LOGIN“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนก
นางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไม
หัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวง
ฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย
“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”
น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่
ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ
“เพคะ”
ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรัว แต่น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง
“หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงที่นี่ มีรับสั่งสิ่งใดหรือเพคะ”
ฮองเฮาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะช่วยประคองไป๋ลี่เยว่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหตุใด เจ้าจึงมาอยู่ที่ตำหนักเย็นเช่นนี้ ข้าไปที่ตำหนักใหญ่ไม่เห็นมีเจ้าอยู่ที่นั่น”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือกำแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่นางยังคงพยักหน้ารับอย่างสงบ
“เพคะ องค์ชายสามรับสั่งให้หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะพระองค์บอกว่าหม่อมฉันวางยาพระองค์คืนวันแต่งงานเพคะ ”
ฮองเฮาทรงเพ่งมองไป๋ลี่เยว่ ดวงเนตรเข้มขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นสภาพของพระชายาสามที่ซีดเซียว แต่ยังคงมีแววแน่วแน่อยู่ในดวงตา
“โธ่ เป็นความผิดของข้าเอง วันนั้นข้าใส่ยาในสุรามงคลเอง เลยทำให้เจ้าต้องมาลำบาก” ฮองเฮาสารภาพออกมา
“องค์ชายสามรู้หรือไม่ ว่าเจ้าตั้งครรภ์”
คำถามนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงัน ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ทราบเพคะ พระองค์ออกไปชายแดนตั้งแต่หลังแต่งงาน”
เพียงประโยคเดียว แต่กลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบๆ ตำหนักเย็น สายพระเนตรของพระนางกวาดมองความทรุดโทรมของที่ประทับ ข้าวของภายในตำหนักได้รับการซ่อมแซมไปไม่น้อย แม้จะไม่หรูหราเทียบเท่าตำหนักอื่น แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนเมื่อก่อน
แต่ถึงกระนั้น สำหรับพระเนตรของสตรีสูงศักดิ์ที่เติบโตมาในความสมบูรณ์แบบอย่างฮองเฮา พระนางยังคงไม่พอพระทัย
ฮองเฮาทรงประทับนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกขัดจนสะอาด แต่ก็ยังดูต่ำต้อยเมื่อเทียบกับที่นั่งภายในวังหลวง ดวงเนตรของพระนางทอดมองไปทั่วตำหนัก ราวกับกำลังประเมินทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียด
ใช่ แม้จะมีความขุ่นเคือง แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความยินดีที่อยู่ลึกๆ ได้ พระองค์กำลังจะมีพระนัดดา
แต่ทันทีที่คิดได้ว่า สตรีตั้งครรภ์นี้ถูกปล่อยให้อยู่ในตำหนักเย็นเพียงลำพัง พระนัดดาที่อยู่ในครรภ์อีก ความยินดีของพระนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอพระทัยแทบจะทันที
“เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ มานานเท่าใดแล้ว”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าไม่ได้ตอบ แต่นางรู้ดีตั้งแต่คืนแต่งงาน นางก็ถูกผลักไสมาอยู่ที่นี่โดยไร้ผู้เหลียวแล
ฮองเฮาทรงหลับพระเนตรลงครู่หนึ่งนางพอจะรู้คำตอบแล้ว เหตุใดพระโอรสของนางถึงได้ขอออกรบชายแดนหลังแต่งงานเพียงคืนเดียว พระนางสูดลมหายใจลึก เมื่อเปิดพระเนตรขึ้นอีกครั้ง ดวงเนตรของพระนางเต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว
“เจิ้งหยาง บังอาจนัก เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” ฮองเฮาทรงวางถ้วยน้ำชาเสียงดัง ก่อนจะหันมามองไป๋ลี่เยว่อย่างจริงจัง
“ข้าคิดว่าองค์ชายสามยังพอมีความเป็นสามีอยู่บ้าง แต่กลับกล้าทอดทิ้งพระชายาและลูกของตนเองเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
เพียงคำพูดเดียว แต่กลับเผยให้เห็นถึงความกริ้วของพระนางได้เป็นอย่างดี พระสุรเสียงเยียบเย็น แต่ฟังดูหนักแน่นราวกับหินผา
ไป๋ลี่เยว่รับรู้ถึงกระแสพระพิโรธที่แผ่ซ่านออกมา นางไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลาม นางสบสายพระเนตรของฮองเฮา ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา
แต่ฮองเฮาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นเชิงห้าม พระพักตร์ของพระนางเคร่งเครียดขึ้นทันที ดวงเนตรของพระนางแฝงไปด้วยโทสะ พระหัตถ์กำแน่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออก พระนางหลับพระเนตรครู่หนึ่งเพื่อระงับความขุ่นเคือง
“ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
พระนางกวาดพระเนตรไปทั่วตำหนักอีกครั้ง แม้จะดูดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น แต่ก็ยังคงต่ำต้อยและไม่สมควรเป็นที่พำนักของชายาของโอรสสวรรค์ พระนางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“ที่นี่ ไม่คู่ควรกับเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรกับพระนัดดาของข้า ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปจนถึงวันคลอดแน่” ฮองเฮาตรัสหนักแน่น
ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย นางรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของพระนาง แม้นางจะเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองและลูกได้ แต่นางก็รู้ดีว่าหากมีฮองเฮาหนุนหลัง ลูกของนางจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าที่นางสามารถมอบให้ได้ ใบหน้าอวบแต่งดงามเงยขึ้นสบสายพระเนตรของฮองเฮา นางเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้ต้องการให้ฮองเฮาทรงเข้าข้างนาง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็ยังมีคนที่มองเห็นความทุกข์ของนาง
“หม่อมฉัน มิกล้ารับพระเมตตาเพคะ”
“เจ้าช่วยชีวิตองค์ชายสามเอาไว้ แล้วยังอุตส่าห์ขอสมรสพระราชทานเพราะความรัก แต่เขากลับตอบแทนเจ้าด้วยการทอดทิ้ง ข้ามิอาจปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเช่นนี้ได้”
“ขอบพระทัยเพคะ แต่” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา
“เจ้ามีเหตุผลอะไร” ฮองเฮาทรงมองนางนิ่งๆ ก่อนจะพยักพระพักตร์
ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก นางกำมือแน่นขึ้น ก่อนจะเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮาอย่างแน่วแน่
“เพราะหม่อมฉันต้องการให้องค์ชายสามได้เห็น ว่าหม่อมฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขา และไม่ต้องพึ่งพาตำหนักของเขา”
คำพูดของนางหนักแน่นและมั่นคง ดวงตาของไป๋ลี่เยว่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“เจ้าคิดว่าเขาจะสนใจหรือ”
ไป๋ลี่เยว่หลุบตาลง นางรู้ดีว่าองค์ชายสามคงไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเพียงคนเดียว มันเกี่ยวกับตัวนางเอง
“หม่อมฉันไม่อาจควบคุมความคิดขององค์ชายสามได้เพคะ แต่หม่อมฉันสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองได้” นางกล่าวอย่างหนักแน่น
“ต่อให้เขาไม่สนใจ ต่อให้เขามองว่าหม่อมฉันไม่มีค่า แต่หม่อมฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าหม่อมฉันไม่ต้องการเขา”
ฮองเฮาทรงมองไป๋ลี่เยว่อย่างพินิจพิจารณา แม้คำพูดของนางจะแฝงไปด้วยความขมขื่น แต่กลับไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นหรือ” พระนางตรัสเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรมองรอบๆ ตำหนักอีกครั้ง
“แต่ข้าก็มิอาจปล่อยให้หลานของข้าเติบโตในที่เช่นนี้ ยิ่งถ้าฮ่องเต้ทรงรู้ก็มิอาจยอมได้เช่นกัน”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ ก่อนตรัสต่อ “ข้าจะไม่บังคับเจ้าให้รับความช่วยเหลือจากข้า หากเจ้าต้องการสร้างชีวิตของตนเอง ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“แต่นี่เป็นของขวัญจากย่าให้หลาน ไม่ใช่จากแม่ให้ลูกสะใภ้”
ไป๋ลี่เยว่เบิกตากว้าง นางรับรู้ถึงความเมตตาในพระสุรเสียงนั้น
ฮองเฮาทรงละพระเนตรจากนางแล้วตรัสกับข้าราชบริพารด้านหลัง “จากนี้ไป ให้ส่งช่างฝีมือและคนงานมาปรับปรุงตำหนักเย็นให้งดงามยิ่งกว่าาตำหนักองค์ชายสาม จัดหาข้าวของเครื่องใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้เหมาะสม และให้ดูแลเรื่องอาหารการกินให้เพียงพอ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปาก นางจะปฏิเสธอย่างไรได้ นี่มิใช่การสงเคราะห์ แต่มันคือของขวัญต้อนรับลูกของนาง นางคุกเข่าลงอย่างอ่อนช้อย ประสานมือคารวะอย่างลึกซึ้ง
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงเมตตา”
ฮองเฮาทรงมองนางด้วยสายพระเนตรอ่อนโยนแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักพระพักตร์
“ดูแลตัวเองให้ดี”
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ”
ท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของการแก่งแย่งช่วงชิงวาสนาในแถวหน้า เด็กชายผู้หนึ่งที่มีรูปร่างโปร่งบาง ใบหน้าแลดูอ่อนแอคล้ายคนขี้โรค กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างโดดเดี่ยวกลางหอจี้จิ่ว เขาสวมชุดบัณฑิตสีครามที่ซีดจางจนแทบกลืนไปกับเงา ทว่าสะอาดสะอ้าน ไร้เครื่องหยกประดับประดา ไร้ดิ้นทองประชันบารมี ดวงตาคมใสทอดมองไปยังที่นั่งข้างกายพระธิดาเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาราวรำคาญใจในความวุ่นวายนั้น แล้วหันหลังให้แถวหน้า เดินมุ่งตรงสู่มุมอับท้ายห้องอย่างแน่วแน่... ไม่ไยดีต่อสายตาผู้ใด เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไร้ร่องรอย หยุดลงที่ข้างโต๊ะหนึ่ง หลงจิ่นอวิ๋นเงยหน้าขึ้นเพียงนิด สายตาสองคู่สบประสานกันในความเงียบ...ไร้ถ้อยคำ ไร้การหยั่งเชิง แววตาหนึ่งนิ่งลึกประดุจก้นบึ้งธารา อีกแววตาหนึ่งสงบระงับคล้ายเมฆาที่ปล่อยวาง…บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นเยียบลงโดยไม่รู้ตัว ผู้มาใหม่ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม“สหายท่านนี้... ข้าขอร่วมอาศัยพื้นที่ตรงนี้ด้วยได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย สุภาพ และปราศจากกระแสดูแคลนหลงจิ่นอวิ๋นเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เลื่อนตำราของตนออกไปเพื่อให้เกิดช่องว่างพื้นที่ที่พอเหมาะ “เชิญ ต
เสียงตีเกราะไม้ดังกังวานก้องลานหยก เป็นสัญญาณรวมตัวของเหล่าบัณฑิตใหม่แห่งกั๋วจื่อเจี้ยน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของดรุณน้อยนับร้อยดังกังวานไปทั่ว กลิ่นแป้งและเครื่องหอมชั้นเลิศที่อบมาบนอาภรณ์หรูหรานั้นรุนแรงเสียจนกลบกลิ่นกำยานของสำนักศึกษาไปสิ้นเหล่าคุณชายน้อยต่างอยู่ในชุดอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะใช้สีและแบบที่คล้ายคลึงกันตามกฎของสำนักศึกษา แต่ความรุ่มรวยก็ถูกที่แสดงออกมาประชันบารมีอย่างเงียบงัน ผ่าน ดิ้นเงิน ดิ้นทอง ที่แทรกอยู่ในชายผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ผ่านหยกมงคลสลักเสลาประณีตห้อยอยู่ที่เอว และเครื่องประดับที่สะท้อนแสงเช้าอย่างจงใจ ราวกับนี่ไม่ใช่การมาศึกษา แต่เป็นการอวดโอ่อำนาจและเกียรติยศของตระกูลเบื้องหลัง ที่ผลักดันบุตรหลานมาที่นี่ เหล่าโป๋ซื่อชั้นผู้น้อยทำได้เพียงเดินกวดขันด้วยความลำบากใจ เพราะบัณฑิตน้อยแต่ละคนล้วนมีสายเลือดสูงส่งจนมิอาจแตะต้องแรง บางคนถือดีและเย่อหยิ่งจากสายเลือด ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งเสียงกระซิบเบา ๆ ดังกระทบอากาศยามเช้าจากอาจารย์ทั้งหลาย “นั่นบุตรชายสกุลหวัง… ได้ยินว่าฮ่องเต้เมตตาเป็นพิเศษ” “คนนั้นสกุลหลี่ รูปโฉมสง่าไม่เบา” “ดูสิ นั่นคุ
เขาโอบนางไว้โดยมิเร่ง มิได้รุนแรง ราวกับต้องการจดจำอุณหภูมิของกันและกันให้มากที่สุด ลมหายใจสองสายประสานกันแผ่ว…ก่อนจะหนักขึ้น ผสานเสียงครางกระเส่าจากสัมผัสที่ลึกซึ้งกาลเวลาสองชั่วยามไหลผ่านรวดเร็ว หลงเจิ้งหยางลุกขึ้น รอยยิ้มสุดท้ายยามสวมเกราะนั้นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะมอบให้โลกนี้ได้ ก่อนที่ใบหน้าเดียวกันจะกลับกลายเป็นแม่ทัพผู้เกรี้ยวกราดอีกครั้งไป๋ลี่เยว่ลุกขึ้นช่วยพระสวามีแต่งกาย มือเรียวบรรจงผูกสายรัดเกราะ สวมอาภรณ์ออกศึกสีครามเข้มให้อย่างครบถ้วน ดวงหน้างามเงยขึ้นมองใบหน้าคมเข้มตรงหน้า บัดนี้เขามิใช่เพียงพระสวามีอีกต่อไป หากคือยอดขุนพลของแผ่นดิน“ท่านพี่…” นางเอ่ยเสียงเบาๆ“หม่อมฉันเตรียมเครื่องหอมสำหรับสงบจิต และตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดไว้ในย่ามแล้วเพคะ ขอให้ทุกย่างก้าวของพระองค์… ล้วนมีชัย”รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปากของไป๋ลี่เยว่ หากแววตากลับเย็นเฉียบ นางรู้ดีการเดินทัพครั้งนี้ มิใช่เพราะแคว้นต้องการแม่ทัพ แต่เพราะมีคนต้องการให้เขาหายไปจากวังหลวง“นี่เครื่องราง หม่อมฉันเตรียมไว้ให้พระองค์เพคะ”หลงเจิ้งหยางชะงัก ก่อนจะรับเครื่องรางหยกขาวสลักลายปลาคู่มาพกไว้ในอก“ท่านพี่… ออกศึกคร
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองหลงเจิ้งหยาง คำขอที่เขาเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เร่าร้อน หากหนักแน่นราวคำสัตย์ของนักรบ ดวงตาของนาง คล้ายมีม่านหมอกแห่งความหวั่นไหวแผ่คลุม แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว นางก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การจากลาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เขาออกจากวังหลวงไปพร้อมความอ้างว้างที่ไม่มีใครประคอง“เพคะ…ท่านพี่”เสียงกระซิบเบาราวลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินอาย หากเพราะรู้ดีว่า…ช่วงเวลานี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องจากกันไกล“เวลานี้…มีค่ามากกว่าสมบัติใดในวังหลวง หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันย่อมไม่ปฏิเสธ… หลังสิ้นสองยามนี้ หม่อมฉันจะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายให้พระองค์เอง”เพียงถ้อยคำสั้นๆ นั้น ก็เหมือนเปลวไฟเงียบที่ลุกโชนในอกของหลงเจิ้งหยาง แม่ทัพผู้แบกทั้งแผ่นดินไว้บนบ่า กลับไม่อาจซ่อนความคิดถึงและความรักที่ซัดขึ้นมาอีกต่อไปเขาฉุดรั้งร่างบางเข้าสู่ห้องบรรทม ขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่รอบนอกต่างก้มหน้าต่ำจนแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สองชั่วยามของผู้บัญชาการทัพใหญ่ที่จะทุ่มเทให้แก่ความรัก…เป็นความลับที่ตำหนักชิงอวิ๋นจะเก็บรักษาไว้ตลอดกาลประตูห้องบรรทมปิดล
ยามเฉินคล้อยผ่านไปไม่นาน บรรยากาศภายในตำหนักชิงอวิ๋นกลับเคร่งขรึมเมื่อประตูตำหนักเปิดออกช้า ๆ เงาร่างสูงทอดยาวลงบนพื้นหยกเย็น แสงอรุณยามสายส่องต้องฉลองพระองค์ที่ยังไม่ทันเปลี่ยน หลงเจิ้งหยางกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวแบกรับน้ำหนักที่มองไม่เห็นเขารู้ดีว่า… ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวออกจากจวนเมื่อต้นยามเหม่าก่อนอรุณรุ่งที่ผ่านมา จวบจนบัดนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปและเขาไม่มีทางเลือกไป๋ลี่เยว่กำลังยืนรออยู่กลางโถงใหญ่ของตำหนักอย่างกระวนกระวาย นางมิได้ทรุดตัวลงนั่งแม้ขณะรอคอย เมื่อเห็นพระสวามีก้าวเข้ามาตรงหน้า นางก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ก่อนจะโผกายเข้ากอดเขาทันที มิมีน้ำตา มิมีเสียงคร่ำครวญ มีเพียงลมหายใจที่สั่นไหวเล็กน้อยแนบแผงอกเขา ราวกับรับรู้ถึงสถานการณ์นี้มานานแล้ว“พระองค์ …” เสียงของนางแผ่วเบา เหมือนจะถามหลายสิ่ง แต่กลับเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้หลงเจิ้งหยางกอดพระชายาแน่น อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างบางไว้ราวกลัวว่านางจะหลุดหายไปพร้อมเงาแสงยามสาย อ้อมกอดนี้… เหมือนต้องการจดจำสัมผัสของนางเอาไว้ให้ตกผลึกอยู่ในหัวใจไปจนกว่าจะกลับมา หรือ… หากไม่มีวันนั้น ก็ให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้พกติดตัวไป
ณ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมอกสีเงินจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดไม้ในสวนหลวง แสงอรุณแรกเพิ่งแตะปลายหลังคาพระราชวัง เงาเรือนไม้สลักทองทอดทาบพื้นเย็นเยียบ ห้องทรงพระอักษรเงียบสงบราวหยดน้ำหยุดนิ่ง องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าตั่งทรงพระอักษร พระเนตรหม่นล้า อารมณ์ไม่แจ่มใสนักหลังตรากตรำราชกิจมาตลอดคืนเช้านี้พระองค์ตั้งพระทัยจะใช้เวลาอย่างสงบ เสด็จไปทอดพระเนตร หลงจิ่นอวิ๋น พระนัดดาองค์น้อย ที่กำลังจะเข้าศึกษายังกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นวันแรกทว่าชะตากลับไม่ให้ความสงบเกิดขึ้นแม้เพียงลมหายใจเดียว“ฝ่าบาท! เรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังสนั่นขึ้นด้านนอก ก่อนที่ขันทีหลี่จะถลาเข้ามา คุกเข่าลงแทบเบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือดราวเลือดหนีหายทั้งร่าง มือสั่นเทายื่นราชสาส์นผนึกขี้ผึ้งแดงถวายฮ่องเต้เพียงทอดพระเนตรผนึกสีแดงเข้มก็รู้ว่าคือข่าวด่วนระดับหลวงขันทีหลี่รายงานจนเสียงสั่น“ทูลฝ่าบาท…มีราชสาส์นลับผนึกขี้ผึ้งแดง จากกองกำลังตรวจการชายแดนชิงโจว เพิ่งส่งถึงโดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ… ทหารม้าเร็วรายงานว่า ชนเผ่าชิงโจวได้เคลื่อนไหวผิดปกติตั้งแต่ยามโฉ่ว มีการปะทะ ณ ช่องเขาฉา







