“คุณหนูเจ้าคะ ฮองเฮาทรงเสด็จมาที่ตำหนักเย็น”
ไป๋ลี่เยว่ที่กำลังนั่งเย็บเสื้อผ้าเด็กอยู่ ต้องชะงักมือเมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าของหงเหมยที่รีบร้อนเข้ามารายงาน สีหน้าของสาวใช้ซีดเผือด แววตาตื่นตระหนก
นางเบิกตากว้าง ดวงตาสั่นไหว แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ฮองเฮา พระนางเสด็จมาทำไม
หัวใจของนางเต้นแรง มือเผลอบีบชายเสื้อแน่น ก่อนจะค่อยๆ สูดลมหายใจเข้าลึก นางลุกขึ้นอย่างระมัดระวัง ประคองท้องที่ใหญ่ขึ้นทุกวัน แล้วเดินออกไปต้อนรับผู้เป็นสตรีสูงศักดิ์ที่สุดในวังหลวง
ฮองเฮาในฉลองพระองค์ด้วยแพรไหมสีแดงเข้ม พระพักตร์ยังคงสง่างามแฝงด้วยอำนาจ ดวงเนตรคมกริบของพระนางจับจ้องไปยังสตรีตรงหน้า ไป๋ลี่เยว่ที่เดินเข้ามาต้อนรับกับท้องที่ใหญ่ขึ้นของนาง ฮองเฮาเบิกพระเนตรกว้างทันทีที่เห็นรูปร่างของไท่จื่อเฟย
“เจ้า เจ้าตั้งครรภ์”
น้ำเสียงของพระนางเต็มไปด้วยความตกตะลึง แม้พระนางจะเป็นถึงฮองเฮา แต่ในชั่วขณะนั้นกลับทรงลืมรักษาท่าทีอันสง่างามไปชั่วครู่
ไป๋ลี่เยว่หยุดชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย นางพยายามควบคุมน้ำเสียงให้ราบเรียบ ก่อนจะตอบด้วยท่าทางสงบ
“เพคะ”
ไป๋ลี่เยว่ย่อตัวลงอย่างสำรวม เพื่อทำความเคารพ แม้ใจนางจะเต้นรัว แต่น้ำเสียงยังคงเรียบนิ่ง
“หม่อมฉันถวายพระพรเพคะ ไม่ทราบว่าพระองค์เสด็จมาถึงที่นี่ มีรับสั่งสิ่งใดหรือเพคะ”
ฮองเฮาเดินเข้ามาใกล้ ก่อนที่จะช่วยประคองไป๋ลี่เยว่อย่างอ่อนโยน ก่อนจะตรัสด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เหตุใด เจ้าจึงมาอยู่ที่ตำหนักเย็นเช่นนี้ ข้าไปที่ตำหนักใหญ่ไม่เห็นมีเจ้าอยู่ที่นั่น”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก มือกำแน่นขึ้นเล็กน้อย แต่นางยังคงพยักหน้ารับอย่างสงบ
“เพคะ องค์ชายสามรับสั่งให้หม่อมฉันมาอยู่ที่นี่ เพราะพระองค์บอกว่าหม่อมฉันวางยาพระองค์คืนวันแต่งงานเพคะ ”
ฮองเฮาทรงเพ่งมองไป๋ลี่เยว่ ดวงเนตรเข้มขึ้น เมื่อทอดพระเนตรเห็นสภาพของพระชายาสามที่ซีดเซียว แต่ยังคงมีแววแน่วแน่อยู่ในดวงตา
“โธ่ เป็นความผิดของข้าเอง วันนั้นข้าใส่ยาในสุรามงคลเอง เลยทำให้เจ้าต้องมาลำบาก” ฮองเฮาสารภาพออกมา
“องค์ชายสามรู้หรือไม่ ว่าเจ้าตั้งครรภ์”
คำถามนี้ทำให้บรรยากาศรอบตัวเงียบงัน ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“ไม่ทราบเพคะ พระองค์ออกไปชายแดนตั้งแต่หลังแต่งงาน”
เพียงประโยคเดียว แต่กลับหนักอึ้งเสียยิ่งกว่าสิ่งใด ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะทอดพระเนตรไปรอบๆ ตำหนักเย็น สายพระเนตรของพระนางกวาดมองความทรุดโทรมของที่ประทับ ข้าวของภายในตำหนักได้รับการซ่อมแซมไปไม่น้อย แม้จะไม่หรูหราเทียบเท่าตำหนักอื่น แต่ก็ไม่ได้ทรุดโทรมเหมือนเมื่อก่อน
แต่ถึงกระนั้น สำหรับพระเนตรของสตรีสูงศักดิ์ที่เติบโตมาในความสมบูรณ์แบบอย่างฮองเฮา พระนางยังคงไม่พอพระทัย
ฮองเฮาทรงประทับนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ถูกขัดจนสะอาด แต่ก็ยังดูต่ำต้อยเมื่อเทียบกับที่นั่งภายในวังหลวง ดวงเนตรของพระนางทอดมองไปทั่วตำหนัก ราวกับกำลังประเมินทุกสิ่งทุกอย่างอย่างละเอียด
ใช่ แม้จะมีความขุ่นเคือง แต่ก็ไม่สามารถปิดบังความยินดีที่อยู่ลึกๆ ได้ พระองค์กำลังจะมีพระนัดดา
แต่ทันทีที่คิดได้ว่า สตรีตั้งครรภ์นี้ถูกปล่อยให้อยู่ในตำหนักเย็นเพียงลำพัง พระนัดดาที่อยู่ในครรภ์อีก ความยินดีของพระนางกลับแปรเปลี่ยนเป็นความไม่พอพระทัยแทบจะทันที
“เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ มานานเท่าใดแล้ว”
ไป๋ลี่เยว่ก้มหน้าไม่ได้ตอบ แต่นางรู้ดีตั้งแต่คืนแต่งงาน นางก็ถูกผลักไสมาอยู่ที่นี่โดยไร้ผู้เหลียวแล
ฮองเฮาทรงหลับพระเนตรลงครู่หนึ่งนางพอจะรู้คำตอบแล้ว เหตุใดพระโอรสของนางถึงได้ขอออกรบชายแดนหลังแต่งงานเพียงคืนเดียว พระนางสูดลมหายใจลึก เมื่อเปิดพระเนตรขึ้นอีกครั้ง ดวงเนตรของพระนางเต็มไปด้วยความโกรธกริ้ว
“เจิ้งหยาง บังอาจนัก เจ้ากล้าทำเช่นนี้กับสตรีที่กำลังตั้งครรภ์ให้เจ้าอย่างนั้นหรือ” ฮองเฮาทรงวางถ้วยน้ำชาเสียงดัง ก่อนจะหันมามองไป๋ลี่เยว่อย่างจริงจัง
“ข้าคิดว่าองค์ชายสามยังพอมีความเป็นสามีอยู่บ้าง แต่กลับกล้าทอดทิ้งพระชายาและลูกของตนเองเช่นนี้ ช่างน่าผิดหวังยิ่งนัก”
เพียงคำพูดเดียว แต่กลับเผยให้เห็นถึงความกริ้วของพระนางได้เป็นอย่างดี พระสุรเสียงเยียบเย็น แต่ฟังดูหนักแน่นราวกับหินผา
ไป๋ลี่เยว่รับรู้ถึงกระแสพระพิโรธที่แผ่ซ่านออกมา นางไม่ต้องการให้เรื่องนี้ลุกลาม นางสบสายพระเนตรของฮองเฮา ก่อนจะยิ้มบางๆ
“ฝ่าบาท หม่อมฉันไม่เป็นไรเพคะ” นางเอ่ยเสียงเบา
แต่ฮองเฮาทรงยกพระหัตถ์ขึ้นเป็นเชิงห้าม พระพักตร์ของพระนางเคร่งเครียดขึ้นทันที ดวงเนตรของพระนางแฝงไปด้วยโทสะ พระหัตถ์กำแน่นเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ คลายออก พระนางหลับพระเนตรครู่หนึ่งเพื่อระงับความขุ่นเคือง
“ไม่ต้องพูดอะไร ข้าจะเป็นคนจัดการเอง”
พระนางกวาดพระเนตรไปทั่วตำหนักอีกครั้ง แม้จะดูดีขึ้นกว่าที่เคยเป็น แต่ก็ยังคงต่ำต้อยและไม่สมควรเป็นที่พำนักของชายาของโอรสสวรรค์ พระนางสูดลมหายใจลึก ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“ที่นี่ ไม่คู่ควรกับเจ้า และยิ่งไม่คู่ควรกับพระนัดดาของข้า ข้าจะไม่อาจปล่อยให้เจ้าอยู่ในสภาพเช่นนี้ไปจนถึงวันคลอดแน่” ฮองเฮาตรัสหนักแน่น
ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย นางรับรู้ได้ถึงเจตนารมณ์ของพระนาง แม้นางจะเข้มแข็งพอที่จะดูแลตัวเองและลูกได้ แต่นางก็รู้ดีว่าหากมีฮองเฮาหนุนหลัง ลูกของนางจะมีอนาคตที่มั่นคงกว่าที่นางสามารถมอบให้ได้ ใบหน้าอวบแต่งดงามเงยขึ้นสบสายพระเนตรของฮองเฮา นางเม้มริมฝีปากแน่น นางไม่ได้ต้องการให้ฮองเฮาทรงเข้าข้างนาง แต่นางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นใจเล็กน้อย อย่างน้อยก็ยังมีคนที่มองเห็นความทุกข์ของนาง
“หม่อมฉัน มิกล้ารับพระเมตตาเพคะ”
“เจ้าช่วยชีวิตองค์ชายสามเอาไว้ แล้วยังอุตส่าห์ขอสมรสพระราชทานเพราะความรัก แต่เขากลับตอบแทนเจ้าด้วยการทอดทิ้ง ข้ามิอาจปล่อยให้เรื่องนี้เป็นเช่นนี้ได้”
“ขอบพระทัยเพคะ แต่” นางกล่าวเสียงแผ่วเบา
“เจ้ามีเหตุผลอะไร” ฮองเฮาทรงมองนางนิ่งๆ ก่อนจะพยักพระพักตร์
ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก นางกำมือแน่นขึ้น ก่อนจะเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮาอย่างแน่วแน่
“เพราะหม่อมฉันต้องการให้องค์ชายสามได้เห็น ว่าหม่อมฉันสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาเขา และไม่ต้องพึ่งพาตำหนักของเขา”
คำพูดของนางหนักแน่นและมั่นคง ดวงตาของไป๋ลี่เยว่ไม่มีความลังเลแม้แต่น้อย ฮองเฮาทรงนิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะตรัสเสียงเรียบ
“เจ้าคิดว่าเขาจะสนใจหรือ”
ไป๋ลี่เยว่หลุบตาลง นางรู้ดีว่าองค์ชายสามคงไม่สนใจอยู่แล้ว แต่เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวกับเขาเพียงคนเดียว มันเกี่ยวกับตัวนางเอง
“หม่อมฉันไม่อาจควบคุมความคิดขององค์ชายสามได้เพคะ แต่หม่อมฉันสามารถกำหนดเส้นทางชีวิตของตนเองได้” นางกล่าวอย่างหนักแน่น
“ต่อให้เขาไม่สนใจ ต่อให้เขามองว่าหม่อมฉันไม่มีค่า แต่หม่อมฉันจะพิสูจน์ให้เห็นว่าหม่อมฉันไม่ต้องการเขา”
ฮองเฮาทรงมองไป๋ลี่เยว่อย่างพินิจพิจารณา แม้คำพูดของนางจะแฝงไปด้วยความขมขื่น แต่กลับไม่มีความอ่อนแอแม้แต่น้อย
“เช่นนั้นหรือ” พระนางตรัสเบาๆ ก่อนจะทอดพระเนตรมองรอบๆ ตำหนักอีกครั้ง
“แต่ข้าก็มิอาจปล่อยให้หลานของข้าเติบโตในที่เช่นนี้ ยิ่งถ้าฮ่องเต้ทรงรู้ก็มิอาจยอมได้เช่นกัน”
ไป๋ลี่เยว่ชะงัก ดวงตาสั่นไหวเล็กน้อย
ฮองเฮาทรงแย้มพระโอษฐ์บางๆ ก่อนตรัสต่อ “ข้าจะไม่บังคับเจ้าให้รับความช่วยเหลือจากข้า หากเจ้าต้องการสร้างชีวิตของตนเอง ข้าจะเคารพการตัดสินใจของเจ้า”
“แต่นี่เป็นของขวัญจากย่าให้หลาน ไม่ใช่จากแม่ให้ลูกสะใภ้”
ไป๋ลี่เยว่เบิกตากว้าง นางรับรู้ถึงความเมตตาในพระสุรเสียงนั้น
ฮองเฮาทรงละพระเนตรจากนางแล้วตรัสกับข้าราชบริพารด้านหลัง “จากนี้ไป ให้ส่งช่างฝีมือและคนงานมาปรับปรุงตำหนักเย็นให้งดงามยิ่งกว่าาตำหนักองค์ชายสาม จัดหาข้าวของเครื่องใช้สำหรับหญิงตั้งครรภ์ให้เหมาะสม และให้ดูแลเรื่องอาหารการกินให้เพียงพอ”
“รับด้วยเกล้าพ่ะย่ะค่ะ”
ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปาก นางจะปฏิเสธอย่างไรได้ นี่มิใช่การสงเคราะห์ แต่มันคือของขวัญต้อนรับลูกของนาง นางคุกเข่าลงอย่างอ่อนช้อย ประสานมือคารวะอย่างลึกซึ้ง
“หม่อมฉันขอขอบพระทัยเพคะ ที่ทรงเมตตา”
ฮองเฮาทรงมองนางด้วยสายพระเนตรอ่อนโยนแวบหนึ่ง ก่อนจะพยักพระพักตร์
“ดูแลตัวเองให้ดี”
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ”
“เจ้ากำลังจะฆ่าข้าให้ตายทั้งเป็น”ริมฝีปากสีชาดยกยิ้มยั่วเย้า “ถ้าเช่นนั้น…ก็ยอมตายอยู่ใต้ร่างของหม่อมฉันเถิดเพคะ แล้วพระองค์จะเป็นผู้ที่ตายอย่างมีความสุขที่สุดในใต้หล้านี้”เสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมิอาจหยุดยั้งได้อีกต่อไป ไป๋ลี่เยว่โน้มกายเร่งจังหวะรุนแรงขึ้นทุกขณะ เนื้อนวลสั่น ถันอวบเด้งขึ้นลง กลีบบุปผารัดแน่นขึ้นเป็นจังหวะถี่ขึ้น“เยว่เอ๋อร์…” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่าในหู มือใหญ่กำแน่นที่เอวบาง รั้งกระชับไม่ปล่อย เสียงครางต่ำพร่าดังก้องในลำคอราวสัตว์ร้ายที่ถูกปลดพันธนาการ“อ๊าาา… เยว่เอ๋อร์… เจ้าจะกดข้าให้สยบเช่นนี้หรือ” หลงเจิ้งหยางกระซิบพร่า ไป๋ลี่เยว่ปรือตาขึ้น สายตาพร่าเลือนแต่แฝงประกายท้าทาย“เช่นนั้น… ก็สยบอยู่ใต้หม่อมฉันเถิดเพคะ”“เยว่เอ๋อร์… ข้า…จะมิอาจทนได้อีกแล้ว” เสียงเขาสั่นพร่า แฝงทั้งอำนาจบังคับและการวิงวอน“เจ้า…รัดข้าแน่นเกิน อ๊าาา ขะ...ข้าปวด” เสียงทุ้มต่ำขาดห้วง ขณะที่สันกรามแข็งเกร็งด้วยความพยายามอดกลั้นทว่าท้ายที่สุด บุรุษผู้เคยยิ่งใหญ่ก็มิอาจทนอยู่นิ่งได้อีกต่อไป ร่างแกร่งพลันเกร็งกายเด้งสวนสะโพกสอบขึ้นตอบรับจังหวะของนางโดยมิอาจฝืน ดุดัน หนักแน่น ราวพยัคฆ์ที่ตื่
“เยว่เอ๋อร์…เจ้าอยากครอบครองข้าหรือไม่” เสียงทุ้มต่ำของหลงเจิ้งหยางพร่าก้องในความเงียบ ร่างสูงทอดกายลงบนแท่นบรรทม ศีรษะหนุนหมอนสูง ผมดำยาวสยายคลอเคลียบ่ากว้าง แววตาคมลึกทอประกายแห่งราคะที่ไม่อาจดับ มือใหญ่เอื้อมกระชับเอวนวล ก่อนพลิกกลับให้นางขึ้นคร่อมเหนือร่างสูงสง่าไป๋ลี่เยว่โน้มกายอรชรลง ริมฝีปากอิ่มสีชาดเม้มแน่น สายตาเอียงอายปนเร่าร้อน นางมิได้หลบเลี่ยง กลับขยับให้เรือนกายแนบชิด กุหลาบงามเคลื่อนลงโอบกลืนแท่งหยกร้อนผ่าวทีละน้อย อย่างช้าๆ จนบุรุษใต้ร่างหลับตาแน่น สูดลมหายใจหอบ พลางสั่นสะท้าน “เยว่เอ๋อร์…อ๊าา…เจ้า…อูววว” เสียงพร่าต่ำสะท้อนอยู่ในลำคอ ราวกับจะขาดใจ“หากค่ำนี้...หม่อมฉันไม่ครอบครองมังกร เกรงว่าพระองค์คงมิอาจหลับใหลได้แน่” นางเอื้อนเอ่ยเสียงพร่า อ่อนนุ่มแต่แฝงแรงห้าวหาญ ราวสตรีผู้กุมชะตาของราตรีนี้ไว้เองหลงเจิ้งหยางหัวเราะต่ำในลำคอ กายแกร่งสั่นสะท้านไปกับแรงขยับนั้น ในขณะเดียวกันใบหน้าคมก็เหยเกราวเจ็บปวด “ หึ…นับแต่ข้าเกิดมา มิเคยมีผู้ใดบังคับข้าให้อยู่ใต้อำนาจ แต่เจ้า…ซี๊ดดด….”มือใหญ่กำแน่นที่เอวบางของนาง ดึงรั้งให้กุหลาบงามกลืนลึกกดฝังแท่งหยกมิดแน่น ไป๋ลี่เยว่อดกล
“องค์ชาย… มะ…หม่อมฉัน มิอาจทนได้…” องค์ชายสาม บดกราม ฝังร่างแนบลึก “เจ้าก็มิต้องทน ปล่อยใจไปกับข้าเถิด เยว่เอ๋อร์… คืนนี้เจ้าคือสรรพสิ่งของข้า” กายหนาถาโถมเข้าครอบครองในชั่วพริบตา ไป๋ลี่เยว่สะท้านเฮือก ดวงตาเอ่อคลอด้วยน้ำใส ร่างบางถูกโอบรัดแนบแน่น สะโพกถูกยึดตรึงแล้วเคลื่อนกระแทกเป็นจังหวะหนักแน่น สลับเร็วช้าไม่ให้ทันตั้งตัว หลงเจิ้งหยางเสียงทุ้มกระชากลึก “เจ้าเป็นของข้าเพียงผู้เดียว… ไม่ว่าผู้ใดก็ห้ามแตะต้อง เข้าใจหรือไม่ชายาของข้า” ไป๋ลี่เยว่ เสียงสั่นพร่า “องค์ชาย… หม่อมฉัน… มิอาจหนีไปไหนอยู่แล้ว…” เสียงเนื้อกระทบก้องผสมกับเสียงหอบกระชั้นราวคลื่นพายุซัดฝั่ง จนกระทั่ง “เยว่เอ๋อร์…พลิกกายมาเถิด หันหลังให้ข้า” เสียงทุ้มสั่งต่ำ ดั่งประกาศิตที่มิอาจขัดขืน มือใหญ่จับร่างบางพลิกกลับอย่างอ่อนโยน ร่างบางนอนคว่ำ ดวงหน้าหวานซบหมอน ผมดำขลับสยายลงประดุจม่านราตรี ร่างอรชรโค้งรับราวคันศรต้องสาย สะโพกกลมกลึงถูกยกขึ้นเล็กน้อย เมื่อมือของเขาสอดประคองจากด้านหลัง องค์ชายกดกายเข้าหาแนบแน่นจากด้านหลัง เสียงครางสะท้านดังลอดออกมาจากลำคอไป๋ลี่เยว่ ร่างนางสั่นไหวราวกลีบเหมยต้อ
“เพคะ… หม่อมฉันยอมแล้ว ยอมทุกสิ่งให้แก่พระองค์” เสียงหวานขาดห้วงเพียงเพราะกลีบกุหลาบงามโดนรุกราน“อาา… หม่อมฉัน…เป็นของพระองค์แล้ว… ทั้งกาย ทั้งใจ…”ไป๋ลี่เยว่ครางสั่น ดวงตาฉ่ำน้ำพร่างพราว เผลอแอ่นกายเข้ารับสัมผัสให้เเนบชิด ปลายนิ้วเรียวขยุ้มผ้าปูจนยับย่น แก้มแดงจัดราวผลท้อสุก ริมฝีปากสั่นระริก ถ้อยคำยังมิทันหลุดสิ้น ริมฝีปากร้อนของบุรุษก็ครอบจุมพิตแนบแน่น สอดแทรกความหิวกระหายที่กลืนกินสติสัมปชัญญาทุกสิ่งผสานกัน ปลายนิ้วยาวที่สอดลูบไล้กลีบกุหลาบงามเบื้องล่างร่างบางสั่นสะท้านทั้งเจ็บทั้งสุข คล้ายบุปผาที่เบ่งบานรับหยาดน้ำค้างแรกแห่งรุ่งอรุณ องค์ชายถอดถอนริมฝีปากหยัก โน้มกายลงต่ำเพื่อชิมปลายถันอวบ เรียวลิ้นอุ่นตวัดเลียจนยอดถันชูชันท้าทาย ก่อนที่ริมฝีปากร้อนจะครอบครองดูดดื่มเต้าอวบราวทารกผู้หิวกระหาย แรงดูดที่ถันอวบและสัมผัสร้อนแรงที่กลีบกุหลาบงามเบื้องล่าง เร่งสร้างความปรารถนาของไป๋ลี่เยว่ให้สูงขึ้น“พระองค์… หม่อมฉันหวั่นใจนัก คืนนี้หากมิอาจห้ามท่านได้… หม่อมฉันจักได้พักกี่ยามกัน” เสียงหวานสั่นพร่า“เยว่เอ๋อร์…คืนนี้ เดี๋ยวข้าจะปลอบเจ้าเอง เจ้าแค่นอนพักเฉยๆ ที่เหลือปล่อยให้เป็นหน้าที่ขอ
“ช่างวางกลไกได้สวยงาม…” ไป๋ลี่เยว่กระซิบ สายตาหรี่ลงนิดหน่อย ก่อนจะถอนหายใจ“แต่คืนนี้พระองค์ควรพัก ทัพยังไม่เคลื่อน แม่ทัพก็ควรพักเอาแรงบ้าง”หลงเจิ้งหยาง โน้มใบหน้าเข้าใกล้มากขึ้น เสียงกระซิบเขาราวกับสายลมยามดึกแนบข้างหู“นี่คือการพักเอาแรงของข้า หากไม่ขอคืนแรงจากเจ้า…ข้าจะมีเรี่ยวแรงใดเผชิญศึกพรุ่งนี้ เยว่เอ๋อร์…”นางกำลังจะพูดอะไร แต่ริมฝีปากเขาแนบลงมาเสียก่อน ริมฝีปากอบอุ่นคล้ายคลื่นทะเลโถมซัดชายฝั่ง บุกล้ำช้า ๆ แต่ไม่อาจต้าน ใบหน้าของนางขึ้นสีระเรื่อ มือบางยกดันอกแกร่งเบา ๆ ก่อนจะชะงักเพราะเขาหยุด“ข้าไม่ฝืนใจเจ้า…เพียงแต่คืนนี้ หากข้าไม่ได้นอนกอดเจ้าไว้ ข้าคงนอนไม่หลับ…”“…ท่านนี่…” ไป๋ลี่เยว่ว่า แต่ไม่ได้ผลักไส“มีแผนใดต้องคิดอีกหรือไม่”หลงเจิ้งหยางยิ้ม เอานิ้วเกี่ยวผ้าคลุมของนางออกเบา ๆ“คิดอีกก็คิดได้…แต่ข้าจะคิดออก ก็ต่อเมื่อได้เห็นเรือนร่างงดงามของพระชายาในอ้อมแขน”นางย่นจมูกเบา ๆ แต่ก็ปล่อยให้เขาดึงผ้าคลุมออก ขนกายเริ่มลุกชันเมื่อสายลมกระโชกผ่าน…ริมฝีปากอุ่นขององค์ชายเลื่อนไล้จากขมับลงมาถึงซอกแก้ม ไป๋ลี่เยว่สะท้านเผลอหลับตาแน่น มือบางดันแผ่วที่อกกว้าง แต่แรงนั้นแผ่วเบาร
ณ เรือนเจาอวี้ ตำหนักหย่งอวิ๋น ตำหนักใหม่ขององค์ชายสามที่เพิ่งบูรณะเสร็จดูโอ่อ่าสมตำแหน่งพระโอรสของฮองเฮา แสงตะเกียงกระพริบวาบไหวตามลมราตรี แสงจันทร์ส่องลอดม่านโปร่งสีอ่อนที่พลิ้วไหว ตกกระทบกับพื้นหินเย็นเยียบในตำหนัก กลิ่นกำยานอ่อน ๆ ลอยคลุ้งอยู่ในห้องโถงใหญ่ บรรยากาศสงบเย็นต่างจากความวุ่นวายของงานเลี้ยงที่เพิ่งสิ้นสุดไปเมื่อไม่กี่ชั่วยามก่อน ภายในตำหนักมีเพียงเสียงลมพัดแผ่ว ผ่านม่านโปร่งหลงเจิ้งหยางวางองค์ชายน้อยที่หลับสนิทลงบนแท่นบรรทมที่อยู่มุมห้องด้วยความทะนุถนอม ก่อนพยักหน้าให้หงเหมยและนางกำนัลพี่เลี้ยงพากันดูแลต่อ จากนั้นทั้งเขาและไป๋ลี่เยว่ก็เดินกลับไปที่เรือนหลิงซือ ซึ่งเป็นเรือนหลัก “คิดอะไรอยู่..หืม ฟอดดด ข้าเห็นเจ้าเงียบตั้งแต่กลับจากงานเลี้ยงแล้ว” ผู้เป็นพระสวามีถามพลางหอมแก้มนวลเมื่อเห็นพระชายาเงียบไปไป๋ลี่เยว่ยังคงระลึกถึงภาพในงานเลี้ยง เสียงกระซิบเหล่าขุนนางที่วางแผนใส่ร้ายนาง กลลวงของพระสนมชิงอวี่ อีกทั้งสายตาเคียดแค้นของซูเหยา หากไม่ใช่เพราะฮ่องเต้ทรงยุติธรรม บางทีชื่อเสียงขององค์ชายสามกับตนคงถูกเหยียบย่ำแล้ว“หม่อมฉันนึกถึง ตอนที่ถูกครหาว่าลอบใส่ยาพิษให้พระชายาสอ