หลังเหตุการณ์ที่หุบเขาหยกขาวสงบลง หยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นพักฟื้นอยู่ที่กระท่อมของหลัวซิง แม้ร่างกายจะฟื้นตัวเร็ว แต่สิ่งที่ตกค้างอยู่ภายในใจกลับไม่ง่ายนักจะเยียวยา
หลัวซิงบาดเจ็บหนักจนต้องปิดด่านฝึกเพื่อรักษาชีพจรพลังลมปราณชั้นใน หยางเหวินจึงใช้เวลานั่งสมาธิในเรือนไม้หลังเล็กทุกเช้า ทบทวนลมหายใจของตนอย่างเงียบงัน
แต่ในหนึ่งวันนั้น ระหว่างหายใจเข้า เขากลับได้ยินเสียงที่ไม่ใช่เสียงของตน
“ช่วยข้าด้วย”
เสียงหนึ่งดังขึ้นในหัวของเขา เงียบ แผ่ว แต่ชัดเจนราวกับใครมากระซิบข้างใบหู เขาลืมตาขึ้นทันที จังหวะลมหายใจขาดสะบั้นชั่วขณะ
“เป็นอีกแล้วหรือ”
หยางเหวินพึมพำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เขาได้ยินเสียงแปลกประหลาดเหล่านี้ ทุกครั้งที่เขาฝึกหายใจลึก เสียงของผู้คนที่ไม่เคยเห็นหน้ากลับผุดขึ้นในจิต
วันหนึ่ง เขาทดลองฝึกลมหายใจแบบ “สะท้อนกลับ” ตามคำสอนของหลัวซิง โดยจินตนาการว่าไม่ได้หายใจเพื่อตนเอง แต่เพื่อสะท้อนจังหวะของผู้คนรอบข้าง
พริบตานั้นเอง
เสียงหนึ่งก็แว่วชัดขึ้นกว่าเดิม
“ข้าชื่อหลิ่งฮวา เจ้าคือผู้ที่ข้าทิ้งลมหายใจไว้ให้”
หยางเหวินเบิกตากว้าง เขาไม่รู้จักคนที่ชื่อหลิ่งฮวา ไม่เคยพบหญิงใดชื่อนี้ แต่เมื่อเสียงนั้นแว่วมา ภาพของสตรีคนหนึ่งในชุดม่วงหมอก ปรากฏในจิตเขา เหมือนฝันซ้อนฝัน
ยามค่ำวันนั้น หยางเหวินเดินออกไปยังสระน้ำด้านหลังเรือน น้ำเย็นใสราวกระจกสะท้อนเงาจันทร์เต็มดวง ท้องฟ้าไร้เมฆ กระแสลมสงบ
เขานั่งลงข้างสระ ปล่อยลมหายใจให้ไหลเป็นจังหวะ หยิบหินแบนขึ้นมาปาไปเบา ๆ แล้วเอ่ยเสียงแผ่ว
“หลิ่งฮวา เจ้าคือใครกันแน่?”
ทันใดนั้น เงาในสระกระเพื่อม เกิดเป็นภาพสตรีในชุดม่วงหมอกนั่งขัดสมาธิกลางสระ ใบหน้าอ่อนหวานแต่แฝงความเศร้า นางมองเขาด้วยแววตาที่แปลกประหลาด ทั้งคุ้นเคยและห่างไกล
“เจ้าฟังเสียงของข้าได้ แสดงว่าเจ้าถือครองลมหายใจของข้า แม้ข้าจะตายไปแล้ว”
“ลมหายใจของเจ้าหรือ?” หยางเหวินถาม
“ข้าเคยใช้วิชาสะท้อนลมหายใจ เพื่อผนึกบางสิ่งที่ไม่ควรอยู่ในยุทธภพไว้ในร่าง ข้ารู้ว่าสักวันหนึ่ง จะมีผู้สืบทอดวิชานี้ และเจ้า ก็คือผู้สืบนั้น”
หยางเหวินใจเต้นแรง เขาเอ่ยด้วยเสียงต่ำ “เจ้ารู้จักพ่อแม่ของข้าหรือไม่?”
หลิ่งฮวานิ่งเงียบไปชั่วขณะ “บิดาของเจ้า เคยร่วมศึกกับข้า เขาเป็นหนึ่งในผู้ถือครองคัมภีร์กลับด้านเช่นกัน แต่ถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศ เช่นข้า เราคือผู้ยอมสูญเสียชื่อเสียงเพื่อปิดผนึกวิชานี้”
หยางเหวินหลับตา พยายามกลั้นเสียงสะเทือนในอก
“ข้ากำลังหาคำตอบว่าข้าเป็นใคร หากข้าคือผู้ที่แบกพลังของผู้อื่น ข้ายังจะเป็นข้าหรือไม่?”
หลิ่งฮวายิ้ม เงาของนางค่อย ๆ จางลง
“เจ้าคือเจ้า แต่เจ้าจะเป็นสิ่งที่ยิ่งกว่าเดิม หากเจ้ายอมเข้าใจเสียงของผู้อื่นด้วยหัวใจ”
จากนั้น ภาพสะท้อนก็เลือนหาย ทิ้งเพียงผิวน้ำที่เงียบสงบ
รุ่งเช้าถัดมา แสงอาทิตย์อ่อนสาดผ่านม่านไม้ไผ่ หยางเหวินเดินออกจากเรือนพร้อมสีหน้าครุ่นคิด เขาเดินไปที่ลานฝึกหน้าผา ซึ่งไป๋หรูอวิ๋นยืนหลับตาอยู่กลางลาน พิณวางนิ่งข้างตัว ราวกับนางรู้ว่าเขาจะมา
“เจ้าดูเหมือนนอนไม่หลับ” นางเอ่ยโดยไม่ลืมตา
“ข้าเริ่มฝึกได้ยินเสียงลมหายใจของผู้อื่น”
“ของข้าเจ้าก็เคยได้ยินแล้วมิใช่หรือ?” นางลืมตาขึ้น แววตาเป็นประกาย เหมือนแฝงความขบขันเล็กน้อย
“แต่เมื่อคืน ข้าได้ยินเสียงของผู้ตาย”
ไป๋หรูอวิ๋นชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะเดินเข้าใกล้
“เล่ามา”
หยางเหวินจึงเล่าเรื่องเสียงของหลิ่งฮวา และภาพที่เห็นในสระน้ำนั้นให้ไป๋หรูอวิ๋นฟังจนหมด นางนิ่งไปครู่ใหญ่แล้วกล่าว
“บางที เจ้าอาจกำลังอยู่ระหว่างสองภพ”
“สองภพ?”
“โลกนี้ และโลกที่ถูกลมหายใจของผู้จากไปกลบไว้” นางยกมือแตะหน้าอกหยางเหวินเบา ๆ
“เจ้าถือครองลมหายใจหลายสาย ไม่แปลกที่เจ้าจะได้ยินเสียงที่ไม่ใช่ของตน แต่หากเจ้าปล่อยให้เสียงเหล่านั้นกลบตัวตนเจ้าจนหมด วันหนึ่งเจ้าจะลืมหายใจเป็นของตัวเอง”
หยางเหวินนิ่ง เขาหลับตา และลองสูดลมหายใจเข้าอีกครั้งแต่ครั้งนี้ เขาสัมผัสได้ถึงเสียงหายใจของไป๋หรูอวิ๋นซ้อนเข้ามา จังหวะนุ่มลึกแต่ไม่มั่นคงนัก เหมือนคนที่พยายามหายใจแทนใครบางคนมาเนิ่นนาน
“ไป๋หรูอวิ๋น เจ้า”
“ใช่ ข้าไม่มีลมหายใจของตนเอง” นางตอบก่อนเขาจะถามจบ
“เจ้ารู้ได้อย่างไร?”
“เพราะข้าได้ยินเสียงของเจ้าซ้อนทับอยู่ในตัวข้า ตั้งแต่คืนที่เจ้าฝึกลมหายใจย้อนกลับครั้งแรก”
หยางเหวินมองนาง แววตาหนักแน่นขึ้น
“งั้นพวกเราคงต้องฝึกด้วยกัน ฟังเสียงของกันและกันให้ชัดเจนที่สุด ก่อนที่เสียงของใต้หล้าจะกลบเราทั้งสอง”
ไป๋หรูอวิ๋นพยักหน้าเบา ๆ
ภายใต้แสงตะวันสาย ลานฝึกหน้าผาเงียบสงบ มีเพียงเสียงลมพัดเบา ๆ ผ่านปลายหญ้า ไป๋หรูอวิ๋นและหยางเหวินนั่งประจันหน้าโดยมีเพียงช่องว่างของลมหายใจคั่นกลาง
“เจ้าพร้อมหรือยัง” นางถาม
“ข้าพร้อม หากเจ้าอยู่ข้างข้า”
นางหลับตา และเขาก็ทำตาม
หลัวซิงเคยกล่าวไว้ว่า พิธีหายใจร่วม คือการเปิดใจทั้งหมด มิใช่แค่พลัง แต่รวมถึงอดีต ความรู้สึก และความเปราะบางของจิตวิญญาณ
ทั้งสองเริ่มปรับลมหายใจให้สอดคล้องกัน สูดเข้าในจังหวะเดียวกัน ปล่อยออกพร้อมกัน กระแสลมที่เคยวุ่นวายรอบตัวพลันสงบลง กลายเป็นวงแหวนของพลังไร้เสียงหมุนวนรอบลานฝึก
ณ ใจกลางนั้น หยางเหวินมองเห็นอดีตของไป๋หรูอวิ๋นผ่านห้วงจิต
เด็กหญิงผู้ต้องอยู่ในใต้หล้าที่ไร้ลมหายใจของตน ตั้งแต่เกิด...
สตรีน้อยผู้ฟังเสียงลมหายใจของทุกผู้คนเพื่อมีชีวิตอยู่ต่อไป...
และการพบกันครั้งแรกของนางกับหลัวซิง ใต้เงาต้นเหมยเก่าแก่ที่กำลังผลิใบ...
ในขณะเดียวกัน ไป๋หรูอวิ๋นก็สัมผัสได้ถึงเสียงกรีดร้องในความเงียบของหยางเหวิน ความว่างเปล่าที่เขาตื่นมาพบเสมอในยามเช้า ความรู้สึกแปลกแยกจากใต้หล้าใบนี้ ราวกับเป็นผู้มาเยือนโดยไร้คำเชื้อเชิญ
เมื่อทั้งสองเปิดใจถึงกันอย่างถึงที่สุด ลมหายใจที่เคยเป็นของใคร ก็กลับมาเป็นของตน
กระแสพลังเคลื่อนจากกลางอกขยายสู่เส้นลมปราณ ลวดลายแสงเรืองบนผิวหนังราวมังกรและหงส์ประสานกัน ลานฝึกถูกคลุมด้วยม่านพลังจาง ๆ
ทันใดนั้น พลังบางอย่างปะทุขึ้นจากใจกลางดินใต้ลานฝึก เสียงแผ่นหินแตกสะเทือน!
“พลังสะท้อนจากพิธี มันเผยเส้นทางลับ!” หยางเหวินลืมตาขึ้นอย่างตะลึง
พื้นหินตรงกลางลานแตกออก เผยบันไดหินวนลงสู่ความมืดที่ไม่มีใครเคยรู้ว่ามีอยู่
ไป๋หรูอวิ๋นหอบหายใจเบา ๆ
“หรือว่าที่นี่ คือจุดเริ่มต้นของคัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน?”
หยางเหวินพยักหน้า
“ถึงเวลาแล้ว ที่เราต้องหายใจเข้า เพื่อความจริง”
คืนหนึ่ง หยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นนั่งเคียงกันที่เรือนริมหน้าผา ยามค่ำคืนทาบเงาให้ทั่วผืนป่า และสายลมพัดเย็นจนเปลวเทียนบนโต๊ะกลางห้องสั่นไหวหยางเหวินกำลังร้อยสร้อยหินหยกเส้นเล็กด้วยมืออย่างตั้งใจ เขาไม่ได้พูดอะไรมาเป็นเวลานาน แต่สีหน้าเต็มไปด้วยสมาธิไป๋หรูอวิ๋นนั่งมองเขา มือประคองถ้วยชาร้อนเอาไว้ ริมฝีปากโค้งขึ้นเล็กน้อยราวกับไม่อาจห้ามใจ“เจ้ารู้ไหม” เขาพูดขึ้นในที่สุด โดยไม่เงยหน้าขึ้นจากสายสร้อย “ข้าร้อยสร้อยเส้นนี้ตั้งแต่เมื่อสามเดือนก่อน แต่เพิ่งมาถักปมสุดท้ายได้วันนี้”“เพราะอะไร?”“เพราะวันนี้ ข้ารู้สึกว่ามีอะไรที่สมบูรณ์มากพอแล้วจะมอบให้แก่เจ้า”นางรับสายสร้อยมาอย่างเงียบงัน หยกเขียวที่ถูกขัดจนใสราวหยดน้ำวางอยู่บนฝ่ามือ“เจ้าเคยบอกว่า ไม่ต้องการสิ่งผูกมัด”“ข้าเคยคิดเช่นนั้น” เขาพยักหน้า “แต่ตอนนี้ ข้าแค่อยากให้เจ้ารู้ว่า ไม่ว่าเราจะเดินไปที่ใด สายลมหายใจของข้าจะมีกลิ่นชาอบอุ่นแบบเจ้าเสมอ”ไป๋หรูอวิ๋นเงยหน้าขึ้น ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย“ข้าก็คิดเหมือนกัน แต่อยากให้เจ้ารู้ไว้ว่า ข้ากลัว...”“กลัวอะไร?”“กลัวว่าสักวันหนึ่ง เจ้าจะไม่หายใจอยู่เคียงข้า” นางกล่าวเสียงแผ่วเบาหยางเหวินย
เสียงพิณจากหอเล็กด้านหลังดังขึ้นเบา ๆ เป็นศิษย์สาวคนหนึ่งที่กำลังฝึกบรรเลง“เจ้าจำเพลงแรกที่ข้าเล่นให้เจ้าฟังได้หรือไม่?” ไป๋หรูอวิ๋นถาม“จำได้สิ มันคือ คืนแรกที่ข้าเห็นเจ้าผ่านสายลมและเสียงพิณ”“ตอนนั้นเจ้ายังแทบจะควบคุมลมหายใจของตนไม่ได้”“ตอนนี้ ข้ากลับรู้สึกว่า ลมหายใจของข้าสงบที่สุดเมื่ออยู่กับเจ้า” หยางเหวินยิ้มเสียงพิณยังดังต่อไปเบื้องหลัง ขณะที่สองเงานั่งเคียงกันท่ามกลางแดดยามสายค่ำคืนนั้น แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องทะลุม่านบางหน้าต่าง ตกกระทบบนพื้นไม้ของเรือนเล็กกลางหุบเขา เงาจากต้นไม้ภายนอกไหวเบา ๆ ตามจังหวะลมหยางเหวินนั่งขัดสมาธิอยู่หน้าเตาผิง มือถือพู่กันเขียนตำราใหม่อย่างตั้งใจ ไฟจากเตาผิงสะท้อนเงาใบหน้าของเขาให้ดูนิ่งลึก มีแววอ่อนโยนในแววตาเสียงประตูเลื่อนเปิดช้า ๆ ก่อนที่ไป๋หรูอวิ๋นจะเดินเข้ามาพร้อมผ้าห่มผืนบาง นางสวมชุดคลุมบางสีขาวทับเสื้อผ้าด้านใน เส้นผมยาวถึงเอวถูกรวบไว้ลวก ๆ“ยังไม่เข้านอนหรือ?” นางถาม พลางวางผ้าห่มลงข้างเขา“ข้าเขียนได้เพียงไม่กี่บรรทัดเอง” เขาหัวเราะเบา ๆ“แสดงว่าเจ้าคิดถึงเรื่องอื่นอยู่” นางนั่งลงข้างเขา ม้วนขาแนบกับตนเอง เหมือนเคยทำในคืนฤดูหนาวเ
ยุทธภพเงียบสงบมาได้หลายเดือนหลังเหตุการณ์ที่สำนักใหญ่ทั้งหลายหยุดตามล่าคัมภีร์ลมหายใจกลับด้าน เมื่อรู้ว่าเจ้าของพลังได้สละมันไปแล้วอย่างสิ้นเชิงหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในเรือนกลางหุบเขาเงียบสงัด ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ และเปิดตำราเก่าให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้ไม่ใช่แค่กระบวนท่า แต่รวมถึงการเข้าใจหัวใจของตนเองข่าวเล่าขานถึง “จอมยุทธ์ผู้ไม่มีลมหายใจ” แพร่สะพัดออกไปในหมู่บ้านห่างไกล สำนักเล็ก สำนักใหญ่ รวมถึงลูกศิษย์ลูกหาในยุทธภพต่างอยากพานพบชายผู้หนึ่งที่มีพลังจากใจ ไม่ใช่จากฝีมือวันหนึ่ง เด็กหนุ่มคนหนึ่งจากเมืองหลวงมาปรากฏตัวที่หน้าประตูบ้านของหยางเหวิน“ข้าได้ยินว่า ที่นี่มีคนที่สามารถสอนข้าวิชาที่ไม่ต้องใช้ลมหายใจ” เขาเอ่ยด้วยดวงตาที่เปล่งแสงจริงจังหยางเหวินยิ้ม เพียงกล่าวว่า “ไม่มีวิชาที่ไม่ใช้ลมหายใจ มีแต่ใจที่หายใจให้ถูกเท่านั้น”เขาพาเด็กหนุ่มไปนั่งใต้ต้นหลิว สอนให้หลับตาฟังเสียงหัวใจตนเองแทนการเร่งฝึกฝนพลังภายนอกไป๋หรูอวิ๋นมองภาพนั้นจากระยะไกล ดวงหน้าเปี่ยมด้วยความอ่อนโยน ก่อนจะหันกลับไปคัดลอกคัมภีร์เล่มใหม่ที่พวกเขาตั้งชื่อว่า “ลมหายใจแห่งใจ”ขณะเดียวกัน ที่
ไป๋หรูอวิ๋นเงียบงันในคืนที่สายลมสะบัดผ่านยอดไม้ ดวงตานางทอดมองสายน้ำเบื้องหน้าโดยไม่กะพริบ แม้ท่าทีภายนอกจะนิ่งเฉยเช่นเดิม แต่หยางเหวินสัมผัสได้ถึงบางสิ่งที่แปลกไป“เจ้าหายใจถี่ขึ้น” เขากล่าวเบา ๆ ขณะนั่งลงข้างนางใต้ต้นหลิว “เกิดอะไรขึ้น”ไป๋หรูอวิ๋นไม่ตอบในทันที ริมฝีปากขยับเพียงน้อยราวลังเล“ข้ารู้ตัวดีว่าข้า ไม่มีลมหายใจของตนเองมาตั้งแต่เกิด” นางกล่าวช้า ๆ “ชีวิตของข้าอาศัยลมหายใจของผู้อื่น ผ่านพิธีของสำนักเก่าที่ข้าจากมา”หยางเหวินเบิกตากว้างเล็กน้อย “เจ้าหมายความว่า...”“ใช่ ข้าคือสตรีผู้ถูกฝึกให้ดำรงอยู่ได้ด้วยพลังชีวิตของผู้อื่น” เสียงของนางเรียบเฉย “ข้าจึงไม่กล้าผูกพันกับผู้ใดนัก เพราะหากคนผู้นั้นสูญเสียพลัง ข้าก็จะตาย”เขาเงียบงัน ลมหายใจหนึ่งเคลื่อนผ่านร่างเขาดังแผ่วเบา ก่อนเขาจะกล่าว “ถ้าเช่นนั้น ข้าจะให้ลมหายใจของข้าแก่เจ้า”ไป๋หรูอวิ๋นเบิกตา ดวงหน้าที่เคร่งขรึมมาตลอดมีรอยไหวสั่น“อย่าพูดอะไรบ้า ๆ สิ เจ้าคือผู้ถือครองคัมภีร์ เจ้าจะเสียพลังไม่ได้”“หากพลังนี้มีไว้เพื่อปกป้องผู้คน ข้าจะเริ่มจากเจ้าก่อน” หยางเหวินกล่าวชัดเจน “เจ้าไม่ใช่แค่ศิษย์ร่วมสำนัก หรือเพื่อนร่วมทาง เจ้า
ลมหนาวปลายฤดูพัดผ่านสันเขาต้าหลาน ดอกบ๊วยผลิดอกเต็มกิ่ง ท่ามกลางผืนหิมะที่ยังไม่ละทิ้งกลิ่นไอเยือกเย็นหยางเหวินและไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่เบื้องล่างยอดเขา สายตาจับจ้องเส้นทางที่เคยเดินผ่านมาเมื่อหลายเดือนก่อน“มันคือจุดเริ่มต้นของทุกสิ่ง” หยางเหวินกล่าว พลางยกมือแตะอก “ข้ารู้ว่าพลังทั้งหมด จะต้องจบลงที่นี่”“และจบลงกับเขา หลัวซิง” ไป๋หรูอวิ๋นพูดแผ่วเบา ดวงตาคล้ายมีหมอกบางแห่งความรู้สึกค้างคาทั้งสองปีนสู่ยอดเขาอย่างช้า ๆ ฝ่าลมหนาว หิมะ และเสียงลมหายใจของธรรมชาติที่ยังคงเคลื่อนไหวไม่หยุดนิ่งเมื่อถึงลานหน้าศาลาพักเก่า เสียงกระแอมหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน“เจ้ากลับมาแล้วหรือ”เสียงนั้นมาจากหลัวซิง ผู้ชราลงกว่าเดิม แต่แววตายังแจ่มกระจ่างราวกับเคยเฝ้ามองใต้หล้าอย่างลึกซึ้ง“ท่านอาจารย์” หยางเหวินประสานมือคารวะด้วยความเคารพ “ข้ากลับมา พร้อมคัมภีร์”หลัวซิงเดินออกมาช้า ๆ มือหนึ่งถือไม้เท้า อีกมือแนบหลัง “เจ้าจึงรู้แล้ว ว่าแท้จริง พลังนั้นไม่ใช่สิ่งที่ถือครอง แต่คือสิ่งที่มอบ”หยางเหวินพยักหน้า “และข้าจะมอบมัน อย่างที่ท่านเคยมอบลมหายใจแรกให้ข้า”หลัวซิงหัวเราะเบา ๆ “ถ้าเช่นนั้น ข้าก็พร้อมแ
รุ่งเช้า ณ ริมผาสูงทางตะวันตกเฉียงเหนือของอาณาเขตสำนักฟ้าเทียน แดดยามเช้าส่องลอดม่านหมอกคลี่ตัวบางเบา ขณะที่หยางเหวินกับไป๋หรูอวิ๋นยืนอยู่หน้าแท่นหินจารึกโบราณที่แทบจะถูกเถาวัลย์กลืนกินจนหมด“นี่คือประตูขั้นแรกของเขตต้องห้ามสำนักฟ้าเทียน” ไป๋หรูอวิ๋นกระซิบหยางเหวินใช้ปลายนิ้วสัมผัสลวดลายโบราณบนแผ่นหิน มีลายเส้นหนึ่งที่เหมือนกระแสลมหายใจคดเคี้ยวขึ้นฟ้า“นี่ไม่ใช่แค่สัญลักษณ์ นี่คือแบบฝึกลมหายใจสายหนึ่ง” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ใช่” นางพยักหน้า “ท่านอาจารย์เคยบอกว่าหากลมหายใจของผู้ใดเข้าถึงจังหวะที่จารึกนี้ปรากฏ ประตูสำนักจะเปิดออกเองโดยไม่ต้องใช้แรง”หยางเหวินนั่งลงขัดสมาธิ ฝึกปราณหน้าจารึกนั้นทันที ไป๋หรูอวิ๋นนั่งลงข้าง ๆ เขา หลับตาแนบแน่น ปรับลมหายใจให้นิ่งเฉกเช่นกัน แม้ไร้ชีพจรของตน แต่นางยังฝึกเพื่อร่วมสภาวะกับเขาให้มากที่สุดลมหายใจแรกคือสายหมอก ลมหายใจที่สองคือเสียงของเขา และลมหายใจที่สามคือเสียงของใต้หล้าที่ไร้คำพูดผ่านไปหนึ่งชั่วยาม เสียงกึกเบา ๆ ดังขึ้นที่แท่นหิน จากนั้นพื้นหินตรงหน้าก็สั่นไหว เผยบันไดหินทอดลึกลงไปเบื้องล่าง“เปิดแล้ว”หยางเหวินลืมตา ดวงตาเปล่งประกายเงี