LOGINฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยว
ในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ
“อ๊าาาา”
ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อย
มือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด
“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรง
ภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว
“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงราวกับร่างกายจะล้มพับลงไปได้ทุกเมื่อ
“ข้า ไม่มีแรงแล้ว” นางกระซิบเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ความเจ็บปวดกัดกินสติของนางจนแทบหมดสิ้น
แต่ทันใดนั้น นางสัมผัสได้ถึงแรงดิ้นอ่อนๆ จากภายในครรภ์
ดวงตาของไป๋ลี่เยว่สั่นไหว นางรู้ว่าตนเองกำลังจะหมดแรง แต่หากนางยอมแพ้ตอนนี้ ลูกของนางก็อาจไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
ไป๋ลี่เยว่กัดฟันแน่นก่อนวางมือบนหน้าท้องของตนเอง เปลือกตาหลับลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ลูกของนาง นางต้องปกป้องเขาให้ได้
“ลูกแม่ เจ้าเองก็ต้องสู้นะ”
นางรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมออกแรงเบ่งสุดชีวิต
“อ๊าาาาา”
เสียงทุกอย่างเงียบสนิทไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของทารกน้อยจะดังขึ้นท่ามกลางเสียงพายุฝนด้านนอกที่โปรยปราย
“โอรส เป็นพระโอรสเพคะ พระชายาให้กำเนิดพระโอรสแล้ว” หมอหลวงหญิงประกาศด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะอุ้มทารกน้อยที่ส่งเสียงร้องดังลั่นขึ้นมาให้นางผดุงครรภ์
เสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วตำหนักเย็น ราวกับจะประกาศการถือกำเนิดของชีวิตใหม่ท่ามกลางความมืดมน
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจรัวๆ นางรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดึงพลังทั้งหมดไปจนหมดสิ้น แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น ดวงตาของนางพลันพราวระยับ
นางผดุงครรภ์รีบเช็ดทำความสะอาดเด็กทารก ห่อตัวเขาด้วยผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ วางร่างน้อยลงบนอ้อมแขนของไป๋ลี่เยว่
“ลูกของข้า” นางพึมพำเสียงแผ่ว แต่หัวใจของเต้นแรง แรงเสียจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ร่างกายอวบของไป๋ลี่เยว่สั่นเทา แต่เมื่ออ้อมแขนของนางโอบร่างน้อยนั้นไว้ ความอบอุ่นก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของนางอย่างช้าๆ
“เจ้าช่างงดงามนัก ลูกของแม่” น้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มที่แดงระเรื่อของเด็กน้อย ไป๋ลี่เยว่สะอื้นเงียบๆ
ทารกน้อยหยุดร้องทันทีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดา มือเล็กๆ ของเขาขยับไปจับเสื้อของนางแน่นราวกับต้องการยึดเหนี่ยว
ไป๋ลี่เยว่หัวเราะทั้งน้ำตา นางกระซิบแผ่วเบา
“แม่จะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” เขาคือลูกของนาง คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนาง
หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มิใช่เพราะความเจ็บปวด หากเป็นความรู้สึกที่เอ่อล้นจนยากจะกลั้นไว้
เสียงสะอื้นเงียบๆ ดังขึ้นจากมุมห้อง หงเหมยยกมือปิดปาก ตาของนางแดงเรื่อจากทั้งความตื้นตันและความโล่งอก นางเฝ้าดูนายหญิงของตนผ่านคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างแข็งแกร่ง และบัดนี้ นางได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้ว
