“ว๊าววว หรูชะมัด นี่คือมหาวิทยาลัยของฉันสินะ”
ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตามองทอดยาวไปตามราวสะพานสีขาวสไตล์ยุโรปมันถูกสร้างยาวตามตัวอาคารเป็นการออกแบบที่ลงตัวเข้ากับตัวตึกที่ถูกออกแบบเป็นโทนสีขาวเกือบทั้งหมด มีทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนและทุ่งดอกไม้สีสดที่อยู่ด้านนอก มองออกไปบริเวณทุ่งหญ้าเหมือนจะมีสวนเล็กไว้ให้พักผ่อนในเวลากลางวัน นี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ยใช่ประเทศไทยหรือเปล่าบอกที ถ้าที่นี่มีหิมะตกด้วยนะยุโรปชัดๆ เหมือนที่นี่จะมีเรือนกระจกเพาะดอกไม้เป็นของที่นี่เองด้วยฉันเคยได้ยินมาว่าดอกไม้พวกนี้ต้องได้รับการดูแลที่ดีเอามากๆ อืมมม นี่ยังเช้าอยู่ฉันควรจะไปสำรวจเรือนนั้นสะหน่อยแล้ว “สวยสุดยอดเลย แต่เงียบจังนะ... ” ฉันเดินตามสะพานมาจนสุดทางก็พบเรือนกระจกใสภายในเต็มไปด้วยดอกไม้สีสดนานาพันธุ์และผีเสื้อหลากชนิดคงใช้พวกมันในการผสมเกสรดอกไม้สิน่ะ ระหว่างทางฉันสังเกตว่าผีเสื้อเยอะมาแต่ยังไม่ถึงครึ่งของในเรือนกระจกนั้นเลยมั้ง ฉันอยากเข้าไปดูพวกแกใกล้ๆ จังเลย “ว่าแต่...ทางเข้าอยู่ไหนนะ” ฉันพยายามเดินเรียบกระจกไปเลยเพื่อมองหาทางเข้าดูเหมือนเรือนกระจกนี่ยาวและดูกว้างมาก แต่มันต้องมีทางเข้าสิไม่อย่างนั้นผีเสื้อพวกนั้นจะเข้าออกยังไงใช่ไหมล่ะ หืม! จะเข้าได้ยังไงนะ ใช่แล้วที่นี่ต้องมีคนดูแลนิใช่แล้วในเวลาแบบนี้เขาต้องมารดน้ำพวกมันสิฉันแค่ต้องหาเขาเพื่อให้เขาบอกทางเข้าไงละ “ทางเข้าอยู่ไหนนะ..นี่จะไม่ให้ฉันได้ดูพวกแกใกล้ๆ เลยใช่ไหม ...” เห... มีคนตรงนั้นนิ! ใช่จริงๆ ด้วย! แต่เขาดูไม่เหมือนคนสวนหรือคนดูแลเลยเขาดูเหมือนนักศึกษามากกว่า...เสื้อที่เขาใส่นั้นมันเสื้อนักศึกษานิแล้วเขามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงหรือเป็นลูกของคนสวน แต่เขาดูดีมากเลยจริงๆ ผมสีบลอนด์น้ำตาลนั้นสัดส่วนสูงแบบนั้นนายแบบชัดๆ นี่มองข้างหลังยังหล่อขนาดนี้เลยแต่ช่างก่อนเถอะแค่หวังว่าเขาจะพาฉันเข้าไปได้นะ... “ไม่มีใครบอกเธอหรือไง...ว่าที่นี่ห้ามเข้า” “เห้ยยย! ” ฉันดีดตัวออกห่างกระจก (จากที่เกาะกระจกอยู่) เมื่ออยู่ดีๆ ก็มีเสียงคนดังขึ้นข้างหูอย่างแผ่วเบา เอ้...ชุดนักศึกษานี่เขาคือผู้ชายที่อยู่ในเรือนกระจกนี่น่าออกมาทางไหนกันน่ะ “มองหาอะไร...” ฉันหันไปมองต้นเสียงอีกครั้ง โห.. “หล่อโคตรเลย ”ตาสีนิลเข้ากับในหน้าคมๆ นั้นมากเลยผิวก็ขาวเหมือนไม่เคยโดนแดดดูเหมือนจะเป็นลูกครึ่งด้วยหรือเปล่านะละลายเลยนะเนี่ย “อะไรของเธอ” “ค่ะ? ” “ยัยเด็กประสาท =-=” “ประสาทอะไรละ! อย่ามาว่าฉันนะ! ” “แล้วตรงไหนที่ไม่ประสาทละ? ” “ฉันน่ะสอบได้ทุนของที่นี่เชียวนะถ้าจะเรียกว่าประสาทอย่างนี้ต้องประสาทดี ” “เหอะ! ” เขาหัวเราะในลำคอแล้วกอดอกไล่มองฉันตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไร้มารยาทสิ้นดี อะไรกันผู้ชายคนนี้! เมื่อกี้ตอนเขาอยู่ในเรือนกระจกกับดอกไม้พวกนั้นเขาดูเป็นคนอ่อนโยนมากเลยนะ ทั้งที่ฉันมองเขาจากด้านหลังยังรับรู้ว่าเขาอ่อนโยนเลยแต่ทำไมพอมาเจอด้านหน้าของเขาตอนนี้แล้ว...ถึงจะหล่อและเท่มากแต่เขาหยาบคายกับฉันมากจริงๆ =_= แถมคำพูดแบบนั้นเหมือนไม่ต้องการให้ฉันเข้าใกล้ที่นี่เลยด้วยนี่เขาไม่ใช่เจ้าของมันสักหน่อยทำไมต้องหวงขนาดนั้น “...พี่ไม่ใช่เจ้าของที่นี่สักหน่อย” “แล้วยังไง...” “พี่ก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามคนอื่นไง” “เอาเถอะ...คงเป็นเด็กปีหนึ่งสินะเธอน่ะ” “ก็ใช่” “ฉันจะบอกให้แล้วกันที่นี่ไม่อนุญาตให้ใครเข้าเด็ดขาด! รู้แล้วก็ไปเตรียมตัวเรียนได้แล้ว” “ยังไม่ถึงเวลาสักหน่อย...” ฉันบอกเข้าแล้วเบือนหน้าหนีเข้าหาเรือนกระจกมองเขาแล้วเสียอารมณ์ชะมัดดูผีเสื้อตัวเล็กตัวน้อยนั้นสิมันกำลังเรียกฉัน โหยย~ หนูน้อยที่น่ารัก อันที่จริงฉันชอบพวกผีเสื้อมาตั้งแต่จำความได้เลยมองดูมันทีไรสดชื่นทุกทียิ่งตอนไม่สบายใจแล้วได้อยู่ใกล้พวกมันนะฉันจะรู้สึกดีมากเลยละ “ดื้อจริง อยู่เอกอะไรบอกสิ” เขาทำเสียงเข้มจ้องฉันเขม็งแต่ฉันทำท่าไม่สนใจแล้วมองพวกผีเสื้อในกระจกต่อไปก็แล้วทำไมต้องบอกเขาด้วยละ... “...” “ผู้ใหญ่ถามก็ต้องตอบสิ...” “ก็ได้...เอกศิลปการแสดง” “ชื่อจริง...” “รัตติณา โยธากัณฑ์ พี่อยากรู้ไปทำไมเนี่ย” “ได้คะแนนเต็มเลยนิฉลาดแต่ดื้อเหรอ” “อะไร...” “ทุนที่ให้ไปนี่ไม่ได้เพื่อให้เธอมานั่งดูดอกไม้และผีเสื้อนะ เกรด 4.00 เนี่ยจะทำได้หรือเปล่า” “พี่พูดถึงอะไร? เกรดอะไร? ” “=-= นี่เธอกำลังทำฉันผิดหวังนะ” ฉันงงไปหมดแล้ว เกรดที่เขาว่านั้นคืออะไรแล้วทำไมต้องได้ทุกเทอมด้วยละและที่สำคัญทำไมเขาพูดเหมือนเขาเป็นใครสักคนที่รู้เรื่องของฉัน เขารู้ได้ไงว่าฉันได้คะแนนเท่าไหร่ทั้งที่กฎของที่นี่บอกว่าจะไม่มีใครสามารถรู้คะแนนในการสอบเข้าของตัวเองได้ไม่ใช่เหรอ? “ฉันงงไปหมดแล้ว” “นี่ไม่รู้เรื่องกฎเหรอ? ” “...เอิ่ม" “กฎของเด็กที่ได้ทุนเรียนที่มหาวิทยาลัยไฮฮาน่า...” “...” “ทุนหนึ่งปีต้องทำเกรดเฉลี่ยของเทอมหนึ่งให้ได้ 4.00 ทุกเทอม ไม่บังคับคะแนนกิจกรรม ถ้าทำไม่ได้จะหมดสิทธิ์เป็นนักศึกษาของไฮฮาน่าทันทีไม่มีข้อยกเว้น...ทุกเทอมต้องมีคะแนนกิจกรรมมากกว่าครึ่ง นี่เข้ามาเรียนไม่อ่านกฎเลยใช่ไหมน่าผิดหวังนะทั้งที่ได้คะแนนเต็มเพียงคนเดียวแท้ๆ ” ตือ...เลย จริงเหรอเนี่ย! ฉันต้องทำคะแนนให้ได้สูงขนาดนั้นเลยเหรอแม่เจ้า Y_Y ถ้าทำไม่ได้ตั้งแต่เทอมแรกแสดงว่าฉันจะต้องออกจากไฮฮาน่าทันทีเลยงั้นเหรอแล้วออกกลางคันแบบนั้นเท่ากับต้องเริ่มใหม่ทั้งหมดเลยละสิ... ไม่มีทางฉันไม่มีวันไปนั่งเสียเวลาเปล่าแบบนั้นมันจะยากอะไรกับแค่เกรด หึ! ว่าแต่เมื่อกี้เขาบอกว่าฉันได้คะแนนเต็มคนเดียวงั้นเหรอ วุยยย จริงเหรอเนี่ย...ฉันจะเชื่อเขาดีไหมนะเขาอาจจะเป็นศิษย์เก่าที่มาช่วยตรวจคะแนนก็ได้นะ... “พี่เป็นใครกันแน่...” “ฉันไม่จำเป็นต้องตอบ...” “ทำไมรู้คะแนนฉันด้วยทั้งที่กฎของการสอบเข้าบอกว่าจะไม่มีใครสามารถรู้คะแนนได้นิ? ” “ไม่จำเป็นต้องรู้ ...เอาละตอนนี้ถึงเวลาเรียนแล้วไปสิ” “ไม่! บอกมานะที่ฉันพี่ถามอะไรฉันก็ตอบหมดดังนั้นตอบมาพี่เป็นใคร! ” “ไม่ใช่เรื่องของเธอ” หมับ! ฉันจับชายเสื้อของคนตรงหน้าก่อนที่เขาหันหลังจะเดินออกไป เขามองที่มือฉันนิดหน่อยก่อนจะไล่สายตาขึ้นมามองหน้าฉันเชิงให้ปล่อยเสื้อเขาสะ ฉันก็ไม่ได้อยากดึงเขาไว้นะแต่แบบนี้มันไม่ยุติธรรมสำหรับฉันในเมื่อฉันตอบทุกคำถามของเขา เขาเองก็ต้องตอบคำถามฉันบ้างสิอย่างนั้นมันถึงจะถูก “มันไม่ถูกต้องเลยนะ” “อะไรอีก=-=” “ฉันเสียเปรียบไปแล้ว” “เรื่องอะไร...” “ฉันบอกชื่อของฉันไปแล้ว บอกมาพี่เป็นใครกันแน่ไม่งั้นฉันไม่ปล่อยพี่ไป” “ฉันก็บอกกฎเป็นการตอบแทนแล้ว โอเคนะ...” หมับ! ฉันใช้มืออีกข้างดึงชายเสื้อเขาไว้อีก “ไม่โอเค! ○^○” “เป็นคนสวนโอเคไหม -_- ปล่อยได้แล้วยัยเด็กบ้า” เขาใช้มือเพียงข้างเดียวรวบข้อมือฉันเอาไว้แล้วพยายามใช้มืออีกข้างดึงเสื้อตัวเองออกไปจากมือฉันแต่เสียใจมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกเพราะฉันจับไว้แน่นมาก คนสวนเหรอ ..ทำไมคนสวนรู้ดีนักละทั้งเรื่องเกรดเรื่องคะแนนแถมยังรู้กฎโหดๆ พวกนั้นอีกเขาต้องกำลังโกหกฉันแน่ๆ “โกหก! คนสวนที่ไหนจะรู้ดีไปสะหมดแบบนี้! นิสัยไม่ดีนะแบบนี้” “นี่ๆ น้อยๆ หน่อยยัยหนูการที่เธอมาวุ่นวายในพื้นที่หวงห้ามแบบนี้แถมยังจับไม่ปล่อยเสื้อของผู้ชายที่เธอไม่รู้จักแบบนี้... ยัยเด็กดีไม่คิดว่าเธอควรระวังตัวหน่อยหรือไง” “ไม่ชอบคำว่ายัยหนูเลยบอกตรงๆ =3=” “เห้ย! นี่ฟังบ้างไหมแม่คุณ” “แม่คุณก็ไม่ชอบ =3=” “นิ! ” “ข้าวเหนียว” “อะไร? ” “ชื่อฉัน ข้าวเหนียว” “ฉันไม่ได้อยากรู้ =_=” เจ็บแสบมาก น้ำเสียงเย็นชาแถมยังทำหน้าเบื่อหน่ายแบบนั้นไม่มีมารยาทเอาสะเลยนี่ฉันลงทุนบอกชื่อก่อนเลยนะแต่ดูเขาสิไม่สนใจแถมยังหยาบคายไม่มีชิ้นดีผู้ชายภาษาอะไรเนี่ย? “แต่ฉันอยากบอกนิ และก็อยากรู้ด้วยว่าพี่เป็นใครรู้เรื่องคะแนนนั้นได้ยังไง” “มีญาณวิเศษ จบปะ? ” “พี่จะไม่บอกก็ไม่เป็นไร...” “ไปได้แล้ว...” “ฉันไม่สนในพี่แล้วก็ได้ ชิ! ฉันจะไม่ถามแต่ฉันสักวันฉันต้องรู้คำตอบแน่” ฉันปล่อยชายเสื้อของคนตรงหน้าแล้วเดินออกมาอย่างไม่สนใจไม่บอกไม่เป็นไรขี้เกียจรอฟังแล้วเหมือนกัน เชอะ! ฉันรู้สึกได้ว่าสักวันฉันต้องรู้ตัวตนเขาแน่ต้องขอบคุณคำแนะนำของเขานะเรื่องกฎนั้น ฉันไม่รู้มาก่อนเลยคงเป็นเพราะตื่นเต้นจนลืมอ่านให้ละเอียดตอนนี้รู้แล้วจะได้ตั้งใจมากกว่าเดิมอีก นึกไปแล้วทำไมฉันกับรู้สึกเฉยๆ กับการอยู่ใกล้เขานะทั้งที่ปกติฉันไม่ค่อยอยากจะอยู่ใกล้ผู้ชายเท่าไหร่ เเถมยังไปจับเขาไว้อีก งงตัวเองจริงๆ : ฟอร์น “ยัยเด็กประสาท...หึๆ ” ดูเหมือนยัยเด็กข้าวเหนียวนั้นจะอ่านหนังสือจนเพี้ยนนะตอนแรกอยากให้ผมตอบจะเป็นจะตายแต่พอจะไปก็ไปดื้อๆ เฉยเลยงั้นละ เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็นผู้หญิงอะไรไม่ระวังตัวเอาสะเลยแตะเนื้อต้องตัวผู้ชายที่ไม่รู้จักขนาดนี้...แปลกใจจริงๆ ดูเหมือนเธอจะตั้งใจในตอนสอบมากเพราะถ้าไม่ใช่เด็กอัจฉริยะแล้วไม่มีทางสอบได้คะแนนเต็มแน่ถ้าไม่เตรียมตัวมาดีแต่พอเจอตัวจริงของเด็กคนนี้แล้ว...ผมนี่อึ้งไปเลย...เธอไม่รู้กฎของทุน? ไม่รู้ว่าพื้นที่บริเวณเรือนกระจกเป็นพื้นที่หวงห้ามด้วยซ้ำจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเธอคนนี้แปลกเกินคนคนปกติ “หน้าตายิ้มแย้มมาเลยนะคุณ ผอ.มีอะไรดีๆ งั้นเหรอ? ” เสียงเพื่อนตัวแสบ “ปอร์เช่”ดังขึ้นทันทีที่เห็นผมเดินเข้าห้องเรียนมา ผอ.ที่เพื่อนผมเรียกนั้นก็มีที่มาคือตัวผมเองเป็นผู้อำนวยการของไฮฮาน่าไงละ จริงๆ แล้วผมเป็นเจ้าของที่นั่นทุกเรื่องของไฮฮาน่าผมเป็นคนจัดการทั้งหมดไม่น่าเชื่อใช่ไหมล่ะ? ทั้งที่ผมยังเป็นนักศึกษาอยู่แค่ปีสามเองแต่กับมีอีกหน้าที่ที่ดูใหญ่เกินตัวอย่างนี้...