สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านตำหนักเย็นที่เงียบเหงา ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนริบหรี่ ใบหน้าของนางหม่นหมองยามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
วันที่นางได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก วันที่นางได้ช่วยชีวิตเขา และเฝ้าดูแลเขาด้วยหัวใจทั้งหมดของนาง วันที่นางตกหลุมรักเขา โดยไม่รู้ว่าเป็นบุรุษผู้สูงส่ง องค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง
วันนั้น เป็นวันที่ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆดำ และเสียงร้องของม้าศึกกึกก้องไปทั่วป่า
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า บังเอิญพบชายผู้หนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ร่างสูงสง่าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกจากแผลที่สีข้าง แสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งผ่านศึกมา และที่สำคัญ เขาหมดสติ
“ท่าน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ไป๋ลี่เยว่รีบคุกเข่าลงข้างกายเขา มือนางแตะไปที่จมูกของเขา และพบว่ายังมีลมหายใจ แม้จะเเผ่วเบา
“ข้าต้องช่วยท่าน” นางหันไปเรียกคนรับใช้ที่ติดตามมา
“หงเหมย ซุนเต๋อ เจ้าสองคนมาช่วยข้าทางนี้หน่อย”
หงเหมยรีบตรงเข้ามาด้วยความร้อนรน ส่วนซุนเต๋อผู้มีร่างกำยำเข้าประคองชายบาดเจ็บขึ้นหลังของตนโดยไม่เอ่ยคำถาม พวกเขารีบพาร่างนั้นกลับไปยังจวนตระกูลไป๋ โดยให้ไปพักที่ห้องเก็บสมุนไพรของคุณหนูที่ซุนเต๋อดูแลอยู่
ซุนเต๋อจัดเตรียมฟูกนอนให้ชายบาดเจ็บ ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งลงข้างเตียง มือเรียวของนางแตะลงบนหน้าผากของเขา รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
“เขามีไข้สูง เราต้องรักษาเดี๋ยวนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หงเหมยรีบวิ่งไปต้มยา ขณะที่ไป๋ลี่เยว่หยิบกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรของนางออกมา นางบดสมุนไพรบางส่วนเป็นผงละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทาลงบนแผลของเขา
“คุณหนู นี่เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป หากมีผู้ใดรู้เข้า และเขาเป็นผู้ใดเราก็ไม่รู้” ซุนเต๋อเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “บุรุษผู้นี้กำลังจะตาย ถ้าข้าไม่ช่วยเขา ตอนนี้เขาคงไม่มีโอกาสรอดแล้ว”
ซุนเต๋อเงียบไป เขาเข้าใจว่าคุณหนูของตนเป็นคนเช่นไร เมื่อนางตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้
“เอาล่ะ เรื่องนี้ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด เจ้าเฝ้าห้องสมุนไพรของข้าให้ดีนะซุนเต๋อ ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านพ่อกับท่านแม่ ส่วนเจ้าหงเหมยเดี๋ยวเจ้าคอยเอาอาหารบำรุงมาส่งเขาด้วยนะ” คุณหนูสั่งกำชับบ่าวคนสนิททั้งสอง
ยามค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า อุณหภูมิร่างกายของชายบาดเจ็บค่อยๆ ลดลง ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งเฝ้าเขาตลอดทั้งคืน นางไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงรู้สึกอยากปกป้องบุรุษผู้นี้เช่นนี้
ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยแววตาพินิจ บุรุษผู้นี้แม้ จะอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่ได้สติก็หล่อเหลานัก แต่ท่าทางของเขากลับดูสง่างามราวกับกษัตริย์ที่ยังมิได้สวมมงกุฎ และนางก็อดสงสัยมิได้ว่า บุรุษผู้นี้เป็นใครกันแน่ แค่ได้พบหน้าครั้งแรกทำเอาใจนางเต้นรัว นี่หรือที่เค้าว่ารักแรกพบ
รุ่งเช้า แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดเข้ามาในตำหนักร้าง ชายบาดเจ็บ ก็ยังๆไม่ได้สติ แม้นางยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สิ่งเดียวที่นางรู้คือ นางอยากช่วยให้เขารอดมีชีวิต
“อดทนไว้” นางกระซิบข้างหูของเขาขณะทำแผล แม้จะรู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านตายเด็ดขาด”
และนั่นคือจุดเริ่มต้น ของการดูแลที่กินเวลาหลายสัปดาห์ นางเก็บเป็นความลับอย่างดี แม้แต่ท่านเสนาบดีและฮูหยินไป๋ยังไม่ระเเคะระคาย ว่าบุตรสาวพาคนนอกเข้ามาอยู่ในจวน
เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ค่อยๆ เติบโตในหัวใจของนาง ไป๋ลี่เยว่ดูแลบุรุษปริศนา เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล ป้อนยาสมุนไพรให้เขาทุกวัน
ยามเขาครวญครางเพราะพิษไข้ นางคอยจับมือนั้นไว้แน่น และกระซิบปลอบไม่ให้เขาตื่นตระหนก
และทุกวัน นางก็ค่อยๆ หลงรักเขาทีละนิด แม้เขาจะยังคงหมดสติ แม้เขาจะมิรู้ว่านางเป็นใคร แต่นางกลับรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกผูกพันกับเขาเสียแล้ว
“ข้าหวังเพียงให้ท่านฟื้นขึ้นมา เพียงแค่ได้เห็นท่านลืมตา ข้าก็จะมีความสุขที่สุด”
ช่วงสาย หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์
ไป๋ลี่เยว่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาตามปกติ แต่แล้ว จู่ๆ มือของเขาก็จับข้อมือนางไว้แน่น
“เจ้าเป็นใคร” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมา แม้อ่อนแรงแต่ก็มากพอจะทำให้ไป๋ลี่เยว่ชะงัก
“ท่านฟื้นแล้ว อย่าขยับมากนัก ท่านยังมีบาดแผลอยู่”
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ริมฝีปากซีดเซียวขยับเล็กน้อย ราวกับพยายามเปล่งเสียง แต่มีเพียงเสียงแหบพร่าหลุดออกมา
“ที่นี่ ที่ไหน”
“ที่นี่ปลอดภัย ท่านได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านไว้”
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเบือนสายตามองรอบกาย พยายามเรียบเรียงความคิดของตนเอง ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือสนามรบ การซุ่มโจมตี และเสียงตะโกนของเหล่าทหาร
“ข้า ยังมีชีวิตอยู่หรือ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า “ใช่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าไปเก็บสมุนไพรในป่า และพาท่านมาที่จวน”
นางยื่นถ้วยยาสมุนไพรให้ “ดื่มนี่ก่อน จะช่วยให้ท่านฟื้นตัวเร็วขึ้น”
ชายหนุ่มมองถ้วยยาในมือนางอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมรับไปดื่มช้าๆ แม้รสขมจะทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แต่ก็ไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่คำเดียว
“ที่จวน” เขาทวนคำของนาง
นางเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาสีนิลของบุรุษตรงหน้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน หัวใจนางยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม
“ใช่ นี่ห้องสมุนไพรของข้า จวนเสนาบดีไป๋ ข้าไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวของท่านพ่อ”
เขาขมวดคิ้วมองนาง แม้ร่างกายของเขาจะยังอ่อนแอ แต่สายตาของเขายังคงเฉียบคม
“เจ้าดูแลข้าหรือ”
“ใช่” ไป๋ลี่เยว่ยิ้มอ่อนโยน
“ท่านปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
ร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือจากนาง
“ข้าติดหนี้เจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน”
แต่หัวใจของนางกลับร่ำร้อง
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านจดจำข้าได้”
หลังจากที่บุรุษหนุ่มฟื้นขึ้น เขาก็ขอออกจากจวนเดินทางกลับบ้าน ไป๋ลี่เยว่รู้สึกคิดถึงเขา แม้แต่ชื่อนางก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
และวันหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้นางเข้าเฝ้า ไป๋ลี่เยว่ถึงได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่นางช่วยไว้ เขาคือองค์ชายผู้สูงศักดิ์ หลงเจิ้งหยาง แม้ชีวิตของพวกเขาช่างแตกต่างกัน แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่เคยหยุดรักเขา
เมื่อฮ่องเต้ทรงให้โอกาสผู้มีความดีความชอบเช่นนางขอรางวัลได้ตามปรารถนา ไป๋ลี่เยว่ก็เลือกเพียงสิ่งเดียว
“หม่อมฉันขอสมรสพระราชทานกับองค์ชายสามเพคะ” นางขอทำตามหัวใจสักครั้ง
หลงเจิ้งหยางที่ได้ยินคำขอนี้ รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
“หญิงอัปลักษณ์เช่นนาง กล้าขอแต่งงานกับข้าเช่นนั้นหรือ”
แต่เพราะเป็นราชโองการ เขามิอาจปฏิเสธได้ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตแต่งงานที่มีเพียงนางที่รักเขา แต่องค์ชายสามกลับเกลียดชังมันที่สุดในชีวิต
ไป๋ลี่เยว่กะพริบตา ดึงตัวเองกลับมาสู่ความจริงในปัจจุบัน จากอดีตที่นางคิดว่าจะงดงาม บัดนี้นางถูกโยนมาที่ตำหนักเย็น ถูกทอดทิ้งราวกับสิ่งไร้ค่า
“ข้าโง่เขลายิ่งนัก” นางหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ
“ข้าเคยคิดว่า หากข้ามีโอกาสอยู่ข้างกายท่าน ข้าจะทำให้ท่านรักข้าได้”
“แต่ข้าลืมไปว่า คนที่มิได้ตั้งใจจะรัก ต่อให้เราทุ่มเทเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันหันมามองเรา”
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนมือของนาง แต่นางเช็ดมันทิ้งทันที
“ต่อไปนี้ ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาให้ท่านอีก”
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องการท่านอีกแล้ว”
