สายลมยามค่ำคืนพัดผ่านตำหนักเย็นที่เงียบเหงา ไป๋ลี่เยว่นั่งอยู่ใต้แสงเทียนริบหรี่ ใบหน้าของนางหม่นหมองยามนึกถึงเหตุการณ์ในอดีต
วันที่นางได้พบกับเขาเป็นครั้งแรก วันที่นางได้ช่วยชีวิตเขา และเฝ้าดูแลเขาด้วยหัวใจทั้งหมดของนาง วันที่นางตกหลุมรักเขา โดยไม่รู้ว่าเป็นบุรุษผู้สูงส่ง องค์ชายสาม หลงเจิ้งหยาง
วันนั้น เป็นวันที่ท้องฟ้าถูกบดบังด้วยกลุ่มเมฆดำ และเสียงร้องของม้าศึกกึกก้องไปทั่วป่า
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังเก็บสมุนไพรอยู่ในป่า บังเอิญพบชายผู้หนึ่งนอนจมกองเลือดอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่
ร่างสูงสง่าของเขาเต็มไปด้วยบาดแผล เลือดสีแดงเข้มไหลซึมออกจากแผลที่สีข้าง แสดงให้เห็นว่าเขาเพิ่งผ่านศึกมา และที่สำคัญ เขาหมดสติ
“ท่าน ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่”
ไป๋ลี่เยว่รีบคุกเข่าลงข้างกายเขา มือนางแตะไปที่จมูกของเขา และพบว่ายังมีลมหายใจ แม้จะเเผ่วเบา
“ข้าต้องช่วยท่าน” นางหันไปเรียกคนรับใช้ที่ติดตามมา
“หงเหมย ซุนเต๋อ เจ้าสองคนมาช่วยข้าทางนี้หน่อย”
หงเหมยรีบตรงเข้ามาด้วยความร้อนรน ส่วนซุนเต๋อผู้มีร่างกำยำเข้าประคองชายบาดเจ็บขึ้นหลังของตนโดยไม่เอ่ยคำถาม พวกเขารีบพาร่างนั้นกลับไปยังจวนตระกูลไป๋ โดยให้ไปพักที่ห้องเก็บสมุนไพรของคุณหนูที่ซุนเต๋อดูแลอยู่
ซุนเต๋อจัดเตรียมฟูกนอนให้ชายบาดเจ็บ ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งลงข้างเตียง มือเรียวของนางแตะลงบนหน้าผากของเขา รู้สึกถึงไอร้อนที่แผ่ออกมา
“เขามีไข้สูง เราต้องรักษาเดี๋ยวนี้” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง
หงเหมยรีบวิ่งไปต้มยา ขณะที่ไป๋ลี่เยว่หยิบกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยสมุนไพรของนางออกมา นางบดสมุนไพรบางส่วนเป็นผงละเอียด ผสมน้ำเล็กน้อยแล้วค่อยๆ ทาลงบนแผลของเขา
“คุณหนู นี่เป็นการเสี่ยงอันตรายเกินไป หากมีผู้ใดรู้เข้า และเขาเป็นผู้ใดเราก็ไม่รู้” ซุนเต๋อเอ่ยขึ้นด้วยความกังวล
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้น ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ “บุรุษผู้นี้กำลังจะตาย ถ้าข้าไม่ช่วยเขา ตอนนี้เขาคงไม่มีโอกาสรอดแล้ว”
ซุนเต๋อเงียบไป เขาเข้าใจว่าคุณหนูของตนเป็นคนเช่นไร เมื่อนางตัดสินใจแล้ว ย่อมไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงได้
“เอาล่ะ เรื่องนี้ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด เจ้าเฝ้าห้องสมุนไพรของข้าให้ดีนะซุนเต๋อ ห้ามให้ใครเข้ามาเด็ดขาด โดยเฉพาะท่านพ่อกับท่านแม่ ส่วนเจ้าหงเหมยเดี๋ยวเจ้าคอยเอาอาหารบำรุงมาส่งเขาด้วยนะ” คุณหนูสั่งกำชับบ่าวคนสนิททั้งสอง
ยามค่ำคืนผ่านไปอย่างเชื่องช้า อุณหภูมิร่างกายของชายบาดเจ็บค่อยๆ ลดลง ขณะที่ไป๋ลี่เยว่นั่งเฝ้าเขาตลอดทั้งคืน นางไม่รู้ว่าเหตุใด นางถึงรู้สึกอยากปกป้องบุรุษผู้นี้เช่นนี้
ไป๋ลี่เยว่มองเขาด้วยแววตาพินิจ บุรุษผู้นี้แม้ จะอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่ได้สติก็หล่อเหลานัก แต่ท่าทางของเขากลับดูสง่างามราวกับกษัตริย์ที่ยังมิได้สวมมงกุฎ และนางก็อดสงสัยมิได้ว่า บุรุษผู้นี้เป็นใครกันแน่ แค่ได้พบหน้าครั้งแรกทำเอาใจนางเต้นรัว นี่หรือที่เค้าว่ารักแรกพบ
รุ่งเช้า แสงแดดอ่อนๆ ส่องลอดเข้ามาในตำหนักร้าง ชายบาดเจ็บ ก็ยังๆไม่ได้สติ แม้นางยังไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แต่สิ่งเดียวที่นางรู้คือ นางอยากช่วยให้เขารอดมีชีวิต
“อดทนไว้” นางกระซิบข้างหูของเขาขณะทำแผล แม้จะรู้ว่าเขาอาจจะไม่ได้ยิน
“ข้าจะไม่ปล่อยให้ท่านตายเด็ดขาด”
และนั่นคือจุดเริ่มต้น ของการดูแลที่กินเวลาหลายสัปดาห์ นางเก็บเป็นความลับอย่างดี แม้แต่ท่านเสนาบดีและฮูหยินไป๋ยังไม่ระเเคะระคาย ว่าบุตรสาวพาคนนอกเข้ามาอยู่ในจวน
เมล็ดพันธุ์แห่งความรัก ค่อยๆ เติบโตในหัวใจของนาง ไป๋ลี่เยว่ดูแลบุรุษปริศนา เช็ดตัว เปลี่ยนผ้าพันแผล ป้อนยาสมุนไพรให้เขาทุกวัน
ยามเขาครวญครางเพราะพิษไข้ นางคอยจับมือนั้นไว้แน่น และกระซิบปลอบไม่ให้เขาตื่นตระหนก
และทุกวัน นางก็ค่อยๆ หลงรักเขาทีละนิด แม้เขาจะยังคงหมดสติ แม้เขาจะมิรู้ว่านางเป็นใคร แต่นางกลับรู้สึกว่าหัวใจของนางถูกผูกพันกับเขาเสียแล้ว
“ข้าหวังเพียงให้ท่านฟื้นขึ้นมา เพียงแค่ได้เห็นท่านลืมตา ข้าก็จะมีความสุขที่สุด”
ช่วงสาย หลังจากผ่านไปหลายสัปดาห์
ไป๋ลี่เยว่กำลังเปลี่ยนผ้าพันแผลให้เขาตามปกติ แต่แล้ว จู่ๆ มือของเขาก็จับข้อมือนางไว้แน่น
“เจ้าเป็นใคร” เสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมา แม้อ่อนแรงแต่ก็มากพอจะทำให้ไป๋ลี่เยว่ชะงัก
“ท่านฟื้นแล้ว อย่าขยับมากนัก ท่านยังมีบาดแผลอยู่”
ชายหนุ่มมองนางด้วยสายตาเคร่งขรึม ริมฝีปากซีดเซียวขยับเล็กน้อย ราวกับพยายามเปล่งเสียง แต่มีเพียงเสียงแหบพร่าหลุดออกมา
“ที่นี่ ที่ไหน”
“ที่นี่ปลอดภัย ท่านได้รับบาดเจ็บหนัก ข้าเป็นผู้ช่วยชีวิตท่านไว้”
ชายหนุ่มนิ่งไปชั่วครู่ ก่อนจะเบือนสายตามองรอบกาย พยายามเรียบเรียงความคิดของตนเอง ภาพสุดท้ายที่เขาจำได้คือสนามรบ การซุ่มโจมตี และเสียงตะโกนของเหล่าทหาร
“ข้า ยังมีชีวิตอยู่หรือ ข้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร”
ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า “ใช่ ท่านยังมีชีวิตอยู่ ข้าไปเก็บสมุนไพรในป่า และพาท่านมาที่จวน”
นางยื่นถ้วยยาสมุนไพรให้ “ดื่มนี่ก่อน จะช่วยให้ท่านฟื้นตัวเร็วขึ้น”
ชายหนุ่มมองถ้วยยาในมือนางอย่างลังเล แต่สุดท้ายก็ยอมรับไปดื่มช้าๆ แม้รสขมจะทำให้คิ้วของเขาขมวดเข้าหากัน แต่ก็ไม่เอ่ยปากบ่นแม้แต่คำเดียว
“ที่จวน” เขาทวนคำของนาง
นางเงยหน้าขึ้น สบตากับดวงตาสีนิลของบุรุษตรงหน้า และนั่นเป็นครั้งแรกที่นางได้เห็นใบหน้าของเขาอย่างชัดเจน หัวใจนางยิ่งเต้นแรงกว่าเดิม
“ใช่ นี่ห้องสมุนไพรของข้า จวนเสนาบดีไป๋ ข้าไป๋ลี่เยว่ บุตรสาวของท่านพ่อ”
เขาขมวดคิ้วมองนาง แม้ร่างกายของเขาจะยังอ่อนแอ แต่สายตาของเขายังคงเฉียบคม
“เจ้าดูแลข้าหรือ”
“ใช่” ไป๋ลี่เยว่ยิ้มอ่อนโยน
“ท่านปลอดภัยแล้ว ท่านไม่ต้องกังวลอะไรอีก”
ร่างสูงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยมือจากนาง
“ข้าติดหนี้เจ้า”
ไป๋ลี่เยว่ส่ายหน้า “ข้าไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน”
แต่หัวใจของนางกลับร่ำร้อง
“ข้าเพียงต้องการให้ท่านจดจำข้าได้”
หลังจากที่บุรุษหนุ่มฟื้นขึ้น เขาก็ขอออกจากจวนเดินทางกลับบ้าน ไป๋ลี่เยว่รู้สึกคิดถึงเขา แม้แต่ชื่อนางก็ไม่กล้าเอ่ยถาม
และวันหนึ่ง ฮ่องเต้ทรงมีพระราชโองการให้นางเข้าเฝ้า ไป๋ลี่เยว่ถึงได้รู้ว่าบุรุษที่อยู่นางช่วยไว้ เขาคือองค์ชายผู้สูงศักดิ์ หลงเจิ้งหยาง แม้ชีวิตของพวกเขาช่างแตกต่างกัน แต่ถึงกระนั้น นางก็ไม่เคยหยุดรักเขา
เมื่อฮ่องเต้ทรงให้โอกาสผู้มีความดีความชอบเช่นนางขอรางวัลได้ตามปรารถนา ไป๋ลี่เยว่ก็เลือกเพียงสิ่งเดียว
“หม่อมฉันขอสมรสพระราชทานกับองค์ชายสามเพคะ” นางขอทำตามหัวใจสักครั้ง
หลงเจิ้งหยางที่ได้ยินคำขอนี้ รู้สึกเหมือนถูกฟ้าผ่า
“หญิงอัปลักษณ์เช่นนาง กล้าขอแต่งงานกับข้าเช่นนั้นหรือ”
แต่เพราะเป็นราชโองการ เขามิอาจปฏิเสธได้ และนี่คือจุดเริ่มต้น ของชีวิตแต่งงานที่มีเพียงนางที่รักเขา แต่องค์ชายสามกลับเกลียดชังมันที่สุดในชีวิต
ไป๋ลี่เยว่กะพริบตา ดึงตัวเองกลับมาสู่ความจริงในปัจจุบัน จากอดีตที่นางคิดว่าจะงดงาม บัดนี้นางถูกโยนมาที่ตำหนักเย็น ถูกทอดทิ้งราวกับสิ่งไร้ค่า
“ข้าโง่เขลายิ่งนัก” นางหัวเราะเยาะตัวเองเบาๆ
“ข้าเคยคิดว่า หากข้ามีโอกาสอยู่ข้างกายท่าน ข้าจะทำให้ท่านรักข้าได้”
“แต่ข้าลืมไปว่า คนที่มิได้ตั้งใจจะรัก ต่อให้เราทุ่มเทเพียงใด เขาก็จะไม่มีวันหันมามองเรา”
น้ำตาหยดหนึ่งร่วงลงบนมือของนาง แต่นางเช็ดมันทิ้งทันที
“ต่อไปนี้ ข้าจะไม่หลั่งน้ำตาให้ท่านอีก”
