เมื่อถูกทวงถามเรื่องไปพบกับครอบครัวของอนงค์นางภพธรก็นิ่งไป หลังจากที่เขากับอนงค์นางตกลงแต่งงานกัน ชายหนุ่มยังไม่ได้พาครอบครัวเข้าไปคุยรายละเอียดเลยสักครั้ง ช่วงนี้งานเขายุ่งเลยยังปลีกตัวไม่ได้สักที
"เต้ยยุ่ง น้องเข้าใจค่ะ ไว้หาเวลาว่าง ๆ นะคะ น้องกลับก่อนดีกว่าเดี๋ยวดึก เต้ยก็เข้านอนเร็ว ๆ นะคะ ห้ามเมานะ” สั่งเสียคนรักเรียบร้อยอนงค์นางก็ลุกขึ้นยืน ร่างสูงยังกอดเอวอวบไว้แน่น
"มีอะไรคะ” อนงค์นางนึกสงสัยกับอาการของคนรัก
"เปล่า ขับรถดี ๆ นะถึงแล้วโทรมาบอกด้วย” ภพธรบอกเมื่อคลายมือออกจากเอวของคนรัก
"รักเต้ยนะคะ รักมากกกกก” อนงค์นางลากเสียงยาว พร้อมกับฝังจมูกเล็ก ๆ ที่แก้มสากทั้งซ้ายขวา
"เต้ยคะ! น้องว่าจะถามอะไร ลืมเลยค่ะ” ร่างอวบอิ่มหันมาถามเมื่อเดินไปถึงประตูทางเดินลงบันไดไปชั้นล่าง
"ว่าไงครับ!” ภพธรหันไปทางต้นเสียง
"บ้านที่ปากช่องน่ะค่ะ พี่ธีทำท่าเหมือนไม่อยากรับงานนี้ น้องไม่ยอมนะคะ เต้ยต้องพูดกับพี่ธีให้น้องด้วย” อนงค์นางเพิ่งนึกขึ้นได้ถึงเรื่องที่คุยค้างไว้กับธีรเทพ คำว่าพี่ธีทำให้ร่างสูงหัวใจกระตุก
"น้องไปนะคะ เดี๋ยวน้องล็อกประตูให้เลย บายค่ะ” อนงค์นางโบกมือลาคนรัก แล้วเดินจากไป ฅ
ทิ้งให้ร่างสูงนั่งใช้ความคิดอยู่ที่เดิม ใช่สินะเขาลืมธีรเทพไปได้อย่างไร ที่ออฟฟิศธีรเทพมีอะไรหลาย ๆ อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะคนร่างบางที่ดูสวยขึ้น ใบหน้าสวยหวานที่ไม่ชอบแต่งแต้มสีสัน ตอนนี้กลับมีการแต่งเติมจนสวยขึ้นผิดตา ดวงตากลมโตที่จ้องมองเขาอย่างตกตะลึงนั่นอีกที่น่าสนใจ
และที่น่าสนใจมากที่สุดคือ ไอ้คนที่ถอดเสื้อคลุมแล้วโอบกอดเธอนั่นมันเป็นใครกัน เวลาแค่สามปีเท่านั้นทำให้ใครบางคนเปลี่ยนแปลงตัวเองไปได้ขนาดนี้เลยหรือ มือแกร่งเผลอกำเข้าหากันแน่น เขาอยากจะฟาดลงกับอะไรสักอย่างเพื่อระบายอารมณ์โกรธกรุ่น
เธอหลอกเขาทำไม หลอกให้เขาไปเรียนต่อทำไม ผู้หญิงคนนั้นเขาพยายามลืมมาตลอดเวลาสามปีเต็ม ๆ จนเขาคิดว่าลืมเธอไปแล้ว ‘มินรญา’ ผู้หญิงหลอกลวง เธอไม่เคยสนใจเขา ไม่เคยเห็นเขาในสายตา
ในขณะที่คนอื่น ๆ พยายามเข้าหาเขา แต่เธอกลับถอยหนี ยิ่งเขาเข้าใกล้เท่าไรเธอก็ถอยหนีมากเท่านั้น จนเขาคิดว่าเธอจะดีกับเขาเมื่อเธอเลิกหนี แต่เปล่าเลยเธอกลับส่งเขาให้ไปใช้ชีวิตโดดเดี่ยวในต่างแดนคนเดียว พอเขาคิดถึงอยากถามอยากคุยด้วย เธอก็ทิ้งเขาเหมือนเป็นของสิ่งของ
แก้วเหล้าข้างตัวแตกกระจายเมื่อร่างสูงปาเข้าฝาผนังเต็มแรง เสียงดังสะท้อนเพราะตอนนี้ทั่วบริเวณเงียบสนิท
Mean Talk
"มีน กลับดึกจังเลย" มาอีกแล้วไอ้เต้ยมันมาหลอกหลอนฉันอีกแล้ว อยากจะเอาหัวชนกำแพงตาย ก็ไม่ยุ่งแล้วไง ไม่สนใจ ไม่เห็น ไม่ทัก จะเอาอะไรกับมีนอีก ฉันถอนหายใจออกมาแรง ๆ เมื่อยืนสบตากับคนร่างสูงที่มายืนดักรอฉัน
"มีไร” ฉันตอบกลับแบบห้วน ๆ ไม่จำเป็นต้องพูดดีกับมัน
"มีน ที่บอกว่าไม่ให้ยุ่งเรื่องส่วนตัว คือแกต้องทำตัวห่างเหินกันขนาดนี้เลยเหรอ” มันยังมาถามใช่ไงไม่ต้องสนใจกันเลย ทำเป็นคนไม่รู้จักกันไปเลยได้ยิ่งดี
"ก็ไม่สบายใจไม่ใช่เหรอ ที่ฉันยังวนเวียนใกล้ ๆ น่ะ” ฉันย้อนมันเอาให้มันหน้าหงายไปเลย
"มีน” มันเรียกชื่อฉันสั้น ๆ จ้องหน้าฉันเขม็ง ตาโคตรดุจนฉันนึกกลัว มันจะมาไม้ไหนวะฉันเริ่มมองหาทางหนีทีไล่
"กินข้าวยัง” อ้าวไอ้นี่เปลี่ยนหัวข้อกะทันหัน ฉันยืนงงตามมันไม่ทัน
"กินมาแล้ว” มันพยักหน้ารับ
"ขอคุยด้วยหน่อย” มันขยับตัวยืนเต็มความสูงเหมือนจะไปไหน จากเดิมที่มันยืนหันหลังพิงกำแพงอยู่
"อืม ว่ามา” ฉันบอกแบบเซ็ง ๆ รีบ ๆ คุย ฉันจะได้ไปพัก
"ไปคุยบนห้องมีน ยุงกัด” มันพูดเหมือนไม่สนใจอะไร นั่นห้องผู้หญิงนะโว้ยขอขึ้นห้องเขาง่ายไปไหม ฉันส่ายหัวแทนคำตอบ
"คุยที่นี่แหละเข้าไปใต้อาคารมีโต๊ะนั่ง มีพัดลมยุงไม่กัด” ฉันบอกแล้วออกเดินนำหน้ามันไป
"เฮ้ย!” ฉันร้องอย่างตกใจเมื่อข้อมือข้างซ้ายโดนกระชากแรง ๆ จนเกือบหงายหลัง
"เป็นบ้าอะไรเนี่ย!” ฉันตวาดใส่มัน
อยู่ ๆ มาดึงแขนเจ็บนะโว้ย นั่นยังไม่ปล่อยอีก ฉันสะบัดแรง ๆ มันยิ่งบีบ เมื่อมองมันใกล้ ๆ แบบนี้เพิ่งเห็นตามันแดงก่ำ ไอ้เต้ยเมาใช่ไหมเนี่ย พอเข้าใกล้กันแบบนี้ฉันได้กลิ่นแอลกอฮอล์ฉุน ๆ จากมันทันที
"ไปห้องเต้ย!” มันเสนอทางออกให้ฉันแล้วออกแรงลาก เออดีนะเสนอทางออกให้ถามฉันสักคำไหม ฉันยังไม่ยอมเดินตามมัน สะบัดมือออกแรง ๆ จนมันรู้สึก แล้วหันมามองจ้องตาดุใส่ฉัน ไอ้เต้ยเป็นคนดุฉันรู้ เวลามันโกรธแบบนี้หน้ายิ่งน่ากลัวไปกันใหญ่
"เต้ย ๆ เจ็บ” ฉันพูดกับมันและได้ผลมันหยุดและหันมามอง แบบจ้องเขม็งตาแดงก่ำ ดีนะที่ควันไม่ออกหูด้วย ฉันแกะมือมันออกเบา ๆ มันยอมคลายมือออกแต่ไม่ปล่อย
"เต้ย คุยกันตรงนี้แหละมีอะไรก็รีบ ๆ พูดมา มีเรียนตอนเช้า การบ้านเยอะต้องรีบทำ” ฉันเอาน้ำเย็นเข้าลูบ เอาจริง ๆ นะฉันไม่อยากเสี่ยงกับอารมณ์ของมัน
"ให้ไปบนห้องสิเดี๋ยวช่วยทำการบ้าน" 0_0 พ่อเทพบุตร พ่อคนใจดีมีน้ำใจ
"เต้ยไม่ได้เรียนวิชานี้หรอก ทำเองได้ เต้ยปล่อยมือก่อนคนมองมา อาย" ฉันบอกมันอีกครั้งเมื่อมันยังจับข้อมือฉันอยู่แบบนั้น
"มีน ทำไมต้องหลบหน้าด้วย” มันเข้าประเด็นทันทีเหมือนกัน จนฉันตามไม่ทัน
"ก็ไม่ได้หลบไปไหน มหาลัยมันกว้าง คงไม่เจอกันเอง"
"เมื่อวานเต้ยเดินผ่านอาคารเอ มีนเดินหลบไปอีกทาง” อ้าวเห็นด้วยเหรอฉันตาโตเท่าไข่ห่านเมื่อโดนจับได้ ก็แค่ไม่อยากเจอ เห็นอยู่ว่าเดินกับแฟน
"อ้อ พอดีลืมนะว่าต้องไปเอารายงานที่ห้องอาจารย์"
"เหรอ บังเอิญจัง” มันยังจ้องมองฉันด้วยสายตาจับพิรุธฉันไม่ชอบแบบนี้เลย ฉันไม่ชอบให้ใครมาจับผิด มาบังคับให้ฉันพูดอะไร
"แล้วไงล่ะ แกจะเอาอะไรกับฉัน แกไม่ให้ฉันยุ่งเรื่องของแก ก็ไม่ทำไง ไม่ยุ่ง แกจะไปไหนกับใคร จะคบใครก็เรื่องของแก จบปะ พอทีเถอะ เหนื่อยปวดหัวด้วย”
ฉันสาดคำพูดใส่หน้ามัน นึกโกรธที่ยังมาวุ่นวายกับฉันอีก ฉันเกลียดมัน เกลียดไม่อยากเจอแล้ว
"มีน เต้ยไม่ได้ให้มีนทำแบบนี้ อยากให้มีนเป็นเหมือนเดิม เป็นเพื่อนกัน” เต้ยปล่อยมือฉัน มันพยายามอธิบาย ได้ ใช่ไง อยากให้เราเป็นเหมือนเดิมใช่ไหม มีนจัดให้
"ได้ เต้ย ก็ได้ เป็นเหมือนเดิมใช่ไหม เราไม่ได้สนิทอะไรกัน แค่มาจากโรงเรียนเดียวกันเท่านั้น ที่รู้จักกันเพราะแกชอบเดียร์ เริ่มคุยกันเพราะแกไปเที่ยวกับเดียร์ แล้วที่มายืนคุยกันเนี่ย เพราะว่าบังเอิญสอบติดที่เดียวกันไง ชัดไหม”
ฉันตะเบ็งเสียงใส่หน้ามัน หมดความอดทน ฉันบอกตัวเองเมื่อหันหลังวิ่งขึ้นตึกด้วยตาพร่ามัว น้ำตามาจากไหนกันนะ
ฉันไม่ได้อยากร้องสักหน่อยบังเอิญไง บังเอิญทุกอย่าง ที่ฉันต้องมาเรียนขีด ๆ เขียน ๆ เนี่ย เพราะบังเอิญ ฉันเสือกรู้ไงว่ามันเลือกที่นี่เป็นอันดับหนึ่ง หัวฉันไม่ไปคงเรียนวิศวะฯ ไม่ไหว ที่เลือกมาเรียนสถาปัตย์เนี่ย เพราะบังเอิญมันมีวิชาที่ได้เรียนด้วยกันกับมึงไงไอ้เต้ย ไอ้บ้า ไอ้ควาย กลับไปกินหญ้าต่อเลยไป ฉันวิ่งหนีมันพร้อมกับตะโกนด่ามันในใจตลอดทางหลังจากวันนั้นไอ้เต้ยก็ไม่มายุ่งกับฉันอีกเลย แต่ฉันก็ยังเห็นมันอยู่เรื่อย ๆ เพราะเราพักอยู่หอเดียวกัน เต้ยเลิกกับเดียร์แล้ว เดียร์ก็ไม่ได้ฟูมฟายอะไรคงเป็นเพราะพวกเรากำลังเข้าสู่วัยที่เริ่มเปลี่ยนแปลง มีหลายอย่างใหม่ ๆ เข้ามาในชีวิตมากมายทั้งเพื่อน เรื่องเรียน และกิจกรรม จนกระทั่งเรื่องของเต้ยก็โดนฝังกลบไปตามเวลา แต่ใจฉันก็ยังคิดถึงมันเสมอ
End Talk.
“เฮ้ย!”ผมร้องเสียงดัง เมื่อสายน้ำเบ่งของเก่าออกมาทางตูด! เจ๊มดที่นั่งข้างๆวิ่งเลยครับ ไม่ได้วิ่งมาช่วยนะ นางวิ่งหนีไปหน้าประตูครัวโน้น ไหนใครบอกว่ามดยิ้มรักน้อง! “สายน้ำทำอะไรเนี่ย หึ้ย!วางระเบิดพ่อได้ไง”ผมพูดกับสายน้ำ เอาไงดีล่ะผมน่ะเลี้ยงลูกได้ แต่ตอนอึเนี่ยบอกตรงๆผมไม่ชอบเลย เด็กห้าเดือนนะ คุณคิดภาพตามดิ เหมือนซุปข้าวโพดอะ แล้วกลิ่นเนี่ยไม่ต้องพูดถึง พูดแล้วขมคอ ตอนนี้ผมมีทางเลือกสองทางคือหนึ่งโทรตามเด็กที่บ้านใหญ่ให้มาจัดการลูก และสองคือผมทำเอง . . . “มดยิ้มหยิบผ้าขนหนูน้องให้พ่อหน่อยลูก!”ครับตามที่เห็น ตอนนี้ผมจัดการกับสายน้ำแล้วครับ พามาล้างอึในห้องน้ำแล้วก็อาบน้ำให้เลยครับ “มดยิ้มลูก ได้ยินพ่อไหม”ผมตะโกนถามเจ๊มดอีกครั้ง ไม่นานก็เห็นร่างเล็กๆเดินเข้ามาในห้องน้ำ มดยิ้มถือผ้าขนหนูมาวางไว้ให้น้องด้วยสีหน้าเบื่อหน่าย นางยืนกอดอกดูน้องที่เล่นน้ำในอ่างด้วยสีหน้าที่เดาอารมณ์ไม่ออก แต่ผมจะบอกว่าโครตเหมือนมีนเลยครับ หน้าแบบนี้การกระทำแบบนี้ มันมีนชัดๆเวลาที่ผมเมาแล้วงอแง มีนก็จะมายืนทำหน้าแบบนี
“แล้วมึงกับแก้วไปถึงไหนกันแล้ววะ”ผมถามตรงๆ อยู่กันมาขนาดนี้ก็ไม่ต้องอ้อมค้อมแล้ว สองปีแล้วที่มันวิ่งไปกลับแบบนี้ มันก็น่าจะได้อะไรกลับมาบ้างแหละ “เหมือนเดิม” “แค่เนี้ย” “อืม...”ไอ้ธามตอบก่อนจะหันไปหาลูกผมบนตักมีน เหมือนเดิมอีกแล้วเอากับมันสิ แล้วไอ้ที่ว่าเหมือนเดิมน่ะคืออะไรวะ ผมสงสัยต่ออีกนิด “เดือนหน้าเนยจะย้ายไปอยู่อังกฤษ”อยู่ๆไอ้ธามก็พูดเรื่องนี้ออกมา หลังจากที่เราย้ายกันมานั่งดื่มกันที่หน้าบ้าน “อ้าว...ไปอยู่เลยหรือแค่ไปเที่ยว”ผมถามกลับหลังจากเติมเครื่องดื่มในแก้วให้มัน วันนี้มันดื่มหนักนะผมว่า เพราะผมเติมให้มันแบบแก้วต่อแก้วเลย “ไปอยู่เลย...” “อ้าวแล้วลูกมึงล่ะ” “ก็ไปกับแม่มัน” “มึงมีอะไรจะบอกกูไหม” “ไม่มี กูแค่คิดถึงลูก”มันพูดพร้อมกับกระดกแก้วเหล้าเข้าปากอีกคำใหญ่ ผมก็พูดไม่ออกครับ ไม่เข้าใจในความสัมพันธ์ของพวกมัน ตั้งแต่ที่มันรู้ว่ามีลูกกับน้องเนยมันก็เสนอช่วยดูแลลูก ก็ทำแบบที่ผมทำกับมีนนี่แหละครับ แต่มันไม่ได้เอาแม่แบบผม ก็อย่างที่พวกคุณรู้ ใ
