” เสือพยักหน้า เขาพร้อมที่จะตามเธอไปในทุกที่ที่เธออยากไป และพร้อมที่จะเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ในชีวิตของเธอให้มากขึ้นกว่านี้...วันเวลาเดินเคลื่อนผ่านไปอย่างรวดเร็วก็เข้าปีที่ 3 เด็กๆโตขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นกันเหมยที่ทำหน้าที่ดูแลลูกและหนูน้อยลิลลี่ในเวลาเดียวกันเธอทำทุกอย่างออกมาได้ดีมีแม่บ้านคอยช่วยเหลือบ้างเพราะเธอเองก็ยังทำงานที่เธอรักทำอะไรแต่เช้าครับขณะที่อยู่บนเตียงกว้างกับสามีสุดที่รักอย่างอาชาเขาที่ตื่นมาเห็นหน้าเหมือนเป็นคนแรกในทุกๆวันเช่นนี้เสมอ"กำลังคิดเรื่องพร็อพนิยายใหม่นะคะเดี๋ยวว่าจะแวะเข้าไปที่ไร่ชาสักอาทิตย์หน้าเผื่อไปหาบรรยากาศเปลี่ยนโหมดการทำงานหน่อย"เหมยยิ้มกว้างขณะที่นั่งอยู่บนเตียงหลังจากที่เธอล้างหน้าแปรงฟันเสร็จ"ก็ดีสิครับ จะได้เปลี่ยนบรรยากาศด้วยตอนนี้ที่ร้านมีขนมใหม่ ๆ เยอะเลยนะ ผมก็อยากให้เหมยไปดูเหมือนกัน" อาชาส่งยิ้มแล้วก็ขยับมานอนบนตักของเหมยด้วยท่าทีออดอ้อนแม้จะแต่งงานกันมาเข้าปีที่ 3 แล้วเหยียบปีที่ 4 ทั้งคู่ก็ยังคงความหวานใส่กันและกันเสมออาชาไม่เคยรักเหมยน้อยลงเช่นเดียวกับเหมยที่ไม่เคยรักอาชาน้อยลงเลย"อาทิตย์นี้เห็นหนูน้อยลิลลี่ของเรากับอคินจะไปบ้านของคุณย่าน้ำฟ้านะคะเดี๋ยวคุณพ่อคุณแม่ เหมยจะมารับเอง เห็นว่าบ่นคิดถึงหลาน ๆ" เหมยใช้มือลูบไปตามกลุ่มผมของอาชาแล้วก็ส่งยิ้มอา
แสงไฟสลัว ๆ ที่โถงทางเดินของโรงพยาบาลส่องให้เห็นกลุ่มคนกลุ่มหนึ่งที่ยืนและนั่งรออย่างใจจดใจจ่อ ทุกคนในที่นั้นต่างมีใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกังวลและความหวังปะปนกันไป มีทั้งคุณหญิงวสุธรและคุณบุญรอด ผู้เป็นพ่อและแม่ของอาชา, คุณแม่น้ำฟ้าและคุณพ่อบุญทอง พ่อแม่ของเหมย, และหนูน้อยลิลลี่ ลูกสาววัย 5 ขวบเศษที่มาเฝ้ารอน้องชายคนใหม่ของเธออาชาเดินวนไปมาไม่หยุด เขากุมมือแน่นจนเหงื่อออกซึม ดวงตาจับจ้องไปที่ประตูห้องคลอดอย่างไม่คลาดสายตา ทุก ๆ นาทีที่ผ่านไปเหมือนเป็นชั่วโมงอันยาวนานสำหรับเขาคุณหญิงวสุธรลุกขึ้นจากเก้าอี้พลางวางมือบนบ่าของลูกชาย "ใจเย็น ๆ เถอะลูก เหมยเขาเข้มแข็งจะตาย"คุณบุญรอดเสริมขึ้นมาด้วยน้ำเสียงที่พยายามทำให้หนักแน่น "นั่นสิอาชา เราทุกคนอยู่ที่นี่พร้อมหน้าพร้อมตา ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกลูก"พ่อของอาชาตกไปที่บ่าของลูกชายเพื่อเป็นกำลังใจเพราะเขาก็เคยผ่านช่วงเวลานี้ในวันที่อาชาได้คลอดออกมาลืมตาดูโลกเช่นกัน"ครับพ่อ" อาชาหันไปตอบแต่ก็ไม่สามารถลดละสีหน้าความเป็นกังวลที่เป็นห่วงเหมยและลูกในท้องที่กำลังรออยู่ในห้องคลอดได้เลยส่วนอีกฟากหนึ่ง คุณพ่อบุญทองก็โอบกอดคุณแม่น้ำฟ้าไว้แน่น คุณแม่น้ำ