ณ เรือนโอสถ ตำหนักชิงอวิ๋นที่เงียบสงบ กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วจากลานตากสมุนไพรด้านหลัง ไป๋ลี่เยว่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง คำนวณบัญชีรายรับรายจ่ายของตำหนักอย่างตั้งใจขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ก่อนที่หงเหมยจะเดินเข้ามาพร้อมกับซุนเต๋อ คนดูแลร้านขายยาของไป๋ลี่เยว่ ทั้งสองถือกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาในมือ “คุณหนู นี่เป็นรายการสั่งยาจากร้านหมอหลิวเจ้าค่ะ” หงเหมยกล่าว พลางยื่นกระดาษให้ ไป๋ลี่เยว่รับมาดูอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรายการสมุนไพรที่ถูกสั่งซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโสมป่า ชุนเถิง เปลือกอบเชย และรากชิงฮ่าว ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ตำหนักมีอยู่แล้ว “ดูเหมือนร้านหมอหลิวจะสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ สินะ” นางกล่าวอย่างครุ่นคิด ซุนเต๋อซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านขายยาของนางยิ้มพลางลูบเครา “ขอรับคุณหนู ตั้งแต่เราส่งสมุนไพรให้ร้านหมอหลิว รายได้ก็ดีขึ้นมาก ส่วนร้านสมุนไพรที่ข้าเองดูแลอยู่ บัดนี้ลูกค้าประจำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และนี่เป็นรายการสมุนไพรที่ร้านของเราต้องการเพิ่มเติมขอรับ” ไป๋ลี่เยว่พยักหน้าอย่างพอใจ ตั้งแต่สามปีก่อน จากที่ปลุกสมุนไพรส่งขายอย่างเดียว นางตัดสินใจเปิดร้านขาย
ห้าปีต่อมาแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมายังเรือนพักกลางสวนสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนทำให้บรรยากาศสดชื่น เงาร่างของสตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างสง่างามภายใต้ร่มไม้ อาภรณ์เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนโบกสะบัดเบาๆ ตามสายลมผมยาวดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับภาพวาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตมีประกายอ่อนโยน หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนความเฉียบคมและความเข้มแข็งไว้ไป๋ลี่เยว่ สตรีที่เคยถูกทอดทิ้งในตำหนักเย็น สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงพระชายาผู้ไร้ค่าและอัปลักษณ์แต่ในวันนี้ ไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอและถูกทอดทิ้งอีกต่อไป นางคือหญิงงามที่ไม่อาจมีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป ทุกวันนี้ นางมีชีวิตใหม่ที่สงบสุข กับลูกชายตัวน้อยผู้เป็นดั่งดวงใจแม้ตำหนักเย็นที่เคยเป็นเพียงสถานที่รกร้าง ตอนนี้ได้รับการบูรณะใหม่จนกลายเป็นตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่า เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สวนผักและสมุนไพรที่ไป๋ลี่เยว่ปลูกเติบโตงอกงาม นางก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม มีรายได้จากการขายสมุนไพรและยาที่ทำขึ้นเอง ผ่านร้านยาที่ไว้ใจได้ในเมือง“ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ ข้าปลูกต้นชุนเถิงได้แล้วนะ”เสียงใสของเด็กชาย
อีกฟากฝั่งตะวันตกของแคว้น สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าร้องครืนครางกึกก้องไปทั่วท้องนภา ปลุกให้ค่ายทหารที่ชายแดนตกอยู่ในความมืดครึ้ม สายลมกระโชกแรงพัดเอาผืนผ้าเต็นท์ไหวสะบัด แต่ภายในกระโจมบัญชาการยังคงมีแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ส่องริบหรี่ องค์ชายหลงเจิ้งหยางประทับนั่งอยู่ภายใน เกือบปีที่เขาอาสามาอยู่ที่นี่ วันนี้อยู่ๆ ฝนก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตกมาก่อน องค์ชายสามยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ก่อนถอนหายใจกับเสียงพายุที่โหมกระหน่ำด้านนอก “คืนนี้แม้แต่สวรรค์ยังเดือดดาล” หลงเจิ้งหยางพึมพำ พลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองสายฝนข้างนอก ดวงตาปิดลงช้าๆ จากความเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว สายฝนยังคงโปรยปราย หลงเจิ้งหยางยืนอยู่กลางลานหินกว้างที่ไม่คุ้นเคย เม็ดฝนตกกระทบไหล่ แต่กลับไม่รู้สึกเปียกชื้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลงเจิ้งหยางหันขวับไปทันที ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อพบเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายร่างเล็กในชุดสีขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยง หน้าตาน่าเอ็นดู ดวงตาแววฉลาดเฉลียว เขามองไปรอบกายก็ไม่พบใครนอกจากเขาและเด็กน้อยผู้นี้ “ท่านพ่อ” ชัดเจนเด็กน้อยคนนี้เร
ฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ“อ๊าาาา”ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อยมือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงรา
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ” ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่
“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนกนางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยินฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไมหัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวงฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ“เพคะ”ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรั