ฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยว
ในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ
“อ๊าาาา”
ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อย
มือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด
“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรง
ภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว
“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงราวกับร่างกายจะล้มพับลงไปได้ทุกเมื่อ
“ข้า ไม่มีแรงแล้ว” นางกระซิบเสียงแผ่ว ใบหน้าซีดเผือดไร้สีเลือด ความเจ็บปวดกัดกินสติของนางจนแทบหมดสิ้น
แต่ทันใดนั้น นางสัมผัสได้ถึงแรงดิ้นอ่อนๆ จากภายในครรภ์
ดวงตาของไป๋ลี่เยว่สั่นไหว นางรู้ว่าตนเองกำลังจะหมดแรง แต่หากนางยอมแพ้ตอนนี้ ลูกของนางก็อาจไม่มีโอกาสลืมตาดูโลก
ไป๋ลี่เยว่กัดฟันแน่นก่อนวางมือบนหน้าท้องของตนเอง เปลือกตาหลับลงพร้อมสูดลมหายใจเข้าลึก ลูกของนาง นางต้องปกป้องเขาให้ได้
“ลูกแม่ เจ้าเองก็ต้องสู้นะ”
นางรวบรวมเรี่ยวแรงเฮือกสุดท้าย ปล่อยเสียงกรีดร้องออกมาพร้อมออกแรงเบ่งสุดชีวิต
“อ๊าาาาา”
เสียงทุกอย่างเงียบสนิทไปชั่วขณะ ก่อนที่เสียงร้องไห้ของทารกน้อยจะดังขึ้นท่ามกลางเสียงพายุฝนด้านนอกที่โปรยปราย
“โอรส เป็นพระโอรสเพคะ พระชายาให้กำเนิดพระโอรสแล้ว” หมอหลวงหญิงประกาศด้วยความตื่นเต้น ก่อนจะอุ้มทารกน้อยที่ส่งเสียงร้องดังลั่นขึ้นมาให้นางผดุงครรภ์
เสียงร้องของเด็กน้อยดังขึ้นก้องกังวานไปทั่วตำหนักเย็น ราวกับจะประกาศการถือกำเนิดของชีวิตใหม่ท่ามกลางความมืดมน
ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจรัวๆ นางรู้สึกเหมือนร่างกายถูกดึงพลังทั้งหมดไปจนหมดสิ้น แต่เมื่อได้ยินเสียงร้องนั้น ดวงตาของนางพลันพราวระยับ
นางผดุงครรภ์รีบเช็ดทำความสะอาดเด็กทารก ห่อตัวเขาด้วยผ้าฝ้ายเนื้อนุ่ม ก่อนจะค่อยๆ วางร่างน้อยลงบนอ้อมแขนของไป๋ลี่เยว่
“ลูกของข้า” นางพึมพำเสียงแผ่ว แต่หัวใจของเต้นแรง แรงเสียจนแทบจะทะลุออกมาจากอก ร่างกายอวบของไป๋ลี่เยว่สั่นเทา แต่เมื่ออ้อมแขนของนางโอบร่างน้อยนั้นไว้ ความอบอุ่นก็หลั่งไหลเข้ามาในหัวใจของนางอย่างช้าๆ
“เจ้าช่างงดงามนัก ลูกของแม่” น้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มที่แดงระเรื่อของเด็กน้อย ไป๋ลี่เยว่สะอื้นเงียบๆ
ทารกน้อยหยุดร้องทันทีเมื่ออยู่ในอ้อมกอดของมารดา มือเล็กๆ ของเขาขยับไปจับเสื้อของนางแน่นราวกับต้องการยึดเหนี่ยว
ไป๋ลี่เยว่หัวเราะทั้งน้ำตา นางกระซิบแผ่วเบา
“แม่จะปกป้องเจ้าเอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น” เขาคือลูกของนาง คือสิ่งล้ำค่าที่สุดในชีวิตของนาง
หยาดน้ำตาร่วงเผาะลงบนแก้มของนางอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มิใช่เพราะความเจ็บปวด หากเป็นความรู้สึกที่เอ่อล้นจนยากจะกลั้นไว้
เสียงสะอื้นเงียบๆ ดังขึ้นจากมุมห้อง หงเหมยยกมือปิดปาก ตาของนางแดงเรื่อจากทั้งความตื้นตันและความโล่งอก นางเฝ้าดูนายหญิงของตนผ่านคืนอันโหดร้ายมาได้อย่างแข็งแกร่ง และบัดนี้ นางได้อุ้มลูกน้อยไว้ในอ้อมแขนแล้ว
“คุณหนู พระโอรสของท่านช่างงดงามยิ่งนัก” หงเหมยกล่าวพลางเช็ดน้ำตา
ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ขยับแขนกอดร่างเล็กให้แน่นขึ้น นางสัมผัสได้ถึงไออุ่นของเด็กน้อย เสียงลมหายใจแผ่วเบา และน้ำหนักอันเบาหวิวที่อยู่ในอ้อมแขนของนาง มือนางสั่นเล็กน้อยเมื่อไล้ปลายนิ้วไปตามแก้มแดงระเรื่อของเขา นุ่มนวล ราวกับกลีบดอกไม้แรกแย้ม
“ลูกของแม่ ” นางพึมพำ ดวงตาสั่นไหวด้วยความรักและคำสัญญาที่เกิดขึ้นจากก้นบึ้งของหัวใจ
“เจ้าจะไม่มีวันถูกทอดทิ้ง”
นางโน้มใบหน้าแนบลงจุมพิตเบาๆ บนหน้าผากเล็กๆ ของลูกชาย เสียงของนางอ่อนโยนและมั่นคง
“แม่จะปกป้องเจ้า จะเลี้ยงดูเจ้าให้เติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุข”
เพราะนางรู้ดีว่าการเติบโตขึ้นมาโดยไร้ผู้ใดเหลียวแลนั้นเจ็บปวดเพียงใด และนางจะไม่มีวันให้ลูกของนางต้องเผชิญชะตากรรมเช่นเดียวกัน จากนี้ไป นางจะเป็นโลกทั้งใบของเขา ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปราย ตำหนักเย็นที่เคยเงียบเหงากลับอบอุ่นขึ้นมาเพียงเพราะเสียงลมหายใจเล็กๆ ของเด็กน้อยที่เพิ่งลืมตาดูโลก
ค่ำคืนนั้นเดียวกันนั้น สายฝนยังคงโปรยปรายเหนือวังหลวง แต่ภายในตำหนักในกลับเงียบสงัด มีเพียงเสียงกองไฟแตกเปรี๊ยะเบาๆ และกลิ่นหอมของชาที่ลอยอวล
ฮองเฮาทรงวางถ้วยชาในพระหัตถ์ลงช้าๆ ดวงเนตรของพระนางจดจ่อกับบางสิ่ง ก่อนริมพระโอษฐ์จะคลี่ยิ้มบางๆ การรอคอยของพระนางสิ้นสุดลง
เมื่อข่าวการประสูติของพระนัดดาถูกนำมาแจ้งที่ตำหนัก ฮองเฮาผู้สูงศักดิ์ที่โดยปกติทรงสุขุมเยือกเย็นถึงกับลุกขึ้นจากบัลลังก์ของพระนาง ดวงเนตรที่มักเฉยชาเปล่งประกายวาววับ
“เป็นพระโอรสหรือ นางทำได้จริงๆ” แม้จะเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่แววตาของพระนางกลับเต็มไปด้วยความภาคภูมิและอ่อนโยน
นางกำนัลก้มศีรษะลงต่ำ “เพคะ ฝ่าบาท พระชายาสามประสูติพระโอรส สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ทั้งพระมารดาและพระโอรส”
ฮองเฮาคลี่ยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ทั้งอ่อนโยนและแฝงไปด้วยเล่ห์กล
“ดี เป็นเรื่องที่ดีมาก”
นางกำนัลข้างกายลังเลเล็กน้อย ก่อนจะกลั้นใจเอ่ยขึ้นเบาๆ “ฝ่าบาทไม่ทรงแจ้งเรื่องนี้แก่องค์ชายสามหรือเพคะ”
ฮองเฮาทรงแค่นพระสรวล พระโอษฐ์ของพระนางโค้งขึ้นเป็นรอยยิ้มที่ยากจะคาดเดา
“บอกเขาหรือ ไม่ ยังไม่ถึงเวลา ปล่อยให้เจิ้งหยางใช้ชีวิตของเขาไปก่อน ให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นอิสระ ได้เสวยสุขตามใจ” เสียงของพระนางราบเรียบ ทว่าแฝงไปด้วยอำนาจและแผนการ
พระนางทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง สายฝนที่ตกหนักราวกับซัดพัดเอาความไม่เป็นธรรมทั้งปวงไปให้พ้นจากตำหนักเย็น พระโอรสของพระนาง องค์ชายสามที่พระนางเคยรักสุดหัวใจ กลับทอดทิ้งสตรีที่ควรค่าแก่การดูแล และบัดนี้ เขาต้องได้รับบทเรียนที่สาสม
“ไป๋ลี่เยว่ช่างเข้มแข็งยิ่งนัก นางเป็นสตรีที่คู่ควรกับตำแหน่งมากกว่าผู้ใด” พระนางพึมพำแผ่วเบา แต่ก็หนักแน่นในทุกถ้อยคำ
ฮองเฮาทรงลูบแหวนหยกบนนิ้วพระหัตถ์เบาๆ ดวงเนตรฉายแววเจ้าแผนการ ราวกับขุนศึกผู้มองเห็นกระดานหมากรุกทั้งกระดาน
“ เจิ้งหยาง องค์ชายสามลูกของข้า ข้าเคยหวังให้เจ้ารักและทะนุถนอมพระชายาของเจ้า แต่ในเมื่อเจ้าเลือกที่จะทำลายสิ่งล้ำค่าที่สุดของเจ้าเอง ก็อย่าได้หวังว่าจะได้มันกลับคืนมาโดยง่าย” พระนางแค่นพระสรวลเบาๆ
“แต่ไม่เป็นไร ในเมื่อเจ้าโง่เขลา ข้าก็จะเป็นผู้สั่งสอนเจ้าเอง”
พระโอรสที่แท้จริงของพระนาง บัดนี้มิใช่เจิ้งหยางอีกต่อไป แต่เป็นพระนัดดาผู้เพิ่งลืมตาดูโลก
“ส่งคนของเราไปดูแลตำหนักเย็น อย่าให้ไท่จื่อเฟยลำบากอีก” พระนางตรัสสั่ง
“ไป๋ลี่เยว่และหลานของข้า จะต้องได้รับสิ่งที่สมควรได้รับ”
ดวงเนตรของพระนางเป็นประกายเย็นชา
“ส่วนเจิ้งหยาง เขาจะได้เรียนรู้ว่าอะไรคือการสูญเสียอย่างแท้จริง วันหนึ่ง เมื่อเขารู้ว่าตนเองเคยมีบางสิ่งที่สำคัญที่สุด แต่กลับปล่อยให้มันหลุดมือไป”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ รอยยิ้มบนพระพักตร์ยังคงอยู่ แต่แววตากลับเยียบเย็น “เมื่อนั้น เขาจะต้องเป็นฝ่ายเสียใจเอง และจะต้องชดใช้ให้สาสม”
“เจ้ากำลังจะฆ่าข้าให้ตายทั้งเป็น”ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มยั่วเย้า “ถ้าเช่นนั้น…ก็ยอมตายอยู่ใต้ร่างของหม่อมฉันเถิดเพคะ แล้วพระองค์จะเป็นผู้ที่ตายอย่างมีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้”เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป ไป๋ลี่เยว่โน้มกายเร่งจังหวะรุนแรงขึ้นทุกขณะ เนื้อนวลสั่น ถันอวบเด้งขึ้นลง กลีบบุปผารัดแน่นขึ้นเป็นจังหวะถี่ขึ้น“เยว่เอ๋อร์…” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่าในหู มือใหญ่กำแน่นที่เอวบาง รั้งกระชับไม่ปล่อย เสียงครางต่ำพร่าดังก้องในลำคอราวสัตว์ร้ายที่ถูกปลดพันธนาการ“อ๊าาา… เยว่เอ๋อร์… เจ้าจะกดข้าให้สยบเช่นนี้หรือ” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่า ไป๋ลี่เยว่ปรือตาขึ้น สายตาพร่าเลือนแต่แฝงประกายท้าทาย“เช่นนั้น… ก็สยบอยู่ใต้หม่อมฉันเถิดเพคะ”“เยว่เอ๋อร์… ข้า…จะมิอาจทนได้อีกแล้ว” เสียงเขาสั่นพร่า แฝงทั้งอำนาจบังคับและการวิงวอน“เจ้า…รัดข้าแน่นเกิน อ๊าาา ขะ...ข้าปวด” เสียงทุ้มต่ำขาดห้วง ขณะที่สันกรามแข็งเกร็งด้วยความพยายามอดกลั้นทว่าท้ายที่สุด บุรุษผู้เคยยิ่งใหญ่ก็มิอาจทนอยู่นิ่งได้อีกต่อไป ร่างแกร่งพลันเกร็งกายเด้งสวนสะโพกสอบขึ้นตอบรับจังหวะของนางโดยมิอาจฝืน ดุดัน หนักแน่น ราวพยัคฆ์ที่ตื่
“เยว่เอ๋อร์…เจ้าอยากครอบครองข้าหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหลงเจิ้งหยางพร่าก้องในความเงียบ ร่างสูงทอดกายลงบนแท่นบรรทม ศีรษะหนุนหมอนสูง ผมดำยาวสยายคลอเคลียบ่ากว้าง แววตาคมลึกทอประกายแห่งราคะที่ไม่อาจดับ มือใหญ่เอื้อมกระชับเอวนวล ก่อนพลิกกลับให้นางขึ้นคร่อมเหนือร่างสูงสง่าไป๋ลี่เยว่โน้มกายอรชรลง ริมฝีปากอิ่มสีชาดเม้มแน่น สายตาเอียงอายปนเร่าร้อน นางมิได้หลบเลี่ยง กลับขยับให้เรือนกายแนบชิด กุหลาบงามเคลื่อนลงโอบกลืนแท่งหยกร้อนผ่าวทีละน้อย อย่างช้าๆ จนบุรุษใต้ร่างหลับตาแน่น สูดลมหายใจหอบ พลางสั่นสะท้าน “เยว่เอ๋อร์…อ๊าา…เจ้า…อูววว” เสียงพร่าต่ำสะท้อนอยู่ในลำคอ ราวกับจะขาดใจ“หากค่ำนี้...หม่อมฉันไม่ครอบครองมังกร เกรงว่าพระองค์คงมิอาจหลับใหลได้แน่” นางเอื้อนเอ่ยเสียงพร่า อ่อนนุ่มแต่แฝงแรงห้าวหาญ ราวสตรีผู้กุมชะตาของราตรีนี้ไว้เองหลงเจิ้งหยางหัวเราะต่ำในลำคอ กายแกร่งสั่นสะท้านไปกับแรงขยับนั้น ในขณะเดียวกันใบหน้าคมก็เหยเกราวเจ็บปวด “ หึ…นับแต่ข้าเกิดมา มิเคยมีผู้ใดบังคับข้าให้อยู่ใต้อำนาจ แต่เจ้า…ซี๊ดดด….”มือใหญ่กำแน่นที่เอวบางของนาง ดึงรั้งให้กุหลาบงามกลืนลึกกดฝังแท่งหยกมิดแน่น ไป๋ลี่เยว่อดกล
“องค์ชาย… มะ…หม่อมฉัน มิอาจทนได้…” องค์ชายสาม บดกราม ฝังร่างแนบลึก “เจ้าก็มิต้องทน ปล่อยใจไปกับข้าเถิด เยว่เอ๋อร์… คืนนี้เจ้าคือสรรพสิ่งของข้า” กายหนาถาโถมเข้าครอบครองในชั่วพริบตา ไป๋ลี่เยว่สะท้านเฮือก ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส ร่างบางถูกโอบรัดแนบแน่น สะโพกถูกยึดตรึงแล้วเคลื่อนกระแทกเป็นจังหวะหนักแน่น สลับเร็วช้าไม่ให้ทันตั้งตัว หลงเจิ้งหยางเสียงทุ้มกระชากลึก “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว… ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง เข้าใจหรือไม่ชายาของข้า” ไป๋ลี่เยว่ เสียงสั่นพร่า “องค์ชาย… หม่อมฉัน… มิอาจหนีไปไหนอยู่แล้ว…” เสียงเนื้อกระทบก้องผสมกับเสียงหอบกระชั้นราวคลื่นพายุซัดฝั่ง จนกระทั่ง “เยว่เอ๋อร์…พลิกกายมาเถิด หันหลังให้ข้า” เสียงทุ้มสั่งต่ำ ดั่งประกาศิตที่มิอาจขัดขืน มือใหญ่จับร่างบางพลิกกลับอย่างอ่อนโยน ร่างบางนอนคว่ำ ดวงหน้าหวานซบหมอน ผมดำขลับสยายลงประดุจม่านราตรี ร่างอรชรโค้งรับราวคันศรต้องสาย สะโพกกลมกลึงถูกยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อมือของเขาสอดประคองจากด้านหลัง องค์ชายกดกายเข้าหาแนบแน่นจากด้านหลัง เสียงครางสะท้านดังลอดออกมาจากลำคอไป๋ลี่เยว่ ร่างนางสั่นไหวราวกลีบเหมยต้อ
“เพคะ… หม่อมฉันยอมแล้ว ยอมทุกสิ่งให้แก่พระองค์” เสียงหวานขาดห้วงเพียงเพราะกลีบกุหลาบงามโดนรุกราน“อาา… หม่อมฉัน…เป็นของพระองค์แล้ว… ทั้งกาย ทั้งใจ…”ไป๋ลี่เยว่ครางสั่น ดวงตาฉ่ำน้ำพร่างพราว เผลอแอ่นกายเข้ารับสัมผัสให้เเนบชิด ปลายนิ้วเรียวขยุ้มผ้าปูจนยับย่น แก้มแดงจัดราวผลท้อสุก ริมฝีปากสั่นระริก ถ้อยคำยังมิทันหลุดสิ้น ริมฝีปากร้อนของบุรุษก็ครอบจุมพิตแนบแน่น สอดแทรกความหิวกระหายที่กลืนกินสติสัมปชัญญาทุกสิ่งผสานกัน ปลายนิ้วยาวที่สอดลูบไล้กลีบกุหลาบงามเบื้องล่างร่างบางสั่นสะท้านทั้งเจ็บทั้งสุข คล้ายบุปผาที่เบ่งบานรับหยาดน้ำค้างแรกแห่งรุ่งอรุณ องค์ชายถอดถอนริมฝีปากหยัก โน้มกายลงต่ำเพื่อชิมปลายถันอวบ เรียวลิ้นอุ่นตวัดเลียจนยอดถันชูชันท้าทาย ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะครอบครองดูดดื่มเต้าอวบราวทารกผู้หิวกระหาย แรงดูดที่ถันอวบและสัมผัสร้อนแรงที่กลีบกุหลาบงามเบื้องล่าง เร่งสร้างความปรารถนาของไป๋ลี่เยว่ให้สูงขึ้น“พระองค์… หม่อมฉันหวั่นใจนัก คืนนี้หากมิอาจห้ามท่านได้… หม่อมฉันจักได้พักกี่ยามกัน” เสียงหวานสั่นพร่า“เยว่เอ๋อร์…คืนนี้ เดี๋ยวข้าจะปลอบเจ้าเอง เจ้าแค่นอนพักเฉยๆ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ขอ
“ช่างวางกลไกได้สวยงาม…” ไป๋ลี่เยว่กระซิบ สายตาหรี่ลงนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจ“แต่คืนนี้พระองค์ควรพัก ทัพยังไม่เคลื่อน แม่ทัพก็ควรพักเอาแรงบ้าง”หลงเจิ้งหยาง โน้มใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเขาราวกับสายลมยามดึกแนบข้างหู“นี่คือการพักเอาแรงของข้า หากไม่ขอคืนแรงจากเจ้า…ข้าจะมีเรี่ยวแรงใดเผชิญศึกพรุ่งนี้ เยว่เอ๋อร์…”นางกำลังจะพูดอะไร แต่ริมฝีปากเขาแนบลงมาเสียก่อน ริมฝีปากอบอุ่นคล้ายคลื่นทะเลโถมซัดชายฝั่ง บุกล้ำช้า ๆ แต่ไม่อาจต้าน ใบหน้าของนางขึ้นสีระเรื่อ มือบางยกดันอกแกร่งเบา ๆ ก่อนจะชะงักเพราะเขาหยุด“ข้าไม่ฝืนใจเจ้า…เพียงแต่คืนนี้ หากข้าไม่ได้นอนกอดเจ้าไว้ ข้าคงนอนไม่หลับ…”“…ท่านนี่…” ไป๋ลี่เยว่ว่า แต่ไม่ได้ผลักไส“มีแผนใดต้องคิดอีกหรือไม่”หลงเจิ้งหยางยิ้ม เอานิ้วเกี่ยวผ้าคลุมของนางออกเบา ๆ“คิดอีกก็คิดได้…แต่ข้าจะคิดออก ก็ต่อเมื่อได้เห็นเรือนร่างงดงามของพระชายาในอ้อมแขน”นางย่นจมูกเบา ๆ แต่ก็ปล่อยให้เขาดึงผ้าคลุมออก ขนกายเริ่มลุกชันเมื่อสายลมกระโชกผ่าน…ริมฝีปากอุ่นขององค์ชายเลื่อนไล้จากขมับลงมาถึงซอกแก้ม ไป๋ลี่เยว่สะท้านเผลอหลับตาแน่น มือบางดันแผ่วที่อกกว้าง แต่แรงนั้นแผ่วเบาร
ณ เรือนเจาอวี้ ตำหนักหย่งอวิ๋น ตำหนักใหม่ขององค์ชายสามที่เพิ่งบูรณะเสร็จดูโอ่อ่าสมตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮา แสงตะเกียงกระพริบวาบไหวตามลมราตรี แสงจันทร์ส่องลอดม่านโปร่งสีอ่อนที่พลิ้วไหว ตกกระทบกับพื้นหินเย็นเยียบในตำหนัก กลิ่นกำยานอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศสงบเย็นต่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ภายในตำหนักมีเพียงเสียงลมพัดแผ่ว ผ่านม่านโปร่งหลงเจิ้งหยางวางองค์ชายน้อยที่หลับสนิทลงบนแท่นบรรทมที่อยู่มุมห้องด้วยความทะนุถนอม ก่อนพยักหน้าให้หงเหมยและนางกำนัลพี่เลี้ยงพากันดูแลต่อ จากนั้นทั้งเขาและไป๋ลี่เยว่ก็เดินกลับไปที่เรือนหลิงซือ ซึ่งเป็นเรือนหลัก “คิดอะไรอยู่..หืม ฟอดดด ข้าเห็นเจ้าเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงแล้ว” ผู้เป็นพระสวามีถามพลางหอมแก้มนวลเมื่อเห็นพระชายาเงียบไปไป๋ลี่เยว่ยังคงระลึกถึงภาพในงานเลี้ยง เสียงกระซิบเหล่าขุนนางที่วางแผนใส่ร้ายนาง กลลวงของพระสนมชิงอวี่ อีกทั้งสายตาเคียดแค้นของซูเหยา หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทรงยุติธรรม บางทีชื่อเสียงขององค์ชายสามกับตนคงถูกเหยียบย่ำแล้ว“หม่อมฉันนึกถึง ตอนที่ถูกครหาว่าลอบใส่ยาพิษให้พระชายาสอ