เข้าสู่ระบบฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยว
ในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ
“อ๊าาาา”
ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อย
มือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด
“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรง
ภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว
“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงราวกับร่างกายจะล้มพับลงไปได้ทุกเมื่อ
“ข้า ไม่มีแรงแล้ว” นางกระซิบเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ความเจ็บปวดกัดกินสติของนางจนแทบหมดสิ้น
แต่ทันใดนั้น นางสัมผัสได้ถึงแรงดิ้นอ่อนๆ จากภายในครรภ์
ดวงตาของไป๋ลี่เยว่สั่นไหว นางรู้ว่าตนเองกำลังจะหมดแรง แต่หากนางยอมแพ้ตอนนี้ ลูกของนางก็อาจไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
ไป๋ลี่เยว่กัดฟันแน่นก่อนวางมือบนหน้าท้องของตนเอง เปลือกตาหลับลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ลูกของนาง นางต้องปกป้องเขาให้ได้
“ลูกแม่ เจ้าเองก็ต้องสู้นะ”
นางรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมออกแรงเบ่งสุดชีวิต
“อ๊าาาาา”
เสียงทุกอย่างเงียบสนิทไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของทารกน้อยจะดังขึ้นท่ามกลางเสียงพายุฝนด้านนอกที่โปรยปราย
“โอรส เป็นพระโอรสเพคะ พระชายาให้กำเนิดพระโอรสแล้ว” หมอหลวงหญิงประกาศด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะอุ้มทารกน้อยที่ส่งเสียงร้องดังลั่นขึ้นมาให้นางผดุงครรภ์
เสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วตำหนักเย็น ราวกับจะประกาศการถือกำเนิดของชีวิตใหม่ท่ามกลางความมืดมน
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจรัวๆ นางรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดึงพลังทั้งหมดไปจนหมดสิ้น แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น ดวงตาของนางพลันพราวระยับ
นางผดุงครรภ์รีบเช็ดทำความสะอาดเด็กทารก ห่อตัวเขาด้วยผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ วางร่างน้อยลงบนอ้อมแขนของไป๋ลี่เยว่
“ลูกของข้า” นางพึมพำเสียงแผ่ว แต่หัวใจของเต้นแรง แรงเสียจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ร่างกายอวบของไป๋ลี่เยว่สั่นเทา แต่เมื่ออ้อมแขนของนางโอบร่างน้อยนั้นไว้ ความอบอุ่นก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของนางอย่างช้าๆ
“เจ้าช่างงดงามนัก ลูกของแม่” น้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มที่แดงระเรื่อของเด็กน้อย ไป๋ลี่เยว่สะอื้นเงียบๆ
ทารกน้อยหยุดร้องทันทีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดา มือเล็กๆ ของเขาขยับไปจับเสื้อของนางแน่นราวกับต้องการยึดเหนี่ยว
ไป๋ลี่เยว่หัวเราะทั้งน้ำตา นางกระซิบแผ่วเบา
“แม่จะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” เขาคือลูกของนาง คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนาง
หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มิใช่เพราะความเจ็บปวด หากเป็นความรู้สึกที่เอ่อล้นจนยากจะกลั้นไว้
เสียงสะอื้นเงียบๆ ดังขึ้นจากมุมห้อง หงเหมยยกมือปิดปาก ตาของนางแดงเรื่อจากทั้งความตื้นตันและความโล่งอก นางเฝ้าดูนายหญิงของตนผ่านคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างแข็งแกร่ง และบัดนี้ นางได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้ว
“คุณหนู พระโอรสของท่านช่างงดงามยิ่งนัก” หงเหมยกล่าวพลางเช็ดน้ำตา
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ขยับแขนกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไออุ่นของเด็กน้อย เสียงลมหายใจแผ่วเบา และน้ำหนักอันเบาหวิวที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง มือนางสั่นเล็กน้อยเมื่อไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มแดงระเรื่อของเขา นุ่มนวล ราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้ม
“ลูกของแม่ ” นางพึมพำ ดวงตาสั่นไหวด้วยความรักและคำสัญญาที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เจ้าจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง”
นางโน้มใบหน้าแนบลงจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากเล็กๆ ของลูกชาย เสียงของนางอ่อนโยนและมั่นคง
“แม่จะปกป้องเจ้า จะเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข”
เพราะนางรู้ดีว่าการเติบโตขึ้นมาโดยไร้ผู้ใดเหลียวแลนั้นเจ็บปวดเพียงใด และนางจะไม่มีวันให้ลูกของนางต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน จากนี้ไป นางจะเป็นโลกทั้งใบของเขา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปราย ตำหนักเย็นที่เคยเงียบเหงากลับอบอุ่นขึ้นมาเพียงเพราะเสียงลมหายใจเล็กๆ ของเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
ค่ำคืนนั้นเดียวกันนั้น สายฝนยังคงโปรยปรายเหนือวังหลวง แต่ภายในตำหนักในกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงกองไฟแตกเปรี๊ยะเบาๆ และกลิ่นหอมของชาที่ลอยอวล
ฮองเฮาทรงวางถ้วยชาในพระหัตถ์ลงช้าๆ ดวงเนตรของพระนางจดจ่อกับบางสิ่ง ก่อนริมพระโอษฐ์จะคลี่ยิ้มบางๆ การรอคอยของพระนางสิ้นสุดลง
เมื่อข่าวการประสูติของพระนัดดาถูกนำมาแจ้งที่ตำหนัก ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ที่โดยปกติทรงสุขุมเยือกเย็นถึงกับลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระนาง ดวงเนตรที่มักเฉยชาเปล่งประกายวาววับ
“เป็นพระโอรสหรือ นางทำได้จริงๆ” แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่แววตาของพระนางกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิและอ่อนโยน
นางกำนัลก้มศีรษะลงต่ำ “เพคะ ฝ่าบาท พระชายาสามประสูติพระโอรส สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งพระมารดาและพระโอรส”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและแฝงไปด้วยเล่ห์กล
“ดี เป็นเรื่องที่ดีมาก”
นางกำนัลข้างกายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ทรงแจ้งเรื่องนี้แก่องค์ชายสามหรือเพคะ”
ฮองเฮาทรงแค่นพระสรวล พระโอษฐ์ของพระนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“บอกเขาหรือ ไม่ ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยให้เจิ้งหยางใช้ชีวิตของเขาไปก่อน ให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ได้เสวยสุขตามใจ” เสียงของพระนางราบเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยอำนาจและแผนการ
พระนางทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนที่ตกหนักราวกับซัดพัดเอาความไม่เป็นธรรมทั้งปวงไปให้พ้นจากตำหนักเย็น พระโอรสของพระนาง องค์ชายสามที่พระนางเคยรักสุดหัวใจ กลับทอดทิ้งสตรีที่ควรค่าแก่การดูแล และบัดนี้ เขาต้องได้รับบทเรียนที่สาสม
“ไป๋ลี่เยว่ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก นางเป็นสตรีที่คู่ควรกับตำแหน่งมากกว่าผู้ใด” พระนางพึมพำแผ่วเบา แต่ก็หนักแน่นในทุกถ้อยคำ
ฮองเฮาทรงลูบแหวนหยกบนนิ้วพระหัตถ์เบาๆ ดวงเนตรฉายแววเจ้าแผนการ ราวกับขุนศึกผู้มองเห็นกระดานหมากรุกทั้งกระดาน
“ เจิ้งหยาง องค์ชายสามลูกของข้า ข้าเคยหวังให้เจ้ารักและทะนุถนอมพระชายาของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะทำลายสิ่งล้ำค่าที่สุดของเจ้าเอง ก็อย่าได้หวังว่าจะได้มันกลับคืนมาโดยง่าย” พระนางแค่นพระสรวลเบาๆ
“แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าโง่เขลา ข้าก็จะเป็นผู้สั่งสอนเจ้าเอง”
พระโอรสที่แท้จริงของพระนาง บัดนี้มิใช่เจิ้งหยางอีกต่อไป แต่เป็นพระนัดดาผู้เพิ่งลืมตาดูโลก
“ส่งคนของเราไปดูแลตำหนักเย็น อย่าให้ไท่จื่อเฟยลำบากอีก” พระนางตรัสสั่ง
“ไป๋ลี่เยว่และหลานของข้า จะต้องได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ”
ดวงเนตรของพระนางเป็นประกายเย็นชา
“ส่วนเจิ้งหยาง เขาจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการสูญเสียอย่างแท้จริง วันหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่าตนเองเคยมีบางสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับปล่อยให้มันหลุดมือไป”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ รอยยิ้มบนพระพักตร์ยังคงอยู่ แต่แววตากลับเยียบเย็น “เมื่อนั้น เขาจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจเอง และจะต้องชดใช้ให้สาสม”
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข







