“ว๊าววว หรูชะมัด นี่คือมหาวิทยาลัยของฉันสินะ”
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตามองทอดยาวไปตามราวสะพานสีขาวสไตล์ยุโรปมันถูกสร้างยาวตามตัวอาคารเป็นการออกแบบที่ลงตัวเข้ากับตัวตึกที่ถูกออกแบบเป็นโทนสีขาวเกือบทั้งหมด มีทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนและทุ่งดอกไม้สีสดที่อยู่ด้านนอก มองออกไปบริเวณทุ่งหญ้าเหมือนจะมีสวนเล็กไว้ให้พักผ่อนในเวลากลางวัน นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ยใช่ประเทศไทยหรือเปล่าบอกที ถ้าที่นี่มีหิมะตกด้วยนะยุโรปชัดๆ เหมือนที่นี่จะมีเรือนกระจกเพาะดอกไม้เป็นของที่นี่เองด้วยฉันเคยได้ยินมาว่าดอกไม้พวกนี้ต้องได้รับการดูแลที่ดีเอามากๆ อืมมม นี่ยังเช้าอยู่ฉันควรจะไปสำรวจเรือนนั้นสะหน่อยแล้ว “สวยสุดยอดเลย แต่เงียบจังนะ... ” ฉันเดินตามสะพานมาจนสุดทางก็พบเรือนกระจกใสภายในเต็มไปด้วยดอกไม้สีสดนานาพันธุ์และผีเสื้อหลากชนิดคงใช้พวกมันในการผสมเกสรดอกไม้สิน่ะ ระหว่างทางฉันสังเกตว่าผีเสื้อเยอะมาแต่ยังไม่ถึงครึ่งของในเรือนกระจกนั้นเลยมั้ง ฉันอยากเข้าไปดูพวกแกใกล้ๆ จังเลย “ว่าแต่...ทางเข้าอยู่ไหนนะ” ฉันพยายามเดินเรียบกระจกไปเลยเพื่อมองหาทางเข้าดูเหมือนเรือนกระจกนี่ยาวและดูกว้างมาก แต่มันต้องมีทางเข้าสิไม่อย่างนั้นผีเสื้อพวกนั้นจะเข้าออกยังไงใช่ไหมล่ะ หืม! จะเข้าได้ยังไงนะ ใช่แล้วที่นี่ต้องมีคนดูแลนิใช่แล้วในเวลาแบบนี้เขาต้องมารดน้ำพวกมันสิฉันแค่ต้องหาเขาเพื่อให้เขาบอกทางเข้าไงละ “ทางเข้าอยู่ไหนนะ..นี่จะไม่ให้ฉันได้ดูพวกแกใกล้ๆ เลยใช่ไหม ...” เห... มีคนตรงนั้นนิ! ใช่จริงๆ ด้วย! แต่เขาดูไม่เหมือนคนสวนหรือคนดูแลเลยเขาดูเหมือนนักศึกษามากกว่า...เสื้อที่เขาใส่นั้นมันเสื้อนักศึกษานิแล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรือเป็นลูกของคนสวน แต่เขาดูดีมากเลยจริงๆ ผมสีบลอนด์น้ำตาลนั้นสัดส่วนสูงแบบนั้นนายแบบชัดๆ นี่มองข้างหลังยังหล่อขนาดนี้เลยแต่ช่างก่อนเถอะแค่หวังว่าเขาจะพาฉันเข้าไปได้นะ... “ไม่มีใครบอกเธอหรือไง...ว่าที่นี่ห้ามเข้า” “เห้ยยย! ” ฉันดีดตัวออกห่างกระจก (จากที่เกาะกระจกอยู่) เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีเสียงคนดังขึ้นข้างหูอย่างแผ่วเบา เอ้...ชุดนักศึกษานี่เขาคือผู้ชายที่อยู่ในเรือนกระจกนี่น่าออกมาทางไหนกันน่ะ “มองหาอะไร...” ฉันหันไปมองต้นเสียงอีกครั้ง โห.. “หล่อโคตรเลย ”ตาสีนิลเข้ากับในหน้าคมๆ นั้นมากเลยผิวก็ขาวเหมือนไม่เคยโดนแดดดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งด้วยหรือเปล่านะละลายเลยนะเนี่ย “อะไรของเธอ” “ค่ะ? ” “ยัยเด็กประสาท =-=” “ประสาทอะไรละ! อย่ามาว่าฉันนะ! ” “แล้วตรงไหนที่ไม่ประสาทละ? ” “ฉันน่ะสอบได้ทุนของที่นี่เชียวนะถ้าจะเรียกว่าประสาทอย่างนี้ต้องประสาทดี ” “เหอะ! ” เขาหัวเราะในลำคอแล้วกอดอกไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาทสิ้นดี อะไรกันผู้ชายคนนี้! เมื่อกี้ตอนเขาอยู่ในเรือนกระจกกับดอกไม้พวกนั้นเขาดูเป็นคนอ่อนโยนมากเลยนะ ทั้งที่ฉันมองเขาจากด้านหลังยังรับรู้ว่าเขาอ่อนโยนเลยแต่ทำไมพอมาเจอด้านหน้าของเขาตอนนี้แล้ว...ถึงจะหล่อและเท่มากแต่เขาหยาบคายกับฉันมากจริงๆ =_= แถมคำพูดแบบนั้นเหมือนไม่ต้องการให้ฉันเข้าใกล้ที่นี่เลยด้วยนี่เขาไม่ใช่เจ้าของมันสักหน่อยทำไมต้องหวงขนาดนั้น “...พี่ไม่ใช่เจ้าของที่นี่สักหน่อย” “แล้วยังไง...” “พี่ก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามคนอื่นไง” “เอาเถอะ...คงเป็นเด็กปีหนึ่งสินะเธอน่ะ” “ก็ใช่” “ฉันจะบอกให้แล้วกันที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเด็ดขาด! รู้แล้วก็ไปเตรียมตัวเรียนได้แล้ว” “ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย...” ฉันบอกเข้าแล้วเบือนหน้าหนีเข้าหาเรือนกระจกมองเขาแล้วเสียอารมณ์ชะมัดดูผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยนั้นสิมันกำลังเรียกฉัน โหยย~ หนูน้อยที่น่ารัก อันที่จริงฉันชอบพวกผีเสื้อมาตั้งแต่จำความได้เลยมองดูมันทีไรสดชื่นทุกทียิ่งตอนไม่สบายใจแล้วได้อยู่ใกล้พวกมันนะฉันจะรู้สึกดีมากเลยละ “ดื้อจริง อยู่เอกอะไรบอกสิ” เขาทำเสียงเข้มจ้องฉันเขม็งแต่ฉันทำท่าไม่สนใจแล้วมองพวกผีเสื้อในกระจกต่อไปก็แล้วทำไมต้องบอกเขาด้วยละ... “...” “ผู้ใหญ่ถามก็ต้องตอบสิ...” “ก็ได้...เอกศิลปการแสดง” “ชื่อจริง...” “รัตติณา โยธากัณฑ์ พี่อยากรู้ไปทำไมเนี่ย” “ได้คะแนนเต็มเลยนิฉลาดแต่ดื้อเหรอ” “อะไร...” “ทุนที่ให้ไปนี่ไม่ได้เพื่อให้เธอมานั่งดูดอกไม้และผีเสื้อนะ เกรด 4.00 เนี่ยจะทำได้หรือเปล่า” “พี่พูดถึงอะไร? เกรดอะไร? ” “=-= นี่เธอกำลังทำฉันผิดหวังนะ” ฉันงงไปหมดแล้ว เกรดที่เขาว่านั้นคืออะไรแล้วทำไมต้องได้ทุกเทอมด้วยละและที่สำคัญทำไมเขาพูดเหมือนเขาเป็นใครสักคนที่รู้เรื่องของฉัน เขารู้ได้ไงว่าฉันได้คะแนนเท่าไหร่ทั้งที่กฎของที่นี่บอกว่าจะไม่มีใครสามารถรู้คะแนนในการสอบเข้าของตัวเองได้ไม่ใช่เหรอ? “ฉันงงไปหมดแล้ว” “นี่ไม่รู้เรื่องกฎเหรอ? ” “...เอิ่ม" “กฎของเด็กที่ได้ทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยไฮฮาน่า...” “...” “ทุนหนึ่งปีต้องทำเกรดเฉลี่ยของเทอมหนึ่งให้ได้ 4.00 ทุกเทอม ไม่บังคับคะแนนกิจกรรม ถ้าทำไม่ได้จะหมดสิทธิ์เป็นนักศึกษาของไฮฮาน่าทันทีไม่มีข้อยกเว้น...ทุกเทอมต้องมีคะแนนกิจกรรมมากกว่าครึ่ง นี่เข้ามาเรียนไม่อ่านกฎเลยใช่ไหมน่าผิดหวังนะทั้งที่ได้คะแนนเต็มเพียงคนเดียวแท้ๆ ” ตือ...