ผมได้รับหน้าที่นี้มาตั้งแต่เรียนจบมัธยมต้นเพราะพ่อแม่ของเกิดอุบัติเหตุกะทันหันทำให้ผมต้องเข้าดูแลมหาวิทยาลัยที่พ่อเป็นคนสร้างเองกับมือทันที ในตอนนั้นผมเหมือนไม่เหลือใครเลย... แต่ผมจะทิ้งไฮฮาน่าไม่ได้นั้นคือสิ่งที่ผมคิดมาถึงทุกวันนี้ แต่ด้วยความเป็นเด็กนี่ละที่ทำให้ไฮฮาน่าต้องมีผู้อำนวยการอีกคนเขาเป็นคุณอาของผมเอง ผมขอให้เขามาทำหน้าที่บังหน้าให้จนกว่าจะเรียนจบเรื่องนี้เป็นความลับแต่มันก็มีข้อแลกเปลี่ยนเหมือนกัน ข้อแลกเปลี่ยนนี้เกิดเมื่อคุณอาของผมวานให้ไปออกงานประมูลเครื่องเพชรแทนเพียงครั้งเดียวหลังจากนั้นก็มีเจ้าของบริษัทใหญ่ๆ นัดผมเป็นคู่ดูตัวให้กับลูกๆ ของพวกเขาซึ่งมันน่าเบื่อมากบางคนก็ชอบผมจริงๆ ก็มี บางคนก็ถือตัวจนน่ารำคาญประมาณว่าแค่นั่งรวมโต๊ะยังไม่ได้พวกเธอคงคิดว่าผมอยากไปดูตัวมากสินะ จริงๆ แล้วมันก็เป็นแค่ข้อแลกเปลี่ยนระหว่างผมกับคุณอาเท่านั้นและวันนี้ผมก็มีนัดดูตัวกับหลานสาวประธานบริษัทคู่หูอีกราย “ก็เปล่านิ อากาศดีน่ะ” “เหรอ...ปกตินายต้องหน้าเครียดฉันเลยสงสัย” ที่ผมมีหน้าตาเครียดเป็นประจำเพราะต้องตื่นเช้าไปจัดการเรื่องที่โรงไฮฮาน่าทุกวันไหนจะต้องไปนัดดูตัวบ้าบอนั้นอีก มีเรื่องวุ่นๆ ทุกวัน “ก็วันนี้อากาศดีไง” “เจออะไรดีๆ มามากกว่า” “ดีๆ เหรอ เหอะๆ ” อยู่ๆ ภาพยัยเด็กตอนเกาะกระจกก็เข้ามาในสมองซะงั้น อันที่จริงผมเห็นเด็กตั้งแต่อยู่ที่สะพานแล้วละผมยังแอบคิดว่ายังมีเด็กที่ตื่นเช้ามามาหาวิทยาลัยด้วยเหรอ? ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ เพราะที่ไฮฮาน่าไม่บังคับเรื่องเข้าเรียนแต่จะบังคับเรื่องเกรดมากกว่าส่วนพวกที่ลูกคุณหนูแต่ไม่สนใจการเรียนทางไฮฮาน่าจะไม่รับเพื่อไม่เป็นการเสียมาตรฐานมากนัก และเราก็มีกฎอยู่คือเด็กพวกนี้จะต้องไม่มีคะแนนความประพฤติต่ำกว่าแปดสิบคะแนนและต้องสอบผ่านทุกวิชาส่วนมากพวกคุณหนูจะเป็นลูกของบริษัทเครือข่ายของคุณอาทั้งนั้น “นั้นไงกะแล้ว เล่ามาเลยเพื่อน” “หึ...พอดีเจอเด็กบ้ามาน่ะ เป็นเด็กซื่อบื้อที่บังเอิญเรียนเก่ง” “ฟังดูงงนะ” “แถมบ้าและอยากรู้อยากเห็นด้วยละ” “ยังไง...” “เด็กคนนั้นบุกรุกไปที่เรือนกระจกน่ะ...” “ถ้าเป็นแบบนั้นนายจะไม่เป็นไรเหรอ? ” “เธอไปแต่เข้าไม่ได้เลยได้แต่เกาะกระจกมองน่ะ คล้ายๆ จิ้งจกเกาะผนัง” ปอร์เชนิ่งไป..ก่อนจะหัวเราะออกมากเหมือนเขากำลังนึกภาพตาม นี่ถ้าได้เห็นตอนยัยนั้นเกาะๆ เพื่อเล่นกับผีเสื้อละก็เจ้าเพื่อนตัวดีของผมคงหัวเราะปากค้างแน่ “ฮ่าๆ แล้วเธอรู้เรื่องนายหรือเปล่าแล้วบ้านนายละ” “ไม่หรอกน่า” ที่เรือนกระจกเป็นห่วงห้ามก็เพราะในนั้นมีบ้านของผมอยู่ไงละด้านบนเป็นเรือนกระจกเพาะดอกไม้ใต้ดินเป็นเหมือนห้องลับที่เชื่อมกับบ้านใหญ่ของผมที่อยู่ติดโรงเรียนได้ ว่าไปผมนี่เหมือนตัวตุ่นเหมือนกันนะ (ดูเปรียบเทียบ) วันๆ นอกจากจะออกมาเรียนหรือเข้าไปจัดการเอกสารในห้องทำงานที่แล้วส่วนมากก็อยู่แต่บ้านใต้ดินนั้น จริงๆ มันก็เป็นแค่ห้องเล็กๆ เหมือนห้องในคอนโดไม่ได้ครบเครื่องอะไรแต่มันสะดวกกว่าในการทำงานแถมยังไม่มีใครรู้อีกต่างหากอีกอย่างผมแพ้แดดแรงๆ “เด็กคนนี้คือคนที่ทำให้นายอารมณ์ดีงั้นเหรอ” “ก็คงใช่” “เห...คุณผู้อำนวยการคงไม่กินเด็กนะ” สิ่งที่ผมได้ยินนี่ทำให้อึ้งไปเลย ผมไม่มีเวลามาคิดเรื่องหัวใจอยู่แล้วถ้ายิ่งเป็นเรื่องหัวกับยัยเด็กข้าวนั้น ไม่มีทางอย่างเด็ดขาด “บ้าไปแล้วหรือไงนายไม่มีทางหรอกฉันแค่เห็นยัยนั้นตลกดีเท่านั้น” “ระวังตัวนะ” “เรื่องอะไรล่ะ? ” “ระวังความลับแตกไงละ” “ขอบคุณที่เป็นห่วงฉันคิดว่าเดี๋ยวเด็กนั้นเบื่อก็คงหายไปเองเพราะเรือนกระจกนั้นถ้าฉันไม่เป็นคนเปิดก็ไม่มีใครเข้าได้อยู่แล้ว” เรือนกระจกนั้นจะมีประตูอยู่ด้านหลังที่ต้องใช้ฝ่ามือของผมสแกนเท่านั้นถึงจะเปิด เจ๋งมากใช่ไหมผมลงทุนติดตั้งระบบนี้เองเลยนะ “ฉันรู้น่า ก็เตือนๆ ไว้” “^_^” ดูเหมือนยัยนั้นจะเป็นคนมีความพยายามมากสะด้วยนะ...พรุ่งนี้ถ้ายัยนั้นยังโผล่มาผมก็หวังว่ายัยนั้นจะมาสายสักหน่อยนะ ไม่อย่างนั้นผมคงเข้าไปจัดการเอกสารได้ยากสักหน่อย: ฟอร์นผมยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเข้าไปใหญ่ได้แต่ถอนหายใจยาวๆ เพื่อไล่ไฟในใจออกไปบ้าง ยัยเด็กบ้านั้นดีแต่ขัดคำสั่งผมได้ทุกวัน ลองดีนัก!"หวงมากก็ตามไปดิวะเพื่อน ฮ่าๆ "ปอร์เช่หัวเราะกับไอ้โยเรื่องเมื่อเย็นผมตั้งใจจะแสดงความเป็นเจ้าของให้โยมันไปเตือนไอ้จัสมินว่ามันเล่นผิดคน อะไรที่เป็นของผม...คนอื่นไม่มีสิทธิ์"..."กึกๆ"เฮ้ยๆ ระเบิดจะลงแล้วใจเย็นเพื่อนเดี๋ยวนี้มึงโมโหง่ายฉิบหายไม่สมกับเป็นมึงเลย"ปอร์เช่เห็นผมกัดฟันเลยรีบพูดดักเพื่อให้ผมใจเย็น ถูกของมันปกติผมจะเป็นคนไม่สนใจไยดีเรื่องผู้หญิงอย่างมากก็แค่ข้ามคืนบ้างแต่กับยัยข้าวผมยอมรับว่าเป็นคนแรกที่มาอ่อยผมแล้วผมสนใจ"ฟอร์นค่ะ คุณโมโหอะไร...หรือว่าเรื่องที่จัสไปกับข้าวเหนียว""...เหอะ""ก็ไม่แปลกนิค่ะ สองคนนั้นกำลังศึกษากันอยู่..."เพี้ยง!"ว๊าย! "โรสตกใจที่อยู่ๆ ผมก็ตั้งใจโยนแก้วเหล้าลงพื้น คำพูดของเธอยิ่งทำให้ผมเดือดถึงขีดสุด ศึกษากันงั้นเหรอไม่มีทาง ผมลุกขึ้นเดินลงมาด้านล่างเพื่อมองหาข้าวเหนียวและจัสมิน"อยู่ไหนวะ! "ผมร้อนใจไปหมดยัยข้าวนี่มีอะไรดีทำให้คนมีเหตุผลอย่างผมปั่นป่วนจนเป็นคนละคนได้ขนาดนี้"อะ! พี่ฟอร์นครับช่วยผมหาข้าวทีพอดีเ
พอมาเรียนจัสก็ถามเรื่องพี่ฟอร์นจากฉันยกใหญ่ว่าไปรู้จักหลานชายเจ้าของบริษัทนำเข้าเพชรรายใหญ่ได้ยังไง พอฉันเล่าเรื่องทั้งหมดให้ฟังเขาก็เอาแต่หัวเราะฉันไม่หยุด แต่ดูท่าแล้วที่อีตาพี่ฟอร์นเคยบอกว่าเป็นคนสวนมันคือการโกหกสินะ ว่าแล้วเชียว! แล้วตกลงเรือนกระจกนั้นมีอะไรซ่อนอยู่กันแน่หลานของเจ้าของมหาลัยถึงต้องมาดูแลเองแบบนี้"เฮ้อ เลิกเรียนสักทีแล้วนี่ข้าวจะไปไหนต่อแบบนี้? ""ไม่รู้เลยวันนี้ก็เบื่อๆ ""งั้นไปชมรมบาสกับเราไหม อ่อ! ข้าวเป็นนักเรียนทุนนี่ต้องมีคะแนนกิจกรรมใช่ไหม พอดีเลยชมรมเรากำลังรับสมัครผู้ช่วยโค้ชไปสมัครได้นะ"เห้ย! ลืมเรื่องคะแนนกิจกรรมไปสนิทเลย โหย ยัยข้าวเหนียว ดีนะที่จัสเตือนไม่งั้นปีหน้าไม่มีสิทธิ์สอบชิงทุนแน่เลย"เราลืมเรื่องนี้ไปเลยขอบคุณที่เตือนงั้นเราไปสมัครชมรมบาสดีกว่าอีกอย่างเราจะได้มีเพื่อนด้วย""อ่อ ดีเลยงั้นปะ"จัสเดินนำฉันมายังโรงยิมใหญ่ที่อยู่ข้างตึกเอกของเราไม่น่าเชื่อว่าแม้กระทั่งโรงยิมยังถูกตกแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวอาของอีตาพี่ฟอร์นจะรวยไปไหน"เฮ้ จัสพาใครมาน่ะ""อ่อ เพื่อนผมจะมาสมัครเป็นผู้ช่วยโค้ชอ่าครับพี่แบบนี้""สวัสดีค่ะพี่โย"ฉันไหว้คนตรงหน้า"จ้า เอางี
คณะนิเทศศาสตร์ เอกศิลปการแสดง"สวัสดี..."ฉันสะดุ้งเมื่อมีเสียงทุ้มๆ ดังขึ้นข้างตัว ผู้ชายสูงโปร่งหน้าตาดีกำลังยืนยิ้มให้ฉันจนตาหยี"..คะ? ""ขอนั่งด้วยคนนะ เปิดเทอมวันแรกไม่มีเพื่อนน่ะ""อ่อ ได้เลย""เราชื่อจัสมิน ยินดีที่ได้เรียนเอกเดียวกันนะ""เราชื่อข้าวเหนียว ยินดีเช่นกัน""เสียดายเนอะ ที่นี่ไม่มีรับน้องเหมือนมหาวิทยาลัยอื่น เราคงจะสนิทกับเพื่อนยากเลยทีนี้""ไม่หรอกถ้าเรียนด้วยกันยังไงก็สนิทกันอยู่แล้ว""นั้นสิ ฮ่าๆ "วันนี้ทั้งวันฉันแทบจะไม่มีเพื่อนใหม่เลยนอกจะจัสมินแต่ละคนในเอกดูเป็นลูกคุณหนูไฮโซใช้กระเป๋าแพง ๆ ต่างจากฉันที่มีฐานะธรรมดา แม่ฉันเป็นนักเดินทางท่องเที่ยวแล้วเขียนลงบล็อก ส่วนมากก็ไม่ได้กลับบ้านละฉันก็เป็นลูกคนเดียวเลยไม่รู้วิธีทำความรู้จักคนอื่นเลยยังโชคดีที่มีจัสมินไม่อย่างนั้นฉันคงหาเพื่อนได้ยากแน่ๆ"เลิกเรียนแล้วข้าวจะไปไหนต่อเหรอ""เอิ่มม...คงกลับเลย""ให้เราไปส่งไหม? ""ไม่เป็นไร ขอบคุณมาก""โอเค งั้นพรุ่งนี้เจอกัน"ฉันโบกมือให้จัสมินแล้วเดินมุ่งหน้าไปที่เรือนกระจก ฉันอยากรู้ว่าช่วงเวลาใกล้ค่ำแบบนี้พวกผีเสื้อยังจะผสมเกสรดอกไม้กันอยู่หรือเปล่า ฉันน่ะชอบพวกดอกไม้
“ว๊าววว หรูชะมัด นี่คือมหาวิทยาลัยของฉันสินะ”ฉันพึมพำกับตัวเองขณะที่สายตามองทอดยาวไปตามราวสะพานสีขาวสไตล์ยุโรปมันถูกสร้างยาวตามตัวอาคารเป็นการออกแบบที่ลงตัวเข้ากับตัวตึกที่ถูกออกแบบเป็นโทนสีขาวเกือบทั้งหมด มีทุ่งหญ้าสีเขียวอ่อนและทุ่งดอกไม้สีสดที่อยู่ด้านนอก มองออกไปบริเวณทุ่งหญ้าเหมือนจะมีสวนเล็กไว้ให้พักผ่อนในเวลากลางวันนี่ฉันอยู่ที่ไหนเนี่ยใช่ประเทศไทยหรือเปล่าบอกที ถ้าที่นี่มีหิมะตกด้วยนะยุโรปชัดๆ เหมือนที่นี่จะมีเรือนกระจกเพาะดอกไม้เป็นของที่นี่เองด้วยฉันเคยได้ยินมาว่าดอกไม้พวกนี้ต้องได้รับการดูแลที่ดีเอามากๆ อืมมม นี่ยังเช้าอยู่ฉันควรจะไปสำรวจเรือนนั้นสะหน่อยแล้ว“สวยสุดยอดเลย แต่เงียบจังนะ... ”ฉันเดินตามสะพานมาจนสุดทางก็พบเรือนกระจกใสภายในเต็มไปด้วยดอกไม้สีสดนานาพันธุ์และผีเสื้อหลากชนิดคงใช้พวกมันในการผสมเกสรดอกไม้สิน่ะ ระหว่างทางฉันสังเกตว่าผีเสื้อเยอะมาแต่ยังไม่ถึงครึ่งของในเรือนกระจกนั้นเลยมั้ง ฉันอยากเข้าไปดูพวกแกใกล้ๆ จังเลย “ว่าแต่...ทางเข้าอยู่ไหนนะ”ฉันพยายามเดินเรียบกระจกไปเลยเพื่อมองหาทางเข้าดูเหมือนเรือนกระจกนี่ยาวและดูกว้างมาก แต่มันต้องมีทางเข้าสิไม่อย่างนั้นผี
: ม.6“ฉันเกลียดเธอยัยข้าวฉันเกลียด กรื๊ด!! ”ครีมตั้งท่าจะเข้ามาทำร้ายฉันแต่เพื่อนๆ ในห้องช่วยกันจับแขนเธอไว้ได้ก่อนครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วนะที่เพื่อนรักของฉัน...จะเข้ามาทำร้ายฉันเพียงเพราะเชื่อคำพูดบ้าๆ จากผู้ชายคนนั้น“ไม่นะ...ครีม ฉันไม่ได้ชอบซันจริงๆ ”“แต่เขาบอกว่าเธอหักหลังฉัน ฉันหลงเชื่อว่าเธอพยายามห่างซันเพื่อฉันแต่เปล่าเลย เธอแค่ทำแบบนั้นเพื่อปกปิดฉัน เธอมันเลว! เธอคบกับซันแต่ทำไมต้องทำเหมือนเธอเกลียดเขา”“ฉันไม่เคยชอบซัน! ”“หน้าด้าน!! ”“อย่าทำข้าวนะ!! ”เสียงของซันตัวต้นเรื่องดังขึ้นทำให้ครีมหยุดชะงัก ซันรีบเดินเข้ามาจับไหล่ฉันหน้าตาตื่นเขาคงเพิ่งรู้เรื่องว่าครีมโมโหกับคำพูดโกหกของเขาแค่ไหน คำโกหกพวกนั้น!!เพี้ยะ!!“ขะ ข้าว...”ฉันตบเข้าที่หน้าซันเต็มแรงให้มันสาสมกับที่เขาทำให้ฉันกับเพื่อนต้องผิดใจกันทำไมเขาต้องมาชอบฉันทั้งที่รู้ว่าครีมเพื่อนสนิทของฉันก็ชอบเขามาก แล้วยังคำโกหกบ้าๆ นี่อีก“ฉันเคยบอกกับนายแล้วว่าฉันเกลียดนาย ฉันไม่เข้าใจนะว่าสิ่งที่นายทำมันเพื่ออะไรกันแน่แต่ในเมื่อฉันไล่นาย นายไม่ไป ฉันไปเองฉันจะไปเอง!! ”“อยู่ไหนนะ...”ฉันนั่งจ้องหน้าคอมพิวเตอร์มา