การพูดอย่างกะทันหันของต้วนจิ่นเจียง ทำให้เหล่าขุนนางซึ่งเดิมทีคิดว่าประชุมราชการเช้าที่น่าตกใจจนวิญญาณหลุด และพลิกผันไปมาคงใกล้จะจบลงแล้ว กลับมาอกสั่นขวัญแขวนอีกครั้ง จ้าวเสวียนจีมองไปที่ต้วนจิ่นเจียงเป็นคนแรกด้วยแววตาสับสน ในการปรึกษาหารือกันก่อนหน้านี้ ไม่ได้มีข้อตกลงที่จะให้ต้วนจิ่นเจียงออกหน้าพูดอะไร หรือว่าต้วนจิ่นเจียงอยากจะขอพระราชทานอภัยโทษให้กับบุตรชายที่นี่? หากเป็นเช่นนั้น คงถึงเวลาแล้วที่จ้าวเสวียนจีจะพิจารณาเตะต้วนจิ่นเจียงออกจากสำนักราชเลขา เพราะสมองของเขามีปัญหา หลี่เฉินกล่าวเสียงเรียบ “พูดมา”ต้วนจิ่นเจียงหายใจเข้าลึกๆ ก้มหน้ามองปลายเท้าของตัวเอง ไม่สบสายตากับใครแล้วกล่าวว่า “กระหม่อม ขอให้เปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่” อากาศในพระที่นั่งไท่เหอราวกับจะแข็งตัวขึ้นมา จ้าวเสวียนจีเบิกตากว้าง และจ้องมองต้วนจิ่นเจียงอย่างไม่เชื่อสายตา ท่าทางสูญเสียสติของเขาคงอยู่เพียงครู่เดียว ก่อนจะกลับมาสงบนิ่งเหมือนเดิม แต่สายตาของเขายังคงจ้องไปที่ต้วนจิ่นเจียงตาเขม็ง ดวงตาดุจมีดนั้น คล้ายอยากจะสับต้วนจิ่นเจียงเป็นออกเป็นชิ้นๆ ตอนนี้เอง ต้
ใบหน้าของจ้าวเสวียนจีพลันซีดลงหากเปิดการสอบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่ เรื่องนี้จะส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเขา มากกว่าการที่สำนักราชเลขาสูญเสียอำนาจในการอ่านสาส์นกราบทูลเสียอีก!เพราะหากคดีได้รับการยืนยันจริงๆ เครือข่ายอำนาจที่เขาทำงานหนักมาหลายสิบปีเพื่อสร้างขึ้นมา ก็จะล่มสลายในพริบตาเวลานี้ความคิดของจ้าวเสวียนจีดุจดั่งทะเลคลั่ง จิตใจของเขากำลังนึกถึงวิธีการรับมือกับเรื่องนี้แต่ทุกวิธีที่เขาคิดออกก็จะถูกปฏิเสธในวินาทีต่อมา สถานการณ์ปัจจุบัน ดูเหมือนว่าจะไม่สามารถแก้ไขได้จ้าวเสวียนจีกัดฟันเล็กน้อย แล้วหันไปพูดกับหลี่เฉินว่า “ฝ่าบาท เหตุใดพระองค์จึงอยากเริ่มการสืบสวนคดีโศกนาฎกรรมด่านอวี้เหมินขึ้นมาใหม่อย่างกระทันหัน?”หลี่เฉินกล่าวว่า “คดีนี้ไม่ใช่ข้าที่ต้องการเริ่มการสืบสวน แต่เป็นใต้เท้าต้วนที่เสนอ ข้าแค่รู้สึกว่าคดีนั้นยังไม่มีความจริงปรากฏ และตอนนี้ก็สมควรแก่เวลาที่พวกเราจะนำความยุติธรรมกลับมาสู่ใต้หล้า สุดท้ายแล้วใครบริสุทธิ์ก็บริสุทธิ์ ใครมีความผิดก็มีความผิด แล้วเหตุใดท่านราชเลขาถึงรู้สึกว่ามันไม่เหมาะสมเล่า?”จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “กระหม่อมรู้สึกว่า
หลังจากที่หลี่เฉินเดินออกไปก่อน เหล่าขุนนางที่เหลือในพระที่นั่งไท่เหอต่างก็มองหน้ากัน ก่อนจะหันไปมองจ้าวเสวียนจีที ซูเจิ้นถิงที ไม่มีใครกล้าออกไปก่อน ซูเจิ้นถิงเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าจ้าวเสวียนจี เขายิ้มและประสานมือกล่าวว่า “โชคดีที่ฝ่าบาททรงไว้วางพระทัย ในอนาคต เมื่อเจ้าลูกหมาจะออกไปทำสงครามที่เสียนเฉา คงต้องขอความร่วมมือท่านราชเลขาด้านงานราชการแล้ว” จ้าวเสวียนจียิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “เกรงใจไปแล้ว เพื่อจักรวรรดิ เพื่อราชสำนัก นี่เป็นสิ่งที่ควรทำ” เมื่อมองไปที่ต้าเหลียงหลงเชวี่ยในมือของซูเจิ้นถิง จ้าวเสวียนจีก็กล่าวเสียงเรียบว่า “ตอนนี้ท่านแม่ทัพซูมีกระบี่จักรพรรดิแล้ว แต่กระบี่นี้คมนัก ท่านแม่ทัพโปรดออมมือ” ซูเจิ้นถิงยิ้มจนตาหยีแล้วกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงทรงไว้วางพระทัย ข้าย่อมไม่กล้าละเลย” จ้าวเสวียนจีส่งเสียงหึอย่างเย็นชาพลางกล่าวว่า “แม่ทัพซูโปรดเดินดีๆ ข้าไม่ส่ง!” ซูเจิ้นถิงเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า หันหน้าแล้วเดินจากไป ด้านหลังของเขา มีกลุ่มแม่ทัพเดินตามไปด้วย หลังจากพวกซูเจิ้นถิงจากไปแล้ว จ้าวเสวียนจีก็หันไปมองต้วนจิ่นเจียงและฟู่อวี้จืออย่างเย็นชา ก่อนกล่าวว่า “ข้าวางแผนจ
คำพูดของจางปี้อู่ ทำให้สีหน้าของจ้าวเสวียนจีผ่อนคลายลงเล็กน้อย เขาเปิดปากพูดว่า “สิ่งเหล่านี้เป็นเพียงกลอุบายที่ใช้ไม่ได้ผลเสมอไป สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้จริงๆ ก็คือ...” เมื่อนึกถึงการทรยศของต้วนจิ่นเจียงกับฟู่อวี้จือ จิตสังหารอันเย็นเยือกก็แวบขึ้นมาในดวงตาของจ้าวเสวียนจี จากนั้นก็พูดว่า “เราต้องกำจัดคนทรยศ มิฉะนั้น ใจคนในราชสำนักอาจจะเปลี่ยนแปลงได้” จางปี้อู่เข้าใจความหมายของจ้าวเสวียนจีในทันที สีหน้าของเขาแข็งทื่อ ก่อนประสานมือกล่าวว่า “ทุกอย่าง ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของท่านราชเลขา” ในขณะเดียวกัน หลี่เฉินก็กลับมายังพระที่นั่งสีเจิ้ง เพิ่งจะนั่งลงได้ครู่เดียว จ้าวหรุ่ยก็พรวดพราดเข้ามา “หม่อมฉันขอบพระทัยฝ่าบาท!” เสียงของจ้าวหรุ่ยฟังดูสะอื้น ดวงตาแดงก่ำด้วยความตื่นเต้น ขณะคุกเข่าตรงหน้าหลี่เฉิน หลี่เฉินหัวเราะเบาๆ “เจ้าทราบข่าวไวขนาดนี้เชียวหรือ ข้าเพิ่งเลิกการประชุมเมื่อครู่ เรื่องที่บิดาของเจ้าได้รับการแต่งตั้ง เจ้าก็ทราบแล้ว?”จ้าวหรุ่ยพูดว่า “เมื่อฝ่าบาททรงตรัสว่าจะแต่งตั้ง ก็มีคนเข้ามาแสดงความยินดี นอกจากนี้ข่าวก็ยังถูกส่งไปทางบิดาด้วย หม่อมฉันใคร่ครวญอย่างถี
“มณฑลซีซานประสบภัยพิบัติที่เลวร้ายที่สุดในรอบสองปีที่ผ่านมา ผู้คนอดอยากจนล้มตายไปมากมาย ในกรณีที่เลวร้ายที่สุดอาจกล่าวได้ว่าทั้งหมู่บ้านอาจไม่มีคนรอดชีวิตแม้แต่คนเดียว ทะเบียนราษฎร์ทั่วทั้งมณฑลลดลงไปกว่าครึ่ง นี่คือประการแรก”“เจ้าหน้าที่ในมณฑลซีซานอาจกล่าวได้ว่าเน่าเฟะไปทั้งแก่นอย่างสิ้นเชิง หากเจ้าไปที่นั่น ข้าคงช่วยอะไรเจ้าไม่ได้ เพราะแม้แต่หน่วยบูรพาของสาขาที่นั่นก็ยังโดนกวาดล้าง และต้องใช้เวลาในการก่อตั้งขึ้นมาใหม่ ดังนั้นคงกล่าวได้ว่าเจ้าโดดเดี่ยวอย่างสมบูรณ์ นี่คือประการที่สอง”“มณฑลซีซานในตอนนี้ ปัญหาไม่มีแค่ประชาชนและขุนนาง แต่ยังมีการก่อกบฏที่รุนแรงที่นั่น และกองทัพกบฏก็แข็งแกร่งกว่ากองทัพทหาร ถึงแม้ว่าข้าจะสามารถจัดกำลังคนเพิ่มเติมเพื่อจัดการกับกลุ่มกบฏได้ แต่เจ้าซึ่งเป็นปลัดที่เพิ่งมาใหม่ ก็ยังต้องแบกรับแรงกดดันมหาศาลอยู่ดี แม้กระทั่งพวกเขาอาจพยายามกำจัดเจ้า ซึ่งทำให้เจ้าสามารถตายได้ทุกเมื่อ นี่คือประการที่สาม”“นอกจากข้าแล้ว เกือบทั้งราชสำนักไม่มีใครหวังว่าเจ้าจะประสบความสำเร็จ ดังนั้นแรงกดดันจากทุกฝ่ายก็จะยิ่งมากขึ้น หากมีข้อผิดพลาดใดๆ เกิดขึ้น ก็มีแนวโน้มว่าความผิดพลา
“เจ้าเป็นขันทีที่โหดเหี้ยมมาก”หลี่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้มว่า “ข้าจะไม่ฆ่าเขา แต่จะมอบหมายงานสบายๆ ให้แก่เขาจริงๆ”“สำหรับบางคน การมีชีวิตอยู่ก็มีความหมายในตัวมันเอง”ขณะที่ซานเป่ากำลังจะพูด ด้านนอกก็มีเสียงรายงานเข้ามาว่า“องค์รัชทายาท ชายที่ชี่อโจวผิงอันถือป้ายแขวนเอวของฝ่าบาทมาขอเข้าเฝ้าพ่ะย่ะค่ะ”หลี่เฉินตกตะลึงเล็กน้อยแล้วพูดว่า “รีบให้เขาเข้ามา”ซานเป่าถอยออกไปอีกด้านอย่างรู้ความ ในใจก็นึกใคร่ครวญถึงสิ่งที่องค์รัชทายาทเพิ่งกล่าวไปเมื่อครู่ ด้วยสีหน้าสงบนิ่งรอจนโจวผิงอันเข้ามาในพระที่นั่งสีเจิ้ง เมื่อซานเป่าเห็นโจวผิงอันแวบแรกก็พลันชะงักงันในฐานะกวางกงของหน่วยบูรพา ด้วยข้อมูลในมือของซานเป่าเขาย่อมรู้ตัวตนของโจวผิงอัน แต่เขานึกไม่ออกว่าเหตุใด โจวผิงอัน ไท่พูของเสียนเฉาถึงได้มาปรากฏตัวในพระที่นั่งสีเจิ้ง?“กระหม่อมโจวผิงอัน ขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท”ครั้งนี้ที่พบกัน โจวผิงอันได้เปลี่ยนคำแทนตัวของตัวเองที่ใช้กับหลี่เฉินหลี่เฉินกล่าวเสียงราบเรียบ “ไม่ต้องพิธีรีตอง”เมื่อมองไปที่โจวผิงอัน หลี่เฉินก็กล่าวว่า “พร้อมแล้วหรือไม่?”โจวผิงอันกล่าวอย่างสงบว่า “ฝ่าบาททรงทำงานเ
“เป็นเจ้า!?”ตอนที่หลี่เฉินเห็นโหวอวี้ซู โหวอวี้ซูก็เห็นหลี่เฉินเช่นกันหลังจากประหลาดใจไปชั่วขณะหนึ่ง โหวอวี้ซูก็หัวเราะเบาๆ เขาประสานมือกล่าวกับหลี่เฉินว่า “คุณชาย พวกเราพบกันอีกแล้วนะ”“ฝ่าบาท คนผู้นี้ได้กราบคารวะเป็นศิษย์ของท่านจิ้งจือเมื่อไม่นานมานี้ ในฐานะศิษย์ปิดสำนัก ท่านจิ้งจือก็ให้ความดูแลเป็นอย่างดี”“ส่วนท่านจิ้งจือก็มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดกับต้วนจิ่นเจียง ดูเหมือนว่าเขาจะได้รับการแนะนำจากท่านจิ้งจือ และไปมาหาสู่กับต้วนจิ่นเจียงอยู่พักหนึ่ง”สำหรับซานเป่าแล้ว เป็นเรื่องยากมากที่ในเมืองหลวงแห่งนี้จะมีคนปกปิดเรื่องราวจากเขาได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง ความสัมพันธ์ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญเลยอาจกล่าวได้ว่า บุคคลสำคัญและเรื่องราวทุกสิ่งที่พวกเขาเกี่ยวข้องด้วย ล้วนอยู่ในหัวของซานเป่าทั้งหมดระดับของโหวอวี้ซูผู้นี้ไม่ได้สูงมาก แต่ที่เขาถูกซานเป่าจำได้ ก็เพราะว่าต้วนจิ่นเจียงนอกจากนี้ท่านจิ้งจือก็มีชื่อเสียงอย่างมากในหมู่ปราชญ์ขงจื๊อในใต้หล้า ดังนั้นจึงเป็นหนึ่งในเป้าหมายที่หน่วยบูรพาคอยจับตามองเนื่องจากโหวอวี้ซูผู้นี้มีความสัมพันธ์กับสองท่านนั้นในเวลาเดียวกัน จึงเป็นเรื่องธ
โหวอวี้ซูได้ยินดังนั้นก็รู้สึกกังวลขึ้นมา“แม่นางชุ่ยจู ข้านำมาด้วย ก็อยากจะนำไปมอบให้คุณหนูของเจ้าด้วย...”ชุ่ยจูเอียงคอแล้วพูดอย่างสงสัยว่า “ท่านก็สามารถให้ข้าได้เหมือนกันนี่”ความหมายนั้นเรียบง่ายมาก สามารถมอบสิ่งของให้ได้ แต่ไม่สามารถเห็นตัวคนได้โหวอวี้ซูแทบจะกระอักเลือดออกมา“สิ่งนี้ล้ำค่ามาก...”ชุ่ยจูได้ยินดังนั้น ก็ส่งเสียงหึอย่างไม่พอใจและบอกว่า “มีของล้ำค่าอันใดบ้างที่คุณหนูของข้าไม่เคยเห็น ถ้าเจ้าบอกว่าของนั้นล้ำค่ามาก จนไม่กล้ามอบให้ข้า เช่นนั้นก็ช่างเถอะ เจ้าก็นำกลับไปด้วยซะ”พูดจบ ชุ่ยจูก็กำลังจะปิดประตูแต่จังหวะที่หันหัวมา ก็เห็นหลี่เฉินเข้าพอดีทันใดนั้นชุ่ยจูก็ตัวแข็งทื่อขึ้นมาเมื่อครู่นางไม่เห็นหลี่เฉินจริงๆ ดังนั้นจึงไม่ได้ทักทายหรือแสดงความเคารพ นี่เป็นอาชญากรรมครั้งใหญ่สาวใช้คนนั้นจ้องหลี่เฉินตาค้าง ทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ หลี่เฉินจึงกล่าวยิ้มๆ ว่า “ข้าอยากพบคุณหนูของเจ้า”ชุ่ยจูรู้สึกตื่นเต้น นางรีบเปิดประตูให้กว้างขึ้นและวิ่งออกมาจากถนนเส้นเล็กๆ เพื่อมาโค้งคำนับให้หลี่เฉิน แต่หลี่เฉินกลับยกมือขึ้นแล้วพูดว่า “ไม่ต้องสุภาพ แค่พาข้าเข้าไ
เสียงหัวข้าะเบาๆ ของต้วนจิ่นเจียง ค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นหัวข้าะลั่น ก่อนจะกลายเป็นเสียงหัวข้าะคลุ้มคลั่ง ต้วนจิ่นเจียงราวกับเสียสติ เงยหน้าหัวข้าะอย่างบ้าคลั่ง แม้สายฝนเย็นเฉียบสาดซัดใส่ใบหน้า เขาก็ยังไม่หยุดหัวข้าะ “ดี! ดีมาก!” ต้วนจิ่นเจียงหัวข้าะจนแทบหายใจไม่ออก เขาชี้ไปที่หลี่เฉิน กล่าวด้วยเสียงแหบพร่า “องค์รัชทายาท เจ้านี่ช่างเป็นผู้ถูกมังกรคุ้มครองแท้จริง แม้หลี่อิ๋นหู่กับจ้าวเสวียนจีจะร่วมมือกัน ก็ยังโค่นเจ้าไม่ลง!” “ข้าเพียงเสียดาย ที่ยามท่านอ่อนแอที่สุด ข้ามิได้ลงมือเด็ดขาด ปล่อยให้เจ้าเติบโตมาจนถึงขั้นนี้ ข้า...เสียใจนัก!” สภาพของต้วนจิ่นเจียงเริ่มเข้าสู่ความคลุ้มคลั่งเต็มขั้น ดวงตาแดงฉาน ใบหน้าเหยเกดั่งอสูร “ทำไมกัน! ทำไมข้ารอบคอบวางแผนมาขนาดนี้ เจ้าถึงยังไม่ตาย! มันเป็นเพราะอะไร!” ในถ้อยคำนี้ เต็มไปด้วยความเคียดแค้นและความไม่ยอมแพ้อย่างถึงที่สุด “วางแผนรอบคอบย่อมดี แต่คนอย่างเจ้าที่เอาแต่ซุกซ่อนในมุมมืด ดุจหนอนใต้ซากศพ คอยวางแผนลอบกัดไปวันๆ ยังคิดหวังจะทำการใหญ่ได้หรือ?” หลี่เฉินกล่าวเรียบๆ “ข้าไม่มีเวลามากพอจะปล่อยให้พวกเจ้าถ่วงเล่น มาเข้าเรื่องกัน
ตึก ตึก ตึก... เสียงฝีเท้าเป็นจังหวะพร้อมเพรียงดังขึ้น ฟังแล้วชวนให้หัวใจพลุ่งพล่านอย่างไม่ทราบสาเหตุ พร้อมเสียงเกราะกระทบกัน สักพักหนึ่ง เหล่าทหารกลุ่มหนึ่งก็เริ่มเข้าสู่ลาน พวกเขาเคลื่อนที่อย่างมีระเบียบและได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดี ทันทีที่เข้าสู่ลาน ก็จัดรูปขบวนทันที ล้อมรอบกลุ่มของหลงไหวอวี้ที่ยืนอยู่หน้าศาลบูรพกษัตริย์ การล้อมวงเช่นนี้ ทำให้ต้วนจิ่นเจียงรู้สึกผิดสังเกตขึ้นมาทันทีโดยสัญชาตญาณ “เกิดอะไรขึ้นหรือ อาจารย์?” หลงไหวอวี้ที่รู้สึกว่าต้วนจิ่นเจียงเริ่มตึงเครียดก็เอ่ยถามด้วยความสงสัย ต้วนจิ่นเจียงตอบเสียงหนักแน่น “พวกทหารเหล่านี้กำลังล้อมข้าอยู่” ต้วนจิ่นเจียงซึ่งเคยเป็นขุนนางกระทรวงกลาโหม ย่อมมีพื้นฐานด้านการยุทธ เขาเพียงแค่ชำเลืองดูก็รู้ว่านี่คือรูปขบวนของทหารต้าฉิน ใช้สำหรับล้อมศัตรูกลุ่มเล็กโดยเฉพาะ หากเป็นคนของหลี่อิ๋นหู่หรือจ้าวเสวียนจี ต่อให้คิดฆ่าพวกเขาก็ไม่ควรจะเป็นเวลานี้ และยิ่งไม่ควรจะทำได้ง่ายดายเช่นนี้ ต้วนจิ่นเจียงหรี่ตาลง พยายามเพ่งมองเครื่องแบบเกราะของทหารเหล่านี้ หวังจะดูให้แน่ชัดว่าเป็นหน่วยใด แต่ด้วยความมืดของยามค่ำคืน และสายฝน
สายฝนเทกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา เม็ดฝนขนาดเท่าเม็ดถั่วถูกลมพายุหอบพัด แทบจะซัดกระหน่ำในแนวราบใส่สิ่งปลูกสร้างทั้งปวงระหว่างฟ้ากับดิน บนหลังคา ชายคา และพื้นดิน ล้วนถูกฝนกระแทกกระจายเป็นละอองฝอยบางราวกับหมอก ทั่วทั้งผืนฟ้าดินเปียกชุ่มฉ่ำไปหมด เสียงที่ได้ยิน มีเพียงเสียงสายฝนกระหน่ำราวน้ำตก กับเสียงน้ำในร่องน้ำใกล้ๆ ไหลทะลักอย่างไม่อาจต้านทาน บางทีอาจเป็นเพราะสายฝนนี้ หรืออาจเป็นเพราะเหตุจลาจล เมืองหลวงทั้งเมืองจึงเงียบงันอย่างน่าประหลาด ในยามปกติ ต่อให้เป็นยามดึกเพียงใด ตามตรอกซอกซอยในเมืองหลวงก็ยังคงมีผู้คน จะเป็นเสียงฝีเท้าผ่านไปมา หรือเสียงพูดคุยจากลานบ้านข้างเคียงก็ตามที แต่ไม่ใช่เช่นคืนนี้ ที่ดูราวกับผู้คนล้วนหายไปจนสิ้น สิ่งเดียวที่ยังมองเห็นบนท้องถนน คือทหารที่เร่งฝีเท้าเดินผ่านไป แม้แต่เหล่าทหารเหล่านั้น ต่างก็เฝ้าระวังราวกับกำลังเผชิญศัตรู บางคนถึงกับมีบาดแผลติดตัว ฟ้าดินแห่งเมืองหลวงพลิกผัน ไม่มีผู้ใดกล้าประมาท ในวันนี้ไม่รู้ว่ามีผู้คนล้มตายไปมากเพียงใด เสียงระเบิดในช่วงกลางวันดังสนั่นราวกับฟ้าร้อง ยังทำให้ชาวบ้านพากันปิดประตูหน้าต่าง ไม่กล
ประโยคแรกที่ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสออกมา ก็ทำให้บรรยากาศในตำหนักบรรทมเคร่งเครียดถึงขีดสุด จ้าวเสวียนจีก้มหน้า สีหน้าอ่อนน้อม เอ่ยด้วยเสียงเบา “ขอฝ่าบาททรงอภัย กระหม่อมมิกล้าพ่ะย่ะค่ะ” “ไม่กล้า?” ฮ่องเต้ต้าสิงแค่นเสียงเย็น ก่อนจะก้าวออกจากที่ประทับมายืนตรงหน้าจ้าวเสวียนจี แล้วตรัสว่า “ยังมีสิ่งใดบ้าง ที่เจ้าไม่กล้า?” จ้าวเสวียนจีก้มหน้า เขามองเห็นช่วงล่างของฮ่องเต้ต้าสิงในระยะประชิด พระวรกายของฮ่องเต้ต้าสิงอ่อนแอยิ่งนัก ขณะทรงยืนอยู่นั้น พระวรกายก็สั่นเล็กน้อย ชัดเจนว่าการยืนอยู่นี้ลำบากอย่างยิ่ง ต้องใช้พลังทั้งหมดเพื่อทรงกาย แต่ถึงแม้จะเป็นเพียงชายชราอ่อนแรงดั่งเปลวเทียนกลางสายลม เพียงแค่พระองค์ยังมีลมหายใจ ยังลืมพระเนตร แผ่นดินต้าฉินก็ยังไม่ถึงคราวล่มสลาย “ตั้งแต่เจ้าฝังอาจารย์ของเจ้าคือหลินจือเป้าในคดีแสดงความยินดีปีใหม่ แล้วเริ่มรวบรวมพรรคพวก ผูกมิตรแบ่งพรรค ตั้งตัวเป็นใหญ่อย่างลับๆ ไปจนถึงเหตุการณ์สังหารหมู่ที่ด่านเย่ว์หยา แผนการลอบเร้นอันโหดร้ายแต่ละเรื่อง ล้วนสะเทือนใจอย่างยิ่ง เจ้าคิดว่าข้าจะไม่รู้หรือ? แล้วเจ้ากลับกล้ากล่าวว่าเจ้าไม่กล้า?” ถ้อยคำของฮ่องเต้ต้าส
“ซานเป่าใช้งานได้ดี หน่วยบูรพาก็ใช้งานได้ดี แต่ก่อนจะลงมือทำสิ่งใด หรือตัดสินใจต่อผู้ใด เจ้าจำเป็นต้องคิดให้รอบคอบว่า การกระทำของเจ้าจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องเช่นไรบ้าง” “หากซานเป่าตาย หน่วยบูรพาที่อยากอยู่รอดต่อไปก็จะต้องพึ่งพาเจ้ายิ่งขึ้น ดังนั้น เจ้าต้องใช้หน่วยบูรพาต่อไป และควบคุมหน่วยบูรพาไว้ให้มั่น การให้ซานเป่าตายจึงเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด” “ยิ่งไปกว่านั้น ราชสำนักปั่นป่วน ขุนนางทั่วแผ่นดินต่างลำบากใจกับหน่วยบูรพามานาน แต่หน่วยบูรพายังมีคุณค่าที่ควรคงไว้ การรักษาหน่วยบูรพาไว้ย่อมเป็นประโยชน์กับเจ้ามากกว่า ดังนั้น เจ้าห้ามแตะต้องหน่วยบูรพา แต่ซานเป่าล่ะ? ตายไปคนหนึ่ง เจ้าไม่เพียงควบคุมหน่วยบูรพาได้แน่นขึ้น แต่ยังปลอบใจขุนนางทั้งราชสำนัก ให้พวกเขาได้ระบายออกบ้าง ซานเป่าตาย มีแต่ได้ ไม่มีเสีย” ฮ่องเต้ต้าสิงเปรียบประหนึ่งชี้แนะด้วยใจจริง พระองค์ตรัสว่า “จ้าวเสวียนจีก็เป็นเหตุผลเดียวกัน หากจ้าวเสวียนจีตาย ราชสำนักจะวุ่นวาย ขุนนางไม่สงบ ประชาชนก็หวั่นไหว ที่สำคัญที่สุด คือแผ่นดินอาจระส่ำระสาย” “เมื่อบ้านขาดหมาร้ายเสียตัวหนึ่ง ญาติชั่วและเพื่อนบ้านเลวเหล่านั้น ก็จะเริ่มคิดว่า
เมื่อฮ่องเต้ต้าสิงตรัสมาถึงตรงนี้ ความหมายก็ชัดเจนยิ่งนัก หลี่เฉินถอนหายใจยาว เอ่ยว่า “ต่อให้ไม่ใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจวางใจได้อยู่ดีพ่ะย่ะค่ะ” ฮ่องเต้ต้าสิงมิได้กริ้ว พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ต้องรอให้เจ้าขึ้นครองราชย์ก่อน” “ขุนศึกเปลี่ยนตามกษัตริย์ ขุนนางตามยุค ฮ่องเต้ใหม่ย่อมมีขุนนางใหม่ จ้าวเสวียนจีคือหมากที่ข้าทิ้งไว้ให้เจ้าใช้สร้างอำนาจ แต่ตราบใดที่เจ้ามิได้ขึ้นครองราชย์ ก็ยังไม่อาจแตะต้องเขาได้ มิฉะนั้น ในสายตาขุนนางทั้งแผ่นดิน องค์รัชทายาทยังมิทันครองราชย์ ก็ฆ่าราชเลขาประจำสำนักราชเลขาเสียแล้ว แล้วเมื่อเจ้าขึ้นครองราชย์ พวกเขาจะยังมีทางรอดอีกหรือ?” “เฉินเอ่อร์ ในฐานะฮ่องเต้ ความคิดและวิสัยทัศน์ของเจ้า ห้ามจำกัดอยู่เพียงบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง จ้าวเสวียนจี มิใช่จ้าวเสวียนจี แต่เขาคือตัวแทนของกลุ่มคน กลุ่มราษฎรคือกลุ่มราษฎร อ๋องแห่งแคว้นคืออ๋องแห่งแคว้น ขุนนางท้องถิ่นคือขุนนางท้องถิ่น ขุนนางประจำเมืองหลวงก็คือขุนนางประจำเมืองหลวง” “เจ้าต้องมองเห็นพวกเขาเป็นตัวแทนของกลุ่มต่างๆ แล้วปรับกลยุทธ์ของเจ้าให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ใช้ว
ตามคำอธิบายและเรื่องราวของฮ่องเต้ต้าสิง หลี่เฉินก็เริ่มมองเห็นถึงเบื้องลึกในจิตใจที่แท้จริงของฮ่องเต้พระองค์นี้ สิ่งที่พระองค์ต้องการ คือการสืบทอดราชบัลลังก์โดยไม่ให้เกิดข้อผิดพลาด เพราะเรื่องนี้เกี่ยวพันถึงรากฐานของบ้านเมือง และขุนนางชั่วอย่างจ้าวเสวียนจี ก็คือประกันภัยอีกชั้นหนึ่งที่พระองค์วางไว้ ตราบใดที่จ้าวเสวียนจียังอยู่ เขาก็จะกระหายอำนาจ และต้องพยายามลดบทบาทของฮ่องเต้แน่นอน แต่การลดบทบาทของฮ่องเต้หาใช่ปัญหาไม่ ขอเพียงฮ่องเต้ยังคงดำรงอยู่ อ๋องแห่งแคว้นย่อมไม่อาจก่อหวอด สถานการณ์ก็จะยังดำเนินต่อไปได้ กล่าวได้ว่า ฮ่องเต้ต้าสิงได้วางหมากไว้สองทาง ทางแรก คือหวังว่าจะมีบุตรผู้หนึ่งสามารถเติบโตขึ้นมาเป็นกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ มีสติปัญญาและความสามารถลึกซึ้ง กอบกู้สถานการณ์ได้ แต่เรื่องนี้ยากเกินไป อย่างน้อยในขณะวางแผน ฮ่องเต้ต้าสิงเองก็มองไม่เห็นความหวัง ดังนั้นพระองค์จึงเตรียมทางที่สอง ผลักดันให้เกิดขุนนางชั่วคนหนึ่ง เพื่อรักษาความมั่นคงของการถ่ายโอนอำนาจ แม้ฮ่องเต้จะเป็นเพียงหุ่นเชิด ตราบใดที่ยังเป็นบุตรของฮ่องเต้ต้าสิง แผ่นดินก็จะไม่ล่มสลาย ส่วนอำนาจนั้
“เขาวางแผนมาอย่างยาวนาน บัดนี้ลูกกับเขาก็ถึงคราวแตกหัก ต่อให้มิใช่จ้าวเสวียนจี ลูกก็ไม่อาจอยู่อย่างสงบได้อีกแล้วพ่ะย่ะค่ะ!” หลี่เฉินเงยหน้าขึ้นอย่างกล้าหาญ จ้องสบสายพระเนตรของฮ่องเต้เบื้องหน้า แม้พระวรกายจะซูบผอมดั่งน้ำมันหมดไส้เทียนใกล้มอด แต่ก็ยังเปี่ยมด้วยพลังสุดท้าย แล้วกล่าวสิ่งที่อยู่ในใจออกไป ฮ่องเต้ต้าสิงทรงฟังด้วยรอยยิ้ม รอจนหลี่เฉินพูดจบจึงเอ่ยว่า “ข้ากล่าวไปแล้ว เขา มิใช่สิ่งที่ควรกังวล” “เจ้าจะฆ่าเขาก็ได้ แต่ไม่ใช่เวลานี้” หลี่เฉินขมวดคิ้ว สีหน้างุนงงยิ่งนัก ฮ่องเต้ต้าสิงทอดถอนใจเบาๆ แล้วตรัสว่า “สามารถเดินมาถึงจุดนี้ เจ้าก็เกินกว่าความคาดหวังเดิมของข้าไปมาก แม้แต่อีกหลายการจัดวางที่ข้าวางไว้แต่แรก ข้าก็ไม่คิดว่าเจ้าจะได้ใช้จริง แต่ก้าวแล้วก้าวเล่า เจ้าก็ผ่านมาได้ทั้งหมด” “เจ้าควรรู้ว่า บางแผนที่ข้าวางไว้นั้น เริ่มตั้งแต่เมื่อครานานมาแล้ว” หลี่เฉินนึกถึงพี่น้องสกุลอู๋ จึงพยักหน้า “พ่ะย่ะค่ะ เสด็จพ่อทรงวางแผนอย่างลึกซึ้ง ลูกนับถือยิ่งนัก” “รอจนเจ้าได้ขึ้นเป็นฮ่องเต้ เจ้าก็จะเข้าใจเอง” ฮ่องเต้ต้าสิงตรัสเสียงเรียบ “ข้าวางแผนไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ เจ้าคิดว่
จ้าวหรุ่ยเงยหน้าขึ้น แม้ใบหน้ายังคงซีดเซียวอ่อนแรง แต่กลับมีสีเลือดระเรื่อขึ้นเล็กน้อย “ฝ่าบาท รีบเสด็จเข้าไปเถิด” จ้าวหรุ่ยกล่าวจบ ก็หลีกทางไปด้านข้าง หลี่เฉินจับมือของจ้าวหรุ่ยแน่น แล้วจึงก้าวเข้าไปภายใน จ้าวเสวียนจีตามเข้าไปติดๆ นี่เป็นครั้งแรกที่จ้าวเสวียนจีสนทนากับจ้าวหรุ่ยหลังจากจ้าวหรุ่ยทรยศ “เจ้าคุกเข่าจนฮ่องเต้ทรงฟื้นคืนหรือ?” จ้าวเสวียนจีกล่าวเสียงเรียบ จ้าวหรุ่ยก้มหน้า ไม่กล้ามองจ้าวเสวียนจี เอ่ยเสียงแผ่วเบา “ฮ่องเต้ทรงมีฟ้าคุ้มครองเพคะ” “ข้าไม่คาดคิดเลยจริงๆ” จ้าวเสวียนจีทิ้งประโยคหนึ่งอย่างมีนัย แล้วจึงติดตามหลี่เฉินเข้าไป จ้าวหรุ่ยเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าถอยออกจากประตูตำหนักบรรทม ภายในตำหนักเฉียนชิง หลี่เฉินเห็นฮ่องเต้ต้าสิง...ทรงยืนขึ้นแล้ว พระองค์ทรงสวมเสื้อชั้นในสีเหลืองอ่อนที่เพิ่งผลัดเปลี่ยนใหม่ ซึ่งอาจนับเป็นชุดนอนหรือชุดชั้นในก็ได้ หลี่เฉินไม่รู้สึกแปลกตากับฉลองพระองค์ชุดนี้นัก ขณะฮ่องเต้ต้าสิงบรรทมบนเตียง ก็ทรงสวมเช่นนี้ แต่หลังจากเขาข้ามมิติมา ก็เป็นครั้งแรกที่เห็นฮ่องเต้ทรงมีสติและยืนอยู่ “อย่างไรหรือ เห็นข้าแล้ว ถึงกับลืมคำ