LOGINหากไม่ใช่โจรโง่ ๆ ที่สุ่มหาบ้านปล้นไปเรื่อย ก็ต้องเป็นคนคุ้นเคยที่รู้ว่ามันมีของมีค่าอะไรในที่แห่งนี้ ที่ดูผิวเผินเป็นแค่ร้านขายเสื้อธรรมดาบ้าง
กุญแจร้านถูกหมุนบิดจนปลดล็อคได้จากด้านนอก ง่ายดายเสียจนไม่มีเสียงรบกวนออกมา แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย
กระทั่งผู้บุกรุกก้าวเข้ามาจึงสังเกตได้ว่าบนพื้นมีรอยหยดน้ำ ซึ่งก่อนจะออกไปอิงอิงจำได้ว่าทำความสะอาดหมดแล้ว
หญิงสาวรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที เธอคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเป็นอาวุธก่อนจะย่องเข้าไปในร้านเมื่อมาถึงห้องด้านหลังถัดจากห้องน้ำมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับอยู่
"พี่ฮวาฮวา?" อิงอิงชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าใช่จริง ๆ
เมื่อรู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยเธอก็โล่งอก ตั้งใจจะหมุนตัวกลับไปปิดประตูร้าน ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้บุกรุกเข้ามาที่ร้านจริง ๆ และชายผู้นั้นเหมือนจะรู้ตัวว่าเธอไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในในร้านเพียงคนเดียว
กรี๊ดดดดด
เสียงกรีดร้องหวีดแหลมดังจนปลุกคนที่นอนอยู่ให้ตื่นขึ้นมา เว่ยหย่งฮวาสะดุ้งตัวโยน หันมองตามทิศทางของเสียง จากแสงไฟถนนที่ลอดเข้ามาทำให้เห็นเหตุการณ์ตรงหน้าได้ไม่ชัดเจน แต่เธอก็เห็นแล้วว่ามีคนสองคนอยู่ในห้องกับเธอทั้งที่เธอล็อคประตูไปแล้ว
หญิงสาวเจ้าของร้านก็กรีดร้องออกมาซ้ำสอง ตกใจทั้งผู้บุกรุกและอื่น ๆ เพราะมันเห็นว่ามีคนอยู่ในร้านมากกว่าหนึ่งก็รามือแล้วรีบวิ่งหนีออกไป
"อิงอิง! อิงอิงเหรอ!?" สองสาวเพิ่งมาหากัน กอดกันกลม ต่างคนต่างตัวสั่นเป็นลูกนก
"พี่ฮวาฮวา ฉันกลัวมากเลย วันนี้เข้ามาไม่นึกว่าพี่จะมาวันนี้ฉันนึกว่าเป็นโจร พอเห็นเป็นพี่ก็โล่งใจ แต่เจ้าคนนั้นน่ากลัวมากจริง ๆ ฉันรีบไปล็อคประตูก่อนนะ"
เธอกล่าวเร็ว ๆ รัว ๆ จนลิ้นพันกัน ก่อนจะรีบหันตัวออกไปปิดประตูลงกลอนอย่างรวดเร็ว ชายผู้นั้นต้องเข้ามาพร้อมเธอแน่ ๆ
"พี่นึกว่าเธอกลับบ้านไปแล้ว แล้วนี่ย้อนกลับมาทำไม"
"ฉันไม่สบายใจเรื่องเสื้อของพี่รอบนี้เลย กลับไปคงนอนไม่หลับแน่ฉันก็เลยกลับมาใหม่"
"เธอแจ้งลงเว็บร้านแล้วเหรอว่าสินค้ารอบนี้มีปัญหา"
เว่ยหย่งฮวาเป็นคนบอกลูกพี่ลูกน้องคนนี้เองว่าให้แจ้งสถานการณ์ที่หน้าเว็บไซต์ของร้านด้วย ลูกค้าบางคนตั้งใจรอสินค้าข้ามเดือนเพื่อให้ได้ใช้แบรนด์ของเธอ ซึ่งเธอก็รักษามาตรฐานตัวเองตลอด ทำให้ลูกค้ายังเหนียวแน่น
คืนนั้นเธอนอนค้างกับอิงอิงที่ร้าน แต่เกิดความไม่สบายใจบางอย่างจนเธอหลับไม่ลง เว่ยหย่งฮวารู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ค่อยดี กว่าเธอจะข่มตาหลับได้ก็เกือบเช้า
ไม่มีใครสามารถรู้ได้ว่าเช้าครั้งสุดท้ายของตัวเองจะมาถึงเมื่อไร เว่ยหย่งฮวาก็ไม่รู้เช่นกัน…
เช้าวันรุ่งขึ้น เว่ยหย่งฮวาก็ตื่นขึ้นมาในตอนสาย เธองัวเงียเปิดเข้าอีเมลว่าทางโรงงานติดต่อมาหรือยัง ซึ่งก็ตอบกลับมาจริงแล้วให้เธอถ่ายรูปส่งหลักฐานไป เว่ยหย่งฮวาไม่ลังเลที่จะส่งรูปที่ถ่ายตั้งแต่เมื่อคืนไป
เธอพบว่าอิงอิงตื่นนานแล้วและกำลังทำมื้อเช้าอยู่ในครัวเล็กๆ ของร้านที่มีประตูอีกบานปิดไว้กันกลิ่น
ป้าของเธอหรือก็คือแม่แท้ ๆ ของอิงอิง รับเธอไปดูแลตั้งแต่ยังเด็กหลังพ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตทั้งคู่ เว่ยหย่งฮวาไม่ค่อยมีความทรงจำเกี่ยวกับพ่อแม่หลงเหลือมากนัก แล้วก็ไม่ค่อยสนิทสนมกับครอบครัวของป้านอกจากอิงอิง
ป้าเลี้ยงดูเธอด้วยมรดกที่พ่อแม่ทิ้งไว้ให้ ไม่ได้เลี้ยงทิ้งขว้างแต่ก็ไม่ใส่ใจเท่าลูก ๆ ของตัวเอง ทำให้หญิงสาวค่อนข้างด้านชาทางความรู้สึกอยู่พอสมควร
อาจเป็นเหตุผลนี้ด้วยเช่นกันที่ทำให้ทีมงานในกองถ่ายไม่ชอบเท่าไร นอกจากตอนสวมบทเป็นตัวละครแล้ว เว่ยหย่งฮวาแสดงอารมณ์ค่อนข้างน่าเบื่อเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ รอบตัว
"อิงอิง พี่จะไปที่โรงงาน ฝากร้านให้เธอดูนะ"
"พี่เชื่อมือฉันได้เลย แต่ไม่ทานข้าวก่อนไปสักหน่อยล่ะ"
"พี่จะไปกินข้างนอกน่ะ อยากแก้งานให้เสร็จเร็วๆ"
"งั้นฉันใส่ตู้เย็นไว้ให้แล้วกัน"
เธอพยักหน้าให้อิงอิงผู้มีรอยยิ้มสดใสตลอดเวลา น้องสาวคนนี้เป็นความสดใสรอบตัวเธอที่ไม่มีใครเหมือน หญิงสาวยิ้มตอบผู้เป็นนอกก่อนออกไป
เว่ยหย่งฮวาเรียกแท็กซี่ไปส่งที่คอนโดแล้วจึงค่อยนำรถของตัวเองขับออกไป
ทั้งที่เป็นตอนกลางวันที่ไม่น่าจะมีอะไรบดบังทัศนวิสัยของคนขับได้มากเท่าตอนกลางคืน หรืออาจเป็นเพราะการอดหลับอดนอนเพื่อทำงานก็ไม่อาจรู้แน่ชัดในตอนนี้
แต่การที่รถบรรทุกจากเลนตรงข้ามพุ่งออกมาหลังสัญญาณไฟจราจรของฝั่งนั้นหมดลง เป็นอะไรที่เว่ยหย่งฮวาไม่ได้คาดคิดไว้
เธอไม่มีแม้เวลาจะกรีดร้องด้วยซ้ำ พาหนะหุ้มเหล็กถูกกระแทกจนตัวโครงสร้างยุบอย่างยับเยิน ทิวทัศน์เบื้องหน้าถูกย้อมไปด้วยเลือดของตัวเองที่ไหลลงมาจากศีรษะ ความเจ็บปวดเปลี่ยนเป็นความว่างเปล่าในที่สุด
"เคยมีทั้งได้และไม่ได้เกิดขึ้นทั้ง สองกรณี พวกท่านก็ทำใจเผื่อเอาไว้หน่อย คนความจำเสื่อมยิ่งหวาดกลัวมากเพราะอยู่ในสถานที่ที่ไม่รู้จักและคนที่ไม่รู้จัก แม้พวกท่านจะจำนางได้ รู้ว่านางเป็นใคร แต่นางไม่รู้อะไรเลยมีความหวาดกลัวและพะวงย่อมไม่แปลก""เข้าใจแล้ว ขอบคุณท่านหมอมาก" ฮูหยินให้คนไปส่งเขาก่อนจะเดินเข้าไปนั่งข้างบุตรสาว ซึ่งเธอก็แสดงออกอย่างชัดเจนว่ายังระแวงอยู่"เอาล่ะฮวาฮวา ถ้าจำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรพวกเรายังเป็นบ้านของเจ้าเสมอ ยังเป็นครอบครัวของเจ้า เพราะงั้นทำใจให้สบายเถอะนะ"ฮูหยินผู้มีสติกว่าสามีเอ่ยแนะนำคนใกล้ตัวของเธอให้ฟังทีละคนว่าใครเป็นใครบ้าง สาวน้อยที่ร้องห่มร้องไห้อยู่ข้างประตูตอนนั้นคือหนิงชิงชิง เป็นสาวรับใช้คนสนิทของร่างเดิม นางค่อยๆ คลานมาแนบใบหน้ากับขา ร้องไห้ไม่หยุดจนฮูหยินต้องปรามให้นางใจเย็นขึ้นหน่อย"คนที่สมควรต้องปลอบตอนนี้คือคุณหนูของเจ้า ทำไมมาร้องไห้แข่งกับนางเสียได้เล่า""ขออภัยเจ้าค่ะฮูหยิน ข้าดีใจมากนี่เจ้าคะ คุณหมอฟื้นแล้วแบบนี้ เหมือนฝันไปเลยเจ้าค่ะ"เว่ยหย่งฮวาพูดไม่ออก ถึงพูดออกก็บอกไม่ได้ เรื่องบางเรื่องให้เป็นความเข้าใจผิดตลอดไปอาจจะเป็นการดีกว่าให้รู้ค
เรือนไม้แห่งหนึ่งเงียบสงัด แสงจากตะเกียงริบหรี่ลง ทุกคนล้วนมีสีหน้าโศกเศร้า ผู้เป็นพ่อแม่ยังไม่อยากเชื่อว่านี่จะเป็นความจริง สิ่งที่เกิดขึ้นในตอนเย็นเมื่อวานกระทันหันเกินกว่าจะตั้งตัวได้ทันเสียงร้องไห้ของผู้เป็นแม่กรีดหัวใจคนฟังแทนไปแล้วว่านางเจ็บปวดเพียงใด คุณหนูสามบุตรสาวแท้ๆ เพียงคนเดียวของเสนาบดีเว่ยพลัดตกน้ำจนเสียชีวิตสร้างความตกตะลึงให้คนทั้งจวนก่อนจะกลายเป็นความเศร้าในเวลาต่อมา ใบหน้าของนางถูกผ้าสีขาวปักลายละเมียดละไมคลุมไว้หนิงชิงชิงน้ำตานองหน้า ปาดแล้วปาดอีกก็ยังไหลอยู่ นางสะอึกสะอื้นแทบไม่เป็นอันทำงาน จัดดอกไม้ขาวประดับรอบโลงแต่ละครั้งมือก็สั่น แต่นางก็ไม่ยอมให้คนอื่นทำแทน"คุณหนูเจ้าขา เป็นเพราะชิงชิงดูแลคุณหนูไม่ดีเอง ขอให้คุณหนูไปอยู่ที่ชอบๆ นะเจ้าคะ"เสียงรบกวนที่ดังแว่วเข้าหูนางมาได้ระหนึ่งรบกวนการนอนเป็นอย่างมากจนอดไม่ได้ที่จะลืมตาขึ้นมา ทว่าตัวนางกลับไม่มีเรี่ยวแรงจะขยับเลย ถ้ารู้ว่าจะหมดแรงง่ายขนาดนี้ กินข้าวฝีมืออิงอิงก่อนออกมาก็คงดีผ้าคลุมหน้าสีขาวถูกลมหายใจเป่ารดจนกระพือขึ้นน้อยๆ คนกำลังเอ่ยลาส่งผู้ตายชะงักมือที่กำลังวางดอกไม้รอบโลงด้านใน"คุณหนู…"ความเศร้าแป
หากไม่ใช่โจรโง่ ๆ ที่สุ่มหาบ้านปล้นไปเรื่อย ก็ต้องเป็นคนคุ้นเคยที่รู้ว่ามันมีของมีค่าอะไรในที่แห่งนี้ ที่ดูผิวเผินเป็นแค่ร้านขายเสื้อธรรมดาบ้าง กุญแจร้านถูกหมุนบิดจนปลดล็อคได้จากด้านนอก ง่ายดายเสียจนไม่มีเสียงรบกวนออกมา แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรเลย กระทั่งผู้บุกรุกก้าวเข้ามาจึงสังเกตได้ว่าบนพื้นมีรอยหยดน้ำ ซึ่งก่อนจะออกไปอิงอิงจำได้ว่าทำความสะอาดหมดแล้ว หญิงสาวรู้สึกระแวงขึ้นมาทันที เธอคว้าเก้าอี้ที่อยู่ใกล้มือขึ้นมาเป็นอาวุธก่อนจะย่องเข้าไปในร้านเมื่อมาถึงห้องด้านหลังถัดจากห้องน้ำมาก็พบว่ามีหญิงสาวคนหนึ่งนอนหลับอยู่ "พี่ฮวาฮวา?" อิงอิงชะโงกหน้าไปดูใกล้ ๆ ก็พบว่าใช่จริง ๆ เมื่อรู้ว่าเป็นคนคุ้นเคยเธอก็โล่งอก ตั้งใจจะหมุนตัวกลับไปปิดประตูร้าน ก่อนจะเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อเห็นผู้บุกรุกเข้ามาที่ร้านจริง ๆ และชายผู้นั้นเหมือนจะรู้ตัวว่าเธอไม่ได้เป็นคนที่อยู่ในในร้านเพียงคนเดียว กรี๊ดดดดด เสียงกรีดร้องหวีดแหลมดังจนปลุกคนที่นอนอยู่ให้ตื่นขึ้นมา เว่ยหย่งฮวาสะดุ้งตัวโยน หันมองตามทิศทางของเสียง จากแสงไฟถนนที่ลอดเข้ามาทำให้เห็
เว่ยหย่งฮวาอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านเต็มที เธอจึงตอบข้อความกลับไปว่าให้ลูกพี่ลูกน้องคนนั้นปิดร้านได้เลยเมื่อถึงเวลา เพราะวันนี้เธอจะไม่เข้าไป เว่ยหย่งฮวาไปที่ร้านสะดวกซื้อ ตั้งใจจะซื้ออะไรไว้กลับไปทานที่บ้านเพิ่ม อาหารงานเลี้ยงปิดกองมีมากมายแต่เธอแทบไม่ได้แตะอะไรบรรยากาศแบบนั้นคนที่จะกินได้อร่อยก็คือคนที่ไม่มีปัญหากับใคร เว่ยหย่งฮวาเชื่อว่าตัวเองไม่เคยมีปัญหากับใครมาก่อน ส่วนใหญ่เป็นการหาเรื่องจากฝ่ายนั้นเองทั้งนั้น ทั้งที่วันนี้หน้าตาอาหารน่าทานเป็นอย่างมาก แต่บรรยากาศงานเลี้ยงกลับแย่ที่สุดที่เธอเคยเจอ งานก่อนหน้านี้ไม่ว่าภาพยนตร์หรือซีรี่ส์ ทุกคนให้เกียรติเธอแม้ว่าเป็นนักแสดงอิสระ เว่ยหย่งฮวายืนรอขึ้นรถบัสสายประจำที่ป้ายรถ แต่แล้วฝนก็ตกลงมาอย่างหนักไม่ทันตั้งตัว เธอรีบเข้าไปหลบในซุ้มที่นั่งแบบมีหลังคา เว่ยหย่งฮวาอดคิดไม่ได้ว่าชีวิตวันนี้จะซวยซ้ำซวยซ้อนเกินไปแล้ว และเพื่อตอบสนองความคิดนั้นให้เด่นชัดขึ้นไป รถยนต์ที่ขับผ่านมาด้วยความเร็วระดับหนึ่งก็เหยียบน้ำขังที่พื้นก็กระเด็นมาโดนตัวเธอ นักแสดงสาวอยากจะกรี๊ดแต่ก็กรี๊ดไม่ออก สงสัยว
เสียงสังสรรค์ในงานเลี้ยงหลังปิดกล้อง ทำให้เว่ยหย่งฮวาอดรู้สึกน้อยใจตัวเองไม่ได้ เพราะท่ามกลางผู้คนที่มากมายนี้ตัวเธอกลับโดดเดี่ยว นอกจากผู้จัดการชั่วคราวที่ออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกแล้ว ก็ไม่มีใครเห็นหัวนักแสดงอิสระคนนี้อีก ไม่ว่าจะเป็นงานครั้งที่เท่าไรเว่ยหย่งฮวาก็ไม่เคยชินได้เลย อาจเพราะเธอไม่ยอมปีนขึ้นเตียงผู้กำกับพวกนั้น ทำให้เธอเป็นเพียงดาราลำดับสามที่กำลังตกกระป๋องเท่านั้น แต่เธอยอมเป็นดาราตกกระป๋องดีกว่าเป็นของเล่นให้ชายวัยกลางคนที่อ้วนลงพุงแบบนั้น "ทำไมถึงยังนั่งอยู่อีกกันนะ ไม่รู้สึกถึงบรรยากาศรอบตัวบ้างเหรอ" เสียงหนึ่งดังมาจากด้านหลัง ที่นั่งในห้องจัดเลี้ยงเป็นแถวยาวสามแถว เว่ยหย่งฮวานั่งอยู่แถวด้านในของโต๊ะจัดเลี้ยงแถวแรก เธอจำเสียงนั้นได้เพราะต่อบทกันมานักต่อนักแล้ว "อย่าพูดไปเชียวนะ ทำงานมาไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี ยังขึ้นแท่นนางเอกอันดับต้น ๆ ไม่ได้เลย" เว่ยหย่งฮวาอดจะกรอกตาไม่ได้จริง ๆ ก็คนที่พูดอยู่เมื่อไม่กี่วินาทีก่อน ความเป็นมนุษย์ช่างย้อนแย้ง แล้วที่เธอไม่ได้ขึ้นเป็นนางเอกก็เพราะไม่ได้ปีนขึ้นเตียงเหมือนเจ้าหล่อนไง







