Share

ตอนที่ 1 : ลิขิต [3]

last update Last Updated: 2025-10-09 15:58:16

ตอนที่ 1 : ลิขิต [3]

ในที่สุดก็มีคนถามออกมา “พี่ชาย คนเยอะเช่นนี้พวกท่านจะทำอะไรกัน มิใช่ว่าพวกเราต้องเดินทางไปส่งสินค้าที่เมืองอื่นๆ รึ”

หัวหน้าพ่อค้าเดินถือชะแลงมายังกลุ่มที่เซียวม่านหลิวยืนอยู่ เขาจึงเป็นคนไขความกระจ่างแจ้งเสียเอง “ก่อนจะไปส่งสินค้า ต้องมีสินค้าก่อนจึงจะส่งได้”

“สินค้าหรือนายท่าน สินค้าอะไร”

“มารับของไปแล้วฟังคำสั่งของหัวหน้าที่ดูแลพวกเจ้าให้ดี สินค้าครั้งนี้มูลค่ามหาศาล หากขนส่งสำเร็จ ผลตอบแทนจะกลับไปสู่พวกเจ้าจนใช้ทั้งชาติก็ไม่หมด”

คนงานที่รับมาใหม่แต่ละคนขานรับด้วยความคึกคัก เรื่องผลตอบแทนอันล่อตาล่อใจเช่นนี้น้อยคนนักจะไม่หวั่นไหว แม้แต่นางเองที่เติบโตมาโดยไม่ขัดสนก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ชักแน่ใจแล้วว่า 'สินค้า' ที่จะขนไปต้องเป็นของที่อยู่ในสุสานราชวงศ์อย่างแน่นอน

เส้นทางที่กำลังเดินไปก็ช่วยยืนยันความคิดของนางได้อย่างแม่นยำ พวกเขากำลังช่วยกันขุดเนินดินทางทิศตะวันตกที่เป็นจุดซึ่งเชื่อมโยงกับพื้นที่บางส่วนของสุสานแห่งนี้โดยมีนักพรตเฒ่าใช้เข็มทิศปากว้า[1] เพื่อระบุตำแหน่ง

“พี่ชาย ระดมคนมาขุดดินตั้งมากมายเช่นนี้จะมากเกินสินค้าหรือไม่” ใครคนหนึ่งถามขึ้น เมื่อมองอย่างไรเนินดินนี้ก็คงไม่อาจฝังสิ่งของได้มากมายมหาศาลเท่าใดนัก กลับเป็นเซียวม่านหลิวที่กลืนน้ำลายอย่างเงียบงัน

โทษของการขุดสุสานราชวงศ์ประหารเก้าชั่วโคตรก็ไม่พอใช้คืน อีกทั้งคนพวกนี้ยังถูกหลอกให้มาทำงานผิดกฎหมายโดยไม่รู้ตัวอีกด้วย

ทันใดนั้นก็ได้ยินคำพูดที่ทำให้เลือดในกายเย็นเฉียบ “หึๆ ไม่ต้องห่วง เกรงว่าคนที่ออกไปจะไม่เท่าจำนวนที่เข้ามาน่ะสิ”

เป็นพี่ชายหน้าแหลมที่อยู่บนรถคันเดียวกับนางพูดขึ้น ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ตื่นเต้นหรือละโมบโลภมากแม้สักนิด นางรู้จักสีหน้าแบบนี้ดี

ชินชา

บิดาของนางบอกว่าสุสานของราชวงศ์ในแถบนี้กินอาณาบริเวณกว้างเป็นอย่างมาก แต่ละสุสานจะมีการออกแบบกลไกข้างในและตำแหน่งทิศทางไม่เหมือนกัน สุสานบางแห่งถึงกับมีสิ่งลี้ลับที่มองไม่เห็นเร้นกายอยู่ กล่าวกันว่าผู้ขุดของคนตายขึ้นมากินมาใช้ย่อมไม่ได้ตายดีสักราย เมื่อคิดถึงตรงนี้ถุงน้ำดีก็พลันหดเล็กเท่าเม็ดถั่ว

“บังอาจ! มันผู้ใดเป็นสตรีปลอมตัวมา!”