“คุณหนู พระโอรสของท่านช่างงดงามยิ่งนัก” หงเหมยกล่าวพลางเช็ดน้ำตา
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ขยับแขนกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไออุ่นของเด็กน้อย เสียงลมหายใจแผ่วเบา และน้ำหนักอันเบาหวิวที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง มือนางสั่นเล็กน้อยเมื่อไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มแดงระเรื่อของเขา นุ่มนวล ราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้ม
“ลูกของแม่ ” นางพึมพำ ดวงตาสั่นไหวด้วยความรักและคำสัญญาที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เจ้าจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง”
นางโน้มใบหน้าแนบลงจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากเล็กๆ ของลูกชาย เสียงของนางอ่อนโยนและมั่นคง
“แม่จะปกป้องเจ้า จะเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข”
เพราะนางรู้ดีว่าการเติบโตขึ้นมาโดยไร้ผู้ใดเหลียวแลนั้นเจ็บปวดเพียงใด และนางจะไม่มีวันให้ลูกของนางต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน จากนี้ไป นางจะเป็นโลกทั้งใบของเขา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปราย ตำหนักเย็นที่เคยเงียบเหงากลับอบอุ่นขึ้นมาเพียงเพราะเสียงลมหายใจเล็กๆ ของเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
ค่ำคืนนั้นเดียวกันนั้น สายฝนยังคงโปรยปรายเหนือวังหลวง แต่ภายในตำหนักในกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงกองไฟแตกเปรี๊ยะเบาๆ และกลิ่นหอมของชาที่ลอยอวล
ฮองเฮาทรงวางถ้วยชาในพระหัตถ์ลงช้าๆ ดวงเนตรของพระนางจดจ่อกับบางสิ่ง ก่อนริมพระโอษฐ์จะคลี่ยิ้มบางๆ การรอคอยของพระนางสิ้นสุดลง
เมื่อข่าวการประสูติของพระนัดดาถูกนำมาแจ้งที่ตำหนัก ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ที่โดยปกติทรงสุขุมเยือกเย็นถึงกับลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระนาง ดวงเนตรที่มักเฉยชาเปล่งประกายวาววับ
“เป็นพระโอรสหรือ นางทำได้จริงๆ” แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่แววตาของพระนางกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิและอ่อนโยน
นางกำนัลก้มศีรษะลงต่ำ “เพคะ ฝ่าบาท พระชายาสามประสูติพระโอรส สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งพระมารดาและพระโอรส”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและแฝงไปด้วยเล่ห์กล
“ดี เป็นเรื่องที่ดีมาก”
นางกำนัลข้างกายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ทรงแจ้งเรื่องนี้แก่องค์ชายสามหรือเพคะ”
ฮองเฮาทรงแค่นพระสรวล พระโอษฐ์ของพระนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“บอกเขาหรือ ไม่ ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยให้เจิ้งหยางใช้ชีวิตของเขาไปก่อน ให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ได้เสวยสุขตามใจ” เสียงของพระนางราบเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยอำนาจและแผนการ
พระนางทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนที่ตกหนักราวกับซัดพัดเอาความไม่เป็นธรรมทั้งปวงไปให้พ้นจากตำหนักเย็น พระโอรสของพระนาง องค์ชายสามที่พระนางเคยรักสุดหัวใจ กลับทอดทิ้งสตรีที่ควรค่าแก่การดูแล และบัดนี้ เขาต้องได้รับบทเรียนที่สาสม
“ไป๋ลี่เยว่ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก นางเป็นสตรีที่คู่ควรกับตำแหน่งมากกว่าผู้ใด” พระนางพึมพำแผ่วเบา แต่ก็หนักแน่นในทุกถ้อยคำ
ฮองเฮาทรงลูบแหวนหยกบนนิ้วพระหัตถ์เบาๆ ดวงเนตรฉายแววเจ้าแผนการ ราวกับขุนศึกผู้มองเห็นกระดานหมากรุกทั้งกระดาน
“ เจิ้งหยาง องค์ชายสามลูกของข้า ข้าเคยหวังให้เจ้ารักและทะนุถนอมพระชายาของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะทำลายสิ่งล้ำค่าที่สุดของเจ้าเอง ก็อย่าได้หวังว่าจะได้มันกลับคืนมาโดยง่าย” พระนางแค่นพระสรวลเบาๆ
“แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าโง่เขลา ข้าก็จะเป็นผู้สั่งสอนเจ้าเอง”
พระโอรสที่แท้จริงของพระนาง บัดนี้มิใช่เจิ้งหยางอีกต่อไป แต่เป็นพระนัดดาผู้เพิ่งลืมตาดูโลก
“ส่งคนของเราไปดูแลตำหนักเย็น อย่าให้ไท่จื่อเฟยลำบากอีก” พระนางตรัสสั่ง
“ไป๋ลี่เยว่และหลานของข้า จะต้องได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ”
ดวงเนตรของพระนางเป็นประกายเย็นชา
“ส่วนเจิ้งหยาง เขาจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการสูญเสียอย่างแท้จริง วันหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่าตนเองเคยมีบางสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับปล่อยให้มันหลุดมือไป”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ รอยยิ้มบนพระพักตร์ยังคงอยู่ แต่แววตากลับเยียบเย็น “เมื่อนั้น เขาจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจเอง และจะต้องชดใช้ให้สาสม”
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของการแก่งแย่งช่วงชิงวาสนาในแถวหน้า เด็กชายผู้หนึ่งที่มีรูปร่างโปร่งบาง ใบหน้าแลดูอ่อนแอคล้ายคนขี้โรค กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างโดดเดี่ยวกลางหอจี้จิ่ว เขาสวมชุดบัณฑิตสีครามที่ซีดจางจนแทบกลืนไปกับเงา ทว่าสะอาดสะอ้าน ไร้เครื่องหยกประดับประดา ไร้ดิ้นทองประชันบารมี ดวงตาคมใสทอดมองไปยังที่นั่งข้างกายพระธิดาเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาราวรำคาญใจในความวุ่นวายนั้น แล้วหันหลังให้แถวหน้า เดินมุ่งตรงสู่มุมอับท้ายห้องอย่างแน่วแน่... ไม่ไยดีต่อสายตาผู้ใด เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไร้ร่องรอย หยุดลงที่ข้างโต๊ะหนึ่ง หลงจิ่นอวิ๋นเงยหน้าขึ้นเพียงนิด สายตาสองคู่สบประสานกันในความเงียบ...ไร้ถ้อยคำ ไร้การหยั่งเชิง แววตาหนึ่งนิ่งลึกประดุจก้นบึ้งธารา อีกแววตาหนึ่งสงบระงับคล้ายเมฆาที่ปล่อยวาง…บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นเยียบลงโดยไม่รู้ตัว ผู้มาใหม่ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม“สหายท่านนี้... ข้าขอร่วมอาศัยพื้นที่ตรงนี้ด้วยได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย สุภาพ และปราศจากกระแสดูแคลนหลงจิ่นอวิ๋นเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เลื่อนตำราของตนออกไปเพื่อให้เกิดช่องว่างพื้นที่ที่พอเหมาะ “เชิญ ต
เสียงตีเกราะไม้ดังกังวานก้องลานหยก เป็นสัญญาณรวมตัวของเหล่าบัณฑิตใหม่แห่งกั๋วจื่อเจี้ยน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของดรุณน้อยนับร้อยดังกังวานไปทั่ว กลิ่นแป้งและเครื่องหอมชั้นเลิศที่อบมาบนอาภรณ์หรูหรานั้นรุนแรงเสียจนกลบกลิ่นกำยานของสำนักศึกษาไปสิ้นเหล่าคุณชายน้อยต่างอยู่ในชุดอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะใช้สีและแบบที่คล้ายคลึงกันตามกฎของสำนักศึกษา แต่ความรุ่มรวยก็ถูกที่แสดงออกมาประชันบารมีอย่างเงียบงัน ผ่าน ดิ้นเงิน ดิ้นทอง ที่แทรกอยู่ในชายผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ผ่านหยกมงคลสลักเสลาประณีตห้อยอยู่ที่เอว และเครื่องประดับที่สะท้อนแสงเช้าอย่างจงใจ ราวกับนี่ไม่ใช่การมาศึกษา แต่เป็นการอวดโอ่อำนาจและเกียรติยศของตระกูลเบื้องหลัง ที่ผลักดันบุตรหลานมาที่นี่ เหล่าโป๋ซื่อชั้นผู้น้อยทำได้เพียงเดินกวดขันด้วยความลำบากใจ เพราะบัณฑิตน้อยแต่ละคนล้วนมีสายเลือดสูงส่งจนมิอาจแตะต้องแรง บางคนถือดีและเย่อหยิ่งจากสายเลือด ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งเสียงกระซิบเบา ๆ ดังกระทบอากาศยามเช้าจากอาจารย์ทั้งหลาย “นั่นบุตรชายสกุลหวัง… ได้ยินว่าฮ่องเต้เมตตาเป็นพิเศษ” “คนนั้นสกุลหลี่ รูปโฉมสง่าไม่เบา” “ดูสิ นั่นคุ
เขาโอบนางไว้โดยมิเร่ง มิได้รุนแรง ราวกับต้องการจดจำอุณหภูมิของกันและกันให้มากที่สุด ลมหายใจสองสายประสานกันแผ่ว…ก่อนจะหนักขึ้น ผสานเสียงครางกระเส่าจากสัมผัสที่ลึกซึ้งกาลเวลาสองชั่วยามไหลผ่านรวดเร็ว หลงเจิ้งหยางลุกขึ้น รอยยิ้มสุดท้ายยามสวมเกราะนั้นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะมอบให้โลกนี้ได้ ก่อนที่ใบหน้าเดียวกันจะกลับกลายเป็นแม่ทัพผู้เกรี้ยวกราดอีกครั้งไป๋ลี่เยว่ลุกขึ้นช่วยพระสวามีแต่งกาย มือเรียวบรรจงผูกสายรัดเกราะ สวมอาภรณ์ออกศึกสีครามเข้มให้อย่างครบถ้วน ดวงหน้างามเงยขึ้นมองใบหน้าคมเข้มตรงหน้า บัดนี้เขามิใช่เพียงพระสวามีอีกต่อไป หากคือยอดขุนพลของแผ่นดิน“ท่านพี่…” นางเอ่ยเสียงเบาๆ“หม่อมฉันเตรียมเครื่องหอมสำหรับสงบจิต และตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดไว้ในย่ามแล้วเพคะ ขอให้ทุกย่างก้าวของพระองค์… ล้วนมีชัย”รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปากของไป๋ลี่เยว่ หากแววตากลับเย็นเฉียบ นางรู้ดีการเดินทัพครั้งนี้ มิใช่เพราะแคว้นต้องการแม่ทัพ แต่เพราะมีคนต้องการให้เขาหายไปจากวังหลวง“นี่เครื่องราง หม่อมฉันเตรียมไว้ให้พระองค์เพคะ”หลงเจิ้งหยางชะงัก ก่อนจะรับเครื่องรางหยกขาวสลักลายปลาคู่มาพกไว้ในอก“ท่านพี่… ออกศึกคร
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองหลงเจิ้งหยาง คำขอที่เขาเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เร่าร้อน หากหนักแน่นราวคำสัตย์ของนักรบ ดวงตาของนาง คล้ายมีม่านหมอกแห่งความหวั่นไหวแผ่คลุม แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว นางก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การจากลาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เขาออกจากวังหลวงไปพร้อมความอ้างว้างที่ไม่มีใครประคอง“เพคะ…ท่านพี่”เสียงกระซิบเบาราวลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินอาย หากเพราะรู้ดีว่า…ช่วงเวลานี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องจากกันไกล“เวลานี้…มีค่ามากกว่าสมบัติใดในวังหลวง หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันย่อมไม่ปฏิเสธ… หลังสิ้นสองยามนี้ หม่อมฉันจะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายให้พระองค์เอง”เพียงถ้อยคำสั้นๆ นั้น ก็เหมือนเปลวไฟเงียบที่ลุกโชนในอกของหลงเจิ้งหยาง แม่ทัพผู้แบกทั้งแผ่นดินไว้บนบ่า กลับไม่อาจซ่อนความคิดถึงและความรักที่ซัดขึ้นมาอีกต่อไปเขาฉุดรั้งร่างบางเข้าสู่ห้องบรรทม ขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่รอบนอกต่างก้มหน้าต่ำจนแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สองชั่วยามของผู้บัญชาการทัพใหญ่ที่จะทุ่มเทให้แก่ความรัก…เป็นความลับที่ตำหนักชิงอวิ๋นจะเก็บรักษาไว้ตลอดกาลประตูห้องบรรทมปิดล
ยามเฉินคล้อยผ่านไปไม่นาน บรรยากาศภายในตำหนักชิงอวิ๋นกลับเคร่งขรึมเมื่อประตูตำหนักเปิดออกช้า ๆ เงาร่างสูงทอดยาวลงบนพื้นหยกเย็น แสงอรุณยามสายส่องต้องฉลองพระองค์ที่ยังไม่ทันเปลี่ยน หลงเจิ้งหยางกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวแบกรับน้ำหนักที่มองไม่เห็นเขารู้ดีว่า… ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวออกจากจวนเมื่อต้นยามเหม่าก่อนอรุณรุ่งที่ผ่านมา จวบจนบัดนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปและเขาไม่มีทางเลือกไป๋ลี่เยว่กำลังยืนรออยู่กลางโถงใหญ่ของตำหนักอย่างกระวนกระวาย นางมิได้ทรุดตัวลงนั่งแม้ขณะรอคอย เมื่อเห็นพระสวามีก้าวเข้ามาตรงหน้า นางก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ก่อนจะโผกายเข้ากอดเขาทันที มิมีน้ำตา มิมีเสียงคร่ำครวญ มีเพียงลมหายใจที่สั่นไหวเล็กน้อยแนบแผงอกเขา ราวกับรับรู้ถึงสถานการณ์นี้มานานแล้ว“พระองค์ …” เสียงของนางแผ่วเบา เหมือนจะถามหลายสิ่ง แต่กลับเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้หลงเจิ้งหยางกอดพระชายาแน่น อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างบางไว้ราวกลัวว่านางจะหลุดหายไปพร้อมเงาแสงยามสาย อ้อมกอดนี้… เหมือนต้องการจดจำสัมผัสของนางเอาไว้ให้ตกผลึกอยู่ในหัวใจไปจนกว่าจะกลับมา หรือ… หากไม่มีวันนั้น ก็ให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้พกติดตัวไป
ณ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมอกสีเงินจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดไม้ในสวนหลวง แสงอรุณแรกเพิ่งแตะปลายหลังคาพระราชวัง เงาเรือนไม้สลักทองทอดทาบพื้นเย็นเยียบ ห้องทรงพระอักษรเงียบสงบราวหยดน้ำหยุดนิ่ง องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าตั่งทรงพระอักษร พระเนตรหม่นล้า อารมณ์ไม่แจ่มใสนักหลังตรากตรำราชกิจมาตลอดคืนเช้านี้พระองค์ตั้งพระทัยจะใช้เวลาอย่างสงบ เสด็จไปทอดพระเนตร หลงจิ่นอวิ๋น พระนัดดาองค์น้อย ที่กำลังจะเข้าศึกษายังกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นวันแรกทว่าชะตากลับไม่ให้ความสงบเกิดขึ้นแม้เพียงลมหายใจเดียว“ฝ่าบาท! เรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังสนั่นขึ้นด้านนอก ก่อนที่ขันทีหลี่จะถลาเข้ามา คุกเข่าลงแทบเบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือดราวเลือดหนีหายทั้งร่าง มือสั่นเทายื่นราชสาส์นผนึกขี้ผึ้งแดงถวายฮ่องเต้เพียงทอดพระเนตรผนึกสีแดงเข้มก็รู้ว่าคือข่าวด่วนระดับหลวงขันทีหลี่รายงานจนเสียงสั่น“ทูลฝ่าบาท…มีราชสาส์นลับผนึกขี้ผึ้งแดง จากกองกำลังตรวจการชายแดนชิงโจว เพิ่งส่งถึงโดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ… ทหารม้าเร็วรายงานว่า ชนเผ่าชิงโจวได้เคลื่อนไหวผิดปกติตั้งแต่ยามโฉ่ว มีการปะทะ ณ ช่องเขาฉา