เลย จริงเหรอเนี่ย! ฉันต้องทำคะแนนให้ได้สูงขนาดนั้นเลยเหรอแม่เจ้า Y_Y ถ้าทำไม่ได้ตั้งแต่เทอมแรกแสดงว่าฉันจะต้องออกจากไฮฮาน่าทันทีเลยงั้นเหรอแล้วออกกลางคันแบบนั้นเท่ากับต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดเลยละสิ... ไม่มีทางฉันไม่มีวันไปนั่งเสียเวลาเปล่าแบบนั้นมันจะยากอะไรกับแค่เกรด หึ! ว่าแต่เมื่อกี้เขาบอกว่าฉันได้คะแนนเต็มคนเดียวงั้นเหรอ วุยยย จริงเหรอเนี่ย...ฉันจะเชื่อเขาดีไหมนะเขาอาจจะเป็นศิษย์เก่าที่มาช่วยตรวจคะแนนก็ได้นะ... “พี่เป็นใครกันแน่...” “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบ...” “ทำไมรู้คะแนนฉันด้วยทั้งที่กฎของการสอบเข้าบอกว่าจะไม่มีใครสามารถรู้คะแนนได้นิ? ” “ไม่จำเป็นต้องรู้ ...เอาละตอนนี้ถึงเวลาเรียนแล้วไปสิ” “ไม่! บอกมานะที่ฉันพี่ถามอะไรฉันก็ตอบหมดดังนั้นตอบมาพี่เป็นใคร! ” “ไม่ใช่เรื่องของเธอ” หมับ! ฉันจับชายเสื้อของคนตรงหน้าก่อนที่เขาหันหลังจะเดินออกไป เขามองที่มือฉันนิดหน่อยก่อนจะไล่สายตาขึ้นมามองหน้าฉันเชิงให้ปล่อยเสื้อเขาสะ ฉันก็ไม่ได้อยากดึงเขาไว้นะแต่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉันในเมื่อฉันตอบทุกคำถามของเขา เขาเองก็ต้องตอบคำถามฉันบ้างสิอย่างนั้นมันถึงจะถูก “มันไม่ถูกต้องเลยนะ” “อะไรอีก=-=” “ฉันเสียเปรียบไปแล้ว” “เรื่องอะไร...” “ฉันบอกชื่อของฉันไปแล้ว บอกมาพี่เป็นใครกันแน่ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยพี่ไป” “ฉันก็บอกกฎเป็นการตอบแทนแล้ว โอเคนะ...” หมับ! ฉันใช้มืออีกข้างดึงชายเสื้อเขาไว้อีก “ไม่โอเค! ○^○” “เป็นคนสวนโอเคไหม -_- ปล่อยได้แล้วยัยเด็กบ้า” เขาใช้มือเพียงข้างเดียวรวบข้อมือฉันเอาไว้แล้วพยายามใช้มืออีกข้างดึงเสื้อตัวเองออกไปจากมือฉันแต่เสียใจมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเพราะฉันจับไว้แน่นมาก คนสวนเหรอ ..ทำไมคนสวนรู้ดีนักละทั้งเรื่องเกรดเรื่องคะแนนแถมยังรู้กฎโหดๆ พวกนั้นอีกเขาต้องกำลังโกหกฉันแน่ๆ “โกหก! คนสวนที่ไหนจะรู้ดีไปสะหมดแบบนี้! นิสัยไม่ดีนะแบบนี้” “นี่ๆ น้อยๆ หน่อยยัยหนูการที่เธอมาวุ่นวายในพื้นที่หวงห้ามแบบนี้แถมยังจับไม่ปล่อยเสื้อของผู้ชายที่เธอไม่รู้จักแบบนี้... ยัยเด็กดีไม่คิดว่าเธอควรระวังตัวหน่อยหรือไง” “ไม่ชอบคำว่ายัยหนูเลยบอกตรงๆ =3=” “เห้ย! นี่ฟังบ้างไหมแม่คุณ” “แม่คุณก็ไม่ชอบ =3=” “นิ! ” “ข้าวเหนียว” “อะไร? ” “ชื่อฉัน ข้าวเหนียว” “ฉันไม่ได้อยากรู้ =_=” เจ็บแสบมาก น้ำเสียงเย็นชาแถมยังทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนั้นไม่มีมารยาทเอาสะเลยนี่ฉันลงทุนบอกชื่อก่อนเลยนะแต่ดูเขาสิไม่สนใจแถมยังหยาบคายไม่มีชิ้นดีผู้ชายภาษาอะไรเนี่ย? “แต่ฉันอยากบอกนิ และก็อยากรู้ด้วยว่าพี่เป็นใครรู้เรื่องคะแนนนั้นได้ยังไง” “มีญาณวิเศษ จบปะ? ” “พี่จะไม่บอกก็ไม่เป็นไร...” “ไปได้แล้ว...” “ฉันไม่สนในพี่แล้วก็ได้ ชิ! ฉันจะไม่ถามแต่ฉันสักวันฉันต้องรู้คำตอบแน่” ฉันปล่อยชายเสื้อของคนตรงหน้าแล้วเดินออกมาอย่างไม่สนใจไม่บอกไม่เป็นไรขี้เกียจรอฟังแล้วเหมือนกัน เชอะ! ฉันรู้สึกได้ว่าสักวันฉันต้องรู้ตัวตนเขาแน่ต้องขอบคุณคำแนะนำของเขานะเรื่องกฎนั้น ฉันไม่รู้มาก่อนเลยคงเป็นเพราะตื่นเต้นจนลืมอ่านให้ละเอียดตอนนี้รู้แล้วจะได้ตั้งใจมากกว่าเดิมอีก นึกไปแล้วทำไมฉันกับรู้สึกเฉยๆ กับการอยู่ใกล้เขานะทั้งที่ปกติฉันไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้ผู้ชายเท่าไหร่ เเถมยังไปจับเขาไว้อีก งงตัวเองจริงๆ : ฟอร์น “ยัยเด็กประสาท...หึๆ ” ดูเหมือนยัยเด็กข้าวเหนียวนั้นจะอ่านหนังสือจนเพี้ยนนะตอนแรกอยากให้ผมตอบจะเป็นจะตายแต่พอจะไปก็ไปดื้อๆ เฉยเลยงั้นละ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงอะไรไม่ระวังตัวเอาสะเลยแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายที่ไม่รู้จักขนาดนี้...แปลกใจจริงๆ ดูเหมือนเธอจะตั้งใจในตอนสอบมากเพราะถ้าไม่ใช่เด็กอัจฉริยะแล้วไม่มีทางสอบได้คะแนนเต็มแน่ถ้าไม่เตรียมตัวมาดีแต่พอเจอตัวจริงของเด็กคนนี้แล้ว...ผมนี่อึ้งไปเลย...เธอไม่รู้กฎของทุน? ไม่รู้ว่าพื้นที่บริเวณเรือนกระจกเป็นพื้นที่หวงห้ามด้วยซ้ำจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอคนนี้แปลกเกินคนคนปกติ “หน้าตายิ้มแย้มมาเลยนะคุณ ผอ.มีอะไรดีๆ งั้นเหรอ? ” เสียงเพื่อนตัวแสบ “ปอร์เช่”ดังขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินเข้าห้องเรียนมา ผอ.ที่เพื่อนผมเรียกนั้นก็มีที่มาคือตัวผมเองเป็นผู้อำนวยการของไฮฮาน่าไงละ จริงๆ แล้วผมเป็นเจ้าของที่นั่นทุกเรื่องของไฮฮาน่าผมเป็นคนจัดการทั้งหมดไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? ทั้งที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่แค่ปีสามเองแต่กับมีอีกหน้าที่ที่ดูใหญ่เกินตัวอย่างนี้...ผมได้รับหน้าที่นี้มาตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้นเพราะพ่อแม่ของเกิดอุบัติเหตุกะทันหันทำให้ผมต้องเข้าดูแลมหาวิทยาลัยที่พ่อเป็นคนสร้างเองกับมือทันที ในตอนนั้นผมเหมือนไม่เหลือใครเลย... แต่ผมจะทิ้งไฮฮาน่าไม่ได้นั้นคือสิ่งที่ผมคิดมาถึงทุกวันนี้ แต่ด้วยความเป็นเด็กนี่ละที่ทำให้ไฮฮาน่าต้องมีผู้อำนวยการอีกคนเขาเป็นคุณอาของผมเอง ผมขอให้เขามาทำหน้าที่บังหน้าให้จนกว่าจะเรียนจบเรื่องนี้เป็นความลับแต่มันก็มีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนกัน ข้อแลกเปลี่ยนนี้เกิดเมื่อคุณอาของผมวานให้ไปออกงานประมูลเครื่องเพชรแทนเพียงครั้งเดียวหลังจากนั้นก็มีเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ นัดผมเป็นคู่ดูตัวให้กับลูกๆ ของพวกเขาซึ่งมันน่าเบื่อมากบางคนก็ชอบผมจริงๆ ก็มี บางคนก็ถือตัวจนน่ารำคาญประมาณว่าแค่นั่งรวมโต๊ะยังไม่ได้พวกเธอคงคิดว่าผมอยากไปดูตัวมากสินะ จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับคุณอาเท่านั้นและวันนี้ผมก็มีนัดดูตัวกับหลานสาวประธานบริษัทคู่หูอีกราย “ก็เปล่านิ อากาศดีน่ะ” “เหรอ...ปกตินายต้องหน้าเครียดฉันเลยสงสัย” ที่ผมมีหน้าตาเครียดเป็นประจำเพราะต้องตื่นเช้าไปจัดการเรื่องที่โรงไฮฮาน่าทุกวันไหนจะต้องไปนัดดูตัวบ้าบอนั้นอีก มีเรื่องวุ่นๆ ทุกวัน “ก็วันนี้อากาศดีไง” “เจออะไรดีๆ มามากกว่า” “ดีๆ เหรอ เหอะๆ ” อยู่ๆ ภาพยัยเด็กตอนเกาะกระจกก็เข้ามาในสมองซะงั้น อันที่จริงผมเห็นเด็กตั้งแต่อยู่ที่สะพานแล้วละผมยังแอบคิดว่ายังมีเด็กที่ตื่นเช้ามามาหาวิทยาลัยด้วยเหรอ? ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะที่ไฮฮาน่าไม่บังคับเรื่องเข้าเรียนแต่จะบังคับเรื่องเกรดมากกว่าส่วนพวกที่ลูกคุณหนูแต่ไม่สนใจการเรียนทางไฮฮาน่าจะไม่รับเพื่อไม่เป็นการเสียมาตรฐานมากนัก และเราก็มีกฎอยู่คือเด็กพวกนี้จะต้องไม่มีคะแนนความประพฤติต่ำกว่าแปดสิบคะแนนและต้องสอบผ่านทุกวิชาส่วนมากพวกคุณหนูจะเป็นลูกของบริษัทเครือข่ายของคุณอาทั้งนั้น “นั้นไงกะแล้ว เล่ามาเลยเพื่อน” “หึ...พอดีเจอเด็กบ้ามาน่ะ เป็นเด็กซื่อบื้อที่บังเอิญเรียนเก่ง” “ฟังดูงงนะ” “แถมบ้าและอยากรู้อยากเห็นด้วยละ” “ยังไง...” “เด็กคนนั้นบุกรุกไปที่เรือนกระจกน่ะ...” “ถ้าเป็นแบบนั้นนายจะไม่เป็นไรเหรอ? ” “เธอไปแต่เข้าไม่ได้เลยได้แต่เกาะกระจกมองน่ะ คล้ายๆ จิ้งจกเกาะผนัง” ปอร์เชนิ่งไป..ก่อนจะหัวเราะออกมากเหมือนเขากำลังนึกภาพตาม นี่ถ้าได้เห็นตอนยัยนั้นเกาะๆ เพื่อเล่นกับผีเสื้อละก็เจ้าเพื่อนตัวดีของผมคงหัวเราะปากค้างแน่ “ฮ่าๆ แล้วเธอรู้เรื่องนายหรือเปล่าแล้วบ้านนายละ” “ไม่หรอกน่า” ที่เรือนกระจกเป็นห่วงห้ามก็เพราะในนั้นมีบ้านของผมอยู่ไงละด้านบนเป็นเรือนกระจกเพาะดอกไม้ใต้ดินเป็นเหมือนห้องลับที่เชื่อมกับบ้านใหญ่ของผมที่อยู่ติดโรงเรียนได้ ว่าไปผมนี่เหมือนตัวตุ่นเหมือนกันนะ (ดูเปรียบเทียบ) วันๆ นอกจากจะออกมาเรียนหรือเข้าไปจัดการเอกสารในห้องทำงานที่แล้วส่วนมากก็อยู่แต่บ้านใต้ดินนั้น จริงๆ มันก็เป็นแค่ห้องเล็กๆ เหมือนห้องในคอนโดไม่ได้ครบเครื่องอะไรแต่มันสะดวกกว่าในการทำงานแถมยังไม่มีใครรู้อีกต่างหากอีกอย่างผมแพ้แดดแรงๆ “เด็กคนนี้คือคนที่ทำให้นายอารมณ์ดีงั้นเหรอ” “ก็คงใช่” “เห...คุณผู้อำนวยการคงไม่กินเด็กนะ” สิ่งที่ผมได้ยินนี่ทำให้อึ้งไปเลย ผมไม่มีเวลามาคิดเรื่องหัวใจอยู่แล้วถ้ายิ่งเป็นเรื่องหัวกับยัยเด็กข้าวนั้น ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด “บ้าไปแล้วหรือไงนายไม่มีทางหรอกฉันแค่เห็นยัยนั้นตลกดีเท่านั้น” “ระวังตัวนะ” “เรื่องอะไรล่ะ? ” “ระวังความลับแตกไงละ” “ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันคิดว่าเดี๋ยวเด็กนั้นเบื่อก็คงหายไปเองเพราะเรือนกระจกนั้นถ้าฉันไม่เป็นคนเปิดก็ไม่มีใครเข้าได้อยู่แล้ว” เรือนกระจกนั้นจะมีประตูอยู่ด้านหลังที่ต้องใช้ฝ่ามือของผมสแกนเท่านั้นถึงจะเปิด เจ๋งมากใช่ไหมผมลงทุนติดตั้งระบบนี้เองเลยนะ “ฉันรู้น่า ก็เตือนๆ ไว้” “^_^” ดูเหมือนยัยนั้นจะเป็นคนมีความพยายามมากสะด้วยนะ...พรุ่งนี้ถ้ายัยนั้นยังโผล่มาผมก็หวังว่ายัยนั้นจะมาสายสักหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นผมคงเข้าไปจัดการเอกสารได้ยากสักหน่อย: จัส“อ้าว ข้าวทำไมเมื่อคืนไม่กลับมานอนนี่ละ”จัสเอ่ยถามทั้งที่ความจริงรู้อยู่แก่ใจ จะเรียกว่าเขาอยากแซวก็ว่าได้….สองคนนั้นต่างคนต่างวิ่งหนีกันไปมาเป็นเด็กทั้งที่ในใจก็รักกันและไม่ว่าเหตุการณ์อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อคืนจัสก็เชื่อว่าเพื่อนของเขาคงเต็มใจเพราะไม่อย่างนั้นป่านนี้คงร้องได้ตาบวมปูดมาแล้วแต่นี่กลับยิ้มอย่างมีความสุขจนอดแซวเสียไม่ได้“เอิ่ม….ข้าวไปนอนบ้านมาน่ะ”“อ่ออออออ”“อ่อ อะไร พูดมาก”“ตรงคออ่าปิดดีๆ หน่อย”จัสแซว เมื่อหญิงสาวได้ยินก็รีบดึงผมมาปิดทันทีก่อนจะวิ่งหนีไปด้วยความเขินอาย ….ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงรู้สึกแย่มากที่เห็นข้าวเป็นของคนอื่นแต่ตอนนี้ระหว่างเขากับเธอมีแค่คำว่าเพื่อนอย่างแท้จริง เขาน่ะรู้จักดีทั้งข้าวเหนียวและฟอร์น ทั้งคู่ต่างมั่นคงอาจจะมีบางช่วงที่ต่างคนต่างมีคนเข้ามาแต่สุดท้ายทั้งคู่ก็เลือกที่จะรอมาเจอกันอีกครั้ง“พี่จัส พี่ข้าวเป็นอะไรอาวิ่งหน้าแดงไปเชียว แกล้งพี่เขาเหรอ”“เห็นผมเป็นคนแบบไหนครับคุณน้ำใส”จัสพูดประชดลูกน้องสาว ก่อนจะมองเห็นว่าเธอไม่ได้สนใจตัวเขาเท่าไหร่เอาแต่สนใจโทรศัพท์จนเขาแอบหงุดหงิด“พิมพ์คุยกับใครนักหนา ถามแล้วก็ไม่ตั้งใจรอคำตอบ”“เอ้า ผ
วันรุ่งขึ้นฟอร์นอาสาที่จะมาส่งข้าวเหนียวเองถึงที่ทำงาน แม้สาวเจ้าจะไม่เต็มใจแต่ต้องจำยอมแต่เพราะเธอร้องขอให้เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นความลับแม้แต่เพื่อนสนิทอย่างจัสมินเองก็บอกไม่ได้ ซึ่งชายหนุ่มก็ตกลงเพียงแค่หญิงสาวจะต้องไม่ขัดใจเขาตลอดเวลาที่อยู่ด้วยกัน...."หอมฉันก่อนลงจากรถด้วยสิ"ระหว่างที่เธอกำลังจะเปิดประตูรถเจ้าของร่างสูงก็เอื้อมมือมาคว้าข้อมือเล็กของเธอไว้แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ "ไม่ รีบแล้วเดี๋ยวคนเห็น""จะเป็นไรไปเมียจ๋า"ชายหนุ่มดึงเมียรักเข้าไปใกล้ก่อนจะซุกหน้าลงบนซอกคอขาวแล้วจูบเบาๆ ตามรอยที่เขาสร้างไว้เมื่อคืนอย่างหยอกล้อ"อย่าทำเพิ่มนะ แค่นี้ก็กลัวคนอื่นเห็นจะแย่แล้ว""งั้นอย่าขัดใจสิ....