ログインสายลมยามค่ำคืนพัดผ่านตำหนักเย็นที่เงียบเหงา ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนริบหรี่ ใบหน้าของนางหม่นหมองยามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
วันที่นางได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก วันที่นางได้ช่วยชีวิตเขา และเฝ้าดูแลเขาด้วยหัวใจทั้งหมดของนาง วันที่นางตกหลุมรักเขา โดยไม่รู้ว่าเป็นบุรุษผู้สูงส่ง องค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง
วันนั้น เป็นวันที่ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆดำ และเสียงร้องของม้าศึกกึกก้องไปทั่วป่า
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า บังเอิญพบชายผู้หนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ร่างสูงสง่าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกจากแผลที่สีข้าง แสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งผ่านศึกมา และที่สำคัญ เขาหมดสติ
“ท่าน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ไป๋ลี่เยว่รีบคุกเข่าลงข้างกายเขา มือนางแตะไปที่จมูกของเขา และพบว่ายังมีลมหายใจ แม้จะเเผ่วเบา
“ข้าต้องช่วยท่าน” นางหันไปเรียกคนรับใช้ที่ติดตามมา
“หงเหมย ซุนเต๋อ เจ้าสองคนมาช่วยข้าทางนี้หน่อย”
หงเหมยรีบตรงเข้ามาด้วยความร้อนรน ส่วนซุนเต๋อผู้มีร่างกำยำเข้าประคองชายบาดเจ็บขึ้นหลังของตนโดยไม่เอ่ยคำถาม พวกเขารีบพาร่างนั้นกลับไปยังจวนตระกูลไป๋ โดยให้ไปพักที่ห้องเก็บสมุนไพรของคุณหนูที่ซุนเต๋อดูแลอยู่
ซุนเต๋อจัดเตรียมฟูกนอนให้ชายบาดเจ็บ ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งลงข้างเตียง มือเรียวของนางแตะลงบนหน้าผากของเขา รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
“เขามีไข้สูง เราต้องรักษาเดี๋ยวนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หงเหมยรีบวิ่งไปต้มยา ขณะที่ไป๋ลี่เยว่หยิบกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรของนางออกมา นางบดสมุนไพรบางส่วนเป็นผงละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทาลงบนแผลของเขา
“คุณหนู นี่เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป หากมีผู้ใดรู้เข้า และเขาเป็นผู้ใดเราก็ไม่รู้” ซุนเต๋อเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “บุรุษผู้นี้กำลังจะตาย ถ้าข้าไม่ช่วยเขา ตอนนี้เขาคงไม่มีโอกาสรอดแล้ว”
ซุนเต๋อเงียบไป เขาเข้าใจว่าคุณหนูของตนเป็นคนเช่นไร เมื่อนางตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้
“เอาล่ะ เรื่องนี้ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด เจ้าเฝ้าห้องสมุนไพรของข้าให้ดีนะซุนเต๋อ ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านพ่อกับท่านแม่ ส่วนเจ้าหงเหมยเดี๋ยวเจ้าคอยเอาอาหารบำรุงมาส่งเขาด้วยนะ” คุณหนูสั่งกำชับบ่าวคนสนิททั้งสอง
ยามค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า อุณหภูมิร่างกายของชายบาดเจ็บค่อยๆ ลดลง ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งเฝ้าเขาตลอดทั้งคืน นางไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงรู้สึกอยากปกป้องบุรุษผู้นี้เช่นนี้
ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยแววตาพินิจ บุรุษผู้นี้แม้ จะอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่ได้สติก็หล่อเหลานัก แต่ท่าทางของเขากลับดูสง่างามราวกับกษัตริย์ที่ยังมิได้สวมมงกุฎ และนางก็อดสงสัยมิได้ว่า บุรุษผู้นี้เป็นใครกันแน่ แค่ได้พบหน้าครั้งแรกทำเอาใจนางเต้นรัว นี่หรือที่เค้าว่ารักแรกพบ
รุ่งเช้า แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดเข้ามาในตำหนักร้าง ชายบาดเจ็บ ก็ยังๆไม่ได้สติ แม้นางยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สิ่งเดียวที่นางรู้คือ นางอยากช่วยให้เขารอดมีชีวิต
“อดทนไว้” นางกระซิบข้างหูของเขาขณะทำแผล แม้จะรู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านตายเด็ดขาด”
และนั่นคือจุดเริ่มต้น ของการดูแลที่กินเวลาหลายสัปดาห์ นางเก็บเป็นความลับอย่างดี แม้แต่ท่านเสนาบดีและฮูหยินไป๋ยังไม่ระเเคะระคาย ว่าบุตรสาวพาคนนอกเข้ามาอยู่ในจวน
เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ค่อยๆ เติบโตในหัวใจของนาง ไป๋ลี่เยว่ดูแลบุรุษปริศนา เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล ป้อนยาสมุนไพรให้เขาทุกวัน
ยามเขาครวญครางเพราะพิษไข้ นางคอยจับมือนั้นไว้แน่น และกระซิบปลอบไม่ให้เขาตื่นตระหนก
และทุกวัน นางก็ค่อยๆ หลงรักเขาทีละนิด แม้เขาจะยังคงหมดสติ แม้เขาจะมิรู้ว่านางเป็นใคร แต่นางกลับรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกผูกพันกับเขาเสียแล้ว
“ข้าหวังเพียงให้ท่านฟื้นขึ้นมา เพียงแค่ได้เห็นท่านลืมตา ข้าก็จะมีความสุขที่สุด”
ช่วงสาย หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์
ไป๋ลี่เยว่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาตามปกติ แต่แล้ว จู่ๆ มือของเขาก็จับข้อมือนางไว้แน่น
“เจ้าเป็นใคร” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมา แม้อ่อนแรงแต่ก็มากพอจะทำให้ไป๋ลี่เยว่ชะงัก
“ท่านฟื้นแล้ว อย่าขยับมากนัก ท่านยังมีบาดแผลอยู่”
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ริมฝีปากซีดเซียวขยับเล็กน้อย ราวกับพยายามเปล่งเสียง แต่มีเพียงเสียงแหบพร่าหลุดออกมา
“ที่นี่ ที่ไหน”
“ที่นี่ปลอดภัย ท่านได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านไว้”
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเบือนสายตามองรอบกาย พยายามเรียบเรียงความคิดของตนเอง ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือสนามรบ การซุ่มโจมตี และเสียงตะโกนของเหล่าทหาร
“ข้า ยังมีชีวิตอยู่หรือ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า “ใช่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าไปเก็บสมุนไพรในป่า และพาท่านมาที่จวน”
นางยื่นถ้วยยาสมุนไพรให้ “ดื่มนี่ก่อน จะช่วยให้ท่านฟื้นตัวเร็วขึ้น”
ชายหนุ่มมองถ้วยยาในมือนางอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมรับไปดื่มช้าๆ แม้รสขมจะทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แต่ก็ไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่คำเดียว
“ที่จวน” เขาทวนคำของนาง
นางเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาสีนิลของบุรุษตรงหน้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน หัวใจนางยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม
“ใช่ นี่ห้องสมุนไพรของข้า จวนเสนาบดีไป๋ ข้าไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวของท่านพ่อ”
เขาขมวดคิ้วมองนาง แม้ร่างกายของเขาจะยังอ่อนแอ แต่สายตาของเขายังคงเฉียบคม
“เจ้าดูแลข้าหรือ”
“ใช่” ไป๋ลี่เยว่ยิ้มอ่อนโยน
“ท่านปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
ร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือจากนาง
“ข้าติดหนี้เจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน”
แต่หัวใจของนางกลับร่ำร้อง
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านจดจำข้าได้”
หลังจากที่บุรุษหนุ่มฟื้นขึ้น เขาก็ขอออกจากจวนเดินทางกลับบ้าน ไป๋ลี่เยว่รู้สึกคิดถึงเขา แม้แต่ชื่อนางก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
และวันหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้นางเข้าเฝ้า ไป๋ลี่เยว่ถึงได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่นางช่วยไว้ เขาคือองค์ชายผู้สูงศักดิ์ หลงเจิ้งหยาง แม้ชีวิตของพวกเขาช่างแตกต่างกัน แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่เคยหยุดรักเขา
เมื่อฮ่องเต้ทรงให้โอกาสผู้มีความดีความชอบเช่นนางขอรางวัลได้ตามปรารถนา ไป๋ลี่เยว่ก็เลือกเพียงสิ่งเดียว
“หม่อมฉันขอสมรสพระราชทานกับองค์ชายสามเพคะ” นางขอทำตามหัวใจสักครั้ง
หลงเจิ้งหยางที่ได้ยินคำขอนี้ รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
“หญิงอัปลักษณ์เช่นนาง กล้าขอแต่งงานกับข้าเช่นนั้นหรือ”
แต่เพราะเป็นราชโองการ เขามิอาจปฏิเสธได้ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตแต่งงานที่มีเพียงนางที่รักเขา แต่องค์ชายสามกลับเกลียดชังมันที่สุดในชีวิต
ไป๋ลี่เยว่กะพริบตา ดึงตัวเองกลับมาสู่ความจริงในปัจจุบัน จากอดีตที่นางคิดว่าจะงดงาม บัดนี้นางถูกโยนมาที่ตำหนักเย็น ถูกทอดทิ้งราวกับสิ่งไร้ค่า
“ข้าโง่เขลายิ่งนัก” นางหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ
“ข้าเคยคิดว่า หากข้ามีโอกาสอยู่ข้างกายท่าน ข้าจะทำให้ท่านรักข้าได้”
“แต่ข้าลืมไปว่า คนที่มิได้ตั้งใจจะรัก ต่อให้เราทุ่มเทเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันหันมามองเรา”
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนมือของนาง แต่นางเช็ดมันทิ้งทันที
“ต่อไปนี้ ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาให้ท่านอีก”
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องการท่านอีกแล้ว”
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของการแก่งแย่งช่วงชิงวาสนาในแถวหน้า เด็กชายผู้หนึ่งที่มีรูปร่างโปร่งบาง ใบหน้าแลดูอ่อนแอคล้ายคนขี้โรค กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างโดดเดี่ยวกลางหอจี้จิ่ว เขาสวมชุดบัณฑิตสีครามที่ซีดจางจนแทบกลืนไปกับเงา ทว่าสะอาดสะอ้าน ไร้เครื่องหยกประดับประดา ไร้ดิ้นทองประชันบารมี ดวงตาคมใสทอดมองไปยังที่นั่งข้างกายพระธิดาเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาราวรำคาญใจในความวุ่นวายนั้น แล้วหันหลังให้แถวหน้า เดินมุ่งตรงสู่มุมอับท้ายห้องอย่างแน่วแน่... ไม่ไยดีต่อสายตาผู้ใด เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไร้ร่องรอย หยุดลงที่ข้างโต๊ะหนึ่ง หลงจิ่นอวิ๋นเงยหน้าขึ้นเพียงนิด สายตาสองคู่สบประสานกันในความเงียบ...ไร้ถ้อยคำ ไร้การหยั่งเชิง แววตาหนึ่งนิ่งลึกประดุจก้นบึ้งธารา อีกแววตาหนึ่งสงบระงับคล้ายเมฆาที่ปล่อยวาง…บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นเยียบลงโดยไม่รู้ตัว ผู้มาใหม่ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม“สหายท่านนี้... ข้าขอร่วมอาศัยพื้นที่ตรงนี้ด้วยได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย สุภาพ และปราศจากกระแสดูแคลนหลงจิ่นอวิ๋นเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เลื่อนตำราของตนออกไปเพื่อให้เกิดช่องว่างพื้นที่ที่พอเหมาะ “เชิญ ต
เสียงตีเกราะไม้ดังกังวานก้องลานหยก เป็นสัญญาณรวมตัวของเหล่าบัณฑิตใหม่แห่งกั๋วจื่อเจี้ยน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของดรุณน้อยนับร้อยดังกังวานไปทั่ว กลิ่นแป้งและเครื่องหอมชั้นเลิศที่อบมาบนอาภรณ์หรูหรานั้นรุนแรงเสียจนกลบกลิ่นกำยานของสำนักศึกษาไปสิ้นเหล่าคุณชายน้อยต่างอยู่ในชุดอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะใช้สีและแบบที่คล้ายคลึงกันตามกฎของสำนักศึกษา แต่ความรุ่มรวยก็ถูกที่แสดงออกมาประชันบารมีอย่างเงียบงัน ผ่าน ดิ้นเงิน ดิ้นทอง ที่แทรกอยู่ในชายผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ผ่านหยกมงคลสลักเสลาประณีตห้อยอยู่ที่เอว และเครื่องประดับที่สะท้อนแสงเช้าอย่างจงใจ ราวกับนี่ไม่ใช่การมาศึกษา แต่เป็นการอวดโอ่อำนาจและเกียรติยศของตระกูลเบื้องหลัง ที่ผลักดันบุตรหลานมาที่นี่ เหล่าโป๋ซื่อชั้นผู้น้อยทำได้เพียงเดินกวดขันด้วยความลำบากใจ เพราะบัณฑิตน้อยแต่ละคนล้วนมีสายเลือดสูงส่งจนมิอาจแตะต้องแรง บางคนถือดีและเย่อหยิ่งจากสายเลือด ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งเสียงกระซิบเบา ๆ ดังกระทบอากาศยามเช้าจากอาจารย์ทั้งหลาย “นั่นบุตรชายสกุลหวัง… ได้ยินว่าฮ่องเต้เมตตาเป็นพิเศษ” “คนนั้นสกุลหลี่ รูปโฉมสง่าไม่เบา” “ดูสิ นั่นคุ
เขาโอบนางไว้โดยมิเร่ง มิได้รุนแรง ราวกับต้องการจดจำอุณหภูมิของกันและกันให้มากที่สุด ลมหายใจสองสายประสานกันแผ่ว…ก่อนจะหนักขึ้น ผสานเสียงครางกระเส่าจากสัมผัสที่ลึกซึ้งกาลเวลาสองชั่วยามไหลผ่านรวดเร็ว หลงเจิ้งหยางลุกขึ้น รอยยิ้มสุดท้ายยามสวมเกราะนั้นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะมอบให้โลกนี้ได้ ก่อนที่ใบหน้าเดียวกันจะกลับกลายเป็นแม่ทัพผู้เกรี้ยวกราดอีกครั้งไป๋ลี่เยว่ลุกขึ้นช่วยพระสวามีแต่งกาย มือเรียวบรรจงผูกสายรัดเกราะ สวมอาภรณ์ออกศึกสีครามเข้มให้อย่างครบถ้วน ดวงหน้างามเงยขึ้นมองใบหน้าคมเข้มตรงหน้า บัดนี้เขามิใช่เพียงพระสวามีอีกต่อไป หากคือยอดขุนพลของแผ่นดิน“ท่านพี่…” นางเอ่ยเสียงเบาๆ“หม่อมฉันเตรียมเครื่องหอมสำหรับสงบจิต และตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดไว้ในย่ามแล้วเพคะ ขอให้ทุกย่างก้าวของพระองค์… ล้วนมีชัย”รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปากของไป๋ลี่เยว่ หากแววตากลับเย็นเฉียบ นางรู้ดีการเดินทัพครั้งนี้ มิใช่เพราะแคว้นต้องการแม่ทัพ แต่เพราะมีคนต้องการให้เขาหายไปจากวังหลวง“นี่เครื่องราง หม่อมฉันเตรียมไว้ให้พระองค์เพคะ”หลงเจิ้งหยางชะงัก ก่อนจะรับเครื่องรางหยกขาวสลักลายปลาคู่มาพกไว้ในอก“ท่านพี่… ออกศึกคร
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองหลงเจิ้งหยาง คำขอที่เขาเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เร่าร้อน หากหนักแน่นราวคำสัตย์ของนักรบ ดวงตาของนาง คล้ายมีม่านหมอกแห่งความหวั่นไหวแผ่คลุม แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว นางก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การจากลาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เขาออกจากวังหลวงไปพร้อมความอ้างว้างที่ไม่มีใครประคอง“เพคะ…ท่านพี่”เสียงกระซิบเบาราวลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินอาย หากเพราะรู้ดีว่า…ช่วงเวลานี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องจากกันไกล“เวลานี้…มีค่ามากกว่าสมบัติใดในวังหลวง หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันย่อมไม่ปฏิเสธ… หลังสิ้นสองยามนี้ หม่อมฉันจะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายให้พระองค์เอง”เพียงถ้อยคำสั้นๆ นั้น ก็เหมือนเปลวไฟเงียบที่ลุกโชนในอกของหลงเจิ้งหยาง แม่ทัพผู้แบกทั้งแผ่นดินไว้บนบ่า กลับไม่อาจซ่อนความคิดถึงและความรักที่ซัดขึ้นมาอีกต่อไปเขาฉุดรั้งร่างบางเข้าสู่ห้องบรรทม ขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่รอบนอกต่างก้มหน้าต่ำจนแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สองชั่วยามของผู้บัญชาการทัพใหญ่ที่จะทุ่มเทให้แก่ความรัก…เป็นความลับที่ตำหนักชิงอวิ๋นจะเก็บรักษาไว้ตลอดกาลประตูห้องบรรทมปิดล
ยามเฉินคล้อยผ่านไปไม่นาน บรรยากาศภายในตำหนักชิงอวิ๋นกลับเคร่งขรึมเมื่อประตูตำหนักเปิดออกช้า ๆ เงาร่างสูงทอดยาวลงบนพื้นหยกเย็น แสงอรุณยามสายส่องต้องฉลองพระองค์ที่ยังไม่ทันเปลี่ยน หลงเจิ้งหยางกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวแบกรับน้ำหนักที่มองไม่เห็นเขารู้ดีว่า… ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวออกจากจวนเมื่อต้นยามเหม่าก่อนอรุณรุ่งที่ผ่านมา จวบจนบัดนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปและเขาไม่มีทางเลือกไป๋ลี่เยว่กำลังยืนรออยู่กลางโถงใหญ่ของตำหนักอย่างกระวนกระวาย นางมิได้ทรุดตัวลงนั่งแม้ขณะรอคอย เมื่อเห็นพระสวามีก้าวเข้ามาตรงหน้า นางก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ก่อนจะโผกายเข้ากอดเขาทันที มิมีน้ำตา มิมีเสียงคร่ำครวญ มีเพียงลมหายใจที่สั่นไหวเล็กน้อยแนบแผงอกเขา ราวกับรับรู้ถึงสถานการณ์นี้มานานแล้ว“พระองค์ …” เสียงของนางแผ่วเบา เหมือนจะถามหลายสิ่ง แต่กลับเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้หลงเจิ้งหยางกอดพระชายาแน่น อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างบางไว้ราวกลัวว่านางจะหลุดหายไปพร้อมเงาแสงยามสาย อ้อมกอดนี้… เหมือนต้องการจดจำสัมผัสของนางเอาไว้ให้ตกผลึกอยู่ในหัวใจไปจนกว่าจะกลับมา หรือ… หากไม่มีวันนั้น ก็ให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้พกติดตัวไป
ณ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมอกสีเงินจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดไม้ในสวนหลวง แสงอรุณแรกเพิ่งแตะปลายหลังคาพระราชวัง เงาเรือนไม้สลักทองทอดทาบพื้นเย็นเยียบ ห้องทรงพระอักษรเงียบสงบราวหยดน้ำหยุดนิ่ง องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าตั่งทรงพระอักษร พระเนตรหม่นล้า อารมณ์ไม่แจ่มใสนักหลังตรากตรำราชกิจมาตลอดคืนเช้านี้พระองค์ตั้งพระทัยจะใช้เวลาอย่างสงบ เสด็จไปทอดพระเนตร หลงจิ่นอวิ๋น พระนัดดาองค์น้อย ที่กำลังจะเข้าศึกษายังกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นวันแรกทว่าชะตากลับไม่ให้ความสงบเกิดขึ้นแม้เพียงลมหายใจเดียว“ฝ่าบาท! เรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังสนั่นขึ้นด้านนอก ก่อนที่ขันทีหลี่จะถลาเข้ามา คุกเข่าลงแทบเบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือดราวเลือดหนีหายทั้งร่าง มือสั่นเทายื่นราชสาส์นผนึกขี้ผึ้งแดงถวายฮ่องเต้เพียงทอดพระเนตรผนึกสีแดงเข้มก็รู้ว่าคือข่าวด่วนระดับหลวงขันทีหลี่รายงานจนเสียงสั่น“ทูลฝ่าบาท…มีราชสาส์นลับผนึกขี้ผึ้งแดง จากกองกำลังตรวจการชายแดนชิงโจว เพิ่งส่งถึงโดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ… ทหารม้าเร็วรายงานว่า ชนเผ่าชิงโจวได้เคลื่อนไหวผิดปกติตั้งแต่ยามโฉ่ว มีการปะทะ ณ ช่องเขาฉา







