“ผมถือว่าคุณมนต์รับปากแล้วนะครับ หึหึ”
คนตรงหน้าแสยะยิ้มร้ายด้วยความพึงพอใจที่ได้ฟังคำตอบของฉัน พร้อมกับหัวเราะกลั้วในลำคอจนเสียงนั้นทำให้ฉันเริ่มที่จะหวั่นใจ
“อย่างที่มนต์บอกไงคะ ว่าถ้ามนต์ทำได้” คำพูดอ้อมแอ้มตอบกลับไป ด้วยกลัวใจเขาเหลือเกินว่าจะคิดให้ฉันทำอะไรแผลง ๆ
“รับรองได้ว่าคุณมนต์ทำได้แน่นอนครับ” คนตัวโตพูดพร้อมกับเชยปลายคางฉันให้เงยหน้าขึ้น ก่อนที่เขาจะจ้องมองลึกเข้ามาในดวงตากลมสวยของฉันอย่างมีความหมาย
ส่วนฉันที่แม้ว่าจะกลัวเขาแทบหยุดหายใจ แต่ทว่า...ความรู้สึกข้างในกลับร้อนวูบวาบแปลก ๆ จนทำได้แค่หลบสายตาร้อนแรงที่คนตรงหน้าส่งมา
และทันทีที่สิ้นประโยคคำบอกของคนตัวโต เขาก็เริ่มปฏิบัติการออกคำสั่งถึงสิ่งที่ฉันต้องทำทันที
“ถ้าอย่างนั้นรบกวนคุณมนต์ทำตามที่ผมบอกด้วยนะครับ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทรงเสน่ห์อย่างที่ไม่เคยพูดกับฉันมาก่อน ในขณะที่ขาของเขาก็ค่อย ๆ ย่างก้าวเดินเข้ามาประชิดตัวฉันมากขึ้น จนฉันที่รับรู้ถึงรังสีกดดันจากคนตรงหน้าได้แต่ถอยหลังหนี จนเพียงไม่กี่ก้าวที่ฉันร่นถอย...หลังของฉันก็ติดเข้ากับโต๊ะทำงานของตัวเองและไม่มีพื้นที่ให้ฉันได้ขยับหนีอีกแล้ว
“อ่ะ ทะ...ท่านประธาน ทะ...ท่านจะทำอะไรคะ” ฉันพูดตะกุกตะกัก ยกมือขึ้นยันหน้าอกของคนตรงหน้าที่เหลือไม่ถึงคืบร่างกายกำยำของเขาก็จะแนบชิดเข้ากับร่างฉันแล้ว โดยที่สายตาได้แต่เสมองไปยังด้านข้างไม่กล้าเงยหน้าไปมองเขาตรง ๆ
จนกระทั่ง...เมื่อจู่ ๆ เขาก็ได้ใช้สองมือของเขาจับมาที่เอวของฉัน แล้วจัดการอุ้มฉันตัวลอยขึ้นไปนั่งวางไว้บนโต๊ะทำงานของฉันโดยที่ฉันไม่ทันได้ตั้งตัว
“ว๊ายยยยย ~~” ฉันร้องเสียงหลงอีกทั้งยังเผลอเอื้อมมือขึ้นคล้องคอเขาเอาได้ด้วยกลัวตัวเองจะหงายเงิบตกลงไป
จากนั้น...สิ่งที่ฉันไม่คาดคิดว่าจะได้ยินจากปากคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้านายตัวเองก็พลันหลุดออกมาจนฉันถึงกับอ้าปากค้างเบิกตากว้างไปไม่เป็น
“อ้าขาออก!!”
จู่ ๆ คนตรงหน้าก็ปรับโหมดเป็นดุดันเข้มขรึมขึ้นมาอย่างนั้นโดยที่ฉันไม่ทันตั้งตัว อีกทั้งยังออกคำสั่งที่ทำให้ฉันอึ้งกิมกี่
“ห๊ะ...!! วะ...ว่าไงนะคะ” ฉันตกใจหลังได้ยินคำสั่งของเขา จนนึกว่าตัวเองฟังผิดไป
“ผมบอกให้อ้าขาออก...!!” เขาเน้นย้ำทีละคำให้ฉันฟังอย่างชัดถ้อยชัดคำ โดยที่ฉันได้แต่ทำตัวเงอะ ๆ งะ ๆ ด้วยความไม่มั่นใจ และลังเลใจ จนกระทั่งเขาที่เห็นฉันมีอาการประหม่าถึงกับเอ่ยเสียงเข้มอีกครั้ง
“ผมจะไม่พูดซ้ำนะคุณมนต์ ผมสั่งให้คุณอ้าขาออก”
และทันทีที่ฉันได้ยินเสียงอันทรงพลังและมีอำนาจของคนตรงหน้าเอ่ยซ้ำ ตัวฉันถึงกับสะดุ้งโหยงสั่นสะท้าน ก่อนจะค่อย ๆ อ้าขาออกตามที่ได้รับคำสั่งทั้งที่ร่างทั้งร่างสั่นไหว
หลังจากที่ฉันทำตามที่เขาต้องการแล้ว เขาก็ค่อย ๆ ใช้สองมือรูดกระโปรงของฉันให้ขึ้นมากองอยู่ที่เอวเหมือนเมื่อก่อนหน้านี้ และด้วยการกระทำของเขาฉันที่ตกใจถึงกับเอื้อมมือไปจับข้อมือของเขาเอาไว้เพื่อหยุดการกระทำเพื่อไม่ให้มันเลยเถิดไปมากกว่า
“ทะ...ท่านประธานอย่าค่ะ...!!” ฉันเบิกตากว้างร้องห้ามเสียงสั่นพร้อมกับมือที่พยายามดันมือของเขาเอาไว้ เนื่องจากบัดนี้กระโปรงที่ถูกยกขึ้นมากองที่เอวได้ปกปิดของสงวนฉันไว้เพียงแค่หมิ่นเหม่เท่านั้น
แต่ทว่า...เสียงห้ามของฉันกลับไม่เป็นผลเลยสักนิด เพราะนอกจากเขาจะไม่ฟังคำท้วงติงของฉันแล้ว เขายังฝืนข้อมือตัวเองแล้วดันกระโปรงฉันให้สูงขึ้นจนเผยให้เห็นถึงความอะร้าอร่ามของพื้นที่สามเหลี่ยมอวบอิ่มด้านล่างสู่สายตาคมเข้มของเขาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“มันสวยมากเลยนะครับ โดยเฉพาะเมื่อยิ่งได้มองใกล้ ๆ แบบนี้ก็ยิ่งสวยมากจริง ๆ” เขาพึมพำกับตัวเองเบา ๆ โดยที่สายตามองมายังเบื้องล่างด้วยความลุ่มหลงอย่างไม่คิดปิดบัง และด้วยระยะระหว่างเราสองคนที่ใกล้กันมาก นั่นจึงทำให้เสียงพึมพำกับตัวเองของเขาดังมากพอที่จะทำให้ฉันได้ยิน จนทำให้ฉันถึงกับหน้าแดงแปร๊ดเพราะคำชมที่เผลอไผลของเขา
และในขณะที่ฉันลืมตัวได้แต่เสหน้าหลบเพราะอายต่อคำชมของเขาอยู่นั้น นั่นจึงทำให้ฉันไม่ทันได้สังเกตเลยว่าบัดนี้เจ้านายที่ฉันแอบปลื้มจะค่อย ๆ ใช้มือรูดซิปกางเกงสแล็คสีดำสุดหรูของตัวเองลงอย่างช้า ๆ พร้อมกับเผยให้เห็นถึงอะไรบางอย่างที่ควรจะเป็นของส่วนตัวโผล่พ้นออกมาตั้งตรงชี้ปลายมนตรงมาทางฉัน
“อ้ากว้างกว่านี้อีกได้ไหม” เขาเอ่ยสั่งด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนลงกว่าเดิมพร้อมกับตาที่จ้องมองมายังเนื้ออวบอูมของหญิงสาวไม่กะพริบ โดยที่มือของเขากำลังสาวรูดหนังหุ้มเอ็นอุ่นของเขาขึ้นลงไม่หยุด
“ค่ะ...!! ว่าไงนะคะ” ฉันถึงกับหันขวับมามองหน้าเขาเนื่องด้วยไม่แน่ใจในสิ่งที่ตนเองเพิ่งได้ยินเมื่อครู่นี้ ก่อนจะเอ่ยถามเขาย้ำออกไปอีกครั้ง
และทันทีที่ฉันหันมา ภาพตรงหน้าก็ถึงกับทำให้ฉันหน้าซีดยกมือที่จับข้อมือคนตัวโตในตอนแรกขึ้นมาปิดปากแทบไม่ทัน
(ยะ...ใหญ่อะไรขนาดนี้เนี่ย...!!) (O.O)
ด้วยความใหญ่โตที่ฉันไม่เคยเห็นมาก่อนแม้จะเคยดูหนัง AV ผ่านตามาบ้าง แต่ก็ไม่เคยเห็นว่ามันจะใหญ่โตอะไรได้ขนาดนี้ และด้วยสิ่งที่เห็นตรงหน้าก็ทำให้ปฏิกิริยาแรกของร่างกายสั่งให้ฉันหุบเรียวขาอย่างอัตโนมัติทันที
และด้วยเพราะปฏิกิริยาของฉันที่มีจึงทำให้เขาถึงกับขมวดคิ้วมุ่นด้วยความไม่พอใจ
“คุณมนต์ผมสั่งให้อ้ากว้างออกอีก ไม่ใช่หุบเข้าแบบนี้นะ” เขาเอ่ยเสียงเข้มแกมดุใส่ฉัน ส่วนฉันที่ยังไม่หายตกใจกับสิ่งที่ได้เห็นก็ได้แต่ตัวสั่นปิดปากนิ่ง พยายามไม่ให้ตัวเองส่งเสียงร้องด้วยความตกใจดังออกมา
“อ้าขาออก...!! อย่าให้ผมต้องออกแรงบังคับนะ เพราะว่ามันจะไม่สนุกแน่...!!” คนตัวโตที่เริ่มมีอารมณ์เอ่ยปากสั่งอีกรอบด้วยน้ำเสียงและสีหน้าที่เริ่มหงุดหงิด
กระทั่งเมื่อเสียงเข้มกึ่งตวาดได้ทำให้ร่างบางสะดุ้งโหยง จนรีบละสายตาออกจากอวัยวะขนาดมหึมา แล้วเสหลบไปมองด้านข้างดังเดิม
แต่ทว่า...หลังจากที่ละสายตาออกจากความใหญ่โตของเขาแล้ว น่าแปลกที่ถึงแม้ว่าความรู้สึกแรกของฉันมันจะรู้สึกกลัวกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า แต่พอได้ตั้งสติดี ๆ แล้วข้างในกลับเกิดความรู้สึกปั่นป่วนบางอย่าง มันเป็นความรู้สึกวาบหวามที่พากันวิ่งพล่านไปตามร่างกายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน โดยเฉพาะภาพท่อนเนื้อเอ็นสีน้ำตาลอ่อนที่ตามลำตัวของมันมีเส้นเอ็นปูดปูนคล้ายกลับงูตัวเล็ก ๆ เลื้อยพันกันสะเปะสะปะไปหมด ภาพนั้นกลับช่างตราตรึงใจฉันเหลือเกินแม้จะมองได้เพียงไม่นานก็ตาม อีกทั้งปลายหัวมนสีชมพูที่เคลือบมันวาวไปด้วยน้ำสีใส ภาพนั้นยิ่งทำให้ฉันเผลอกลืนน้ำลายลงคออย่างไม่รู้ตัว
ฉันสลัดความคิดน่าอายนั้นออกจากหัวสมองก่อนจะทำตามที่เขาบอกอย่างลืมตัวไปเสียสนิทว่าทำไมฉันถึงต้องทำตามคำสั่งนั้นด้วย จากนั้นเรียวขาสวยที่ค่อย ๆ แบะอ้ากว้างออกอีกครั้งจนความกว้างนั้นแทบจะ 90 องศาก็ได้เผยให้เห็นสามเหลี่ยมอวบอูมที่มีเส้นไหมสีน้ำตาลรำไรปกปิดอยู่ค่อย ๆ แย้มกลีบเนื้อสองข้างให้แยกออกจากกันจนแหวกให้เห็นเนื้อสีชมพูที่ตอนนี้ด้านในยังมีคราบน้ำเหนียวสีใสแต่งแต้มอยู่ดูวาววับ
และด้วยการกระทำที่แสนจะน่าอายนั้น ก็ทำให้ฉันได้แต่ปิดดวงตากลมสวยปี๋ด้วยความรู้สึกอายเกินจนกว่าจะมองใบหน้าของคนตรงหน้ายามจับจ้องมองของสงวนได้
“เฮือก ~~ ดะ...ดีมาก สวยมากจริง ๆ” เสียงกลืนน้ำลายดังเฮือกที่ถูกส่งมาจากคนตรงหน้า ทำให้ฉันยิ่งรู้สึกสั่นสะท้านวูบวาบบริเวณท้องน้อยไม่หยุด
“ทะ...ทีนี้ท่านประธานจะคืนของให้มนต์ได้หรือยังค่ะ” ฉันที่ยังคงหลับตาปี๋อ้าขาอยู่อย่างนั้นถามออกไป ด้วยเพราะคิดว่าสิ่งที่เขาต้องการแลกเปลี่ยนมีเพียงเท่านี้
ก่อนคำพูดที่สวนมาแทบจะทันควัน จะทำให้ฉันถึงกับหน้าถอดสีกระทั่งยอมเปิดเปลือกตาขึ้นไปจ้องมองใบหน้าเจ้านายของตัวเองด้วยความไม่เข้าใจ
“ยัง...!!!”
“มะ...หมายความว่ายังไงคะ...??” ฉันที่แม้จะพอดูออกถึงสถานการณ์ตรงหน้าที่เกิดขึ้น แต่เพราะฉันเองก็อยากจะฟังจากปากเขามากกว่าว่าสิ่งที่เขาต้องการจากฉันจริง ๆ มันจะเป็นสิ่งเดียวกับที่ฉันหวาดหวั่นไหม
และในขณะที่ฉันยังไม่ทันได้คำตอบจากคนที่มองตรงจุดกึ่งกลางกายด้วยสายตาหื่นกระหาย เขาก็ได้อาศัยจังหวะที่เหมือนกับคำถามของฉันเป็นเพียงธาตุอากาศค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามาใกล้ฉันมากขึ้น จนทำให้ฉันถึงกับขยับร่นหนีออกเพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งที่ไม่สมควรจะเกิดขึ้น
แต่นั่นก็ไม่เป็นผลเลยสักนิด เนื่องจากการกระทำของฉันกลับไม่ได้ทำให้เขาลดละความต้องการลงไปแม้แต่น้อย เพราะนอกจากเขาจะไม่หยุดเคลื่อนกายเข้ามาหาฉันแล้ว เขายังใช้มือหนาตรงมากอบกุมเอวคอดของฉันเอาไว้แน่นแล้วจัดการกระชับเข้าหาตัวเขาอีกด้วย
“คุณมนต์ผมขอแนะนำให้คุณอ้าขาให้กว้างที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนี่คือคำเตือน...!! ถ้าคุณไม่อยากหมดสนุกเสียก่อน” เสียงเย็นเอื้อนเอ่ยนิ่ม ๆ แต่กลับสามารถทำให้คนฟังรู้สึกสั่นสะท้านได้อย่างน่าประหลาด
“พะ...พอเถอะค่ะ ปล่อยมนต์ไปเถอะนะคะ” ฉันที่เริ่มรู้สึกถึงความน่ากลัวในคำเตือนของเขารางๆ เอ่ยปากร้องขอ เพียงแต่ว่าร่างกายที่ควรต่อต้านกลับทอดกายเชื้อเชิญเขาเสียอย่างนั้น
และก่อนที่ฉันจะทันได้ตั้งตัวหรือเอ่ยปากพูดอะไรออกไปมากกว่านี้ คนตัวโตที่จับเอ็นอุ่นมาจ่ออยู่ปากทางรูรักอยู่นานแล้วก็ไม่ได้ฟังคำร้องขออะไรจากฉันเลยแม้แต่น้อย แถมเขายังสวนลำเอ็นขนาดมหึมาสอดเข้ามายังร่องสีชมพูโดยที่ตัวฉันยังไม่ทำได้ตั้งตัวอีกด้วย...
ซู่ ~~“ฮึก...ฮึก...ฮือออออ ~~”สายฝนที่โปรยปรายลงมาพร้อมกับหยาดน้ำตาที่อาบแก้ม ความเปียกปอนที่ซัดเข้ามากะทันหัน เสมือนว่าเบื้องบนต้องการตอกย้ำความบัดซบที่เกิดขึ้นในตอนนี้“ฮือออออ ~~” น้ำตาที่หลั่งออกมาไม่หยุดผสานเข้ากับเม็ดฝนที่สาดเข้าใบหน้าเนียนจนแยกไม่ออกว่าอันไหนคือเม็ดฝน อันไหนคือหยดน้ำตาสองขาที่พาก้าวเดินไปช้า ๆ อย่างไร้จุดหมายกลางสายฝนความหนาวที่ค่อย ๆ แทรกซึมเข้ามาตามผิวหนัง แต่ว่าความรู้สึกนั้นก็ไม่หนาวเท่ากับใจที่รู้สึกอยู่ตอนนี้“ทำไมมันเจ็บแบบนี้ล่ะ...ฮึก...ฮึก” เสียงพึมพำกับตัวเองแม้จะไม่ดังเพราะมีเสียงฝนกลบ แต่ชัดเจนมากพอเพราะรับรู้ได้จากความรู้สึกที่เกิดขึ้นร่างที่เดินไปอย่างคนที่ไร้วิญญาณ อาการเหม่อลอยโดยที่สายตาถอดมองเห็นเพียงแค่ความว่างเปล่า สติที่ไร้ซึ่งสัมปชัญญะจนไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังจะเดินชนใครบางคนเข้าอย่างจังปึก...“อะ...ขะ...ขอโทษค่ะ”ฉันเอ่ยคำขอโทษอย่างเลื่อนลอยในขณะที่ตัวเองเสยืนไม่ได้หลักหลังจากเดินชนร่างกำยำเข้าอย่างจัง อีกทั้งอาการปวดหัวที่จู่ ๆ ก็พลันกำเริบขึ้นมายิ่งส่งให้ร่างบางออกอาการโงนเงนและในขณะที่ฉันเองก็ไม่ทันได้มองว่าตัวเองเดินชนใคร เสียงเ
ไหล่ที่สั่นไหวเบา ๆ ด้วยความรู้สึกเจ็บปวดจากคำพูดของคนตรงหน้าอีกทั้งความจริงที่ไม่อาจกังขาได้ ทำให้ฉันได้แต่พยายามกลั้นรู้สึกปวดร้าวเอาไว้ แม้ว่าในใจมันอยากจะคร่ำครวญร้องขอความเมตตาจากคนตรงหน้าก็ตามก่อนที่ร่างบางจะฝืนกลืนความขมขื่นที่มีลงคอไป และเมื่อตัวเองได้สงบจิตสงบใจแล้วเรียวปากสวยก็ค่อย ๆ ขยับปากพูดปฏิเสธความจริงถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับผู้ชายที่เป็นลูกชายของคนตรงหน้าออกไป“ท่านคงเข้าใจอะไรผิดไปนะคะ...คือดิฉันกับท่านประธานเราเป็นแค่...จะ...เจ้...า...”และในขณะที่ฉันยังไม่ทันได้ผู้จบประโยค...“ไม่ต้องมาพูดปฏิเสธหรอกฉันเข้าใจดีว่าผู้ชายมันต้องมีเรื่องแบบนี้กันอยู่แล้ว อีกอย่างดูแล้วเธอเองก็ตรงสเปกลูกชายฉันอยู่เหมือนกันนะ เพราะฉะนั้นมันก็คงไม่แปลกที่เขาจะคว้าเอาเธอไปนอนด้วย เพียงแต่ฉันยอมใจเขาเลยนะที่เขาเก็บเธอให้พ้นหูพ้นตาฉันได้นานขนาดนี้...หึ...นี่ถ้าไม่เป็นเพราะฉันได้รูปมาก่อนแล้วละก็...ไม่รู้ว่าเรื่องของเธอจะถูกเก็บงำเอาไว้นานแค่ไหน” หญิงสูงวัยพูดดักคอไม่รอให้ฉันพูดจบ ก่อนที่เธอจะหยิบยกแก้วชาขึ้นมาจิบพลาง ๆ ด้วยท่าทีไม่ทุกข์ร้อนอะไรจากนั้นผู้หญิงสูงวัยตรงหน้าก็ไม่รอให้ฉันได
นับตั้งแต่ที่ฉันได้รับสายโทรศัพท์ของผู้มีอำนาจสายนั้นแล้ว ความรู้สึกว้าวุ่นในใจก็พลันบังเกิดขึ้นไม่หยุด ฉันที่กระสับกระส่ายอยู่ข้างในแต่ข้างนอกกลับต้องทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ความรู้สึกเหล่านี้มันช่างทรมานเสียเหลือเกิน...กาลเวลาที่ช่างผ่านไปเนิ่นนานเหมือนเฉกเช่นกับความทุกข์ของคนเราที่มักจะกัดกินช่วงเวลาให้ยาวนานกว่าจะผ่านพ้นไป กระทั่งเมื่อหน้าปัดนาฬิกาได้บอกเวลาว่าบัดนี้ถึงเวลาที่ฉันต้องไปขึ้นเคียงให้ใครบางคนเชือดแล้ว ฉันก็ได้รีบเก็บข้าวของแล้วเตรียมตัวที่จะออกไปทันทีเพียงแต่ว่า...ในขณะที่ฉันกำลังลุกขึ้นเดินไปยังหน้าประตูอยู่นั้น เสียงเรียกอันทรงพลังก็ได้ดังขึ้นหลังจากฉันที่เพิ่งจะเดินไปยังไม่ถึงประตูห้องทำงาน“จะรีบไปไหน วันนี้กลับรถคันเดียวกับผมแล้วกันนะ”ชายหนุ่มที่พูดขึ้นมาอย่างไม่ต้องการให้ฉันได้เอ่ยปากปฏิเสธ และในจังหวะที่ฉันเองก็ไม่รู้จะสรรหาคำพูดอะไรเพื่อหยิบยกขึ้นมาเอ่ยอ้างจู่ ๆ พี่ปราบก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับรายงานถึงเรื่องราวบางอย่างที่ฉันรู้ดีว่ามันได้ถูกจัดฉากเอาไว้แล้ว“นายครับ ท่านผู้หญิงโทรมาหาผมบอกให้นายปลดบล็อกด้วยครับ ท่านมีเรื่องจะคุยกับนายครับ” พี่ปราบพู
ชายหนุ่มสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เพื่อปรับความรู้สึกผิดที่อยู่ภายใน ก่อนที่เขาจะเอ่ยปากพูดประโยคที่เขาคิดว่าดีแล้วออกมา“ผมอยากขอโทษที่ผมรุนแรงกับคุณก่อนหน้านี้ มันเป็นเพราะว่าผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับของของผม และผมก็ไม่ชอบให้คุณไม่สนิทสนมกับใครหน้าไหนทั้งนั้น โดยเฉพาะ...ผู้ชาย...”คำตอบที่ชายหนุ่มมั่นใจแล้วว่าตนเองได้กลั่นกรองมาอย่างดีเอ่ยพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยการขอความเมตตาจากหญิงสาวว่าอย่าได้โกรธเคืองเขาอีกเลย แต่สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือคำตอบของเขานั้นเปรียบดั่งฟางเส้นสุดท้ายในใจของหญิงสาวไปแล้ว(...หึ...ที่แท้ก็ขอโทษเรื่องนี้เองงั้นเหรอ สุดท้ายแล้วเขาก็เลือกที่จะเบี่ยงประเด็นถึงสิ่งที่เกิดขึ้นงั้นซินะ...เจ็บจัง...) คำพูดที่ผุดขึ้นตัดพ้อในใจ ยามคิดไปถึงสิ่งที่ได้ยินก่อนหน้านี้ เพราะถ้าหากเขาเลือกที่จะขอโทษฉันถึงเรื่องที่เขาบอกเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างเรากับแม่ของเขาแทนที่จะเอ่ยอ้างเปลี่ยนเป็นเรื่องนี้...ความรู้สึกแย่ ๆ ที่มีอาจจะไม่ดำดิ่งลงไปมากกว่านี้...หรือถ้าหากเขาอธิบายหรือพูดเพียงแค่ว่าเขาจำเป็นต้องบอกออกไปแบบนั้นเพราะสถานะทางสังคมที่เขาจำต้องรักษามันเอาไว้ เพราะถ้าหากเขาจริงใ
ความเยือกเย็นฉายขึ้นบนดวงหน้าสง่างาม พร้อมกันกับที่ตัวเธอนั้นได้ยกมือถือของตัวเองขึ้นมาดูรูปถ่ายที่ถูกส่งมาให้ดูอีกครั้ง มันเป็นภาพที่บ่งบอกถึงความสนิทสนมชิดเชื้อกันระหว่างชายหญิงคู่หนึ่ง โดยที่รูปเหล่านั้นตัวเธอได้มาจากหญิงสาวที่เธอหมายมั่นปั้นมือเอาไว้ว่าอยากจะได้มาเป็นลูกสะใภ้ และในภาพนั้น...ผู้ชายที่อยู่ในภาพจะเป็นใครไปไม่ได้เลยนอกจากลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทายาทของตระกูลเพียงคนเดียว ที่เธออุตส่าห์เฝ้าประคบประหงมทะนุถนอมให้รอดพ้นจากปากเหยี่ยวปากกาจนมาได้ไกลถึงตำแหน่งนี้ได้อย่างไร้ข้อกังขา แม้ว่าวาสนาอันแสนอาภัพของลูกชายเธอที่ต้องมาสูญเสียผู้เป็นบิดาไปก่อนวัยอันควร แต่เธอก็ยังพยายามที่จะฝ่าฟันช่วงชิงสิ่งที่ควรจะต้องเป็นของลูกชายเอามาจนได้ ดังนั้นไม่ว่ายังไงเธอเองจะไม่มีวันยอมให้อนาคตของลูกชายเธอต้องสั่นคลอนเด็ดขาดโดยเฉพาะเรื่องผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ชีวิตของลูกชายเธอด้วยแล้ว ผู้หญิงคนนั้นจะต้องเป็นเหมือนกับรากฐานและกองกำลังสนับสนุนให้กับลูกชายของเธอได้ยืนหยัดอย่างมั่นคง และด้วยคุณสมบัติที่เธอคาดหวังเอาไว้ไม่ว่ายังไงก็คงไม่ใช่ผู้หญิงที่อยู่ในภาพเดียวกันกับลูกชายของเธออย่างแน่นอน ด้วยสถา
ฉันยังคงยืนนิ่งฟังบทสนทนาที่อยู่ด้านนอกต่อ หลังจากที่คนด้านนอกได้พูดถึงความสัมพันธ์ระหว่างฉันกับเขาให้กับผู้เป็นมารดาของเขาได้ฟัง ความเงียบที่ก่อตัวขึ้นมากินระยะเวลาเท่า ๆ กับความคิดในหัวของฉัน ก่อนที่ฝ่ายมารดาของเขานั้นจะยังคงไม่ยินยอมและพยายามต้อนคนด้านนอกให้จนมุม...“...หึ...เจ้านายกับลูกน้องยังงั้นหรอ แกคิดว่าแม่โง่ขนาดนั้นเลยหรือไง” เสียงทรงพลังเอ่ยย้ำอย่างต้องการที่จะรู้ความจริงที่เกิดขึ้นให้ได้ พร้อมกับจ้องมองลูกชายหัวแก้วหัวแหวนของตัวเองเขม็ง“ก็ถ้าหากแม่มีคำตอบของตัวเองอยู่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมาถามเอาความจริงกับผมหรอกครับ ในเมื่อผมพูดอะไรไปแม่ก็ไม่เชื่อผมอยู่ดี”ก่อนที่เสียงเยียบเย็นเฉยชาจะส่งไปหาผู้เป็นมารดาอย่างไม่รู้สึกทุกข์ร้อนอะไร เพราะเขานั่นก็รู้ดีอยู่แก่ใจว่าถ้าหากเขายังไม่ยกผู้หญิงที่เขาซ่อนเอาไว้ภายใต้การคุ้มครองของตัวเองให้ขึ้นมามีสถานะแล้วล่ะก็ แม่ของเขาก็จะไม่มีทางมาระรานหรือวุ่นวายไปมากกว่านี้ เพียงแต่ว่า...เขาที่อดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมครั้งนี้แม่ของเขาถึงกับออกตัวแรงแซงโค้งมาวีนเขาถึงที่ทำงานได้และในระหว่างที่เขากำลังสงสัยพฤติกรรมของผู้เป็นมารดา คำถามที่จู่ ๆ ก็โ