อืมม"ดวงตาประกายเจ้าเล่ห์จ้องเข้ามายังดวงตากลมอย่างออดอ้อนจนหญิงสาวใจเต้นแรงฟอด "พอใจแล้วใช่ไหมคะ"เธอหอมแก้มตามที่ชายหนุ่มบอกก่อนจะปิดประตูใส่แล้วแอบเดินเข้าในออฟฟิศอย่างเงียบๆ แต่มันน่าแปลกเธอคิดว่าความรู้สึกระหว่างเธอกับเขาจะลงเอ่ยด้วยการตื่นเช้ามาแล้วเธอจะเกลียดเขา เปล่าเลยเธอกลับรู้สึกดีที่ได้นอนใต้อ้อมกอดนั้นเสียอย่างนั้นมันช่างอบอุ่นจนเธอไม่อยากจะลุกขึ้นมาด้วยซ้ำ แต่เธอยังค
"ตืด ตืด"อือ"ตืด ตืด"เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นปลุกสองร่างที่กำลังเปลือยเปล่าให้ตื่นจากหลับใหล หญิงสาวเอื้อมมือไปคว้ามันมาแล้วกดรับทันทีโดยยังไม่ทันได้ดูชื่อเจ้าของเบอร์"สวัสดีค่ะ"(ข้าว คุณสะดวกมาทานข้าวกับผมไหมพอดีผมส่งข้อความไปคุณไม่ตอบเลยโทรมา คุณไม่ว่าอะไรนะครับ)"ไม่ว่าค่ะ เอาอย่างนี้ไหมคะ เป็นพรุ่งนี้เที่ยงได้ไหมคะ....พอดีวันนี้ข้าวยุ่งๆ ค่ะ"(ได้ครับ ผมจะไปรับคุณนะ)"ได้ค่ะ รบกวนด้วยนะคะ"ตืดคุณธีนั้นเองที่ยังคงโทรมาทวงสัญญา แน่นอนว่าเธอจะต้องทำตามสัญญาแต่วันนี้คงไม่สะดวก"ไม่บอกมันไปละ ว่านอนกับผัวอยู่"เสียงงัวเงียดังขึ้นข้างกายหญิงสาวส่งสายตาเย็นชาไปให้คนพูด เพราะรู้สึกผิดหวังในตัวเขาเป็นอย่างมากเรื่องแบบนี้ควรเต็มใจทั้งสองฝ่ายสิชายหนุ่มที่ไม่เห็นหญิงสาวตอบอะไรกลับมาก็รับรู้ได้ว่า เธอคงเกลียดเขาเข้าแล้ว....แต่ใครสนละยังไงสะเขาก็จะเอาเธอมาเป็นเมียให้ได้อยู่ดี ชายหนุ่มไม่รอช้าดึงเธอที่กำลังนั่งพิมพ์อะไรสักอย่างในมือถือเข้ามากอดก่อนที่สายตาจะสะดุดเข้ากับชื่อของปลายทางข้อความนั้น"....ทำไมเธอต้องคุยกับมันนอกเวลางาน""....แล้วเกี่ยวอะไรกับคนนิสัยไม่ดีแบบคุณ""ฉันถามว่าทำไม ต้อง
ฟอร์นอุ้มหญิงสาวพาดบ่าอย่างง่ายดายเธอทั้งดิ้นทั้งกรีดร้องแต่กลับไม่มีใครเข้ามาช่วยเหลือเธอเลยสักคน เขาพาตัวเธอตรงเข้ามายังด้านหน้าฟร้อนของโรงแรมแค่เพียงยื่นมือออกไปพนักงานก็วางกุญแจดอกหนึ่งให้เขาโดยไม่สอบถามสักคำ และที่ไม่มีใครกล้าเข้ามายุ่งเพราะโรงแรมแห่งนี้เขาเป็นเจ้าของนั้นเองมีแค่เพียงเสียงซุบซิบไล่ตามหลังเท่านั้นเมื่อถึงยังห้องส่วนตัวฟอร์นก็จัดการล็อกประตูแล้วปลดพันธนาการด้านบนของตัวเองออกจนเผยให้เห็นกล้ามเนื้อล่ำ ก่อนจะเดินเข้าไปกระชากตัวหญิงสาวจนเธอเซมาชนแผงอกกว้าง เขาผลักเธอลงบนโซฟาก่อนจะตามมาด้วยร่างหนาคร่อมเธอไว้ไม่ให้สามารถขยับได้“อย่ามาทำอะไรต่ำๆ นะ”“อ่อยเก่งไม่เคยเปลี่ยนแบบเธอ ฉันคงปล่อยไปไม่ได้อีกแล้วล่ะ!“ฉันไม่ได้ทำอะไร ผิดนะ อีกอย่างถ้ามีคนสนใจฉันมันก็เป็นเรื่องปกติแล้วมันไม่ใช่ของคุณ”“ท้าทายไม่เลิกเลยสินะ”“อย่านะ!”ใบหน้าคมก้มตัวลงมามอบจูบที่แสนเร่าร้อนเป็นบทเรียนให้คนปากเก่งตรงหน้า มือเรียวหนาลูบไล้ไปทั่วแผ่นหลังขาวอย่างเร้าอารมณ์ หญิงสาวได้แต่ใช้มือที่โดนมัดทั้งจิกทั้งตีจนเกิดรอยแดงเลือดซึมแต่นั้นยังไม่สามารถหยุดการกระทำที่เกิดจากความหึงหวงนี้ได้ ยิ่งสมองของชา
วันต่อมาการประชุมถูกจัดขึ้นสมาชิกครบครันทั้งทีมงานกล้อง ฉาก ทีมจัดหาสถานที่ ยกเว้นเพียงแต่นายแบบที่ฟอร์นต้องการ ความเงียบถูกปกคลุมไปทั่วห้องและทุกคนต่างมองมายังหญิงสาวที่รับปากเขาไปอย่างดิบดี เมื่อคืนเธอได้ส่งรายละเอียดงานไปยังผู้จัดการส่วนตัวดาราดังแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบยืนยัน เธอจึงต้องโทรหาตัวช่วยอย่างคุณธีและเขารับปากว่าจะช่วยแต่คุณธีก็ช่างเหลือเกินเขาขอให้เธอยืนยันข้อเสนอการนัดทานข้าวและการที่เธอต้องไปเป็นนางแบบให้เขาได้มั่นใจก่อน เขาถึงจะยอมช่วยเธอ และแน่นอนเธอตกลง....“ผมว่า วันนี้เราคงต้องยกเลิกสัญญากันแล้วละ ใช่ไหมคุณข้าว”ฟอร์สองแง่สองง่ามเท้าคางส่งสายตาทะเล้นมาแกล้งปั่นอารมณ์ร้อนของหญิงสาว ยิ่งเขาเห็นเธอร้อนรนเขาก็ยิ่งมั่นใจว่าในใจเธอตอนนี้มีแต่ความไม่มั่นใจ แน่นอนละ….นอกจากเขาแล้วผู้ชายหน้าไหนจะช่วยเธอได้อย่างเต็มใจกันละ“พี่ใจเย็นก่อนสิ ผมเชื่อว่าเขามาได้แน่นอน” จัสพูดอย่างมั่นใจ“เอาละฉันจะยอมเปลี่ยนสัญญาถ้าคุณข้าวยอมขอโทษและยอมมาช่วยงานฉันตลอดโปรเจกต์นี้”“ถ้าคุณเดลไม่สามารถมาได้ฉันยินดีขอโทษอย่างเต็มใจค่ะ แต่เรื่องที่ฉันต้องไปช่วยงานคุณฉันขอปฏิเสธแน่นอนค่ะ เพราะฉั
ฟอร์นแอบตามทั้งคู่มายังห้องอาหารญี่ปุ่นและจัดการจองห้องที่ติดกันเพื่อแอบฟังแต่ยิ่งแอบฟังก็ยิ่งหงุดหงิดสองคนนั้นแต่พูดคุยเรื่องอดีตและหัวเราะคึกคักกันอย่างสนุกสนาน ทำให้ฟอร์นรู้ว่าแท้จริงแล้วธีเคยเข้าไปเป็นวิทยากรที่คณะของข้าวเหนียวและข้าวเหนียวก็เป็นหัวกะทิของวิชานี้ทำให้ตัวธีประทับใจในตัวข้าวเหนียวมาก“อ่อ ที่ข้าวบอกว่าอยากให้ผมช่วยคือเรื่องอะไรครับ”“ข้าวจำได้ว่าคุณธีรู้เคยลงรูปคู่กับคุณเดลพระเอกที่กำลังมีชื่อเสียงตอนนี้น่ะคะ”“อ่อ เดล เขาเป็นเพื่อนผมเองช่วงนี้สาวๆ กำลังติดใจในผลงานและความหล่อของมัน ผมเลยเกาะกระแสสักหน่อยจะได้ไม่ต้องโสดแบบนี้”น้ำเสียงทิ้งท้ายทำให้หญิงสาวรับรู้ได้ว่าคนตรงหน้าแอบหยอดคำหวานใส่เธอสะแล้วแบบนั้นไม่ใช่เป้าหมายในงานนี้ของเธอ“ข้าวอยากให้คุณเดเพราะมาเป็นนายแบบเครื่องเพชรสำหรับผู้ชายของไฮฮาน่าที่กำลังจะเปิดตัวนี้ค่ะ คุณธีพอจะช่วยข้าวได้ไหมคะ”หญิงสาวส่งลูกอ้อนให้คนแต่งหน้าไปหนึ่งยกทำเอาคนตรงหน้าแอบยิ้มอย่างเขินอาย ใจเขาเต้นไม่เป็นจังหวะเนื่องด้วยประทับใจในตัวของคนตรงหน้าด้านความสามารถอยู่แล้วแถมก่อนออกมาฟอร์นที่ถือว่าเป็นประธานรุ่นใหม่ไฟแรงดูท่าทีห่วงหญิงสาว