“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ”
ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”
ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ
“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”
บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่
ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย
“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจ
ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”
“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ
“หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”
ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่งพาองค์ชายสามเพคะ”
ดวงเนตรของฮองเฮาวาววับขึ้นมาทันที พระนางทรงจับจ้องไปยังสตรีที่ถูกทอดทิ้งตรงหน้า ดูเหมือนนางจะประเมินไป๋ลี่เยว่ต่ำเกินไป
“เจ้ารักเขา แต่กลับไม่ต้องการให้เขารับรู้ว่ามีทายาทกับเจ้า อย่างนั้นหรือ เพราะเหตุใดกัน”
“เพราะหม่อมฉันไม่ต้องการให้เขารับผิดชอบเพียงเพราะหน้าที่ หรือเพียงเพราะความเหมาะสมเพคะ”
ไป๋ลี่เยว่หยุดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่ออย่างมั่นคง “และหม่อมฉันไม่ต้องการให้ลูกของหม่อมฉันเติบโตขึ้นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าเป็นเพียงภาระที่ถูกฝืนให้ยอมรับเพคะ”
ฮองเฮาทรงนิ่งไป ดวงพระเนตรจับจ้องไปที่ไทจื่อเฟยตรงหน้า “เจ้าเกลียดเขาหรือ”
ไป๋ลี่เยว่สั่นศีรษะ “ไม่เพคะ”
“เช่นนั้น เจ้ายังรักเขาอยู่หรือ”
ไป๋ลี่เยว่ชะงักงัน ใจของนางสั่นไหววูบหนึ่ง นางหลุบตาลงก่อนจะแค่นยิ้มบางๆ
“หม่อมฉันเคยคิดว่าความรักของหม่อมฉันมีค่า และงดงาม แต่หลังจากคืนวันแต่งงาน หม่อมฉันก็เข้าใจแล้วเพคะ ว่าองค์ชายไม่เคยเห็นหม่อมฉันอยู่ในสายตา ตอนนี้ ความรักสำหรับหม่อมฉัน มันหมดความหมายไปแล้วเพคะ ”
“และหม่อมฉันไม่ต้องการให้ลูกของหม่อมฉันต้องเติบโตขึ้นมาโดยต้องรอคอยความรักจากบิดาเพคะ” นางกล่าวหนักแน่น
“หม่อมฉันจะเลี้ยงดูเขาเอง ให้เขามีชีวิตที่มีความสุขเพคะ”
ฮองเฮาทรงมองนางนิ่งนาน ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ
“เจ้าเป็นสตรีที่น่าสนใจยิ่งนัก” พระนางตรัสขึ้นมาลอยๆ
“ตั้งแต่เจ้าขอสมรสพระราชทานตบแต่งเข้าวังมา ข้ามิเคยได้ยินเจ้าทูลขอสิ่งใดเลย แต่วันนี้ เจ้ากลับมาขอให้ข้าปิดบังเรื่องที่เจ้ามีรัชทายาท”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลงอย่างเคารพ “เพคะ ขอพระองค์โปรดเมตตา”
“หากข้าปิดเรื่องนี้ แล้ววันหนึ่งองค์ชายสามรู้ความจริงขึ้นมา เจ้าคิดหรือว่าเขาจะให้อภัยเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่นิ่งไปก่อนจะเอ่ยเสียงแผ่ว “หม่อมฉันไม่สนใจเพคะ”
“ไม่สนใจหรือ”
“เพคะ เพราะถึงอย่างไร หม่อมฉันก็ไม่ใช่คนสำคัญของพระองค์”
ฮองเฮาทรงนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง พลาง จ้องมองนางอย่างพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะคลี่ยิ้มบางที่ยากจะคาดเดา
“เหตุใดเจ้าคิดว่าเราจะยอมตามคำขอของเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างไม่หวาดหวั่น นางรู้ดีว่าพระนางทรงฉลาดล้ำลึกและมองการณ์ไกล หากต้องการให้นางเปิดเผยเรื่องนี้ พระนางย่อมมีอำนาจพอที่จะทำเช่นนั้นได้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไป๋ลี่เยว่มั่นใจ
“เพราะพระองค์เองก็ต้องการให้เขาเรียนรู้บทเรียนนี้เพคะ เช่นเดียวกับหม่อมฉันเพคะ”
ดวงเนตรของฮองเฮาสั่นไหววูบหนึ่ง ก่อนพระนางจะหัวเราะเบาๆ “เจ้านี่ฉลาดกว่าที่ข้าคิดเสียอีก”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าลงอย่างนอบน้อม “หม่อมฉันเพียงแต่เข้าใจว่าหากเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ท่านอ๋องอาจถูกบังคับให้แสดงความรับผิดชอบ และพระองค์เองก็ทรงทราบดีว่า สิ่งใดที่ถูกบังคับ ย่อมไม่เกิดผลดีเพคะ”
นางสูดลมหายใจลึกก่อนจะกล่าวต่อ “หม่อมฉันจึงขอให้พระองค์เมตตา เก็บเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ”
ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสขึ้นช้าๆ “เจ้าคิดถูกแล้ว”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองพระนางด้วยความประหลาดใจ
ฮองเฮาทรงทอดพระเนตรออกไปนอกหน้าต่าง พระพักตร์สงบนิ่ง แต่ในแววตามีประกายเฉียบคม
“เจิ้งหยางเป็นพระโอรสของเรา แต่เขาก็ยังเป็นบุรุษที่เย่อหยิ่งและไม่เห็นค่าของผู้อื่น” พระนางตรัสด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“บางที ถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องเรียนรู้ว่า การสูญเสียบางสิ่งไป อาจเจ็บปวดยิ่งกว่าการไม่เคยได้รับมันมาแต่แรก”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น “พระองค์ หมายความว่า”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ ก่อนจะหันมามองไป๋ลี่เยว่ “เจ้าวางใจได้ ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับ” พระนางตรัสเสียงเรียบ
ฮองเฮาทรงหันกลับมาสบตานาง แววพระเนตรเย็นชาแต่เปี่ยมไปด้วยแผนการ
“องค์ชายสามต้องเรียนรู้ ว่าความรักที่เขามองข้ามไปนั้น มีค่าเพียงใด” พระนางตรัสช้าๆ
“หากเขาไม่เห็นค่าเจ้า เราก็จะทำให้เขาต้องการเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เบิกตากว้าง นางมิใช่คนอ่อนแอ แต่นางก็ไม่เคยคิดจะใช้แผนการใดๆ เพื่อนำพาพระสวามีกลับคืนมา
“หม่อมฉัน ไม่คิดจะบังคับให้เขากลับมาเพคะ” นางกล่าวเสียงแผ่ว
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์ “มิใช่การบังคับ แต่เป็นการทำให้เขาตระหนักถึงสิ่งที่เขาทอดทิ้งไป”
พระนางทอดถอนพระทัยเบาๆ ก่อนจะตรัสต่อ “ข้าจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับระหว่างเรา แต่เจ้าต้องให้ข้ามาเยี่ยมหลานข้าได้บ่อยๆ”
ไป๋ลี่เยว่รู้สึกเหมือนก้อนหินหนักอึ้งในใจถูกยกออก นางซาบซึ้งใจจนต้องคุกเข่าลง “ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮา”
พระนางทอดพระเนตรนางด้วยสายตาอ่อนโยนขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะตรัสขึ้นเบาๆ “แต่ข้าจะให้คนของตำหนักของข้าคอยดูแลเจ้าจากเงามืด เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้ากับหลานของข้าจะปลอดภัย”
ไป๋ลี่เยว่ายิ้มบางๆ “เพคะ หม่อมฉันซาบซึ้งยิ่งนัก”
ฮองเฮาทรงพยักพระพักตร์ ก่อนจะจ้องมองนางอย่างลึกซึ้ง
“เจ้าจะเลี้ยงดูลูกคนเดียวได้หรือ”
ไป๋ลี่เยว่ลูบหน้าท้องของตนเอง รอยยิ้มของนางอ่อนโยน
“เพคะ หม่อมฉันมั่นใจ”
ดวงเนตรของพระนางฉายแววพึงพอใจ ก่อนพระนางจะลุกขึ้นประทับยืน
“ดี เช่นนั้นจงจำไว้ว่า ข้าอยู่ข้างเจ้า”
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองพระนาง ดวงตาของไป๋ลี่เยว่สั่นไหว นางมิใช่หญิงอ่อนแอ แต่เมื่อนางได้รับความเมตตาจากฮองเฮา นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื้นตัน นางสูดลมหายใจลึก
“ขอบพระทัยเพคะ ฮองเฮา”
“เรียกข้าว่า เสด็จแม่เถิด”
“ขอบพระทัยเพคะ เสด็จแม่”
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์ ก่อนจะตรัสด้วยพระสุรเสียงแฝงเล่ห์
“จงรอดูเถิด ไป๋ลี่เยว่ สักวันหนึ่ง เจิ้งหยางจะเป็นฝ่ายกลับมาร้องขอเจ้าเอง”
ณ เรือนโอสถ ตำหนักชิงอวิ๋นที่เงียบสงบ กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วจากลานตากสมุนไพรด้านหลัง ไป๋ลี่เยว่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง คำนวณบัญชีรายรับรายจ่ายของตำหนักอย่างตั้งใจขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ก่อนที่หงเหมยจะเดินเข้ามาพร้อมกับซุนเต๋อ คนดูแลร้านขายยาของไป๋ลี่เยว่ ทั้งสองถือกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาในมือ “คุณหนู นี่เป็นรายการสั่งยาจากร้านหมอหลิวเจ้าค่ะ” หงเหมยกล่าว พลางยื่นกระดาษให้ ไป๋ลี่เยว่รับมาดูอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรายการสมุนไพรที่ถูกสั่งซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโสมป่า ชุนเถิง เปลือกอบเชย และรากชิงฮ่าว ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ตำหนักมีอยู่แล้ว “ดูเหมือนร้านหมอหลิวจะสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ สินะ” นางกล่าวอย่างครุ่นคิด ซุนเต๋อซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านขายยาของนางยิ้มพลางลูบเครา “ขอรับคุณหนู ตั้งแต่เราส่งสมุนไพรให้ร้านหมอหลิว รายได้ก็ดีขึ้นมาก ส่วนร้านสมุนไพรที่ข้าเองดูแลอยู่ บัดนี้ลูกค้าประจำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และนี่เป็นรายการสมุนไพรที่ร้านของเราต้องการเพิ่มเติมขอรับ” ไป๋ลี่เยว่พยักหน้าอย่างพอใจ ตั้งแต่สามปีก่อน จากที่ปลุกสมุนไพรส่งขายอย่างเดียว นางตัดสินใจเปิดร้านขาย
ห้าปีต่อมาแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมายังเรือนพักกลางสวนสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนทำให้บรรยากาศสดชื่น เงาร่างของสตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างสง่างามภายใต้ร่มไม้ อาภรณ์เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนโบกสะบัดเบาๆ ตามสายลมผมยาวดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับภาพวาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตมีประกายอ่อนโยน หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนความเฉียบคมและความเข้มแข็งไว้ไป๋ลี่เยว่ สตรีที่เคยถูกทอดทิ้งในตำหนักเย็น สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงพระชายาผู้ไร้ค่าและอัปลักษณ์แต่ในวันนี้ ไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอและถูกทอดทิ้งอีกต่อไป นางคือหญิงงามที่ไม่อาจมีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป ทุกวันนี้ นางมีชีวิตใหม่ที่สงบสุข กับลูกชายตัวน้อยผู้เป็นดั่งดวงใจแม้ตำหนักเย็นที่เคยเป็นเพียงสถานที่รกร้าง ตอนนี้ได้รับการบูรณะใหม่จนกลายเป็นตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่า เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สวนผักและสมุนไพรที่ไป๋ลี่เยว่ปลูกเติบโตงอกงาม นางก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม มีรายได้จากการขายสมุนไพรและยาที่ทำขึ้นเอง ผ่านร้านยาที่ไว้ใจได้ในเมือง“ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ ข้าปลูกต้นชุนเถิงได้แล้วนะ”เสียงใสของเด็กชาย
อีกฟากฝั่งตะวันตกของแคว้น สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าร้องครืนครางกึกก้องไปทั่วท้องนภา ปลุกให้ค่ายทหารที่ชายแดนตกอยู่ในความมืดครึ้ม สายลมกระโชกแรงพัดเอาผืนผ้าเต็นท์ไหวสะบัด แต่ภายในกระโจมบัญชาการยังคงมีแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ส่องริบหรี่ องค์ชายหลงเจิ้งหยางประทับนั่งอยู่ภายใน เกือบปีที่เขาอาสามาอยู่ที่นี่ วันนี้อยู่ๆ ฝนก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตกมาก่อน องค์ชายสามยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ก่อนถอนหายใจกับเสียงพายุที่โหมกระหน่ำด้านนอก “คืนนี้แม้แต่สวรรค์ยังเดือดดาล” หลงเจิ้งหยางพึมพำ พลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองสายฝนข้างนอก ดวงตาปิดลงช้าๆ จากความเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว สายฝนยังคงโปรยปราย หลงเจิ้งหยางยืนอยู่กลางลานหินกว้างที่ไม่คุ้นเคย เม็ดฝนตกกระทบไหล่ แต่กลับไม่รู้สึกเปียกชื้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลงเจิ้งหยางหันขวับไปทันที ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อพบเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายร่างเล็กในชุดสีขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยง หน้าตาน่าเอ็นดู ดวงตาแววฉลาดเฉลียว เขามองไปรอบกายก็ไม่พบใครนอกจากเขาและเด็กน้อยผู้นี้ “ท่านพ่อ” ชัดเจนเด็กน้อยคนนี้เร
ฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ“อ๊าาาา”ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อยมือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงรา
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ” ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่
“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนกนางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไมหัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวงฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ“เพคะ”ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรั