ไอรดาที่เข้าห้องน้ำ เธอตื่นเต้นจนหายใจแรงและตัดสินใจลบแชททั้งหมดทันทีก่อนจะออกมาจากห้องน้ำ โดยที่แมทธิวยืนรอเธออยู่ พอเปิดประตูมาเจอทำเอาเธอตกใจสะดุ้งจนตัวโยน
“ผมทำคุณตกใจเหรอ? Sweetie”
“ก็ปกติไม่มายืนหน้าประตูแบบนี้ เป็นใครก็ตกใจ”
“ปกติคุณก็ไม่เคยเอาโทรศัพท์เข้าห้องน้ำด้วย”
“เคยสิ เวลาอึ”
แมทธิวไม่พูดอะไรแต่มองตาเธอนิ่ง เหมือนต้องการเช็กอะไรอยู่
“อะไร? ทำไมต้องจ้องกันแบบนั้นด้วย”
ไอรดาถอนหายใจและเบี่ยงตัวเดินหลบเขาไป แมทธิวไม่อยากหาเรื่องหึงกับเธอเพราะกำลังท้องอ่อนๆ กลัวจะกระทบกระเทือนไปถึงลูก
เจตสุวีย์รอให้ไอรดาตอบอะไรมาสักอย่างแต่กลับเงียบ เขาเดินวนไปวนมาในห้อง จนธนัชชาเอ่ยถามขึ้น
“พี่โจนอนพักผ่อนดีกว่ามั้ยคะ? ดึกแล้วนะ”
“น้องกลับไปที่บ้านก่อนก็ได้ครับ ผมขออยู่คนเดียววันนี้”
เขาพูดโดยไม่มองเธอด้วยซ้ำ ก่อนจะนั่งที่ขอบเตียงจ้องแต่โทรศัพท์ แล้วพูดกับตัวเองเบาๆ
“ทำไมหนูเงียบคะ ตอบอะไรก็ได้มาหน่อย พี่รอหนูอยู่นะ อะไรก็ได้..ได้โปรด”
ธนัชชาถึงกับอึ้ง คำพูดของเขาที่ใช้กับผู้หญิงคนนั้นช่างฟังแตกต่างจากที่เรียกหรือพูดกับเธอชัดเจน
“ไอรดาอาจจะคุยกับสามีของเธออยู่ก็ได้มั้งคะพี่”
เจตสุวีย์อารมณ์เสียทันทีที่ได้ยินแบบนั้น
“มันเรื่องอะไรของน้องครับ พี่ไม่ได้ขอความเห็น บอกว่าให้กลับบ้านไปก่อน ได้มั้ย?”
ประโยคคำสั่งที่ไม่ใช้คำถามนั้น ทำให้ธนัชชาน้อยใจ เธอเดินผ่านรูปของไอรดาแล้วมองด้วยความชิงชัง
มารหัวใจ..ขนาดแต่งงานไปแล้ว แถมอยู่ตั้งไกลยังจะมาคุยกับพี่เขาอีก ขอให้สามีเธอจับได้สักวันเถอะ…
เจตสุวีย์เริ่มคิดว่าเธออาจจะยุ่งก็ได้ เพราะต้องดูแลลูก จึงไม่พิมพ์อะไรต่อไปอีก ซึ่งเป็นโชคดีของไอรดาที่สามีก็จ้องอยู่ว่าจะมีข้อความอะไรมาอีกไหม
ทางด้านไอรดาที่ไปป้อนข้าวน้องมาร์ตินนั้น เธอรับรู้ได้ว่าแมทธิวอาจรู้สึกได้เหมือนกันว่าไม่ใช่จูน เธอเลยตัดสินใจว่าจะไม่ตอบแชทอีก ถ้าคำพูดนั้นดูไม่ใช่เพื่อนสนิทของเธอจริงๆ
ในตอนเช้าวันถัดมา ธนัชชาได้ออกจากบ้านมาเตรียมมื้อเช้าให้เจตสุวีย์ พร้อมกับเปรยๆเรื่องอยากหางานทำเพราะเรียนจบได้สักพักแล้ว การอยู่บ้านเฉยๆนั้นทำให้เธอไม่มีสังคมและเริ่มเบื่อ
“เอาที่น้องคิดว่าทำแล้วสบายใจ ลองดู”
เธอผิดหวังนิดหน่อยที่เขาไม่ชวนเธอให้ไปทำงานที่บริษัทของเขา
“แล้วที่บริษัทพี่โจยังรับสมัครงานมั้ยคะ?”
“ผมจะไม่เอาคนที่มีความสัมพันธ์ในทางชู้สาวไปทำงานด้วย มันเสียการปกครอง ที่บริษัทผม ไม่มีคำว่าคนโปรด คนพิเศษ คนไหนเก่งก็โต คนประจบสอพลอทำงานไม่เก่ง ผมไม่เอาไว้ มันถ่วงคนเก่งๆให้ถดถอย”
นี่ฉันดูไม่เอาไหนในสายตาเขาสินะ…
“ค่ะ หนูรู้ตัวเองว่าหนูดูไม่เก่งจริงๆ”
“น้องเห็นผมในตอนที่ประสบความสำเร็จ แต่ได้เห็นตอนที่ผมเริ่มต้นเองอย่างยากลำบากหรือเปล่า? จริงอยู่ที่ผมมีต้นทุนดีกว่าคนอื่นแต่ไม่ใช่ว่าผมไม่ต้องพยายามอะไรเลย จะบอกให้ว่า ยิ่งรวยยิ่งต้องปกป้องสิ่งที่มีให้งอกเงย ไม่ใช่มานั่งกินสมบัติเก่าที่พ่อแม่หามาอย่างยากลำบาก”
“ค่ะพี่โจ หนูเข้าใจแล้ว”
ธนัชชาช่างต่างกับไอรดา ที่ถึงแม้เธอจะรวยและไม่มีงานประจำหลังเรียนจบ แต่ก็ยังหางานทำเองเล็กๆน้อยๆที่พอทำได้ ก่อนจะเสนอตัวมานั่งทำงานหลังขดหลังแข็งทั้งวันโดยไม่เล่นโทรศัพท์ตอนทำงานเลยแม้แต่นิดเดียว
ผิดกับธนัชชาที่เรียนจบมาจะเป็นปีแต่ไม่ทำอะไรเลยแม้แต่งานเล็กๆน้อยๆ กลับพึ่งมาคิดได้ว่าควรหาอะไรทำ ในขณะที่เพื่อนๆหางานทำ มีสังคมเพื่อนฝูงกันไปหมด จึงไม่มีใครที่มีเวลาว่างแบบเธอให้ชวนไปเที่ยวเตร่ได้เหมือนตอนเรียนมหาวิทยาลัย
นั่นเพราะความเคยตัวที่ได้รับการซัพพอร์ตจากเจตสุวีย์ ทำให้คนที่ไม่เคยสบาย ติดนิสัยรักสบายไปโดยไม่รู้ตัว
ในขณะที่เมืองไทยคือตอนเช้า แต่ที่แคลิฟอร์เนียคือตอนเย็น ไอรดากับแมทธิวที่ช่วยกันอาบน้ำให้ลูกชายเสร็จก็ทานมื้อเย็นด้วยกันต่อ แต่อยู่ๆแมทธิวก็ไออย่างแรงจนกินข้าวไม่ได้ ไอรดาเป็นห่วงสามีมาก เพราะก่อนหน้าจะแต่งงานกัน เขาก็เคยป่วย ไอไม่หยุดแบบนี้เวลาทำงานหนักและพักผ่อนน้อย
“ที่รัก ไปหาหมอกันดีกว่านะ”
“กินยาก็พอ ผมเคยเป็นแบบนี้มาก่อน คุณก็รู้”
ไอรดาพยายามชวนให้ไปโรงพยาบาลด้วยกันยังไงเขาก็ไม่ยอมไป ป้ารินได้ขออาสาดูแลลูกชายของเธอให้คืนนี้ เพราะถ้าแมทธิวไอหนัก เด็กอาจจะไม่ได้หลับอย่างเต็มที่
แมทธิวกินยาแล้วอาการไอทุเลาลง แต่กลับมีไข้ หนาวสั่นและเจ็บหน้าอก ไอรดาอยู่ดูแลเขาด้วยความเป็นห่วงจนไม่กล้านอนหลับ เพราะเธอเห็นเขาไอมีเลือดปนออกมานิดหน่อย
“ผมเคยไอเป็นเลือดตอนทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อซื้อ Hermes ให้คุณไง แบบนี้แหละเดี๋ยวก็หาย พรุ่งนี้ค่อยไปหาหมอแล้วกัน ถ้าคุณไม่สบายใจ”
เธอไปนอนใกล้ๆสามี กอดแขนเขาและจับมือให้มาแนบแก้มเอาไว้ แมทธิวนอนมองภรรยาที่น่ารักของเขาอย่างหลงใหล
ผมไม่เคยหยุดหลงรักคุณเลยตั้งแต่เจอคุณครั้งแรกที่ Rooftop Bar ที่กรุงเทพ และจะทำทุกอย่างให้คุณกับลูกของเราอยู่อย่างสบายไม่ต้องลำบาก…
“ผมรักคุณ..ไอรดา ดวงใจของผม”
“ถ้าฉันแบ่งความเจ็บไข้ได้ป่วยจากคุณมาได้ ฉันจะทำ คุณตามปกป้องดูแลฉันเสมอ คุณคือส่วนหนึ่งในจิตวิญญาณของฉัน”
กลางดึกที่ไอรดาหลับสนิทอยู่ข้างๆเขา โดยที่โทรศัพท์ของเธออยู่ใกล้ๆหมอน เขาเอื้อมแขนไปหยิบเอามาอย่างเบามือ ปลดล็อกหน้าจอแล้วดูข้อความในแชทไอจีของเธอและจูน
สิ่งที่เขาเห็นยิ่งตอกย้ำความสงสัยที่ว่า คนที่คุยกับเธอตลอดไม่ใช่เพื่อนสนิท แต่เป็นเจตสุวีย์ เขามองไอรดาที่หลับสนิทด้วยหน้าตาที่น่ารักและกอดแขนเขาอยู่
ผมไว้ใจคุณตลอดมาจนถึงนาทีนี้และจะไม่มีทางเปลี่ยนแปลง ที่คุณลบแชททั้งหมดและไม่เคยทักไปก่อน เท่านั้นก็เพียงพอแล้วว่า คุณเองก็อาจจะพึ่งรู้ว่า คนที่คุยด้วยมาตลอดไม่ใช่จูน
ช่างปะไร..อยู่ไกลขนาดนั้น แถมเราจะมีลูกด้วยกันถึงสองคน รอได้ก็รอไป เจตสุวีย์…
เช้าวันต่อมา เจตสุวีย์ทักแชทมาหาไอรดาตามเวลาเดิม แต่ไอรดาที่เห็นกลับไม่อ่านและไม่ตอบ เธอมัวทำอาหารเช้าให้สามีเพราะเขาไม่สบาย จึงไม่สนใจอะไรทั้งนั้น
อุษาและแพทริคหุ้นส่วนทางธุรกิจของเขา ถึงกับต้องบินมาเยี่ยมพอรู้ว่าเขาไอเป็นเลือด
“คุณควรไปหาหมอนะน้องชาย รักษาสุขภาพด้วย ไม่ต้องรีบหาเงินขนาดนั้น ตอนนี้เราก็มีความมั่นคงในระดับที่ดีแล้ว”
แพทริค แอรอน สมิธ และมาดามอุษา หอบของฝากมาเยี่ยม แสดงความห่วงใยเขา เพราะกำลังจะเป็นพ่อของลูกคนที่สองและลูกคนแรกก็ยังแค่หนึ่งขวบ
เจตสุวีย์ที่นอนไม่หลับเพราะรอว่าไอรดาจะตอบอะไรมาบ้างอยู่ร่วมชั่วโมง เริ่มกระวนกระวาย จึงโทรไปหาน้องสาวให้ลองทักไปบ้าง
“พี่โจ พรุ่งนี้ได้มั้ยอ่ะ เพราะพี่ทักไปแล้วทักซ้ำอีกมันแปลกไง หรือว่าแมทธิวอาจสงสัยหรือเปล่า? ไม่ก็อายอาจจะเริ่มสงสัยแล้วป่ะเลยไม่ตอบ”
“โอเค”
เขาถอนหายใจแล้วพยายามข่มตานอนต่อจนหลับไป
ตอนบ่าย ไอรดาและแมทธิวไปโรงพยาบาลให้คุณหมอตรวจอย่างละเอียด จนกระทั่งผลออกมาคือ แมทธิวเป็นโรคปอดอักเสบ นั่นเพราะการใช้ชีวิตของเขา คุณหมอซักถามประวัติและเรื่องต่างๆ
“คุณแมทธิว มีอาการปอดติดเชื้อเหมือนจะเรื้อรังมานานด้วย เพราะเขาพักผ่อนน้อย ภูมิต้านทานต่ำ ไม่ค่อยดูแลสุขภาพมากนัก ไม่ได้ออกกำลังกายและเดินทางไปในที่ต่างๆที่สภาพอากาศแตกต่างกันอยู่ตลอด ควรงดใช้ช้อนหรือภาชนะร่วมกันไปก่อน และเราคงต้องให้เขาอยู่โรงพยาบาลนะ เพราะอาการเขาค่อนข้างหนัก”
ไอรดาและพ่อแม่ของเขาตัดสินใจส่งตัวไปที่โรงพยาบาล Standford Health Care, CA ซึ่งเป็นโรงพยาบาลที่ดีที่สุดติดอันดับของอเมริกา
“จะเสียเงินเท่าไหร่ฉันไม่สน ขอแค่ช่วยสามีฉันให้หายก็พอ”
ป้ารินต้องอยู่กับวีวี่ที่บ้านไปก่อนเพราะต้องขับรถถึงสองชั่วโมง กว่าจะถึงโรงพยาบาล ส่วนไอรดาที่นอนเฝ้าสามีที่โรงพยาบาลตลอด อาการเขาทรงตัว มีไข้ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ ไอรดาต้องแอบไปร้องไห้คนเดียวไม่ให้สามีเห็นเพราะความกลัว
คืนแรกเธอแทบไม่แตะต้องหรือดูโทรศัพท์เลย ส่วนคืนที่สองที่แมทธิวเริ่มไอน้อยลง เขาหลับเพราะความเหนื่อยและจากฤทธิ์ยา ทำให้เธอเริ่มหยิบโทรศัพท์มาดู ก็พบว่ามีข้อความจากแชทของจูนมาหลายอัน แต่เธอเลือกโทรไลน์หาเพื่อนสนิทที่ตอนนี้เมืองไทยคือเก้าโมงเช้าแล้ว
“อาย ไม่ตอบแชทเลยนะ นึกเป็นห่วงอยู่ ถึงกับโทรมาแต่เช้าเลยอ่ะ คิดถึงฉันอ่ะดิ้”
“ป๊ากับม๊าจะมาอาทิตย์หน้าใช่มั้ย? ฉันไม่แน่ใจว่าแมทธิวจะออกจากโรงพยาบาลได้วันไหนเพราะเขาป่วยมาก กลัวว่าป๊ากับม๊าไปหาที่บ้านจะไม่เจอฉัน เกรงใจพวกท่านที่ฉันอาจจะไม่ได้อยู่ต้อนรับ”
จูนที่นั่งทำงานในออฟฟิศของพ่อ ถึงกับหน้าเครียด
“แมทธิวป่วยเป็นอะไร หนักเหรอ?”
“อืมม ฉันกลัวมากเลยจูน หมอบอกว่าเขาปอดติดเชื้อเรื้อรัง ทั้งอักเสบทั้งติดเชื้อ เขาเคยไอเป็นเลือดมาก่อนตอนที่ฉันพึ่งคบเขาแรกๆก่อนแต่งงาน แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะมีผลมาถึงตอนนี้ ฉันให้เขามารักษาที่ Standford ต้องทิ้งลูกไว้กับป้ารินและพ่อแม่ของแมทธิวที่บ้าน..”
ไอรดาเริ่มร้องไห้เบาๆ เพราะความกลัวและห่วงสามี
“แค่นี้ก่อนนะจูน แมทธิวไออีกแล้ว ไว้ค่อยคุยกัน”
จูนวางสายจากไอรดาแล้วรีบโทรหาพ่อกับแม่ทันที ทั้งคู่ตกลงว่าจะไปเยี่ยมแมทธิวและไอรดาที่โรงพยาบาล ถ้าเวลานั้นเขายังไม่หายดี ก่อนที่จูนจะโทรหาพี่ชายของเธอเพื่อแจ้งเรื่องนี้
เจตสุวีย์ที่ได้ยินเรื่องนี้ น่าแปลกที่เขาไม่รู้สึกอยากซ้ำเติมแมทธิว กลับเป็นห่วงไอรดาและลูกแทน
“น้องอายจะไหวมั้ยนะ ตัวคนเดียวด้วย มีแค่ครอบครัวทางฝั่งผู้ชาย”
“ป้ารินดูแลน้องมาร์ตินอยู่กับลูกเลี้ยงของแมทธิวด้วย เอ่อ.. แล้วก็พ่อแม่ของแมทธิวที่ช่วยดูแลหลาน”
“ไม่มีใครอยู่กับน้องอายเลยเหรอ? หมายถึงน้องอยู่โรงพยาบาลคนเดียวเพื่อเฝ้างั้นสิ?”
“ใช่”
“พี่จะไปหาป๊ากับม๊าที่บ้านตอนเย็นนะ สักห้าโมง”
เขาวางสายแล้วรีบผลุนผลันออกไปที่ออฟฟิศเพื่อแจ้งกับเพื่อนว่าเขาจะไปอเมริกาไม่รู้ว่ากี่วันจะกลับ แต่จะพกโน้ตบุ๊คไปด้วยเพื่อติดต่องานกันได้
“หน้าตาตื่น เป็นไรเพื่อน ไปทำไม มีอะไรหรือเปล่า?”
“จะไปหาหัวใจน่ะสิ”
“หัวใจมึงที่มีสามีแล้วอ่ะนะ โจ..เพื่อน มึงตัดใจเถอะ กูเป็นห่วงมึงนะ”
“ตอนนี้น้องไม่มีใคร พ่อแม่ก็เสียหมดแล้ว น้องตัวคนเดียว สามีก็กำลังป่วยหนัก”
“ฉิบหาย จริงดิ? กูเข้าใจละ เดี๋ยวทางนี้กูกับไอ้บอสดูให้ มีอะไรค่อยทักหากัน”
เจตสุวีย์เคลียร์งานที่บริษัทแล้วกลับบ้านอีกครั้ง เช็กสภาพอากาศที่นั่นเพื่อจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแบบเร่งด่วน ธนัชชาที่อยู่บ้านเห็นรถเขาเข้ามาในตอนเที่ยงถึงกับงงที่เขาเลิกงานไวทั้งที่พึ่งออกไปตอนเช้า จึงเข้าไปหาที่ชั้นสองของบ้าน และเห็นว่าเขากำลังจัดกระเป๋าอย่างเร่งรีบ
“ให้หนูช่วยมั้ยคะพี่โจ?”
“ไม่เป็นไร ผมฝากบ้านด้วยนะ จะไปอเมริกาไม่รู้กลับวันไหน”
ท่าทางที่ดูรีบและหน้าตาที่ดูซีเรียสทำให้เธอเผลอถามออกไป
“พี่จะไปหาไอรดาเหรอคะ?”
เขาเหลือบมองเธอด้วยหางตาแค่แว็บเดียว คิ้วที่ขมวดและถอนหายใจแรง พลางปิดกระเป๋าเดินทางโดยไม่ตอบคำถามอะไรใดๆ
เจตสุวีย์เดินไปบ้านแม่และไปถามถึงซินแสประจำครอบครัว“ม๊า โจอยากให้ซินแสมาที่บ้านหน่อยน่ะครับ มาวันนี้ก็ได้ โจยอมจ่ายแพงหน่อย”มาดามจันจิราทำหน้าแปลกใจที่ปกติเจตสุวีย์ไม่เคยสนใจเรื่องพวกนี้ เขามักพูดว่ามันไร้สาระ “มีอะไรเหรอโจ? มีสิ่งเร้นลับหรือยังไงลูก”“แค่สงสัยอะไรนิดหน่อยครับม๊า เจไม่ค่อยชอบโจเลยอ่ะ ชอบหงุดหงิดใส่ แล้วเป็นกับโจแค่คนเดียวด้วยนะ”“เอ่อ…หรือตอนหนูอายท้อง โจชอบเถียงกับน้องหรือเปล่า? เกี่ยวกันมั้ยเนี่ย ม๊าก็เดามั่ว”อีกชั่วโมงต่อมา ซินแสได้มาที่บ้าน ทำเอาไอรดาแปลกใจ แต่ก็คิดว่าคงมาดูฮวงจุ้ยบ้านซินแสที่ได้รับข้อมูลมา ก็ขอวันเดือนปี เวลาตกฟากของลูกชายจากไอรดา จากนั้นซินแสขอรูปของแมทธิวจากโทรศัพท์ของเจตสุวีย์ไปดูอีกครั้ง โดยมองที่รูปสลับกับเด็กน้อยที่นั่งบนตักแม่ “แววตาเหมือนกันมาก” พูดจบก็ยื่นโทรศัพท์ที่มีรูปแมทธิวไปที่เด็กน้อย “มีความสุขที่อยู่กับผู้หญิงคนนี้สินะ ถึงได้กลับมาอีกครั้ง”ไอรดาที่ได้ยินแบบนั้นถึงกับเบิกตากว้าง มองที่เจตสุวีย์ที่ยิ้มมุมปากเล็กๆ “หมายความว่ายังไงคะ?”“คุณผู้หญิงสังเกตพฤติกรรมลูก มีอะไรที่คล้ายคนในรูปบ้างมั้ย? หรือทำไมเด็กถึงไม่ค่อยเข้ากั
เจตสุวีย์ประคบประหงมภรรยายิ่งกว่าไข่ในหินและดูแลไม่ให้คลาดสายตา จวบจนวันแต่งงานที่อเมริกาก็มาถึง รอบนี้คุณปู่คุณย่าของเธอได้มีโอกาสบินไปร่วมงานนี้ด้วยบ้านกิตติโสภณได้ทุ่มเต็มที่ให้กับงานนี้ ทั้งดอกไม้เต็มพื้นที่ ของชำร่วย อาหาร คนเสิร์ฟคอยบริการทั่วทั้งงาน งานมาในธีมสากลแบบฝรั่ง มีบุคคลสำคัญในแวดวงธุรกิจทั้งของเจตสุวีย์และพ่อก็พร้อมใจกันมาร่วมงานแต่งครั้งแรกของพวกเขาเพื่อนของเจตสุวีย์และไอรดาได้มาร่วมด้วยในฐานะเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาว ทุกคนบินมาร่วมงานกันอย่างชื่นมื่น โดยมีครอบครัวสมิธที่มาร่วมงานด้วยยกเว้นพ่อแม่ของแมทธิว ซึ่งพวกเขาแค่กล่าวคำอวยพรให้เท่านั้น มีเพียงอากงและอาม่าจากไต้หวันที่ยังเอ็นดูบินมาร่วมงานตามคำเชิญ“พวกเขาคงไม่พอใจที่แมทธิวจากไปได้แค่หนึ่งปี หนูก็แต่งงานใหม่” ไอรดากล่าวกับเจตสุวีย์ด้วยสีหน้าที่เศร้า“พี่จะพาหนูกับมาร์ตินไปเที่ยวหาพวกเขาบ่อยๆ คนที่พวกเขาไม่ชอบคือพี่ ไม่ใช่หนู”หลังจากปาร์ตี้สละโสด พวกเขาก็พามาร์ตินไปเยี่ยมเยียนพ่อแม่ของแมทธิว ก่อนจะบินไปโมนาโกเพื่อขึ้นเรือสำราญสำหรับฮันนีมูนสามประเทศมี DM เข้ามาที่ไอจีของไอรดาในคืนวันแรกที่อยู่บนเรือ เธ
ธนัชชาและแฟนหนุ่มนั่งกับพื้นประจันหน้ากับเจตสุวีย์ คนหนึ่งหน้าตาวิตกกังวลอย่างเห็นได้ชัด ส่วนอีกคนก็มองหน้าเขาด้วยสายตาจะกินเลือดกินเนื้อ“อยากได้เงินหรือความช่วยเหลืออะไรมั้ย? นัชชาให้คุณเท่าไหร่? ผมให้ได้มากกว่านะ ออกคุกมาคุณก็มีเงินใช้สบายๆ ขอแค่ยอมพูดความจริง”เจตสุวีย์ชอบใช้เงินจบปัญหา นี่คือสไตล์ของเขาเวลาต้องการความรวดเร็วและสะดวก“หนูจะแจ้งความกลับ ที่กักขังหน่วงเหนี่ยว ติดสินบนให้คนอื่นใส่ร้ายหนู”“ไม่ต้องห่วง เพราะจบจากการสนทนาอันน่ารังเกียจกับคุณ ผมจะส่งคุณให้ตำรวจพอดี เชิญแจ้งได้เท่าที่พอใจ ผมสนใจอย่างเดียวเกี่ยวกับคุณ..คือเรื่องแม่ ถ้าท่านรู้ว่าคุณใช้เงินของผมมาทำร้ายผม รู้ว่าลูกสาวคนเดียวจะต้องเข้าคุก ท่านจะเสียใจแค่ไหน”พอพูดถึงแม่ของเธอ ธนัชชาออกอาการทันที ป่านนี้แม่คงจะเป็นห่วงและตามหาเธอ ทั้งที่เธออยู่แค่ตรงกันข้ามในบ้านหลังนี้เท่านั้น แฟนของธนัชชาจึงรีบพูดขอความเห็นใจ “ตอนนี้พวกคุณก็ปลอดภัยดี ให้อภัยพวกเราได้มั้ยครับ ผมกับนัชชาจะไม่ทำผิดแบบนี้อีก” พูดจบก็ยกมือไหว้เจตสุวีย์ ธนัชชาที่ได้ยินแบบนั้นก็หันไปถลึงตาใส่ทันที “ผมรอดมาก็จริง แต่คนที่พวกคุณเกือบทำให้ตายคือ
ไอรดาที่เสิร์ฟความรักให้สามีเต็มที่ เธอเพลียหลับไปจากการเจออะไรมาทั้งวันและคืนนี้อีกค่อนคืน เจตสุวีย์จึงปล่อยให้ภรรยาพักผ่อน เขาออกไปคุยโทรศัพท์ข้างนอกเพื่อไม่ให้รบกวนเธอ “พรุ่งนี้ออกมาตอนเช้านะ จะได้มาถึงนี่สักเที่ยง แล้วจะส่งพิกัดให้”เขาติดต่อกับกลุ่มที่จับตัวธนัชชาและแฟนหนุ่ม สั่งให้ขังไว้ในห้อง โดยไม่ต้องมัดหรือบังคับทำร้ายพวกเขา เช้าวันต่อมาตำรวจได้แจ้งว่าพบเบาะแสจากร้านขายโทรศัพท์มือถือที่หนองคายว่ามีคนนำโทรศัพท์มาขายให้โดยน่าจะขโมยมาเพราะไม่สามารถปลดล็อกหน้าจอได้จำนวนสองเครื่อง จึงไม่รับซื้อแต่ได้ภาพหน้าตาของผู้ต้องหาจากกล้องวงจรปิดในร้านแทน หนึ่งในสี่ผู้ต้องหาที่ลูกน้องของเจตสุวีย์จับได้ถูกส่งตัวให้ตำรวจ ได้ให้ปากคำว่ารับจ้างงานมาจากผู้หญิงคนหนึ่งชื่อ นิรมล พอตำรวจเช็กจากเบอร์โทรศัพท์ก็ปรากฏว่าลงทะเบียนเป็นชื่อแฟนเก่าของธนัชชา เจตสุวีย์กลับถึงบ้านพร้อมไอรดา อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเข้าไปที่บ้านพ่อแม่ของเขา ก็เจอทุกคนอยู่พร้อมหน้า ไอรดารีบเข้าไปกอดลูกชายที่จูนอุ้มอยู่ ส่วนมาดามจันจิราที่น้ำตาซึมก็รีบเข้าไปกอดลูกชาย“ปลอดภัยนะอาย ทุกคนพากันกังวลไม่ได้หลับไม่นอนที่เธอกับพี่
“นายครับ ผมจะเข้าไปก่อนนะ นายตามผมไปเอานายหญิงมา รีบหนีไปก่อนแล้วค่อยเจอกันทีหลัง ผมจะคุ้มกันให้ ตำรวจกำลังมาทางนี้แล้ว แต่เราไม่มีเวลาพอ”“อีกสองคนอยู่ในนั้นน่าจะมีปืน ต้องอย่าให้มันจับไอรดาไปเป็นตัวประกันได้ เราจะลำบาก”“คุณโจ…คุณสิทธิศักดิ์ชุบเลี้ยงผมมา ท่านขอให้ดูแลคุณ ผมจะทำสุดความสามารถ ยังไงลูกเมียผมก็จะไม่ลำบาก”“ไม่..”เจตสุวีย์พูดได้เท่านั้น ลูกน้องเขาเดินย่องและเล็งปืนอย่างระมัดระวัง พลางยิงขู่ อีกมือก็ทำสัญญาณให้ไอรดาที่ค่อยๆคลานมาลุกวิ่ง เขากระหน่ำยิงขู่ไปสามสี่นัดเพื่อซื้อเวลาให้เจตสุวีย์เข้าไปหาเธอแล้วจับมือดึงให้ลุกขึ้นวิ่ง จนรถกระบะมีรอยพรุนของกระสุนที่หมดลง รถอาวดี้ที่ติดหล่มในนาไปแล้ว ทำให้เจตสุวีย์ที่มือถือปืนข้างหนึ่งและจูงเธอวิ่งหลบไปด้านหลังรถเพื่อใช้เป็นที่กำบังในตอนที่หนี มีเสียงปืนดังขึ้นอีกหลายนัด “ที่รัก วิ่งนะ อย่าหยุด”ตอนนี้เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว พวกเขาวิ่งสลับกับเดินผ่านต้นไม้ทึบๆ จนแน่ใจว่าพ้นอันตรายแล้วจึงให้เธอนั่งพักใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งเจตสุวีย์ทรุดตัวลงนั่งตรงหน้าเธอ เสื้อเชิ้ตขาวของเขาชุ่มไปด้วยเหงื่อและเปื้อนดินนิดหน่อย กระดุมที่หลุดลุ่ยเผยให้เห็
ขณะที่เจตสุวีย์กำลังยืนอยู่นอกรถที่ปั๊มน้ำมัน ตอนนี้ลูกน้องอยู่กับเขาสามคน เขาจึงสั่งให้หนึ่งคน ขับรถของไอรดากลับบ้านและคอยดูแลป้ารินและมาร์ติน “นายครับๆ พวกเราทุกคนพก GPS ขนาดเล็กติดตัวเสมอ เราเช็กจากเขาดูว่าอยู่ที่ไหนได้นี่ครับ ตอนนายให้พวกเราพกไว้ทุกคนนายมีข้อมูลเข้าถึง GPS ของพวกเราทุกคนได้นะ”เจตสุวีย์ตื่นเต้นขึ้นมาทันที เขามัวจะคลุ้มคลั่งที่ภรรยาหายจนลืมคิดไป เมื่อเขาเปิดแอปพลิเคชันในโทรศัพท์ขึ้นมาก็ตาวาวทันที จึงรีบโทรบอกพ่อของเขาว่า GPS ลูกน้องคนหนึ่งของเขาเคลื่อนไปในความเร็วที่รู้ได้ทันทีว่ายังอยู่ในรถ เขาดื่มเกลือแร่ที่ซื้อจากในร้านสะดวกซื้อแล้วรีบขับรถออกตามไปทันที “โทรไปเบอร์พ่อผมให้หน่อย บอกว่าเราอยู่เส้นทางไหน”ขับรถไล่ตามกันไปอยู่สองชั่วโมงครึ่ง สัญญาณนั้นขับผ่านอุทยานเขาใหญ่ แล้วจอดที่ร้านอาหารหนึ่งไม่ไกลจากโรงไฟฟ้าลำตะคลอง ส่วนเจตสุวีย์ที่ขับรถเร็วเพราะใจเขาอยากตามไปให้ใกล้ที่สุด ซึ่งตอนนี้เขาขับผ่านโรงพยาบาลแก่งคอยแล้ว ห่างจากสัญญาณไปอีกแค่ 74 กม.“นายครับ พวกมันหยุดพักแต่อยู่บนทางหลัก ผมส่งข้อความถึงคุณสิทธิศักดิ์แล้ว”จูนที่โทรมาว่าไม่เจอ User และ Password ที่จะ