จู่ๆ นักพรตผู้นั้นก็ตวาดก้อง ทำเอาคนที่กำลังขุดดินอยู่หยุดชะงัก ดวงตาคมกริบของนักพรตผู้นั้นกวาดมองกลุ่มคนงานใหม่ ปากก็กล่าววาจาร้ายกาจออกมา

“สตรีเหยียบสุสานจะทำให้อาคมที่สะกดภูตผีในสุสานเสื่อม พวกมันจะออกอาละวาด รีบแสดงตัวออกมาก่อนจะเกิดเหตุอาเพศ!”

โทสะของนักพรตจี้มีอำนาจเหนือสติสัมปชัญญะทั้งมวล ในที่สุดเขาก็หลุดออกมาแล้วว่าสิ่งที่กระทำอยู่ก็คือการลอบขุดสุสาน เซียวม่านหลิวแม้จะตระหนกอยู่บ้าง แต่หากนางไม่แสดงพิรุธ นางเชื่อว่าตนเองจะรอดพ้นเรื่องนี้ไปได้

“เกิดอะไรขึ้นนักพรตจี้” หัวหน้าโจรในคราบพ่อค้าผละจากหลุมที่ขุดอีกแห่งเข้ามาถามด้วยสีหน้าเครียดขมึง

“เรียนท่านหัวหน้า จานแปดทิศของข้ากำลังร้องเตือนว่ามีสตรีปลอมตัวเป็นบุรุษปะปนมาในหมู่พวกเราขอรับ” นักพรตจี้ตอบ ก่อนจะหันมาตวาดกลุ่มคนงานใหม่ที่กำลังก้มหน้าก้มตาทำงาน “ใครเป็นผู้รับผิดชอบหาคนงาน ข้าบอกแล้วว่าสุสานนี้ห้ามนำสตรีเข้ามา เหตุใดจึงไม่ตรวจสอบคนทั้งหมดให้ละเอียดก่อน!”

เซียวม่านหลิวนิ่วหน้า ก็เขานั่นแหละที่รับนางเข้ามา

ทันใดนั้นพื้นดินที่ยืนอยู่ก็พลันอ่อนยวบ ดูดร่างของนางลงไปเบื้องล่างในทันที ก่อนที่จะนางกระแทกพื้นจนหมดสติยังได้ยินเสียงแว่วเข้ามาในโสตประสาท

“เป็นนาง! รีบฆ่านางก่อนที่จะเกิดเรื่องร้ายแรง รีบลงไปฆ่านาง!”

ในนิทานที่นางเคยอ่าน เมื่อหญิงสาวได้รับอันตรายก็สมควรที่จะมีชายหนุ่มมาช่วยเหลือได้อย่างทันท่วงที ทว่านิทานไร้สาระเหล่านั้นกลับใช้ไม่ได้เมื่อนางกำลังตกลงมาในสุสาน

สวรรค์!

นางตกลงมาในห้องโล่งๆ ห้องหนึ่ง กลิ่นอับเหม็นหืนคละคลุ้งจนหายใจไม่ทั่วท้อง ไม่มีชายหนุ่ม ไม่มีจอมยุทธ์ กระทั่งฟางสักกองรองรับยังไม่มี ครั้นเงยหน้ามองไปด้านบนก็พลันรู้สึกเย็นวาบ แต่เดิมควรจะมีรูที่นางตกลงมา กลับพบว่าเป็นหินทึบประดับด้วยมุกราตรีเม็ดใหญ่ ภายในสุสานแม้ไม่มืดสนิท กระนั้นก็บอกได้ยากว่าสว่างไสว ไข่มุกราตรีที่ถูกฝังอยู่กลางเพดานหินสกัดเป็นเพียงต้นกำเนิดความสว่างเดียวในที่แห่งนี้