“แม่มีน ตื่นแล้วหรอคะ มดยิ้มขอโทษ มดยิ้มจะมาหาน้องค่ะ”พอได้ยินเสียงแม่แค่นั้นแหละ เจ้าตัวเล็กข้างๆผมหน้าเสียเลยครับ “มดยิ้มย่องแล้วค่ะ มดยิ้มไม่ได้ตั้งใจ”นี่คือคำพูดเด็กห้าขวบจริงๆใช่ไหม:) “ไม่เป็นไรค่ะลูก มาหาแม่มา มาให้แม่ดูสิคะว่าพ่อใส่กระโปรงถูกหรือเปล่า”มีนขยับตัวลุกขึ้นนั่ง แล้วเรียกคนตัวเล็กเข้าไปหา พร้อมกับจับลูกหมุนดูนี่นั่นสำรวจไปทั่วตัวลูก ใช่ผมเคยใส่กระโปร่งให้ลูกกลับด้าน แล้วไงวะก็แค่สี่ห้าครั้งเอง:( “น้องตื่นยังคะ” “ยังเลยค่ะน้องเพิ่งหลับ เมื่อคืนน้องงอแงค่ะ แม่มีนเลยตื่นสาย”ยัยตัวเล็กถาม เพราะเมื่อคืนมดยิ้มของผมไปนอนบนตึกใหญ่มาครับ เด็กเพิ่งเอามาส่งให้เมื่อเช้านี้เอง ก็เหมือนเดิมครับ เจ้มดก็ยังต้องเดินสายนอนกับอาม่า นอนกับก๋งเหมือนเดิม ใครว่ามีลูกใหม่พวกเค้าจะเห่อมดยิ้มน้อยลง เปล่าเลยครับ นอกจากจะไม่เบื่อแล้ว แถมยังเอามดยิ้มไปนานกว่าเดิมอีก เพราะไม่อยากให้มดยิ้มมากวนแม่กับน้อง ผมว่ามันคือข้ออ้างครับ คนโตอยากได้มดยิ้มไปนอนกอดเลยเอาน้องมาอ้างมากกว่า “มดยิ้มทานข้าวยังคะ” “ทานแล้วค่ะ
“คุณพ่อไปไหนมาคะ”เจ้ามดยิ้มร้องถาม พร้อมกับวิ่งมากอดที่เอวผม ออลืมบอกไปตอนนี้มดยิ้มสูงเลยหัวเข่าผมมาแล้วครับ เด็กห้าขวบกับความสูงแค่นี้คุณว่าปกติไหม ก็อย่างว่ามีนมันเตี้ย ส่วนผมก็เสือกสูงเองลูกเลยไม่รู้ว่าอันไหนคือมาตฐาน นาทีนี้ตัดเรื่องความสูงมดยิ้มไปก่อน เมื่อผมอุ้มลูกขึ้นมาจากพื้น แล้วเดินไปหาคนที่นอนอมยิ้มบนเตียง มีนนะมีนไม่ต้องมาขำเลย ผมงอนจริงด้วยงานนี้ “มีนเป็นไงบ้าง”ผมเอ่ยถามเมื่อมายืนข้างเตียง “มีนน่ะสบายดี ห่วงตัวเองก่อนไหมตี๋ฮาๆๆ”สิ้นเสียงของคนที่ว่าแดกผม คนในห้องก็พากันขำกระจายครับ เจ็กเก้าครับเขาก็คือคู่ปรับตลอดกาลของผมเอง “มีนไม่เป็นไร เต้ยล่ะเป็นไงบ้าง”ใช่เวลาห่วงผัวไหมเมีย ยิ่งเมียถามกลับมาแบบนี้คนให้ห้องก็ยิ่งได้ใจครับ ขำกันหนักกว่าเดิมอีก “พอๆ อย่าล้ออะไรมันมากเลยแค่นี้มันก็อายจะแย่แล้ว ตี๋ป๊ากับม๊าดีใจมากที่ได้หลานชาย ขอบใจมากนะ ชอบใจมากนะมีน”ป๊าเอ่ยขัดขึ้น ก่อนจะขอบใจผมกับลูกสะใภ้อย่างสุดซึ้ง พ่อกับแม่มีนด้วยครับ ท่านทั้งสองมองมาที่ผมด้วยสายตาอ่อนโยนจนผมขนลุก ไม่บอกก็รู้ว่าท่านทั้งสองมีความสุขมากเช่น
