LOGINยามเช้าโปรยแสงแดดอ่อนโยนลงมายังตำหนักเย็นที่ได้รับการบูรณะใหม่ บรรยากาศอ้างว้างในอดีตถูกแทนที่ด้วยความอบอุ่นและมีชีวิตชีวา สายลมเย็นพัดผ่านสวนสมุนไพรที่ได้รับการดูแลอย่างดี สมุนไพรหลายชนิดเริ่มเติบโต แตกกิ่งใบเขียวชอุ่ม และบางส่วนก็ถูกนำไปขายเพื่อแลกเป็นเงินทุนให้กับตำหนัก
ภายในห้องของตำหนัก ไป๋ลี่เยว่ยืนอยู่หน้ากระจกทองเหลืองที่ขัดจนสะอาดสะท้อนเงาของนางได้ชัดเจน มือเรียวแตะลงบนหน้าท้องแผ่วเบา ความรู้สึกอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วร่าง แม้จะมีเรื่องมากมายให้คิด แต่นางกลับรู้สึกมั่นคงและเต็มไปด้วยความหวัง “คุณหนูเจ้าคะ ท่านแน่ใจหรือว่า ท่านตั้งครรภ์” เสียงสั่นเครือของหงเหมยดึงนางกลับสู่ความเป็นจริง สาวใช้ของนางยืนอยู่ตรงหน้า ดวงตาเต็มไปด้วยความตกตะลึงและกังวล ไป๋ลี่เยว่ค่อยๆ พยักหน้า รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นบนริมฝีปาก ทั้งดีใจ ทั้งหวั่นไหว ใช่แล้ว นางกำลังตั้งครรภ์ ชีวิตของนางไม่ได้มีเพียงแค่ตัวนางอีกต่อไป หลังจากที่ป่วยหนักมาหลายวัน อาการคลื่นไส้ อ่อนเพลีย และประจำเดือนที่ขาดหายไปทำให้นางเริ่มสงสัย พอนางลองจับชีพจรดูตามที่ได้ร่ำเรียนมา นางก็ได้รับคำตอบที่ไม่อาจปฏิเสธได้ ภายในครรภ์ของนาง มีชีวิตเล็กๆ กำลังก่อกำเนิดขึ้น “ข้ากำลังมีลูก” นางกระซิบเสียงเบา น้ำเสียงเต็มไปด้วยความอบอุ่นอ่อนโยน นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตนเองแผ่วเบา ดวงตาสั่นระริก ความอบอุ่นแผ่ซ่านไปทั่วทั้งใจ สวรรค์ ยังเมตตานางอยู่สินะ ของขวัญเพียงหนึ่งเดียวที่นางได้รับ “คุณหนู แล้วองค์ชายสามล่ะเจ้าคะ ท่านจะแจ้งให้ทราบหรือไม่” คำถามของหงเหมยเต็มไปด้วยความลังเล นางไม่กล้าพูดให้คุณหนูของตนสะเทือนใจ แต่สุดท้ายก็อดไม่ได้ เพราะเด็กคนนี้เป็นบุตรขององค์ชายสาม ไป๋ลี่เยว่ชะงักไปเล็กน้อย ก่อนแววตาจะกลับมาแน่วแน่อีกครั้ง นางหัวเราะเบาๆ ก่อนส่ายหน้า น้ำเสียงมั่นคงราวกับไม่เปิดช่องให้ใครมาคัดค้าน “ไม่ ลูกคนนี้เป็นของข้า เพียงผู้เดียว” ความเงียบงันปกคลุมตำหนักเย็น กลิ่นดินชื้นและกลิ่นหอมจางๆ ของดอกไม้ป่าคละคลุ้งไปทั่ว แต่ในใจของไป๋ลี่เยว่ กลับเต็มไปด้วยความคิดถึงบุรุษที่นางแต่งงานด้วย พระสวามีเพียงคืนเดียวของนาง ผู้ที่จากกันโดยไม่ล่ำลา ไม่เคยส่งข่าว องค์ชายสามไม่ต้องการนาง