เซียวม่านหลิวมองรอบตัว สายตาเริ่มคุ้นชินกับความมืดมิดทีละน้อย พลันมองเห็นห้องขนาดใหญ่ ตามผนังสลักลวดลายนูนต่ำคล้ายกับบอกเล่าเรื่องราวในอดีตของเจ้าของสุสาน ด้านหนึ่งของห้องมีประตูบานใหญ่ตั้งตระหง่าน หน้าประตูคือรูปสลักหินของมนุษย์สูงใหญ่ราวสิบฉือ[2] ดวงตากลมรีขนาดเท่าไข่ห่านคล้ายกับจ้องมองนางตลอดเวลา ทั้งยังแผ่กลิ่นอายอันน่ากลัวบางอย่างออกมาจนชวนให้ขนลุกชูชัน

เซียวม่านหลิวเผลอลูบผิวกายของตนเพื่อระงับความกลัว มือทั้งสองข้างพลันเจ็บแสบปวดร้าวจนน้ำตาเล็ด เมื่อส่องดูกับแสงสว่างจากไข่มุกราตรีก็ต้องเบิกตากว้าง บนมือปรากฏบาดแผลอันเกิดจากการตะกายดินตามสัญชาตญาณทำให้เลือดไหลซึม ซ้ำร้ายบาดแผลยังเต็มไปด้วยเศษดินจำนวนไม่น้อย

โบราณว่ายามเป็นแผล ไม่เห็นไม่รู้สึก ทว่าครั้นเห็นแผลเป็นบนมือของตน ก็ทั้งเจ็บทั้งปวดจนแทบจะร่ำไห้ หากเป็นยามปกติที่อยู่เฉินตู หลังจากได้รับแผลเช่นนี้ ท่านยายของนางจะต้องบ่นสักคำสองคำ ก่อนจะพาไปล้างมือแล้วค่อยๆ ใช้ผ้าเช็ดเศษหินเศษดินออกไปทีละน้อยแล้วทำแผลอย่างเบามือ พอคิดถึงท่านยายขึ้นมา นางก็น้ำตาซึม แต่แม้ว่านางจะอยากร้องไห้สักเพียงไหน ตอนนี้ก็มิใช่เวลาอันสมควรนัก

[1]สัญลักษณ์ทั้งแปดในคัมภีร์อี้จิง

[2]เชียะ เท่ากับ ฟุต

Continue to read this book for free
Scan code to download App

Latest chapter

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   บทส่งท้าย 2

    “อ๊า! เจ็บเหลือเกิน”“อึ๊บ! ฟูเหริน อึ๊บไว้เจ้าค่ะ”“หลิวหลิว มองหน้าแม่นะ เบ่งออกมา แค่อึ๊บเดียวเท่านั้น กลั้นหายใจแล้วเบ่งออกมาทีเดียวเลย!”“อึ๊บ…อ๊า!”“อุแว้…อุแว้!”“ว้าย! คลอดแล้วเจ้าค่ะ! อุ๊ย เป็นคุณชายน้อยเจ้าค่ะ ตรงหน้าอกมีปานสีแดงคล้ายดวงไฟเลยเจ้าค่ะ!”“ต๊าย! หลานข้า น่ารักน่าชังนัก หลิวหลิว ดูสิ คิ้วเหมือนหมิงเอ๋อร์ไม่มีผิด คิกๆ แต่ดวงตากับปากดันเหมือนเจ้ามากเหลือเกิน น่าเสียดายที่ข้าอุ้มเขาไม่ได้”ปังๆๆ “เปิดประตู! ให้ข้าเข้าไปได้หรือยัง” หลี่หมิงที่ยืนเฝ้าหน้าประตูห้องราวกับหนูติดจั่นเริ่มอยู่ไม่สุข ความตื่นเต้นทรมานตลอดทั้งคืนที่ผ่านมาทำให้เขาทั้งหวาดกลัวและสงสารเซียวม่านหลิวจนทำอะไรไม่ถูก ครั้นได้ยินเสียงเด็กร้องก็ค่อยโล่งใจ อยากจะเห็นหน้าลูกเต็มแก่แล้วทันใดนั้นประตูก็เปิดออก หลี่หมิงพลันพุ่งตัวไปยังเตียงที่เซียวม่านหลิวนอนอยู่ ได้เห็นทารกตัวแดงๆ ที่ส่งเสียงอ้อแอ้ในผ้าอ้อมข้างหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดก็ยิ้มอย่างโล่งใจใบหน้ากลมป้อมและนิ้วเล็กๆ โยกไหวไปมาพร้อมกับเสียงประหลาดพิกลหูทำให้หลี่หมิงหวาดระแวงเล็กน้อย แต่เมื่อได้สบตากับดวงตาอันสุกสกาวของเจ้าตัวน้อย ก็รู้สึกราวกั