ตัดภาพมาที่ทางด้านอาชากับเหมยที่เดินทางมาถึงประเทศญี่ปุ่นในเวลาที่แตกต่างจากไทยทั้งสองมาถึงในวันที่หิมะเริ่มตกพอดีและเป็นช่วงเวลาที่ไม่ได้ตกหนักมากจนเกินไปทำให้เธอได้มองเห็นบรรยากาศที่สวยงามเกินคำบรรยายราวกับออกมาจากเทพนิยายสองร่างก้าวเท้าออกมาจากสนามบินชินชิโตเซะสู่โลกที่ปกคลุมไปด้วยความขาวบริสุทธิ์ของหิมะ เหมยสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด สัมผัสได้ถึงไอเย็นที่บริสุทธิ์จนขนลุกไปทั่วทั้งร่าง เธอหันไปมองอาชาที่กำลังยืนยิ้มอยู่ข้างๆ“สวยจังเลยค่ะพี่อาชา เหมือนความฝันเลย” เหมยเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นเครือด้วยความตื่นเต้นอาชาโน้มตัวลงไปกระซิบข้างหูเธอ “นี่ไม่ใช่ความฝันครับ มันคือโลกแห่งความจริงที่เราจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันตลอดไป”เมื่อมาถึงโรงแรม ทั้งสองก็ไม่รอช้าที่จะออกไปสำรวจเมืองที่ปกคลุมไปด้วยหิมะ เหมยกับอาชาจูงมือกันเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยแสงไฟระยิบระยับ ผู้คนต่างแต่งกายด้วยชุดกันหนาวสีสันสดใส ทำให้บรรยากาศดูมีชีวิตชีวามากยิ่งขึ้นเหมยไม่เคยรู้สึกมีความสุขเท่านี้มาก่อนในชีวิต เธอได้เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ ได้ยิ้ม ได้หัวเราะ ได้แสดงความรู้สึกอย่างท
เสือยืนนิ่งอึ้งในห้องเก็บของที่มืดสลัว ความรู้สึกทั้งประหลาดใจ สับสน และตื่นเต้นปะปนกันไปหมด ริมฝีปากของเขายังคงรู้สึกถึงสัมผัสแผ่วเบาแต่ร้อนแรงของเจสซี่ หัวใจเต้นรัวราวกับกลองศึก“คุณเจสซี่...นี่คุณทำบ้าอะไรเนี่ย!” เสือหลุดปากออกมาด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความประหม่า เขาพยายามผลักดันเจสซี่ออก แต่เธอกลับยิ่งกอดเขาไว้แน่นเจสซี่หัวเราะเบาๆ “ก็เจสซี่บอกแล้วไงคะ ว่าเจสซี่จะทวนความจำให้เสือ” เธอกระซิบข้างหูเขาอย่างหยอกล้อ “แล้วตอนนี้เสือจำได้หรือยังคะ ว่าใครเป็นคนทำแบบนี้กับเสือ”เสือหลับตาลงอย่างอ่อนใจ เขาพยายามรวบรวมสติทั้งหมดที่มี “คุณเจสซี่ครับ ปล่อยผมเถอะครับ” น้ำเสียงของเขาเริ่มสั่นเครือ “มันไม่ถูกต้อง”“ไม่ถูกต้องตรงไหนคะ” เจสซี่แสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ “หรือเสือคิดว่าเจสซี่ไม่ดีพอ? เจสซี่เป็นผู้หญิงที่ไม่ได้แย่นะคะ”“คุณดีเกินไปครับ” เสือสวนกลับทันควัน เขาหมายความอย่างนั้นจริงๆ เจสซี่เป็นผู้หญิงที่สวย ฉลาด และมาจากครอบครัวดีๆ . เขาเป็นแค่บอดี้การ์ด...เป็นได้เพียงแค่เงา ที่ไม่ควรมีตัวตนในชีวิตของใคร“เสือไม่ต้องมาหาข้ออ้างเลย” เจสซี่สวนกลับอย่างรู้ทัน “เจสซี่รู้ว่าเสือไม่ได้รังเกียจเจส
สามเดือนผ่านไปไวเหมือนโกหกเลิกและงานแต่งของเหมยและอาชาก็มาถึง เพื่อนสาวอย่างเจสซี่บินตรงมาจากออสเตรเลียรวมถึงพราวที่ขับรถจากเชียงรายเพื่อมาหาเพื่อนรักในวันพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นอย่างอบอุ่นท่ามกลางแขกในงานมากหน้าหลายตาเสือและเหล่าบอดี้การ์ดทุกคนเข้าประจำจุดด้วยความพร้อมเพียงวันนี้บอดี้การ์ดของอาชาสวมใส่เสื้อทักซิโด้สีขาวแทนสีดำทำให้บรรยากาศยิ่งดูสดใสขึ้นไปอีกเท่าตัวนึงส่วนเหมยที่ได้สวมใส่ชุดเจ้าสาวแบบฝรั่งโดยมีเพื่อนสาวอย่างเจสซี่เป็นผู้ออกแบบและตัดเย็บเองกับมือเธอภูมิใจในไม้แขวนชุดนี้เหลือเกินเพราะคนที่เป็นไม้แขวนเสื้อตัวนี้ก็คือเหมยเพื่อนสาวที่เธอรักที่สุดพิธีมงคลสมรสถูกจัดขึ้นสไตล์ฝรั่งและมีบาทหลวงมากล่าวคำพิธีมงคลต่างๆขณะที่อาชายืนรอเหมยให้เดินออกมากับพ่อบุญทองเขาก็ต้องตกตะลึงเพราะเหมยไม่เคยลองชุดเจ้าสาวให้เขาเห็นเลยแม้แต่ครั้งเดียวเธอบอกว่าเป็นความลับเหมยในชุดเกาะอกสีขาวโชว์ให้เห็นคองามระหงชุดถุงมือสีขาวบางลายลูกไม้ผ้าคลุมผมเหมือนดั่งเจ้าหญิงชุดฟูฟ่องเล็กน้อยไม่ได้ดูมากไปและน้อยเกินไปต่างหูไข่มุกถูกประดับลงบนใบหูทั้งสองข้างสร้อยไข่มุกและตรงกลางฝังด้วยเพชรขนาด สิบห้ากะรัตดูไม่เ
ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ก้าวเท้าอย่างแผ่วเบาเข้าไปในห้องนอน กลิ่นหอมอ่อนๆ ที่คุ้นเคยของเหมย ลอยมาแตะจมูก ยิ่งทำให้ใจที่คิดถึงแทบขาดของอาชาเต้นรัวแรง เขาปิดประตูอย่างเบามือที่สุดแล้วเดินตรงไปยังเตียงกว้างอย่างเงียบเชียบดวงตาคมกริบไล่มองร่างเล็กที่นอนขดอยู่ภายใต้ผ้าห่มสีขาวสะอาดตา แสงไฟสลัวจากโคมไฟหัวเตียงส่องกระทบใบหน้าหวานที่กำลังหลับใหล อย่างเป็นสุข เรียวปากบางอิ่มที่เผยอยิ้มเล็กน้อยในยามหลับใหลแสดงให้เห็นว่าเธอกำลังมีความสุขในห้วงฝัน อาชากลัวเหลือเกินว่าถ้าหากไม่ใช่เขาที่ยืนอยู่ตรงนี้ แต่เป็นชายอื่นที่ล่วงล้ำเข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวของเธอ เหมยจะเป็นอย่างไรความคิดเหล่านั้นทำให้แววตาของอาชาเต็มไปด้วยความหวงแหนและหึงหวง เขาทรุดตัวลงนั่งข้างเตียง ค่อยๆ เอื้อมมือไปลูบผมยาวสลวยที่กระจัดกระจายอยู่บนหมอนอย่างแผ่วเบา จากนั้นจึงเลื่อนปลายนิ้วไล้ไปตามโครงหน้าหวาน ไล่ลงมาตามลำคอระหง อาชาโน้มตัวลงไปกระซิบเสียงแผ่วข้างหูของเธอ "คิดถึงนะครับ...คิดถึงจนจะบ้าตายอยู่แล้ว"คำกระซิบแผ่วเบาคล้ายจะปลุกให้เหมยรู้สึกตัว เธอขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นช้าๆ แสงสลั