เข้าสู่ระบบ“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนก
นางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไม
หัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวง
ฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย
“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”
น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่
ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ
“เพคะ”
ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรัว แต่น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง
“หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงที่นี่ มีรับสั่งสิ่งใดหรือเพคะ”
ฮองเฮาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะช่วยประคองไป๋ลี่เยว่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหตุใด เจ้าจึงมาอยู่ที่ตำหนักเย็นเช่นนี้ ข้าไปที่ตำหนักใหญ่ไม่เห็นมีเจ้าอยู่ที่นั่น”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือกำแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่นางยังคงพยักหน้ารับอย่างสงบ
“เพคะ องค์ชายสามรับสั่งให้หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะพระองค์บอกว่าหม่อมฉันวางยาพระองค์คืนวันแต่งงานเพคะ ”
ฮองเฮาทรงเพ่งมองไป๋ลี่เยว่ ดวงเนตรเข้มขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นสภาพของพระชายาสามที่ซีดเซียว แต่ยังคงมีแววแน่วแน่อยู่ในดวงตา
“โธ่ เป็นความผิดของข้าเอง วันนั้นข้าใส่ยาในสุรามงคลเอง เลยทำให้เจ้าต้องมาลำบาก” ฮองเฮาสารภาพออกมา
“องค์ชายสามรู้หรือไม่ ว่าเจ้าตั้งครรภ์”
คำถามนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงัน ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ทราบเพคะ พระองค์ออกไปชายแดนตั้งแต่หลังแต่งงาน”
เพียงประโยคเดียว แต่กลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบๆ ตำหนักเย็น สายพระเนตรของพระนางกวาดมองความทรุดโทรมของที่ประทับ ข้าวของภายในตำหนักได้รับการซ่อมแซมไปไม่น้อย แม้จะไม่หรูหราเทียบเท่าตำหนักอื่น แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนเมื่อก่อน
แต่ถึงกระนั้น สำหรับพระเนตรของสตรีสูงศักดิ์ที่เติบโตมาในความสมบูรณ์แบบอย่างฮองเฮา พระนางยังคงไม่พอพระทัย
ฮองเฮาทรงประทับนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกขัดจนสะอาด แต่ก็ยังดูต่ำต้อยเมื่อเทียบกับที่นั่งภายในวังหลวง ดวงเนตรของพระนางทอดมองไปทั่วตำหนัก ราวกับกำลังประเมินทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียด
ใช่ แม้จะมีความขุ่นเคือง แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความยินดีที่อยู่ลึกๆ ได้ พระองค์กำลังจะมีพระนัดดา
แต่ทันทีที่คิดได้ว่า สตรีตั้งครรภ์นี้ถูกปล่อยให้อยู่ในตำหนักเย็นเพียงลำพัง พระนัดดาที่อยู่ในครรภ์อีก ความยินดีของพระนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอพระทัยแทบจะทันที
“เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ มานานเท่าใดแล้ว”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าไม่ได้ตอบ แต่นางรู้ดีตั้งแต่คืนแต่งงาน นางก็ถูกผลักไสมาอยู่ที่นี่โดยไร้ผู้เหลียวแล
ฮองเฮาทรงหลับพระเนตรลงครู่หนึ่งนางพอจะรู้คำตอบแล้ว เหตุใดพระโอรสของนางถึงได้ขอออกรบชายแดนหลังแต่งงานเพียงคืนเดียว พระนางสูดลมหายใจลึก เมื่อเปิดพระเนตรขึ้นอีกครั้ง ดวงเนตรของพระนางเต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว
“เจิ้งหยาง บังอาจนัก เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” ฮองเฮาทรงวางถ้วยน้ำชาเสียงดัง ก่อนจะหันมามองไป๋ลี่เยว่อย่างจริงจัง
“ข้าคิดว่าองค์ชายสามยังพอมีความเป็นสามีอยู่บ้าง แต่กลับกล้าทอดทิ้งพระชายาและลูกของตนเองเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
เพียงคำพูดเดียว แต่กลับเผยให้เห็นถึงความกริ้วของพระนางได้เป็นอย่างดี พระสุรเสียงเยียบเย็น แต่ฟังดูหนักแน่นราวกับหินผา
ไป๋ลี่เยว่รับรู้ถึงกระแสพระพิโรธที่แผ่ซ่านออกมา นางไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลาม นางสบสายพระเนตรของฮองเฮา ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา
แต่ฮองเฮาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นเชิงห้าม พระพักตร์ของพระนางเคร่งเครียดขึ้นทันที ดวงเนตรของพระนางแฝงไปด้วยโทสะ พระหัตถ์กำแน่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออก พระนางหลับพระเนตรครู่หนึ่งเพื่อระงับความขุ่นเคือง
“ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
พระนางกวาดพระเนตรไปทั่วตำหนักอีกครั้ง แม้จะดูดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น แต่ก็ยังคงต่ำต้อยและไม่สมควรเป็นที่พำนักของชายาของโอรสสวรรค์ พระนางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“ที่นี่ ไม่คู่ควรกับเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรกับพระนัดดาของข้า ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปจนถึงวันคลอดแน่” ฮองเฮาตรัสหนักแน่น
ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย นางรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของพระนาง แม้นางจะเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองและลูกได้ แต่นางก็รู้ดีว่าหากมีฮองเฮาหนุนหลัง ลูกของนางจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าที่นางสามารถมอบให้ได้ ใบหน้าอวบแต่งดงามเงยขึ้นสบสายพระเนตรของฮองเฮา นางเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้ต้องการให้ฮองเฮาทรงเข้าข้างนาง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็ยังมีคนที่มองเห็นความทุกข์ของนาง
“หม่อมฉัน มิกล้ารับพระเมตตาเพคะ”
“เจ้าช่วยชีวิตองค์ชายสามเอาไว้ แล้วยังอุตส่าห์ขอสมรสพระราชทานเพราะความรัก แต่เขากลับตอบแทนเจ้าด้วยการทอดทิ้ง ข้ามิอาจปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเช่นนี้ได้”
“ขอบพระทัยเพคะ แต่” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา
“เจ้ามีเหตุผลอะไร” ฮองเฮาทรงมองนางนิ่งๆ ก่อนจะพยักพระพักตร์
ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก นางกำมือแน่นขึ้น ก่อนจะเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮาอย่างแน่วแน่
“เพราะหม่อมฉันต้องการให้องค์ชายสามได้เห็น ว่าหม่อมฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขา และไม่ต้องพึ่งพาตำหนักของเขา”
คำพูดของนางหนักแน่นและมั่นคง ดวงตาของไป๋ลี่เยว่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“เจ้าคิดว่าเขาจะสนใจหรือ”
ไป๋ลี่เยว่หลุบตาลง นางรู้ดีว่าองค์ชายสามคงไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเพียงคนเดียว มันเกี่ยวกับตัวนางเอง
“หม่อมฉันไม่อาจควบคุมความคิดขององค์ชายสามได้เพคะ แต่หม่อมฉันสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองได้” นางกล่าวอย่างหนักแน่น
“ต่อให้เขาไม่สนใจ ต่อให้เขามองว่าหม่อมฉันไม่มีค่า แต่หม่อมฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าหม่อมฉันไม่ต้องการเขา”
ฮองเฮาทรงมองไป๋ลี่เยว่อย่างพินิจพิจารณา แม้คำพูดของนางจะแฝงไปด้วยความขมขื่น แต่กลับไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นหรือ” พระนางตรัสเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรมองรอบๆ ตำหนักอีกครั้ง
“แต่ข้าก็มิอาจปล่อยให้หลานของข้าเติบโตในที่เช่นนี้ ยิ่งถ้าฮ่องเต้ทรงรู้ก็มิอาจยอมได้เช่นกัน”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ ก่อนตรัสต่อ “ข้าจะไม่บังคับเจ้าให้รับความช่วยเหลือจากข้า หากเจ้าต้องการสร้างชีวิตของตนเอง ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“แต่นี่เป็นของขวัญจากย่าให้หลาน ไม่ใช่จากแม่ให้ลูกสะใภ้”
ไป๋ลี่เยว่เบิกตากว้าง นางรับรู้ถึงความเมตตาในพระสุรเสียงนั้น
ฮองเฮาทรงละพระเนตรจากนางแล้วตรัสกับข้าราชบริพารด้านหลัง “จากนี้ไป ให้ส่งช่างฝีมือและคนงานมาปรับปรุงตำหนักเย็นให้งดงามยิ่งกว่าาตำหนักองค์ชายสาม จัดหาข้าวของเครื่องใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้เหมาะสม และให้ดูแลเรื่องอาหารการกินให้เพียงพอ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปาก นางจะปฏิเสธอย่างไรได้ นี่มิใช่การสงเคราะห์ แต่มันคือของขวัญต้อนรับลูกของนาง นางคุกเข่าลงอย่างอ่อนช้อย ประสานมือคารวะอย่างลึกซึ้ง
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงเมตตา”
ฮองเฮาทรงมองนางด้วยสายพระเนตรอ่อนโยนแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักพระพักตร์
“ดูแลตัวเองให้ดี”
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ”
หอพระโรงชุมนุมขุนนาง – รุ่งเช้าหลังหิมะตกหนักหิมะบางยังเกาะตามชายอาภรณ์ของขุนนางชั้นผู้ใหญ่ที่ทยอยเข้าสู่หอชุมนุมอย่างเคร่งขรึม เสียงรองเท้าหนังสัตว์กระทบบนพื้นศิลาหินก้องสะท้อนภายใต้เพดานสูง เสาหินแกะลวดลายมังกรโบราณเงียบงัน ทว่าเหมือนจ้องมองมนุษย์อย่างลึกลับจากเบื้องบนฮ่องเต้ประทับเหนือบัลลังก์มังกรในฉลองพระองค์คลุมขนจิ้งจอกสีดำ สายพระเนตรทอดนิ่งราวหยั่งจิต ขุนนางทั้งฝ่ายบุ๋นและบู๊ที่ทยอยค้อมกายถวายบังคมอย่างพร้อมเพรียงเสียงขันทีหลวงประกาศราชกิจขึ้นอย่างกังวาน“ขอถวายรายนามราชทูตแคว้นต้าเหยียน จะเดินทางถึงเมืองหลวงภายในห้าวัน ขอฝ่าบาททรงพระเมตตาแต่งตั้งผู้รับรองทูตเพื่อเป็นตัวแทนพระองค์โดยด่วนพ่ะย่ะค่ะ”สิ้นเสียงขันทีประกาศสงบลงบรรยากาศยังเงียบขรึม ขุนนางผู้หนึ่งก้าวออกจากแถวมาคำนับ และกล่าวทูลเสียงดังขึ้นแทบจะทันที“กระหม่อม เวินซื่อเจี้ยน เสนาบดีฝ่ายธรรมบัญญัติ ขอเสนอให้องค์ชายสอง หลงเหวินหยาง ทรงเป็นผู้รับหน้าที่เจรจาครานี้พ่ะย่ะค่ะ เพราะองค์ชายสองเหมาะสมที่สุด พระองค์ทรงเปี่ยมวาทศิลป์ เป็นผู้มีความสามารถศาสตร์ด้านการเจรจา เข้าใจระเบียบธรรมเนียมการทูตมากกว่าผู้ใด และเป็นผู้มีค
เรือนรองในตำหนักชิงอวิ๋น ยามสายของยามเฉิน หิมะบางเบาโปรยปรายลงบนยอดไม้ด้านนอก ต้นเหมยใต้เฉลียงยังคงผลิบานพลิ้วไหวท้าลมหนาวอย่างสง่างาม กลีบดอกสีแดงชาดแต้มอยู่กลางสีขาวโพลนของหิมะบริสุทธิ์งดงามราวภาพวาด ม่านบางพลิ้วไหวกระพือเบาตามลม กลิ่นชาอู่หลงหอมกรุ่นลอยอวลเจืออยู่ในอากาศ อบอุ่นเพียงพอจะกลบความหนาวเย็นของยามเช้าได้อย่างอ่อนโยน หงเหมยรินถวายถ้วยชา ก่อนจะก้มตัวถอยออกไปเงียบงัน อย่างรู้หน้าที่ปล่อยให้ความสงบกลับคืนสู่เรือนรอง ภายในห้องเหลือเพียง ฮองเฮาที่ประทับนั่งอยู่ด้านหน้าในอาภรณ์ขนจิ้งจอกสีเงินอ่อน แววตาแน่นิ่งแต่เปี่ยมด้วยความคิดลึกซึ้ง ขณะเดียวกัน ไป๋ลี่เยว่นั่งที่ตั่งเล็กอย่างนอบน้อมและสำรวมด้วยความเคารพ ทั้งคู่เผชิญหน้ากันด้วยรอยยิ้มละมุน แววตาทั้งสองประสานกันอย่างสงบ แต่ลึกซึ้งคล้ายอาวุธที่ซ่อนปลายไว้ในปลอกไหม“เจิ้งหยางพาจิ่นอวิ๋นไปดูลูกม้าตัวใหม่ในคอกแล้ว… เด็กน้อยคงวิ่งตามหลังบิดาจนหิมะเกาะชายอาภรณ์หมดแล้วเป็นแน่… น่าเอ็นดูเสียจริง” เสียงหัวเราะเบา ๆ ของฮองเฮาเอ่ยขึ้นท่ามกลางความเงียบ“ข้าจึงถือโอกาสนี้…พูดในสิ่งที่ควรพูดเสียที” ฮองเฮาเอ่ยเสียงนุ่มแต่ แววตาส่งมาที่ไป๋ลี่
“องค์ชายน้อย…โปรดใจเย็นเถิดพ่ะย่ะค่ะ”ภายนอกห้องบรรทม แสงอรุณแรกยังมิทันแตะปลายยอดหลิว เสียงเล็กแหลมขององค์ชายตัวน้อยกลับดังก้องกับเสียงซูเหวินองครักษ์คนสนิท ที่ยังคงยืนสงบเสงี่ยมเบื้องหน้าประตูใหญ่ แม้นใบหน้าจะไม่ไหวติง ทว่าเสียงที่เปล่งออกกลับอบอุ่นมั่นคง มือทั้งสองพยายามใช้กันร่างเล็กที่พยายามเบียดเข้าไปอย่างมุ่งมั่น“ไม่! ... ข้าจะเข้าไปเดี๋ยวนี้ ซูเหวินเจ้าพูดไม่รู้เรื่อง เปิดประตูให้ข้าเดี๋ยวนี้ ข้าจะเข้าไปดูน้องของข้า หวงไหน่ไหน่บอกว่า...หากเมื่อคืนข้านอนกับหวงไหน่ไหน่ ท่านพ่อกับท่านแม่จะทำน้องให้ข้า”ภายในห้องบรรทม กลิ่นหอมอ่อนของกำยานจันทน์ยังคงคลุ้งอบอวลจางๆ ร่างสองร่างที่แนบชิดใต้ผ้าห่มสีอ่อนบนเตียงขยับไหวเล็กน้อยไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความอ่อนเพลีย นางรู้สึกเหมือนตัวเองแทบไม่มีแรงจะลุกจากเตียง หากคนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้… กำลังนอนหลับอย่างสบายใจอยู่ข้างๆ ร่างบางของนางผวาน้อย ๆ กับเสียงด้านนอก ก่อนจะเบิกตากว้างเมื่อได้ยินชัดเจนขึ้น นางพยายามขยับตัว แต่แรงอ่อนราวไม่มีแม้กระดูก ร่างกายยังอ่อนระโหยจากบทรักอันยาวนาน วงแขนแกร่งของหลงเจิ้งหยางยังโอบรัดเอวคอดไว้แน่นไม่ย
แสงเหมาสือชูทาบผ่านม่านแพรสีชมพูอ่อน กลิ่นกำยานไม้กฤษณาจากเตาเล็กผสมกับน้ำมันจันทน์จากเส้นผมที่ฟูกระจายบนหมอนผ้าไหมไป๋ลี่เยว่ลืมตาช้า ๆ ด้วยความรู้สึกถึงอ้อมแขนอุ่นที่โอบแนบแผ่นหลังนางไว้แน่น…เอวคอดของนางถูกวงแขนอันแข็งแรงโอบไว้อย่างแนบชิด เสียงหายใจสม่ำเสมอของบุรุษผู้อยู่ด้านหลังดังแผ่วมาที่ข้างหู ขณะที่ถันอวบถูกมือหนาของเขากุมไว้ราวหวงแหนนัก สองร่างเปลือยเปล่านอนหลับร่วมกันอยู่ใต้ผ้าห่มขนห่านปักลายหงส์คู่ไป๋ลี่เยว่เอื้อมมือจับอุ้งมือหนาที่กอบกุมเต้านางออก แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผล เจ้าของมือดูเหมือนรำคาญที่โดนกวน มือนั้นกลับยิ่งลูบไล้บีบเคล้นทรวงอวบหนักขึ้นราวไม่ตั้งใจ แต่มันสร้างความรัญจวนให้นาง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นบริเวณประตูหยิน...“อ๋ายย…” นางเผลอส่งเสียงเล็กๆ เมื่อสัมผัสถึงเครื่องเพศบุรุษอันอุดมที่ยังไม่ยอมลดราวี ที่ตอนแรกนอนสงบนิ่งถึงแม้จะเสียบสอดอยู่ในถ้ำนาง บัดนี้เริ่มแข็งและพองตัวขึ้นร่างหนาที่ซ้อนอยู่ด้านหลัง รู้สึกตัวตื่นเมื่อคนในอ้อมกอดขยับตัว ทว่าเขายังแสร้งหลับต่อ รอดูว่านางจะทำเช่นไรต่อ เขาเพิ่งจะปล่อยให้นางได้นอนพักเมื่อตอนปลายห้าเพ็ง เขาแส
“อ้าาา ซี๊ดดด มะ...หม่อมฉันเจ็บ องค์ชาย อ๋ายยย ท่านเบาก่อน” “ประตูหยินของเจ้า รัดข้าแน่นดีเหลือเกิน อ๊าาาา เยว่เอ๋อร์ เจ้าค่อยยังชั่วบ้างหรือยัง ก่อนที่ข้าจะทนแรงบีบรัดของเจ้าไม่ไหว” แม่ทัพผู้ยิ่งใหญ่อดทนต่อคมดาบมามาก แต่กลับแทบทนไม่ได้ต่อแรงบีบรัดที่ได้รับจากพระชายา ก่อนที่เขาจะได้ขายหน้า ใบหน้าสวยของพระชายาก็พยักหน้าเชิงอนุญาต หลังจากใช้เวลาปรับตัวกับความคับแน่น ไม่นานก็สามารถปรับลมหายใจเข้าออกได้ เขาเริ่มเคลื่อนสะโพกช้าๆ ก่อนจะเพิ่มความเร็วขึ้นด้วยความกระหาย จนร่างกายของทั้งสองสั่นคลอนเป็นจังหวะ มือเรียวของนางยื่นไปรั้งลำคอแกร่ง สายตาเว้าวอนให้เขามอบจูบให้ ตลอดเวลาที่ทั้งสองมอบความสุขให้กับริมฝีปากของพวกเขาประกบกันแน่นไม่เว้นห่าง พร้อมกับที่สะโพกนางยกร่อนตอบรับการกระแทกลำเอ็นของเขาด้วยความกระสัน ไม่ต่างจากบุรุษตรงหน้า อื้อออ จ๊วบ จ๊วบ จ๊วบ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ ตั่บ เสียงเนื้อกระทบเนื้อยามร่างแนบกัน ทำให้สติของทั้งสองพร่าเลือนในวังวนของเพลิงรัก “ไม่ไหวแล้ว เยว่เอ๋อร์... ข้าจะทนไม่ไหวอีกแล้ว...ข้าต้องการพ่นพิษใส่เจ้าแล้ว อ๊าาา” ร่างหนาจะกระแทก
“เยว่เอ๋อร์ คืนนี้เจ้าจะไม่ได้นอน ข้าจะมอบจูบให้เจ้าทั้งคืน”พูดจบ ใบหน้าคมเคลื่อนเข้ามาหานางอย่างไม่ลังเล ริมฝีปากของทั้งสองประกบกันนิ่งไม่ขยับ ก่อนที่หลงเจิ้งหยางจะกระชับมือตัวเองประคองศีรษะนางไว้ ริมฝีปากหยักบดริมฝีปากอวบอิ่มของนางอย่างดุดันด้วยฤทธิ์ยาและฤทธิ์เสน่หา ไป๋ลี่เยว่ก็ตอบรับด้วยการเผยอปาก รับเอาลิ้นร้อนที่เต็มไปด้วยความกระหายเข้ามาในโพรงปาก ทั้งสองมอบจูบดื่มด่ำดูดดื่มเต็มไปด้วยความกระหายให้แก่กัน ใบหน้าหวานผละออกมาจ้องใบหน้าคมที่ห่างเพียงฝ่ามือ“องค์ชาย หม่อมฉันอยากได้มากกว่าจูบ ที่ท่านมอบให้ได้หรือไม่” เขาจ้องใบหน้างามและเหลือบมองด้วยสายตาตกตะลึงพร้อมกับพยายามกวาดมองเพื่อจะหาท่าทางล้อเล่น แต่ก็ไม่ว่าจะมองอย่างไรเค้าก็ไม่พบท่าทางเหล่านั้นในดวงตาของนางเลย“นี่จะ…เจ้าพูดจริง หรือเพียงเพราะชาถ้วยเดียวของฮองเฮา”“ไม่ใช่เพราะชา... แต่เพราะท่าน” นางเอ่ยเบา ราวจะกล่าวโทษเขาทั้งที่ใจรู้สึกวูบหวามหลงเจิ้งหยางเลื่อนใบหน้าลงซบไหล่บาง กดจูบแผ่วเบาที่ซอกคอพลางกระซิบเสียงสั่นข้างหู “เยว่เอ๋อร์... คืนนี้ หากเจ้าห้าม ข้าจะหยุด” คำพูดนั้นแฝงไว้ด้วยความเคารพการตัดสินใจ แต่ร่างกายของเข