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   บทส่งท้าย 1

    กลิ่นหอมอ่อนๆ ของอาหารหลากหลายชนิดลอยกระทบนาสิกจนทำให้ดวงตากลมโตลืมขึ้นช้าๆ ร่างในอาภรณ์ตัวบางบิดกายพลางหาวอย่างเกียจคร้าน เสียงจานชามกระทบโต๊ะทำให้ดวงตาของนางเหลือบมองไปยังกลางห้อง พลันเห็นแผ่นหลังอันคุ้นเคยของผู้เป็นสามีเข้าเต็มตา เขากำลังง่วนอยู่กับการตระเตรียมอาหารเช้า ตรงเอวมีผ้าสีเข้มมัดอย่างแน่นหนาดูแปลกพิกล ครั้นได้ยินเสียงหาวเบาๆ ของนางก็หันกลับมา ใบหน้าที่ซ่อนอยู่ในเงาสลัวจากด้านนอกปรากฏรอยยิ้มอบอุ่นสายหนึ่ง พานให้หญิงสาวเผลอมองตาค้างอย่างเผลอไผล“ฟูเหรินตื่นแล้วหรือ อาหลัน เตรียมน้ำมาให้นางล้างหน้า”“เจ้าค่ะ” สาวใช้โผล่มาจากที่ไหนสักแห่งขานรับอย่างรวดเร็วราวกับคอยรับคำสั่งแต่แรกแล้ว“อ๊ะ! ไม่ต้องหรอก”เซียวม่านหลิวตั้งท่าจะลงจากเตียง ทว่าหลี่หมิงกลับถลาเข้ามาประคองนางอย่างระมัดระวัง“ไม่ได้ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้มาก” หลี่หมิงพูดอย่างอารมณ์ดีเซียวม่านหลิวย่นจมูกเล็กน้อย กลิ่นควันไฟที่ติดตามตัวหลี่หมิงทำให้นางพะอืดพะอมจนต้องเบนหน้าหนี ทว่าหลี่หมิงกลับคิดว่านางยังตื่นไม่เต็มตาจึงเบียดตัวเข้าประคอง“ฟูเหริน ค่อยๆ ลุกสิ”“ท่านถอยออกไปก่อน”“ทำไมเล่า”เซียวม่านหลิวผลักหลี่หมิงจนช

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   ตอนที่ 20 : เกิดเป็นลูกหลานมิอาจอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ [5]

    ค่ำคืนมืดมิด ท้องฟ้าเปิดโล่ง หนุ่มสาวสองคนนั่งคลอเคลียข้างหน้าต่าง มองหมู่ดาวที่แข่งกันทอแสงริบหรี่งดงามจับตา“ให้เขามีเวลาเพียงหนึ่งเดือน ไม่น้อยไปหรือ” เซียวม่านหลิวอดถามไม่ได้ หลังจากที่เว่ยฉือหลี่จิ้งถูกรับตัวเข้าวังหลี่หมิงเหล่มองนาง กล่าวขึ้นด้วยความรู้สึกน้อยอกน้อยใจ“เจ้าอยากให้ข้าอายุสั้นหรือ”หากหลี่หมิงให้เวลาเว่ยฉือหลี่จิ้งนานกว่านี้ นอกจากจะทำให้น้องชายผูกพันกับลูกหลานมากขึ้นจนตัดไม่ขาด ร่างกายของหลี่หมิงเองก็พลอยได้รับผลกระทบไปด้วยโดยเฉพาะร่างกายที่อายุขัยสิ้นสูญไปนานแล้ว นอกจากจะอาศัยร่างของผู้อื่น สังขารของเว่ยฉือหลี่จิ้งก็ค่อยๆ เสื่อมสภาพลงเช่นกันหากไม่เพราะเขาทราบมาว่าร่างของเว่ยฉือหลี่จิ้งหายไปจากสุสานราชวงศ์ หลี่หมิงคงไม่คิดขุดคุ้ยอดีตให้เจ็บปวดเช่นนี้ โดยเฉพาะเรื่องของชวีชิงชิว เป็นสิ่งที่เขาไม่อยากคาดการณ์มากที่สุดเขายังอยากหลอกตัวเองว่าชวีชิงชิวมิได้ทรยศความไว้ใจของตนหากชวีฮองเฮาไม่ชิงขอร้องและขอติดตามเข้าสู่สุสานด้วย หลี่หมิงคงไม่คิดเหยียบย่ำสถานที่แห่งนั้นเด็ดขาดเซียวม่านหลิวเห็นหลี่หมิงสีหน้าเรียบตึง แววตาเย็นเยียบ ใจของนางพลันรู้สึกไม่ค่อยดีขึ้นมาเสียอ

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   ตอนที่ 20 : เกิดเป็นลูกหลานมิอาจอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ [4]

    จักรพรรดิทรงให้จวินจี๋จวิ้นอ๋องออกหน้า โดยที่พระองค์ทรงแฝงกายมากับขบวนเกี้ยวของวังจวิ้นอ๋องด้วยครั้นถึงหน้าประตูวัง องครักษ์ของจวินจี๋จวิ้นอ๋องจึงไล่ชาวบ้านออกไปจากบริเวณนี้ แล้วพาคนซึ่งสวมหมวกปิดบังใบหน้ากว่าสิบคนเข้าไปในวังเทียนมิ่งโดยที่เจ้าบ้านยังไม่ออกมาต้อนรับเสียด้วยซ้ำครั้นองค์จักรพรรดิและพระญาติทั้งหลายเสด็จถึงห้องโถงที่คนทั้งสามกำลังกินอาหารกันอยู่ เซียวม่านหลิวก็พลันเข่าอ่อน รีบขยับกายหนีในทันใดทว่าหลี่หมิงกลับคว้าแขนของนางไว้“เจ้ากลัวอะไร”“พวกท่านอาวุโสกว่าองค์จักรพรรดิก็จริง แต่ข้าไม่ใช่ ข้ายังอยากให้ตระกูลเซียวมีลูกหลานสืบสกุลอยู่นะ”ถึงสามีนางจะเป็นบรรพบุรุษขององค์จักรพรรดิ ทว่านางไม่ใช่ อย่างไรก็ต้องคำนึงถึงความเหมาะสมมาเป็นลำดับแรก“ถวายพระพรฝ่าบาท ขอจงทรงพระเจริญ หมื่นปี หมื่น หมื่นปี” นางและข้ารับใช้ในวังเทียนมิ่งหมอบกราบในทันทีที่บุรุษในชุดสามัญชนก้าวเข้ามา ถึงแม้จะก้มหน้าอยู่ก็ยังสัมผัสได้ถึงรัศมีอำนาจของโอรสสวรรค์ มีเพียงสองคนที่ยังคงทระนงไม่หวั่นไหว นั่งหน้าไม่เปลี่ยนสีได้ ก็เห็นจะเป็นหลี่หมิงกับเว่ยฉือหลี่จิ้งนั่นล่ะ“ไม่เป็นไร ลุกขึ้นเถอะ” สุรเสียงเคร่งขร

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   ตอนที่ 20 : เกิดเป็นลูกหลานมิอาจอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ [3]

    “องค์ชายสี่ ท่านตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิแบบนั้น ไม่ถูกสั่งโบยหรือตัดหัวหรอกหรือ”เซียวม่านหลิวถามขึ้นอย่างอดไม่ได้ ดวงตากลมโตสำรวจใบหน้าขององค์ชายสี่ด้วยสายตาใคร่รู้ แม้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งจะเป็นน้องชายของหลี่หมิง แต่เพราะเขาตายตอนที่อายุมากกว่าหลี่หมิง ใบหน้าของหลี่หมิงจึงอ่อนเยาว์กว่าเล็กน้อย แต่เพราะใบหน้าที่เริ่มไร้สีเลือดของเขาจึงทำให้ดูน่าเวทนาสงสารอย่างยิ่ง นางเองก็ไม่แปลกใจเลยที่เว่ยฉือหลี่จิ้งจะริษยาผู้เป็นพระเชษฐา เพราะหลี่หมิงมีทุกอย่างที่เขาต้องการจริงๆ ตอนที่ออกจากสุสานเพราะนางไม่ได้สติจึงไม่รู้ว่าเว่ยฉือหลี่จิ้งถูกใครแบกหามมา หลี่หมิงบอกแต่เพียงว่าน้องชายของเขาถูกคนลากออกจากสุสาน สภาพดูแทบไม่ได้ ต้องพักฟื้นหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ เช่นกัน ครั้นร่างกายกลับมากระปรี้กระเปร่า หลี่หมิงก็ส่งน้องชายบุกเข้าห้องบรรทมของจักรพรรดิด้วยแผนการอันชั่วร้ายคนอย่างเว่ยฉือหลี่จิ้ง นอกจากหลี่หมิงแล้วเขากลับมิได้เกรงใจผู้ใดเลยแม้แต่น้อยเว่ยฉือหลี่จิ้งยิ้มเย็น กล่าวเสียงเรียบ “เขาจะกล้าตัดหัวข้าได้อย่างไร ในเมื่อข้าคือผู้ร่างจดหมายให้คืนราชบัลลังก์แก่เสด็จพี่ ซินหย่งรู้อยู่แก่ใจว่าการสังหารผู้มี

  • ลิขิต โลหิต จันทรา   ตอนที่ 20 : เกิดเป็นลูกหลานมิอาจอกตัญญูต่อบรรพบุรุษ [2]

    กลับมาสู่ปัจจุบันเมื่อคิดถึงสตรีที่นอนหนุนตักเขาในตอนนี้ หลี่หมิงก็อมยิ้มมุมปาก ค่อยๆ เก็บเกี่ยวกลุ่มผมเงางามขึ้นมา ใช้หวีหยกสางให้อย่างเบามือ หลังจากที่ชวีฮองเฮาสิงร่างนาง เซียวม่านหลิวก็หมดสติไปหนึ่งวันหนึ่งคืนเต็มๆ กระทั่งตอนนี้ข้ามมาอีกวันแล้วกลับยังไม่รู้ตัว“ไท่จื่อ…”เป้ยหยวนร้องเรียกหน้าประตู ไม่กล้าก้าวล่วงเข้ามาในห้องนอนของเขาที่ปลดม่านมุ้งลงเพราะเกรงว่าจะเห็นภาพอันไม่เหมาะสมหลี่หมิงปรายตามององครักษ์คู่ใจ “เป็นอย่างไร”“จักรพรรดิทรง…” เป้ยหยวนกัดริมฝีปาก ไม่รู้จะรายงานอย่างไรดี“บอกมา”“ทูลไท่จื่อ องค์ชายสี่ทรง…” เป้ยหยวนยังคงละล้าละลัง“เจ้าจะรั้งรออีกนานหรือไม่”“องค์ชายสี่ทรงตบพระพักตร์องค์จักรพรรดิคาห้องบรรทมพ่ะย่ะค่ะ”หลี่หมิงเลิกคิ้ว ดวงตาเป็นประกาย “ตามหมอมาหรือยัง”“เสิ่นหลิวสิงตรวจพระอาการอยู่พ่ะย่ะค่ะ”“แล้วองค์จักรพรรดิเล่า”“หลังจากที่โดนฝ่ามือขององค์ชายสี่ องค์จักรพรรดิก็เสด็จไปยังห้องเก็บป้ายบรรพชนทันทีพ่ะย่ะค่ะ”“อืม…เด็กคนนั้นคงรู้ตัวแล้วกระมังว่าข้ากำลังคิดทำอะไรอยู่”เป้ยหยวนไม่ออกความเห็นใดๆ นิ่งเงียบรอคอยคำสั่ง“ออกไปเถอะ ต่อไปเรียกนายท่านก็พอ บทบาทในฐา

More Chapters
Explore and read good novels for free
Free access to a vast number of good novels on GoodNovel app. Download the books you like and read anywhere & anytime.
Read books for free on the app
SCAN CODE TO READ ON APP
DMCA.com Protection Status