“ข้าจะมีชีวิตอยู่ต่อไป โดยไม่ต้องการท่านอีกแล้ว”
“เจ้ากำลังจะฆ่าข้าให้ตายทั้งเป็น”ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มยั่วเย้า “ถ้าเช่นนั้น…ก็ยอมตายอยู่ใต้ร่างของหม่อมฉันเถิดเพคะ แล้วพระองค์จะเป็นผู้ที่ตายอย่างมีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้”เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป ไป๋ลี่เยว่โน้มกายเร่งจังหวะรุนแรงขึ้นทุกขณะ เนื้อนวลสั่น ถันอวบเด้งขึ้นลง กลีบบุปผารัดแน่นขึ้นเป็นจังหวะถี่ขึ้น“เยว่เอ๋อร์…” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่าในหู มือใหญ่กำแน่นที่เอวบาง รั้งกระชับไม่ปล่อย เสียงครางต่ำพร่าดังก้องในลำคอราวสัตว์ร้ายที่ถูกปลดพันธนาการ“อ๊าาา… เยว่เอ๋อร์… เจ้าจะกดข้าให้สยบเช่นนี้หรือ” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่า ไป๋ลี่เยว่ปรือตาขึ้น สายตาพร่าเลือนแต่แฝงประกายท้าทาย“เช่นนั้น… ก็สยบอยู่ใต้หม่อมฉันเถิดเพคะ”“เยว่เอ๋อร์… ข้า…จะมิอาจทนได้อีกแล้ว” เสียงเขาสั่นพร่า แฝงทั้งอำนาจบังคับและการวิงวอน“เจ้า…รัดข้าแน่นเกิน อ๊าาา ขะ...ข้าปวด” เสียงทุ้มต่ำขาดห้วง ขณะที่สันกรามแข็งเกร็งด้วยความพยายามอดกลั้นทว่าท้ายที่สุด บุรุษผู้เคยยิ่งใหญ่ก็มิอาจทนอยู่นิ่งได้อีกต่อไป ร่างแกร่งพลันเกร็งกายเด้งสวนสะโพกสอบขึ้นตอบรับจังหวะของนางโดยมิอาจฝืน ดุดัน หนักแน่น ราวพยัคฆ์ที่ตื่
“เยว่เอ๋อร์…เจ้าอยากครอบครองข้าหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหลงเจิ้งหยางพร่าก้องในความเงียบ ร่างสูงทอดกายลงบนแท่นบรรทม ศีรษะหนุนหมอนสูง ผมดำยาวสยายคลอเคลียบ่ากว้าง แววตาคมลึกทอประกายแห่งราคะที่ไม่อาจดับ มือใหญ่เอื้อมกระชับเอวนวล ก่อนพลิกกลับให้นางขึ้นคร่อมเหนือร่างสูงสง่าไป๋ลี่เยว่โน้มกายอรชรลง ริมฝีปากอิ่มสีชาดเม้มแน่น สายตาเอียงอายปนเร่าร้อน นางมิได้หลบเลี่ยง กลับขยับให้เรือนกายแนบชิด กุหลาบงามเคลื่อนลงโอบกลืนแท่งหยกร้อนผ่าวทีละน้อย อย่างช้าๆ จนบุรุษใต้ร่างหลับตาแน่น สูดลมหายใจหอบ พลางสั่นสะท้าน “เยว่เอ๋อร์…อ๊าา…เจ้า…อูววว” เสียงพร่าต่ำสะท้อนอยู่ในลำคอ ราวกับจะขาดใจ“หากค่ำนี้...หม่อมฉันไม่ครอบครองมังกร เกรงว่าพระองค์คงมิอาจหลับใหลได้แน่” นางเอื้อนเอ่ยเสียงพร่า อ่อนนุ่มแต่แฝงแรงห้าวหาญ ราวสตรีผู้กุมชะตาของราตรีนี้ไว้เองหลงเจิ้งหยางหัวเราะต่ำในลำคอ กายแกร่งสั่นสะท้านไปกับแรงขยับนั้น ในขณะเดียวกันใบหน้าคมก็เหยเกราวเจ็บปวด “ หึ…นับแต่ข้าเกิดมา มิเคยมีผู้ใดบังคับข้าให้อยู่ใต้อำนาจ แต่เจ้า…ซี๊ดดด….”มือใหญ่กำแน่นที่เอวบางของนาง ดึงรั้งให้กุหลาบงามกลืนลึกกดฝังแท่งหยกมิดแน่น ไป๋ลี่เยว่อดกล
“องค์ชาย… มะ…หม่อมฉัน มิอาจทนได้…” องค์ชายสาม บดกราม ฝังร่างแนบลึก “เจ้าก็มิต้องทน ปล่อยใจไปกับข้าเถิด เยว่เอ๋อร์… คืนนี้เจ้าคือสรรพสิ่งของข้า” กายหนาถาโถมเข้าครอบครองในชั่วพริบตา ไป๋ลี่เยว่สะท้านเฮือก ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส ร่างบางถูกโอบรัดแนบแน่น สะโพกถูกยึดตรึงแล้วเคลื่อนกระแทกเป็นจังหวะหนักแน่น สลับเร็วช้าไม่ให้ทันตั้งตัว หลงเจิ้งหยางเสียงทุ้มกระชากลึก “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว… ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง เข้าใจหรือไม่ชายาของข้า” ไป๋ลี่เยว่ เสียงสั่นพร่า “องค์ชาย… หม่อมฉัน… มิอาจหนีไปไหนอยู่แล้ว…” เสียงเนื้อกระทบก้องผสมกับเสียงหอบกระชั้นราวคลื่นพายุซัดฝั่ง จนกระทั่ง “เยว่เอ๋อร์…พลิกกายมาเถิด หันหลังให้ข้า” เสียงทุ้มสั่งต่ำ ดั่งประกาศิตที่มิอาจขัดขืน มือใหญ่จับร่างบางพลิกกลับอย่างอ่อนโยน ร่างบางนอนคว่ำ ดวงหน้าหวานซบหมอน ผมดำขลับสยายลงประดุจม่านราตรี ร่างอรชรโค้งรับราวคันศรต้องสาย สะโพกกลมกลึงถูกยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อมือของเขาสอดประคองจากด้านหลัง องค์ชายกดกายเข้าหาแนบแน่นจากด้านหลัง เสียงครางสะท้านดังลอดออกมาจากลำคอไป๋ลี่เยว่ ร่างนางสั่นไหวราวกลีบเหมยต้อ
“เพคะ… หม่อมฉันยอมแล้ว ยอมทุกสิ่งให้แก่พระองค์” เสียงหวานขาดห้วงเพียงเพราะกลีบกุหลาบงามโดนรุกราน“อาา… หม่อมฉัน…เป็นของพระองค์แล้ว… ทั้งกาย ทั้งใจ…”ไป๋ลี่เยว่ครางสั่น ดวงตาฉ่ำน้ำพร่างพราว เผลอแอ่นกายเข้ารับสัมผัสให้เเนบชิด ปลายนิ้วเรียวขยุ้มผ้าปูจนยับย่น แก้มแดงจัดราวผลท้อสุก ริมฝีปากสั่นระริก ถ้อยคำยังมิทันหลุดสิ้น ริมฝีปากร้อนของบุรุษก็ครอบจุมพิตแนบแน่น สอดแทรกความหิวกระหายที่กลืนกินสติสัมปชัญญาทุกสิ่งผสานกัน ปลายนิ้วยาวที่สอดลูบไล้กลีบกุหลาบงามเบื้องล่างร่างบางสั่นสะท้านทั้งเจ็บทั้งสุข คล้ายบุปผาที่เบ่งบานรับหยาดน้ำค้างแรกแห่งรุ่งอรุณ องค์ชายถอดถอนริมฝีปากหยัก โน้มกายลงต่ำเพื่อชิมปลายถันอวบ เรียวลิ้นอุ่นตวัดเลียจนยอดถันชูชันท้าทาย ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะครอบครองดูดดื่มเต้าอวบราวทารกผู้หิวกระหาย แรงดูดที่ถันอวบและสัมผัสร้อนแรงที่กลีบกุหลาบงามเบื้องล่าง เร่งสร้างความปรารถนาของไป๋ลี่เยว่ให้สูงขึ้น“พระองค์… หม่อมฉันหวั่นใจนัก คืนนี้หากมิอาจห้ามท่านได้… หม่อมฉันจักได้พักกี่ยามกัน” เสียงหวานสั่นพร่า“เยว่เอ๋อร์…คืนนี้ เดี๋ยวข้าจะปลอบเจ้าเอง เจ้าแค่นอนพักเฉยๆ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ขอ
“ช่างวางกลไกได้สวยงาม…” ไป๋ลี่เยว่กระซิบ สายตาหรี่ลงนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจ“แต่คืนนี้พระองค์ควรพัก ทัพยังไม่เคลื่อน แม่ทัพก็ควรพักเอาแรงบ้าง”หลงเจิ้งหยาง โน้มใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเขาราวกับสายลมยามดึกแนบข้างหู“นี่คือการพักเอาแรงของข้า หากไม่ขอคืนแรงจากเจ้า…ข้าจะมีเรี่ยวแรงใดเผชิญศึกพรุ่งนี้ เยว่เอ๋อร์…”นางกำลังจะพูดอะไร แต่ริมฝีปากเขาแนบลงมาเสียก่อน ริมฝีปากอบอุ่นคล้ายคลื่นทะเลโถมซัดชายฝั่ง บุกล้ำช้า ๆ แต่ไม่อาจต้าน ใบหน้าของนางขึ้นสีระเรื่อ มือบางยกดันอกแกร่งเบา ๆ ก่อนจะชะงักเพราะเขาหยุด“ข้าไม่ฝืนใจเจ้า…เพียงแต่คืนนี้ หากข้าไม่ได้นอนกอดเจ้าไว้ ข้าคงนอนไม่หลับ…”“…ท่านนี่…” ไป๋ลี่เยว่ว่า แต่ไม่ได้ผลักไส“มีแผนใดต้องคิดอีกหรือไม่”หลงเจิ้งหยางยิ้ม เอานิ้วเกี่ยวผ้าคลุมของนางออกเบา ๆ“คิดอีกก็คิดได้…แต่ข้าจะคิดออก ก็ต่อเมื่อได้เห็นเรือนร่างงดงามของพระชายาในอ้อมแขน”นางย่นจมูกเบา ๆ แต่ก็ปล่อยให้เขาดึงผ้าคลุมออก ขนกายเริ่มลุกชันเมื่อสายลมกระโชกผ่าน…ริมฝีปากอุ่นขององค์ชายเลื่อนไล้จากขมับลงมาถึงซอกแก้ม ไป๋ลี่เยว่สะท้านเผลอหลับตาแน่น มือบางดันแผ่วที่อกกว้าง แต่แรงนั้นแผ่วเบาร
ณ เรือนเจาอวี้ ตำหนักหย่งอวิ๋น ตำหนักใหม่ขององค์ชายสามที่เพิ่งบูรณะเสร็จดูโอ่อ่าสมตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮา แสงตะเกียงกระพริบวาบไหวตามลมราตรี แสงจันทร์ส่องลอดม่านโปร่งสีอ่อนที่พลิ้วไหว ตกกระทบกับพื้นหินเย็นเยียบในตำหนัก กลิ่นกำยานอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศสงบเย็นต่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ภายในตำหนักมีเพียงเสียงลมพัดแผ่ว ผ่านม่านโปร่งหลงเจิ้งหยางวางองค์ชายน้อยที่หลับสนิทลงบนแท่นบรรทมที่อยู่มุมห้องด้วยความทะนุถนอม ก่อนพยักหน้าให้หงเหมยและนางกำนัลพี่เลี้ยงพากันดูแลต่อ จากนั้นทั้งเขาและไป๋ลี่เยว่ก็เดินกลับไปที่เรือนหลิงซือ ซึ่งเป็นเรือนหลัก “คิดอะไรอยู่..หืม ฟอดดด ข้าเห็นเจ้าเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงแล้ว” ผู้เป็นพระสวามีถามพลางหอมแก้มนวลเมื่อเห็นพระชายาเงียบไปไป๋ลี่เยว่ยังคงระลึกถึงภาพในงานเลี้ยง เสียงกระซิบเหล่าขุนนางที่วางแผนใส่ร้ายนาง กลลวงของพระสนมชิงอวี่ อีกทั้งสายตาเคียดแค้นของซูเหยา หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทรงยุติธรรม บางทีชื่อเสียงขององค์ชายสามกับตนคงถูกเหยียบย่ำแล้ว“หม่อมฉันนึกถึง ตอนที่ถูกครหาว่าลอบใส่ยาพิษให้พระชายาสอ