ตอนที่ 1 : ลิขิต [4]
หากไม่เพราะต้องกลับจวนของท่านพ่อเพื่อผ่านพิธีปักปิ่น นางคงไม่ยินยอมกลับมาที่ลั่วหยางอย่างแน่นอน
เซียวม่านหลิวค่อยๆ เช็ดเศษหินออกจากบาดแผล ก่อนจะกลั้นใจฉีกชายเสื้อเพื่อนำมาพันกับมือเพื่อห้ามเลือด แต่แผลรอยหนึ่งบนมือขวากลับลึกยิ่ง เพียงแค่ครู่เดียวเลือดก็ไหลซึมออกมาจนชุ่มโชก นางกัดฟันกลั้นใจผลักประตูบานใหญ่บ้านนั้น มันกลับไม่เคลื่อนไหวแม้แต่น้อย แม้ว่าสุสานของเชื้อพระวงศ์ส่วนใหญ่จะเป็นสุสานที่ปิดตาย กระนั้นแล้วก็ยังต้องมีทางออกเล็กๆ สำหรับช่างฝีมือที่ใช้หลบหนียามถูกฝังทั้งเป็น ดังนั้นย่อมมีทางออกสำหรับนางอย่างแน่นอน
แต่นางไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ออกแบบสุสานแห่งนี้ ส่วนมากแล้วแบบผังของสุสานของราชวงศ์จะมีไม่กี่แบบที่แสดงเอกลักษณ์อันโดดเด่นของช่างหลวง อย่างน้อยก็จะมีลวดลายที่แสดงถึงตัวตนของผู้สร้าง น่าเสียดายที่นางศึกษาแผนผังจากบิดามาไม่น้อย กลับไม่คุ้นกับรูปแบบของที่นี่เลยสักส่วน
สุสานของเชื้อพระวงศ์โดยมากจะถูกสร้างจากช่างมีฝีมือของลั่วหยาง แม้ว่ายุคสมัยจะเปลี่ยนไปก็ยังมีผู้สืบทอดต่อๆ กันมา ทว่ายามนี้คิดไปก็เท่านั้น ยามนี้นางจึงต้องใช้มือทั้งสองข้างคลำตามผนังไปทั่ว
พื้นผิวของผนังหินแผ่ไอเย็นเยียบแทรกซึมมาที่ฝ่ามือน้อยๆ ของนาง ปลายนิ้วเรียวมนกดคลำไปทีละชุ่น[1] อย่างใจเย็น สังเกตจากที่นางยังหายใจได้คล่องก็แสดงว่าที่แห่งนี้ยังมีรูระบายอากาศ นางจะต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้
ทันใดนั้นปลายนิ้วของนางก็กดโดนรูปสลักนูนต่ำรูปหนึ่งจนได้ยินเสียงคล้ายแม่กุญแจถูกไข
กึกๆๆ
นางหันหลังกลับ ใบหน้าที่เครียดเคร่งพลันปรากฏรอยยิ้มโล่งใจขึ้น เซียวม่านหลิวกึ่งเดินกึ่งวิ่งไปยังประตูที่ค่อยๆ เปิดอ้า โดยไม่ทันสังเกตว่าโลหิตของนางกำลังซึมหายไปในภาพสลักนูนต่ำของผนังหิน ใบหน้าขององครักษ์หินแกะสลักคล้ายปรากฏรอยยิ้มเย็นเยียบ
เมื่อก้าวผ่านประตูบานใหญ่เข้าไปด้านใน คบเพลิงโดยรอบก็สว่างพรึ่บ เซียวม่านหลิวสะดุ้งน้อยๆ ทว่าสิ่งที่เห็นเบื้องหน้ากลับทำให้นางขนลุกชูชันไปทั้งตัว
รูปปั้นขนาดเท่าตัวคนจริงๆ นับร้อยวางเรียงรายเต็มห้อง แต่ละตัวคนต่างก็สวมแพรพรรณชั้นดีซึ่งพบเห็นได้ทั่วไปในวังหลวง ลวดลายบางอย่างยังช่วยบ่งบอกสังกัดและยุคสมัยได้อีกด้วย รูปปั้นเหล่านั้นต่างก็ยืนโค้งอย่างสงบนิ่งโดยหันหน้าไปยังทิศทางหนึ่ง คล้ายกับว่าจำลองการเคารพศพของเจ้านายอย่างไรอย่างนั้น
ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้เซียวม่านหลิวคิดอยากรู้อยากเห็นเกินเหตุ เท้าทั้งสองข้างของนางค่อยๆ ก้าวไปยังจุดที่รูปปั้นเหล่านั้นทำความเคารพโดยที่ไม่อาจบังคับตัวเองได้ ตลอดรายทางที่นางก้าวไปทีละก้าว มีเพียงดวงตาเท่านั้นที่ยังสามารถกลอกมองสภาพในห้องทั้งหมด พลันพบว่ายิ่งเข้าใกล้ก็ยิ่งเห็นว่ามีกองสมบัติกองใหญ่ตั้งอยู่ที่สุดปลายทาง และในที่สุดก็มองเห็นแล้วว่าสิ่งที่อยู่ในกองสมบัติเหล่านั้นก็คือ…
โลงศพ...
