ยามเช้าโปรยแสงแดดอ่อนโยนลงมายังตำหนักเย็นที่ได้รับการบูรณะใหม่ บรรยากาศอ้างว้างในอดีตถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา สายลมเย็นพัดผ่านสวนสมุนไพรที่ได้รับการดูแลอย่างดี สมุนไพรหลายชนิดเริ่มเติบโต แตกกิ่งใบเขียวชอุ่ม และบางส่วนก็ถูกนำไปขายเพื่อแลกเป็นเงินทุนให้กับตำหนัก
ภายในห้องของตำหนัก ไป๋ลี่เยว่ยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองที่ขัดจนสะอาดสะท้อนเงาของนางได้ชัดเจน มือเรียวแตะลงบนหน้าท้องแผ่วเบา ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แม้จะมีเรื่องมากมายให้คิด แต่นางกลับรู้สึกมั่นคงและเต็มไปด้วยความหวัง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านตั้งครรภ์” เสียงสั่นเครือของหงเหมยดึงนางกลับสู่ความเป็นจริง สาวใช้ของนางยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและกังวล ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ พยักหน้า รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ทั้งดีใจ ทั้งหวั่นไหว ใช่แล้ว นางกำลังตั้งครรภ์ ชีวิตของนางไม่ได้มีเพียงแค่ตัวนางอีกต่อไป หลังจากที่ป่วยหนักมาหลายวัน อาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย และประจำเดือนที่ขาดหายไปทำให้นางเริ่มสงสัย พอนางลองจับชีพจรดูตามที่ได้ร่ำเรียนมา นางก็ได้รับคำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ภายในครรภ์ของนาง มีชีวิตเล็กๆ กำลังก่อกำเนิดขึ้น “ข้ากำลังมีลูก” นางกระซิบเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตนเองแผ่วเบา ดวงตาสั่นระริก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ สวรรค์ ยังเมตตานางอยู่สินะ ของขวัญเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับ “คุณหนู แล้วองค์ชายสามล่ะเจ้าคะ ท่านจะแจ้งให้ทราบหรือไม่” คำถามของหงเหมยเต็มไปด้วยความลังเล นางไม่กล้าพูดให้คุณหนูของตนสะเทือนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เพราะเด็กคนนี้เป็นบุตรขององค์ชายสาม ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนแววตาจะกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง นางหัวเราะเบาๆ ก่อนส่ายหน้า น้ำเสียงมั่นคงราวกับไม่เปิดช่องให้ใครมาคัดค้าน “ไม่ ลูกคนนี้เป็นของข้า เพียงผู้เดียว” ความเงียบงันปกคลุมตำหนักเย็น กลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่าคละคลุ้งไปทั่ว แต่ในใจของไป๋ลี่เยว่ กลับเต็มไปด้วยความคิดถึงบุรุษที่นางแต่งงานด้วย พระสวามีเพียงคืนเดียวของนาง ผู้ที่จากกันโดยไม่ล่ำลา ไม่เคยส่งข่าว องค์ชายสามไม่ต้องการนาง นางรู้ดี หากเขารู้ว่านางตั้งครรภ์ เขาคงไม่สนใจ ไม่แน่ว่าอาจมองว่าลูกในท้องของนางเป็นตราบาปด้วยซ้ำ นางไม่อาจปล่อยให้ลูกของนางต้องเติบโตขึ้นมา โดยต้องรอคอยความรักจากบิดาที่ไม่เคยต้องการเขา ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น ความเจ็บปวดที่ฝังลึกถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะเลี้ยงดูลูกของข้าให้ดีที่สุด ให้เขาเติบโตขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร” น้ำเสียงแน่วแน่ดังก้องแววตามุ่งมั่นของไป๋ลี่เยว่ ทำให้หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างกายถึงกับน้ำตาคลอ นางรู้ว่าคุณหนูของตนต้องผ่านความเจ็บปวดเพียงใด ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปรานีเพียงไหน แต่ในเมื่อคุณหนูไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นพวกนางก็จะไม่มีวันยอมแพ้เช่นกัน “พวกเราทุกคน จะช่วยคุณหนูเลี้ยงคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ” ไป๋ลี่เยว่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางไม่ใช่เพียงไป๋ลี่เยว่ผู้เคยอ่อนแออีกต่อไป ชีวิตใหม่ ที่ไม่ได้มีเพียงตัวนางอีกต่อไปแล้ว นางเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง แสงแดดยามสายส่องกระทบใบหน้าของนางอ่อนโยน นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาเปล่งประกายด้วยความรักและความตั้งใจแน่วแน่ “ลูกของแม่ แม่สัญญา” นางกระซิบแผ่วเบา “แม่จะไม่ยอมแพ้ แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีชีวิตที่ดี” ไป๋ลี่เยว่คนเดิมได้ตายไปแล้ว จากนี้ไป นางจะไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่เฝ้ารอความรักจากผู้อื่นอีกต่อไป เพราะนาง กำลังจะเป็นแม่คนแล้ว หลายเดือนผ่านไป ไป๋ลี่เยว่ยืนอยู่หน้ากระจก มือเรียวลูบไล้หน้าท้องที่นูนขึ้นอย่างอ่อนโยน นางไม่รู้สึกหนักอึ้งหรือทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหัวใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขอย่างประหลาด “อีกไม่นาน เจ้าก็จะได้ออกมาดูโลกแล้วนะ” นางกระซิบเสียงแผ่ว รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก ภายในตำหนักเย็นที่เคยอ้างว้าง บัดนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา สวนผักและแปลงสมุนไพรที่นางกับพวกคนรับใช้ช่วยกันปลูกเริ่มให้ผลผลิต นางส่งหงเหมยออกไปขายให้ร้านยาในเมือง นำเงินที่ได้มาแลกเป็นข้าวสาร ของใช้จำเป็น และสะสมเสบียงไว้สำหรับอนาคต ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระบบ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกปล่อยไปตามโชคชะตา ไป๋ลี่เยว่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวัง นางเรียนรู้การปรุงยาพื้นฐานจากตำรา ศึกษาการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ฝึกฝนการดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง และเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ลูกของนางจะลืมตาดูโลก “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไปซื้อผ้าฝ้ายและอาหารบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์มาให้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงของหงเหมยดังขึ้นพร้อมกับร่างของนางที่ก้าวเข้ามาในห้อง ในมือของนางมีถุงเสบียงและห่อผ้าฝ้ายสะอาดที่เตรียมไว้สำหรับทารก ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า “ดีมาก พวกเราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม” นางรู้ว่าการคลอดบุตรเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตำหนักที่ไม่มีหมอหลวง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน นางอาจต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายเอง แต่ไม่ว่ายังไง นางจะต้องรอด เพื่อปกป้องลูกของนาง ไป๋ลี่เยว่วางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบ นางสั่งให้หงเหมยต้มสมุนไพรบำรุงครรภ์ทุกวัน ปรับเปลี่ยนอาหาร กินแต่ของที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบาๆ ตามตำราที่อ่าน และสั่งให้เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาด และสมุนไพรเร่งคลอดเอาไว้ล่วงหน้า นางจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของลูกนางต้องเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง “คุณหนู ท่านไม่กังวลหรือเจ้าคะ” หงเหมยถามด้วยความเป็นห่วง ไป๋ลี่เยว่ลูบหน้าท้องของตนเองเบาๆ นางเงยหน้าขึ้น ดวงตามีแต่ความแน่วแน่ “ข้ากังวล แต่ข้าจะไม่หวาดกลัว” เพราะลูกของนางกำลังจะเกิดมา นางจึงต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด ทุกค่ำคืน นางจะฝันเห็นเงาร่างเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในสวน หัวเราะสดใส นางยังไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง แต่ไม่ว่ายังไง เขาคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง เด็กน้อยที่กำลังเรียกนางว่า “ท่านแม่”ทำให้นางตื้นตันในหัวใจ “ลูกของแม่ เจ้าต้องเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขนะ” ไป๋ลี่เยว่นั่งเย็บเสื้อผ้าเล็กๆ ด้วยมือของตนเอง แม้จะเป็นครั้งแรกที่นางต้องทำอะไรเช่นนี้ แต่นางก็ทุ่มเทสุดหัวใจ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความหวัง แม้โลกนี้จะไม่อ่อนโยนต่อนาง แต่นางจะทำให้โลกนี้อ่อนโยนต่อลูกของนางเองยามเช้า แสงแดดอ่อนทาบทับลงบนสวนสมุนไพร ขณะที่สายลมยามเช้าพัดผ่านเอากลิ่นหอมของดอกไม้จางๆ ลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ไป๋ลี่เยว่กำลังก้มลงเด็ดใบสมุนไพร พลางสอนหลงจิ่นอวิ๋นเกี่ยวกับสรรพคุณของมัน “เสี่ยวเป่า เจ้ารู้หรือไม่ว่าใบนี้ใช้ทำอะไรได้” นางถามด้วยรอยยิ้มอ่อนโยน เด็กชายที่นั่งยองๆ อยู่ข้างนาง เอียงคอครุ่นคิด ก่อนจะตอบอย่างมั่นใจ “ช่วยแก้พิษแมลงกัดต่อยใช่หรือไม่ขอรับ” ไป๋ลี่เยว่มองลูกชายด้วยความภาคภูมิใจ นางลูบศีรษะเขาเบาๆ “ถูกต้องแล้ว เสี่ยวเป่าของแม่ฉลาดจริงๆ” ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าเร่งรีบก็ดังขึ้นจากทางเดิน ก่อนที่ร่างของหงเหมยจะปรากฏขึ้น นางหอบหายใจเล็กน้อย ราวกับเพิ่งรีบเร่งมา “คุณหนู บ่าวมีเรื่องสำคัญจะมาแจ้งเจ้าค่ะ” ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นเล็กน้อย ดวงตาคู่งามหันไปมองอย่างสงบ “เกิดอะไรขึ้นหรือ หงเหมย”หงเหมยเหลือบมององค์ชายน้อย ก่อนจะลดเสียงลงเล็กน้อย “ฮองเฮาทรงเสด็จมาเจ้าค่ะ ตอนนี้ทรงประทับอยู่ในเรือนรับรองด้านใน” ไป๋ลี่เยว่ชะงัก นางขมวดคิ้วเล็กน้อย “ฮองเฮาเสด็จมาที่นี่ พระองค์เสด็จมาถึงเมื่อใด” “เจ้าค่ะ เพิ่งเสด็จมาถึงเมื่อครู่นี้ พระองค์เสด็จมาเงียบๆ เช่นเคย” หลงจิ่นอวิ๋นที
ณ เรือนโอสถ ตำหนักชิงอวิ๋นที่เงียบสงบ กลิ่นสมุนไพรหอมอ่อนๆ ลอยอบอวลไปทั่วจากลานตากสมุนไพรด้านหลัง ไป๋ลี่เยว่กำลังนั่งอยู่ที่โต๊ะไม้ริมหน้าต่าง คำนวณบัญชีรายรับรายจ่ายของตำหนักอย่างตั้งใจขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้น ก่อนที่หงเหมยจะเดินเข้ามาพร้อมกับซุนเต๋อ คนดูแลร้านขายยาของไป๋ลี่เยว่ ทั้งสองถือกระดาษแผ่นหนึ่งเข้ามาในมือ “คุณหนู นี่เป็นรายการสั่งยาจากร้านหมอหลิวเจ้าค่ะ” หงเหมยกล่าว พลางยื่นกระดาษให้ ไป๋ลี่เยว่รับมาดูอย่างตั้งใจ ดวงตาคู่งามกวาดมองรายการสมุนไพรที่ถูกสั่งซื้อ ไม่ว่าจะเป็นโสมป่า ชุนเถิง เปลือกอบเชย และรากชิงฮ่าว ทั้งหมดล้วนเป็นของที่ตำหนักมีอยู่แล้ว “ดูเหมือนร้านหมอหลิวจะสั่งมากขึ้นเรื่อยๆ สินะ” นางกล่าวอย่างครุ่นคิด ซุนเต๋อซึ่งเป็นผู้ดูแลร้านขายยาของนางยิ้มพลางลูบเครา “ขอรับคุณหนู ตั้งแต่เราส่งสมุนไพรให้ร้านหมอหลิว รายได้ก็ดีขึ้นมาก ส่วนร้านสมุนไพรที่ข้าเองดูแลอยู่ บัดนี้ลูกค้าประจำก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แล้ว และนี่เป็นรายการสมุนไพรที่ร้านของเราต้องการเพิ่มเติมขอรับ” ไป๋ลี่เยว่พยักหน้าอย่างพอใจ ตั้งแต่สามปีก่อน จากที่ปลุกสมุนไพรส่งขายอย่างเดียว นางตัดสินใจเปิดร้านขาย
ห้าปีต่อมาแสงแดดยามเช้าสาดส่องลงมายังเรือนพักกลางสวนสมุนไพร กลิ่นหอมอ่อนๆ ของดอกไม้และดินชื้นหลังฝนเมื่อคืนทำให้บรรยากาศสดชื่น เงาร่างของสตรีนางหนึ่งเคลื่อนไหวอย่างสง่างามภายใต้ร่มไม้ อาภรณ์เรียบง่ายสีฟ้าอ่อนโบกสะบัดเบาๆ ตามสายลมผมยาวดำขลับถูกรวบไว้หลวมๆ เผยให้เห็นใบหน้าที่งดงามหมดจดราวกับภาพวาด ริมฝีปากแดงระเรื่อ ดวงตากลมโตมีประกายอ่อนโยน หากแต่ลึกลงไปกลับซ่อนความเฉียบคมและความเข้มแข็งไว้ไป๋ลี่เยว่ สตรีที่เคยถูกทอดทิ้งในตำหนักเย็น สตรีที่เคยถูกมองว่าเป็นเพียงพระชายาผู้ไร้ค่าและอัปลักษณ์แต่ในวันนี้ ไม่ใช่สตรีที่อ่อนแอและถูกทอดทิ้งอีกต่อไป นางคือหญิงงามที่ไม่อาจมีผู้ใดมองข้ามได้อีกต่อไป ทุกวันนี้ นางมีชีวิตใหม่ที่สงบสุข กับลูกชายตัวน้อยผู้เป็นดั่งดวงใจแม้ตำหนักเย็นที่เคยเป็นเพียงสถานที่รกร้าง ตอนนี้ได้รับการบูรณะใหม่จนกลายเป็นตำหนักที่กว้างขวางโอ่อ่า เต็มไปด้วยความมีชีวิตชีวา สวนผักและสมุนไพรที่ไป๋ลี่เยว่ปลูกเติบโตงอกงาม นางก็ยังใช้ชีวิตเช่นเดิม มีรายได้จากการขายสมุนไพรและยาที่ทำขึ้นเอง ผ่านร้านยาที่ไว้ใจได้ในเมือง“ท่านแม่ ท่านแม่ดูสิ ข้าปลูกต้นชุนเถิงได้แล้วนะ”เสียงใสของเด็กชาย
อีกฟากฝั่งตะวันตกของแคว้น สายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา ฟ้าร้องครืนครางกึกก้องไปทั่วท้องนภา ปลุกให้ค่ายทหารที่ชายแดนตกอยู่ในความมืดครึ้ม สายลมกระโชกแรงพัดเอาผืนผ้าเต็นท์ไหวสะบัด แต่ภายในกระโจมบัญชาการยังคงมีแสงจากตะเกียงน้ำมันที่ส่องริบหรี่ องค์ชายหลงเจิ้งหยางประทับนั่งอยู่ภายใน เกือบปีที่เขาอาสามาอยู่ที่นี่ วันนี้อยู่ๆ ฝนก็ตกอย่างไม่มีทีท่าว่าจะตกมาก่อน องค์ชายสามยกถ้วยสุราขึ้นจิบ ก่อนถอนหายใจกับเสียงพายุที่โหมกระหน่ำด้านนอก “คืนนี้แม้แต่สวรรค์ยังเดือดดาล” หลงเจิ้งหยางพึมพำ พลางเอนกายพิงพนักเก้าอี้ มองสายฝนข้างนอก ดวงตาปิดลงช้าๆ จากความเหนื่อยล้าโดยไม่รู้ตัว สายฝนยังคงโปรยปราย หลงเจิ้งหยางยืนอยู่กลางลานหินกว้างที่ไม่คุ้นเคย เม็ดฝนตกกระทบไหล่ แต่กลับไม่รู้สึกเปียกชื้นแม้แต่น้อย “ท่านพ่อ” เสียงเล็กๆ ดังขึ้นจากเบื้องหลัง หลงเจิ้งหยางหันขวับไปทันที ดวงตาคมกริบเบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อพบเด็กชายตัวน้อยที่ยืนอยู่ตรงหน้า เด็กชายร่างเล็กในชุดสีขาว ใบหน้ากลมเกลี้ยง หน้าตาน่าเอ็นดู ดวงตาแววฉลาดเฉลียว เขามองไปรอบกายก็ไม่พบใครนอกจากเขาและเด็กน้อยผู้นี้ “ท่านพ่อ” ชัดเจนเด็กน้อยคนนี้เร
ฟ้าคำรามกึกก้องเหนือวังหลวง สายฝนกระหน่ำลงมาไม่ขาดสาย ราวกับสะท้อนชะตากรรมที่กำลังเปลี่ยนไปของสตรีนางหนึ่ง นางกำลังเผชิญความทุกข์ทรมานอย่างโดดเดี่ยวในตำหนักเย็นอันเงียบสงัด เสียงกรีดร้องแหลมสูงอย่างเจ็บปวดของไป๋ลี่เยว่ดังสะท้อนออกมา ท่ามกลางความมืดมิดและพายุที่โหมกระหน่ำ“อ๊าาาา”ร่างของนางสั่นสะท้าน เหงื่อเย็นผุดเต็มหน้าผาก ร่างอวบอิ่มจากครรภ์ที่ใหญ่นักทำให้นางแทบไม่มีแรงจะเบ่งคลอด แต่ความเจ็บปวดนั้นไม่ปรานีนางแม้แต่น้อยมือของไป๋ลี่เยว่กำผ้าปูที่นอนแน่นจนข้อขาวซีด นางกัดริมฝีปากจนเลือดซึมออกมา ร่างของนางสั่นสะท้านด้วยความเจ็บปวด“คุณหนู อดทนไว้นะเจ้าคะ อีกนิดเดียว อีกนิดเดียวเท่านั้น” หงเหมยสะอื้นไห้ นางบีบมือนายหญิงแน่น ราวกับหวังจะถ่ายทอดกำลังใจให้ไป๋ลี่เยว่ที่แทบจะหมดเรี่ยวแรงภายในห้องคลอดอันเรียบง่ายในตำหนักเย็นสั่นสะเทือนด้วยเสียงโหยหวน หมอหลวงและนางผดุงครรภ์ที่ฮองเฮาส่งมาเร่งเร้าด้วยน้ำเสียงร้อนรน แข่งกับเสียงฟ้าฝนที่ตกหนักราวกับฟ้ารั่ว“พระชายา หายใจเข้าลึกๆ แล้วออกแรงเบ่งอีกเพคะ พระองค์ต้องช่วยตนเอง อีกนิดเดียวเพคะ”ไป๋ลี่เยว่หอบหายใจถี่ หน้าอกของนางสะท้านขึ้นลงอย่างแรงรา
“พระองค์ หม่อมฉันมีอีกเรื่องที่อยากจะทูลขอเพคะ” ฮองเฮาทรงเลิกพระขนงขึ้นเล็กน้อย “ว่ามาสิ”ไป๋ลี่เยว่สูดลมหายใจเข้าลึก ก่อนเงยหน้าขึ้นสบพระเนตรของฮองเฮาอย่างกล้าหาญ“ขอพระองค์ ได้โปรดเมตตา อย่าได้บอกใครเรื่องที่หม่อมฉันตั้งครรภ์ได้หรือไม่เพคะ”บรรยากาศภายในตำหนักเย็นเงียบงันในทันที เงียบจนได้ยินเสียงลมหายใจของทุกคน หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างๆ อ้าปากค้างด้วยความตกตะลึง ส่วนนางกำนัลของฮองเฮาก็หันมองกันด้วยความงุนงง ไป๋ลี่เยว่ยังคงเงยหน้าสบสายพระเนตรของฮองเฮา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความแน่วแน่ฮองเฮาทรงมองนางนิ่ง พระขนงขมวดเข้าหากันเล็กน้อย“เจ้ารู้หรือไม่ว่ากำลังพูดสิ่งใดอยู่” พระสุรเสียงแผ่วเบาแต่แฝงไว้ด้วยอำนาจไป๋ลี่เยว่พยักหน้า นางกำมือแน่นเพื่อระงับความสั่นไหวในใจ “เพคะ”“เจ้าเป็นพระชายาขององค์ชายสาม ทายาทในครรภ์ของเจ้าก็คือเชื้อพระวงศ์ของต้าเฉิง” ฮองเฮาตรัสชัดถ้อยชัดคำ “หากเรื่องนี้แพร่ออกไป เจ้าจะได้รับการดูแลเป็นอย่างดี ได้รับสิทธิ์ของพระชายาสามเต็มที่ แล้วเหตุใดเจ้าถึงต้องการปิดบัง”ไป๋ลี่เยว่เม้มริมฝีปากแน่น นางสูดลมหายใจลึกเข้า ก่อนจะกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่น“หม่อมฉัน ไม่ต้องการพึ่