“มีน มีน ไม่เป็นไรนะมีน ถ้ามีนเจ็บมีนปวดจนทนไม่ไหวบีบมือเต้ยนะ จะกัดเต้ยก็ได้”นี่เป็นคำพูดของผมครับ เพราะทันทีที่มาถึงโรงพยาบาลหมอก็พาคนตัวเล็กเข้าห้องคลอดทันที ผมก็เข้ามาด้วยเพราะเราฝากท้องแบบพิเศษครับ พิเศษสุดๆเลยเอาแบบที่โรงพยาบาลจะจำเราได้ไปอีกนาน และอยากให้เมียผมท้องทุกปีเลยล่ะครับ ลืมบอกไปวันนี้มีนเจ็บท้องและกำลังจะคลอดครับ “เต้ยมีนไม่เป็นไร มาคลอดลูกไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”คนตัวเล็กยังพยายามบอกให้ผมโอเค ทั้งๆที่มือเธอยังกำมือผมไว้แน่น เหงื่อก็เริ่มซึมออกมาตามหน้าผาก แถมหน้าก็ซีดลงๆ เอาจริงๆผมไม่รู้หรอกครับว่าเจ็บท้องคลอดลูกเนี่ยมันเจ็บขนาดไหน แต่สำหรับผมแค่มีดบาดก็โครตเจ็บแล้วครับ ภรรยาผมเธออดทนมากแต่ผมรู้ว่าเธอกำลังเจ็บมาก ยิ่งคิดมาถึงตรงนี้ยิ่งโมโหตัวเองครับ เพราะต่อให้มีเงินล้นฟ้าก็ช่วยให้เมียหายเจ็บไม่ได้ เพราะเมียผมเลือกจะคลอดตามธรรมชาติครับ เธอไม่ผ่าคลอดเพราะเมื่อตอนคลอดมดยิ้มเธอก็คลอดเอง แล้วไงล่ะครับทีนี้ก็เลยลำบากมายันผม ทำไมนะหรอครับก็ผมเนี่ยอยากจะเจ็บแทนเธอไง “มดลูกขยายอีกสองเซนเเล้วค่ะ คุณแม่อย่าเพิ่งเบ่งนะคะ รออีกนิด”หมอคนที่ทำหน้า
คุณญดาตื้นตันจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่เมื่อได้เห็นลูกสมหวัง หมดเคราะห์หมดโศกแล้วนะลูกท่านคิดในใจ เมื่อเอื้อมมือมาลูบหัวลูกรัก ผู้ใหญ่อวยพรให้คนทั้งสอง บ่าวสาวขอบคุณก่อนจะเดินขอบคุณแขกที่มาร่วมงาน ถึงแม้มินรญาจะกำชับให้จัดแค่งานเล็ก ๆ แต่ครอบครัวของภพธรเป็นครอบครัวใหญ่ เฉพาะญาติ ๆ ก็เกือบ ๆ ร้อย ไม่รวมเพื่อนร่วมรุ่นและรุ่นน้องที่แห่กันมาอวยพรและแสดงความยินดีกับเธอ อธิปกับแก้วสุนีย์มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว มินรญาสังเกตอาการคนทั้งสองตามคำบอกเล่าของภพธร จะเป็นอธิปที่คอยเอาใจแก้วสุนีย์เสียส่วนใหญ่ ในขณะที่แก้วสุนีย์ยังเฉยจนดูไม่ออก งานแต่งงานที่จบไปเมื่อตอนเช้าสร้างความเมื่อยล้าให้ว่าที่คุณแม่ลูกสองไม่น้อย ใช่มินรญากำลังจะกลายเป็นคุณแม่ลูกสองอีกครั้ง เพราะตอนนี้เธอตั้งท้องได้สองเดือนแล้ว หลังจากที่รู้ว่าท้องภพธรก็ไม่ให้เธอทำอะไรอีกเลย ให้เธอดูแลลูกกินแล้วก็นอน เวลาที่มดยิ้มไปโรงเรียน มินรญาก็ทำงานบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ หลังจากออกมาจากโรงพยาบาลมินรญาก็ถูกสั่งให้ย้ายมาอยู่บ้านใหญ่ทันที เพราะทุกคนต่างก็รักและเป็นห่วงเธอ แต่คืนวันเสาร์อาทิตย์ภพธรจะ