ศพใครนางไม่รู้ เพิ่งนึกได้ว่ายังไม่เห็นอัตลักษณ์ของเจ้าของสุสานเลยนอกเสียจากภาพสลักที่ปรากฏตามผนัง เซียวม่านหลิวสะท้านเยือกไปทั้งกาย นางพยายามขัดขืนไม่ให้ตนเองก้าวไปยังจุดนั้น ทว่าขัดขืนเท่าไรก็ไม่เป็นผล คล้ายกับว่านางเป็นเพียงวิญญาณที่สิงร่างของตนเองอยู่ ในหัวเริ่มคิดถึงอาถรรพ์ต่างๆ ในสุสานของราชวงศ์ในสมัยโบราณ มีไม่น้อยที่คนเหล่านั้นกักขังดวงวิญญาณข้าทาสบริวารเพื่อให้เฝ้าดูแลสมบัติในสุสาน
ไม่นะ…ท่านพ่อ ท่านแม่ ช่วยด้วย ข้ายังไม่อยากตายนะ ข้ายังต้องแต่งงาน มีลูกสืบสกุล ไม่เอาแล้ว ใครก็ได้ช่วยข้าที หากออกไปได้ ต่อให้แต่งงานกับอวี่หยาง ข้าก็ยอม
คำขอร้องของนางไร้ผล น้ำตาเริ่มคลอหน่วยตาอย่างไม่อาจบังคับตนเองได้
เริ่มจากหนึ่งหยด…สองหยด
…สามหยด จนนางเริ่มสะอื้น กระนั้นแล้วก็ไม่อาจบังคับตัวเองให้หยุดเดินได้เสียที
นางเข้าใจแล้วว่าความหวาดกลัวต่อการตายเป็นอย่างไร นางยังไม่อยากตาย!
ร่างของเซียวม่านหลิวเคลื่อนเข้าหาโลงศพหินกลางกองสมบัติอย่างเลื่อนลอย ทว่าเจ้าของร่างกลับสะอึกสะอื้นอย่างหนัก มือทั้งสองข้างที่พันผ้าชุ่มเลือดค่อยๆ ลูบไล้ฝาโลงราวกับว่าไม่ได้มีความรู้สึกเจ็บปวดอีกต่อไป นางใช้แขนเสื้อสีเทาหม่นค่อยๆ เช็ดถูฝาโลงราวกับอาลัยอาวรณ์ ยิ่งร่ำไห้ก็ยิ่งโศกาอาดูรราวกับว่าในโลงนี้คือร่างของผู้ที่นางรักยิ่ง
มารดามันสิ นางร้องไห้เพราะหวาดกลัว ไฉนจึงจะเป็นภาพเช่นนั้นได้!
ทว่าฝาหินของโลงศพที่เปรอะเปื้อนโลหิตของเซียวม่านหลิวกลับสั่นไหวเบาๆ โลหิตซึมหายเข้าไปประหนึ่งเมื่อครู่มือของนางมิได้สัมผัส ทันใดนั้นฝาโลงก็เลื่อนหล่นไปอีกฝั่ง เซียวม่านหลิวสะดุ้งสุดตัวจนหัวใจเต้นระรัว นางหลับตาแน่น ทว่ามิอาจขยับเขยื้อนกายได้แม้แต่น้อย ในยามนี้ร่างกายของนางเย็นเฉียบ เพราะเสียเลือดไปมาก คล้ายกับว่าเรี่ยวแรงเหือดหายไปทีละน้อย ราวกับมีคนสูบพลังชีวิตของนางไปจนหมด
ในชั่วอึดใจหนึ่งท่ามกลางเสียงก้องสะท้อนยามฝาโลงศพกระทบพื้น คล้ายกับมีเสียงลมหายใจของใครบางคนดังขึ้นใกล้ๆ ใบหู ลมหายใจเย็นเยียบรินรดตรงลำคอของนางอย่างแผ่วเบาจนขนลุกซู่ จากนั้นจึงคล้ายกับว่าร่างของนางถูกยกลอยขึ้นสูง แล้วตกอยู่บนก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่ง
[1] 1 ชุ่น เท่ากับ 1 นิ้ว
“อ๊า! เจ็บเหลือเกิน”“อึ๊บ! ฟูเหริน อึ๊บไว้เจ้าค่ะ”“หลิวหลิว มองหน้าแม่นะ เบ่งออกมา แค่อึ๊บเดียวเท่านั้น กลั้นหายใจแล้วเบ่งออกมาทีเดียวเลย!”“อึ๊บ…อ๊า!”“อุแว้…อุแว้!”“ว้าย! คลอดแล้วเจ้าค่ะ! อุ๊ย เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ตรงหน้าอกมีปานสีแดงคล้ายดวงไฟเลยเจ้าค่ะ!”“ต๊าย! หลานข้า น่ารักน่าชังนัก หลิวหลิว ดูสิ คิ้วเหมือนหมิงเอ๋อร์ไม่มีผิด คิกๆ แต่ดวงตากับปากดันเหมือนเจ้ามากเหลือเกิน น่าเสียดายที่ข้าอุ้มเขาไม่ได้”ปังๆๆ “เปิดประตู! ให้ข้าเข้าไปได้หรือยัง” หลี่หมิงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องราวกับหนูติดจั่นเริ่มอยู่ไม่สุข ความตื่นเต้นทรมานตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและสงสารเซียวม่านหลิวจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้ยินเสียงเด็กร้องก็ค่อยโล่งใจ อยากจะเห็นหน้าลูกเต็มแก่แล้วทันใดนั้นประตูก็เปิดออก หลี่หมิงพลันพุ่งตัวไปยังเตียงที่เซียวม่านหลิวนอนอยู่ ได้เห็นทารกตัวแดงๆ ที่ส่งเสียงอ้อแอ้ในผ้าอ้อมข้างหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดก็ยิ้มอย่างโล่งใจใบหน้ากลมป้อมและนิ้วเล็กๆ โยกไหวไปมาพร้อมกับเสียงประหลาดพิกลหูทำให้หลี่หมิงหวาดระแวงเล็กน้อย แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาอันสุกสกาวของเจ้าตัวน้อย ก็รู้สึกราวกั
กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารหลากหลายชนิดลอยกระทบนาสิกจนทำให้ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆ ร่างในอาภรณ์ตัวบางบิดกายพลางหาวอย่างเกียจคร้าน เสียงจานชามกระทบโต๊ะทำให้ดวงตาของนางเหลือบมองไปยังกลางห้อง พลันเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีเข้าเต็มตา เขากำลังง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า ตรงเอวมีผ้าสีเข้มมัดอย่างแน่นหนาดูแปลกพิกล ครั้นได้ยินเสียงหาวเบาๆ ของนางก็หันกลับมา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาสลัวจากด้านนอกปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่ง พานให้หญิงสาวเผลอมองตาค้างอย่างเผลอไผล“ฟูเหรินตื่นแล้วหรือ อาหลัน เตรียมน้ำมาให้นางล้างหน้า”“เจ้าค่ะ” สาวใช้โผล่มาจากที่ไหนสักแห่งขานรับอย่างรวดเร็วราวกับคอยรับคำสั่งแต่แรกแล้ว“อ๊ะ! ไม่ต้องหรอก”เซียวม่านหลิวตั้งท่าจะลงจากเตียง ทว่าหลี่หมิงกลับถลาเข้ามาประคองนางอย่างระมัดระวัง“ไม่ได้ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก” หลี่หมิงพูดอย่างอารมณ์ดีเซียวม่านหลิวย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นควันไฟที่ติดตามตัวหลี่หมิงทำให้นางพะอืดพะอมจนต้องเบนหน้าหนี ทว่าหลี่หมิงกลับคิดว่านางยังตื่นไม่เต็มตาจึงเบียดตัวเข้าประคอง“ฟูเหริน ค่อยๆ ลุกสิ”“ท่านถอยออกไปก่อน”“ทำไมเล่า”เซียวม่านหลิวผลักหลี่หมิงจนช
ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้าเปิดโล่ง หนุ่มสาวสองคนนั่งคลอเคลียข้างหน้าต่าง มองหมู่ดาวที่แข่งกันทอแสงริบหรี่งดงามจับตา“ให้เขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือน ไม่น้อยไปหรือ” เซียวม่านหลิวอดถามไม่ได้ หลังจากที่เว่ยฉือหลี่จิ้งถูกรับตัวเข้าวังหลี่หมิงเหล่มองนาง กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ“เจ้าอยากให้ข้าอายุสั้นหรือ”หากหลี่หมิงให้เวลาเว่ยฉือหลี่จิ้งนานกว่านี้ นอกจากจะทำให้น้องชายผูกพันกับลูกหลานมากขึ้นจนตัดไม่ขาด ร่างกายของหลี่หมิงเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยโดยเฉพาะร่างกายที่อายุขัยสิ้นสูญไปนานแล้ว นอกจากจะอาศัยร่างของผู้อื่น สังขารของเว่ยฉือหลี่จิ้งก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลงเช่นกันหากไม่เพราะเขาทราบมาว่าร่างของเว่ยฉือหลี่จิ้งหายไปจากสุสานราชวงศ์ หลี่หมิงคงไม่คิดขุดคุ้ยอดีตให้เจ็บปวดเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของชวีชิงชิว เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากคาดการณ์มากที่สุดเขายังอยากหลอกตัวเองว่าชวีชิงชิวมิได้ทรยศความไว้ใจของตนหากชวีฮองเฮาไม่ชิงขอร้องและขอติดตามเข้าสู่สุสานด้วย หลี่หมิงคงไม่คิดเหยียบย่ำสถานที่แห่งนั้นเด็ดขาดเซียวม่านหลิวเห็นหลี่หมิงสีหน้าเรียบตึง แววตาเย็นเยียบ ใจของนางพลันรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเสียอ
จักรพรรดิทรงให้จวินจี๋จวิ้นอ๋องออกหน้า โดยที่พระองค์ทรงแฝงกายมากับขบวนเกี้ยวของวังจวิ้นอ๋องด้วยครั้นถึงหน้าประตูวัง องครักษ์ของจวินจี๋จวิ้นอ๋องจึงไล่ชาวบ้านออกไปจากบริเวณนี้ แล้วพาคนซึ่งสวมหมวกปิดบังใบหน้ากว่าสิบคนเข้าไปในวังเทียนมิ่งโดยที่เจ้าบ้านยังไม่ออกมาต้อนรับเสียด้วยซ้ำครั้นองค์จักรพรรดิและพระญาติทั้งหลายเสด็จถึงห้องโถงที่คนทั้งสามกำลังกินอาหารกันอยู่ เซียวม่านหลิวก็พลันเข่าอ่อน รีบขยับกายหนีในทันใดทว่าหลี่หมิงกลับคว้าแขนของนางไว้“เจ้ากลัวอะไร”“พวกท่านอาวุโสกว่าองค์จักรพรรดิก็จริง แต่ข้าไม่ใช่ ข้ายังอยากให้ตระกูลเซียวมีลูกหลานสืบสกุลอยู่นะ”ถึงสามีนางจะเป็นบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ ทว่านางไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมมาเป็นลำดับแรก“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” นางและข้ารับใช้ในวังเทียนมิ่งหมอบกราบในทันทีที่บุรุษในชุดสามัญชนก้าวเข้ามา ถึงแม้จะก้มหน้าอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอำนาจของโอรสสวรรค์ มีเพียงสองคนที่ยังคงทระนงไม่หวั่นไหว นั่งหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ ก็เห็นจะเป็นหลี่หมิงกับเว่ยฉือหลี่จิ้งนั่นล่ะ“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ” สุรเสียงเคร่งขร
“องค์ชายสี่ ท่านตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิแบบนั้น ไม่ถูกสั่งโบยหรือตัดหัวหรอกหรือ”เซียวม่านหลิวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ ดวงตากลมโตสำรวจใบหน้าขององค์ชายสี่ด้วยสายตาใคร่รู้ แม้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งจะเป็นน้องชายของหลี่หมิง แต่เพราะเขาตายตอนที่อายุมากกว่าหลี่หมิง ใบหน้าของหลี่หมิงจึงอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย แต่เพราะใบหน้าที่เริ่มไร้สีเลือดของเขาจึงทำให้ดูน่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง นางเองก็ไม่แปลกใจเลยที่เว่ยฉือหลี่จิ้งจะริษยาผู้เป็นพระเชษฐา เพราะหลี่หมิงมีทุกอย่างที่เขาต้องการจริงๆ ตอนที่ออกจากสุสานเพราะนางไม่ได้สติจึงไม่รู้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งถูกใครแบกหามมา หลี่หมิงบอกแต่เพียงว่าน้องชายของเขาถูกคนลากออกจากสุสาน สภาพดูแทบไม่ได้ ต้องพักฟื้นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เช่นกัน ครั้นร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า หลี่หมิงก็ส่งน้องชายบุกเข้าห้องบรรทมของจักรพรรดิด้วยแผนการอันชั่วร้ายคนอย่างเว่ยฉือหลี่จิ้ง นอกจากหลี่หมิงแล้วเขากลับมิได้เกรงใจผู้ใดเลยแม้แต่น้อยเว่ยฉือหลี่จิ้งยิ้มเย็น กล่าวเสียงเรียบ “เขาจะกล้าตัดหัวข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าคือผู้ร่างจดหมายให้คืนราชบัลลังก์แก่เสด็จพี่ ซินหย่งรู้อยู่แก่ใจว่าการสังหารผู้มี
กลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อคิดถึงสตรีที่นอนหนุนตักเขาในตอนนี้ หลี่หมิงก็อมยิ้มมุมปาก ค่อยๆ เก็บเกี่ยวกลุ่มผมเงางามขึ้นมา ใช้หวีหยกสางให้อย่างเบามือ หลังจากที่ชวีฮองเฮาสิงร่างนาง เซียวม่านหลิวก็หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งตอนนี้ข้ามมาอีกวันแล้วกลับยังไม่รู้ตัว“ไท่จื่อ…”เป้ยหยวนร้องเรียกหน้าประตู ไม่กล้าก้าวล่วงเข้ามาในห้องนอนของเขาที่ปลดม่านมุ้งลงเพราะเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่เหมาะสมหลี่หมิงปรายตามององครักษ์คู่ใจ “เป็นอย่างไร”“จักรพรรดิทรง…” เป้ยหยวนกัดริมฝีปาก ไม่รู้จะรายงานอย่างไรดี“บอกมา”“ทูลไท่จื่อ องค์ชายสี่ทรง…” เป้ยหยวนยังคงละล้าละลัง“เจ้าจะรั้งรออีกนานหรือไม่”“องค์ชายสี่ทรงตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิคาห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”หลี่หมิงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “ตามหมอมาหรือยัง”“เสิ่นหลิวสิงตรวจพระอาการอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วองค์จักรพรรดิเล่า”“หลังจากที่โดนฝ่ามือขององค์ชายสี่ องค์จักรพรรดิก็เสด็จไปยังห้องเก็บป้ายบรรพชนทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“อืม…เด็กคนนั้นคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าข้ากำลังคิดทำอะไรอยู่”เป้ยหยวนไม่ออกความเห็นใดๆ นิ่งเงียบรอคอยคำสั่ง“ออกไปเถอะ ต่อไปเรียกนายท่านก็พอ บทบาทในฐา