นางรู้ดี หากเขารู้ว่านางตั้งครรภ์ เขาคงไม่สนใจ ไม่แน่ว่าอาจมองว่าลูกในท้องของนางเป็นตราบาปด้วยซ้ำ นางไม่อาจปล่อยให้ลูกของนางต้องเติบโตขึ้นมา โดยต้องรอคอยความรักจากบิดาที่ไม่เคยต้องการเขา ไป๋ลี่เยว่กำมือแน่น ความเจ็บปวดที่ฝังลึกถูกแทนที่ด้วยความมุ่งมั่น “ข้าจะเลี้ยงดูลูกของข้าให้ดีที่สุด ให้เขาเติบโตขึ้นมาโดยไม่ต้องพึ่งพาใคร” น้ำเสียงแน่วแน่ดังก้องแววตามุ่งมั่นของไป๋ลี่เยว่ ทำให้หงเหมยที่ยืนอยู่ข้างกายถึงกับน้ำตาคลอ นางรู้ว่าคุณหนูของตนต้องผ่านความเจ็บปวดเพียงใด ถูกทอดทิ้งอย่างไร้ความปรานีเพียงไหน แต่ในเมื่อคุณหนูไม่ยอมแพ้ เช่นนั้นพวกนางก็จะไม่มีวันยอมแพ้เช่นกัน “พวกเราทุกคน จะช่วยคุณหนูเลี้ยงคุณหนูน้อยเจ้าค่ะ” ไป๋ลี่เยว่หลับตาลง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยๆ ลืมตาขึ้นอีกครั้ง นางไม่ใช่เพียงไป๋ลี่เยว่ผู้เคยอ่อนแออีกต่อไป ชีวิตใหม่ ที่ไม่ได้มีเพียงตัวนางอีกต่อไปแล้ว นางเงยหน้ามองท้องฟ้าผ่านหน้าต่าง แสงแดดยามสายส่องกระทบใบหน้าของนางอ่อนโยน นางยกมือขึ้นลูบหน้าท้องของตนเอง แววตาเปล่งประกายด้วยความรักและความตั้งใจแน่วแน่ “ลูกของแม่ แม่สัญญา” นางกระซิบแผ่วเบา “แม่จะไม่ยอมแพ้ แม่จะทำทุกอย่างเพื่อให้เจ้ามีชีวิตที่ดี” ไป๋ลี่เยว่คนเดิมได้ตายไปแล้ว จากนี้ไป นางจะไม่ใช่สตรีอ่อนแอที่เฝ้ารอความรักจากผู้อื่นอีกต่อไป เพราะนาง กำลังจะเป็นแม่คนแล้ว หลายเดือนผ่านไป ไป๋ลี่เยว่ยืนอยู่หน้ากระจก มือเรียวลูบไล้หน้าท้องที่นูนขึ้นอย่างอ่อนโยน นางไม่รู้สึกหนักอึ้งหรือทุกข์ใจเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามหัวใจของนางเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความสุขอย่างประหลาด “อีกไม่นาน เจ้าก็จะได้ออกมาดูโลกแล้วนะ” นางกระซิบเสียงแผ่ว รอยยิ้มผุดขึ้นบนริมฝีปาก ภายในตำหนักเย็นที่เคยอ้างว้าง บัดนี้กลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา สวนผักและแปลงสมุนไพรที่นางกับพวกคนรับใช้ช่วยกันปลูกเริ่มให้ผลผลิต นางส่งหงเหมยออกไปขายให้ร้านยาในเมือง นำเงินที่ได้มาแลกเป็นข้าวสาร ของใช้จำเป็น และสะสมเสบียงไว้สำหรับอนาคต ทุกอย่างถูกจัดการอย่างเป็นระบบ ไม่มีสิ่งใดที่ถูกปล่อยไปตามโชคชะตา ไป๋ลี่เยว่ไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างสิ้นหวัง นางเรียนรู้การปรุงยาพื้นฐานจากตำรา ศึกษาการดูแลหญิงตั้งครรภ์ ฝึกฝนการดูแลสุขภาพของตนเองให้แข็งแรง และเตรียมพร้อมสำหรับวันที่ลูกของนางจะลืมตาดูโลก “คุณหนูเจ้าคะ บ่าวไปซื้อผ้าฝ้ายและอาหารบำรุงสำหรับหญิงตั้งครรภ์มาให้แล้วเจ้าค่ะ” เสียงของหงเหมยดังขึ้นพร้อมกับร่างของนางที่ก้าวเข้ามาในห้อง ในมือของนางมีถุงเสบียงและห่อผ้าฝ้ายสะอาดที่เตรียมไว้สำหรับทารก ไป๋ลี่เยว่พยักหน้า “ดีมาก พวกเราต้องเตรียมทุกอย่างให้พร้อม” นางรู้ว่าการคลอดบุตรเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในตำหนักที่ไม่มีหมอหลวง ไม่มีใครคอยช่วยเหลือ หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน นางอาจต้องเผชิญหน้ากับความเป็นความตายเอง แต่ไม่ว่ายังไง นางจะต้องรอด เพื่อปกป้องลูกของนาง ไป๋ลี่เยว่วางแผนทุกอย่างอย่างรอบคอบ นางสั่งให้หงเหมยต้มสมุนไพรบำรุงครรภ์ทุกวัน ปรับเปลี่ยนอาหาร กินแต่ของที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายเบาๆ ตามตำราที่อ่าน และสั่งให้เตรียมน้ำอุ่น ผ้าสะอาด และสมุนไพรเร่งคลอดเอาไว้ล่วงหน้า นางจะไม่ปล่อยให้ชีวิตของลูกนางต้องเผชิญกับอันตรายเพียงลำพัง “คุณหนู ท่านไม่กังวลหรือเจ้าคะ” หงเหมยถามด้วยความเป็นห่วง ไป๋ลี่เยว่ลูบหน้าท้องของตนเองเบาๆ นางเงยหน้าขึ้น ดวงตามีแต่ความแน่วแน่ “ข้ากังวล แต่ข้าจะไม่หวาดกลัว” เพราะลูกของนางกำลังจะเกิดมา นางจึงต้องเข้มแข็งให้มากที่สุด ทุกค่ำคืน นางจะฝันเห็นเงาร่างเล็กๆ วิ่งเล่นอยู่ในสวน หัวเราะสดใส นางยังไม่รู้ว่าเด็กในท้องเป็นชายหรือหญิง แต่ไม่ว่ายังไง เขาคือคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง เด็กน้อยที่กำลังเรียกนางว่า “ท่านแม่”ทำให้นางตื้นตันในหัวใจ “ลูกของแม่ เจ้าต้องเติบโตขึ้นมาอย่างมีความสุขนะ” ไป๋ลี่เยว่นั่งเย็บเสื้อผ้าเล็กๆ ด้วยมือของตนเอง แม้จะเป็นครั้งแรกที่นางต้องทำอะไรเช่นนี้ แต่นางก็ทุ่มเทสุดหัวใจ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความรักและความหวัง แม้โลกนี้จะไม่อ่อนโยนต่อนาง แต่นางจะทำให้โลกนี้อ่อนโยนต่อลูกของนางเองท่ามกลางเสียงเซ็งแซ่ของการแก่งแย่งช่วงชิงวาสนาในแถวหน้า เด็กชายผู้หนึ่งที่มีรูปร่างโปร่งบาง ใบหน้าแลดูอ่อนแอคล้ายคนขี้โรค กลับหยุดฝีเท้าลงอย่างโดดเดี่ยวกลางหอจี้จิ่ว เขาสวมชุดบัณฑิตสีครามที่ซีดจางจนแทบกลืนไปกับเงา ทว่าสะอาดสะอ้าน ไร้เครื่องหยกประดับประดา ไร้ดิ้นทองประชันบารมี ดวงตาคมใสทอดมองไปยังที่นั่งข้างกายพระธิดาเพียงชั่วอึดใจ ก่อนจะถอนหายใจแผ่วเบาราวรำคาญใจในความวุ่นวายนั้น แล้วหันหลังให้แถวหน้า เดินมุ่งตรงสู่มุมอับท้ายห้องอย่างแน่วแน่... ไม่ไยดีต่อสายตาผู้ใด เสียงฝีเท้าสม่ำเสมอและแผ่วเบาจนเกือบไร้ร่องรอย หยุดลงที่ข้างโต๊ะหนึ่ง หลงจิ่นอวิ๋นเงยหน้าขึ้นเพียงนิด สายตาสองคู่สบประสานกันในความเงียบ...ไร้ถ้อยคำ ไร้การหยั่งเชิง แววตาหนึ่งนิ่งลึกประดุจก้นบึ้งธารา อีกแววตาหนึ่งสงบระงับคล้ายเมฆาที่ปล่อยวาง…บรรยากาศรอบข้างพลันเย็นเยียบลงโดยไม่รู้ตัว ผู้มาใหม่ประสานมือคำนับอย่างนอบน้อม“สหายท่านนี้... ข้าขอร่วมอาศัยพื้นที่ตรงนี้ด้วยได้หรือไม่” น้ำเสียงนั้นเรียบง่าย สุภาพ และปราศจากกระแสดูแคลนหลงจิ่นอวิ๋นเพียงพยักหน้าเล็กน้อย เลื่อนตำราของตนออกไปเพื่อให้เกิดช่องว่างพื้นที่ที่พอเหมาะ “เชิญ ต
เสียงตีเกราะไม้ดังกังวานก้องลานหยก เป็นสัญญาณรวมตัวของเหล่าบัณฑิตใหม่แห่งกั๋วจื่อเจี้ยน เสียงจ้อกแจ้กจอแจของดรุณน้อยนับร้อยดังกังวานไปทั่ว กลิ่นแป้งและเครื่องหอมชั้นเลิศที่อบมาบนอาภรณ์หรูหรานั้นรุนแรงเสียจนกลบกลิ่นกำยานของสำนักศึกษาไปสิ้นเหล่าคุณชายน้อยต่างอยู่ในชุดอาภรณ์ที่ตัดเย็บอย่างประณีต แม้จะใช้สีและแบบที่คล้ายคลึงกันตามกฎของสำนักศึกษา แต่ความรุ่มรวยก็ถูกที่แสดงออกมาประชันบารมีอย่างเงียบงัน ผ่าน ดิ้นเงิน ดิ้นทอง ที่แทรกอยู่ในชายผ้าไหมแพรพรรณชั้นดี ผ่านหยกมงคลสลักเสลาประณีตห้อยอยู่ที่เอว และเครื่องประดับที่สะท้อนแสงเช้าอย่างจงใจ ราวกับนี่ไม่ใช่การมาศึกษา แต่เป็นการอวดโอ่อำนาจและเกียรติยศของตระกูลเบื้องหลัง ที่ผลักดันบุตรหลานมาที่นี่ เหล่าโป๋ซื่อชั้นผู้น้อยทำได้เพียงเดินกวดขันด้วยความลำบากใจ เพราะบัณฑิตน้อยแต่ละคนล้วนมีสายเลือดสูงส่งจนมิอาจแตะต้องแรง บางคนถือดีและเย่อหยิ่งจากสายเลือด ทำให้การควบคุมเป็นไปอย่างยากลำบาก ทั้งเสียงกระซิบเบา ๆ ดังกระทบอากาศยามเช้าจากอาจารย์ทั้งหลาย “นั่นบุตรชายสกุลหวัง… ได้ยินว่าฮ่องเต้เมตตาเป็นพิเศษ” “คนนั้นสกุลหลี่ รูปโฉมสง่าไม่เบา” “ดูสิ นั่นคุ
เขาโอบนางไว้โดยมิเร่ง มิได้รุนแรง ราวกับต้องการจดจำอุณหภูมิของกันและกันให้มากที่สุด ลมหายใจสองสายประสานกันแผ่ว…ก่อนจะหนักขึ้น ผสานเสียงครางกระเส่าจากสัมผัสที่ลึกซึ้งกาลเวลาสองชั่วยามไหลผ่านรวดเร็ว หลงเจิ้งหยางลุกขึ้น รอยยิ้มสุดท้ายยามสวมเกราะนั้นอ่อนโยนที่สุดเท่าที่เขาจะมอบให้โลกนี้ได้ ก่อนที่ใบหน้าเดียวกันจะกลับกลายเป็นแม่ทัพผู้เกรี้ยวกราดอีกครั้งไป๋ลี่เยว่ลุกขึ้นช่วยพระสวามีแต่งกาย มือเรียวบรรจงผูกสายรัดเกราะ สวมอาภรณ์ออกศึกสีครามเข้มให้อย่างครบถ้วน ดวงหน้างามเงยขึ้นมองใบหน้าคมเข้มตรงหน้า บัดนี้เขามิใช่เพียงพระสวามีอีกต่อไป หากคือยอดขุนพลของแผ่นดิน“ท่านพี่…” นางเอ่ยเสียงเบาๆ“หม่อมฉันเตรียมเครื่องหอมสำหรับสงบจิต และตำราพิชัยสงครามเล่มโปรดไว้ในย่ามแล้วเพคะ ขอให้ทุกย่างก้าวของพระองค์… ล้วนมีชัย”รอยยิ้มบางปรากฏที่มุมปากของไป๋ลี่เยว่ หากแววตากลับเย็นเฉียบ นางรู้ดีการเดินทัพครั้งนี้ มิใช่เพราะแคว้นต้องการแม่ทัพ แต่เพราะมีคนต้องการให้เขาหายไปจากวังหลวง“นี่เครื่องราง หม่อมฉันเตรียมไว้ให้พระองค์เพคะ”หลงเจิ้งหยางชะงัก ก่อนจะรับเครื่องรางหยกขาวสลักลายปลาคู่มาพกไว้ในอก“ท่านพี่… ออกศึกคร
ไป๋ลี่เยว่เงยหน้าขึ้นมองหลงเจิ้งหยาง คำขอที่เขาเอ่ยออกมานั้น ไม่ได้เร่าร้อน หากหนักแน่นราวคำสัตย์ของนักรบ ดวงตาของนาง คล้ายมีม่านหมอกแห่งความหวั่นไหวแผ่คลุม แต่เพียงชั่วอึดใจเดียว นางก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ การจากลาด้วยหัวใจที่เต็มเปี่ยม ย่อมดีกว่าการปล่อยให้เขาออกจากวังหลวงไปพร้อมความอ้างว้างที่ไม่มีใครประคอง“เพคะ…ท่านพี่”เสียงกระซิบเบาราวลมหายใจ ไม่ใช่เพราะเขินอาย หากเพราะรู้ดีว่า…ช่วงเวลานี้ เป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะต้องจากกันไกล“เวลานี้…มีค่ามากกว่าสมบัติใดในวังหลวง หากเป็นพระประสงค์ของพระองค์ หม่อมฉันย่อมไม่ปฏิเสธ… หลังสิ้นสองยามนี้ หม่อมฉันจะจัดเตรียมเครื่องแต่งกายให้พระองค์เอง”เพียงถ้อยคำสั้นๆ นั้น ก็เหมือนเปลวไฟเงียบที่ลุกโชนในอกของหลงเจิ้งหยาง แม่ทัพผู้แบกทั้งแผ่นดินไว้บนบ่า กลับไม่อาจซ่อนความคิดถึงและความรักที่ซัดขึ้นมาอีกต่อไปเขาฉุดรั้งร่างบางเข้าสู่ห้องบรรทม ขันทีและนางกำนัลที่เฝ้าอยู่รอบนอกต่างก้มหน้าต่ำจนแทบจรดพื้น ไม่มีผู้ใดกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง สองชั่วยามของผู้บัญชาการทัพใหญ่ที่จะทุ่มเทให้แก่ความรัก…เป็นความลับที่ตำหนักชิงอวิ๋นจะเก็บรักษาไว้ตลอดกาลประตูห้องบรรทมปิดล
ยามเฉินคล้อยผ่านไปไม่นาน บรรยากาศภายในตำหนักชิงอวิ๋นกลับเคร่งขรึมเมื่อประตูตำหนักเปิดออกช้า ๆ เงาร่างสูงทอดยาวลงบนพื้นหยกเย็น แสงอรุณยามสายส่องต้องฉลองพระองค์ที่ยังไม่ทันเปลี่ยน หลงเจิ้งหยางกลับมาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ราวแบกรับน้ำหนักที่มองไม่เห็นเขารู้ดีว่า… ตั้งแต่วินาทีที่ก้าวออกจากจวนเมื่อต้นยามเหม่าก่อนอรุณรุ่งที่ผ่านมา จวบจนบัดนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไปและเขาไม่มีทางเลือกไป๋ลี่เยว่กำลังยืนรออยู่กลางโถงใหญ่ของตำหนักอย่างกระวนกระวาย นางมิได้ทรุดตัวลงนั่งแม้ขณะรอคอย เมื่อเห็นพระสวามีก้าวเข้ามาตรงหน้า นางก้าวเข้าไปหนึ่งก้าว ก่อนจะโผกายเข้ากอดเขาทันที มิมีน้ำตา มิมีเสียงคร่ำครวญ มีเพียงลมหายใจที่สั่นไหวเล็กน้อยแนบแผงอกเขา ราวกับรับรู้ถึงสถานการณ์นี้มานานแล้ว“พระองค์ …” เสียงของนางแผ่วเบา เหมือนจะถามหลายสิ่ง แต่กลับเอ่ยออกมาได้เพียงเท่านี้หลงเจิ้งหยางกอดพระชายาแน่น อ้อมแขนแข็งแรงรั้งร่างบางไว้ราวกลัวว่านางจะหลุดหายไปพร้อมเงาแสงยามสาย อ้อมกอดนี้… เหมือนต้องการจดจำสัมผัสของนางเอาไว้ให้ตกผลึกอยู่ในหัวใจไปจนกว่าจะกลับมา หรือ… หากไม่มีวันนั้น ก็ให้มันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ได้พกติดตัวไป
ณ ห้องทรงพระอักษรของฮ่องเต้หมอกสีเงินจาง ๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือยอดไม้ในสวนหลวง แสงอรุณแรกเพิ่งแตะปลายหลังคาพระราชวัง เงาเรือนไม้สลักทองทอดทาบพื้นเย็นเยียบ ห้องทรงพระอักษรเงียบสงบราวหยดน้ำหยุดนิ่ง องค์ฮ่องเต้ประทับอยู่เบื้องหน้าตั่งทรงพระอักษร พระเนตรหม่นล้า อารมณ์ไม่แจ่มใสนักหลังตรากตรำราชกิจมาตลอดคืนเช้านี้พระองค์ตั้งพระทัยจะใช้เวลาอย่างสงบ เสด็จไปทอดพระเนตร หลงจิ่นอวิ๋น พระนัดดาองค์น้อย ที่กำลังจะเข้าศึกษายังกั๋วจื่อเจี้ยนเป็นวันแรกทว่าชะตากลับไม่ให้ความสงบเกิดขึ้นแม้เพียงลมหายใจเดียว“ฝ่าบาท! เรื่องใหญ่พ่ะย่ะค่ะ!”เสียงฝีเท้าเร่งร้อนดังสนั่นขึ้นด้านนอก ก่อนที่ขันทีหลี่จะถลาเข้ามา คุกเข่าลงแทบเบื้องพระพักตร์ด้วยสีหน้าตื่นตระหนก ใบหน้าซีดเผือดราวเลือดหนีหายทั้งร่าง มือสั่นเทายื่นราชสาส์นผนึกขี้ผึ้งแดงถวายฮ่องเต้เพียงทอดพระเนตรผนึกสีแดงเข้มก็รู้ว่าคือข่าวด่วนระดับหลวงขันทีหลี่รายงานจนเสียงสั่น“ทูลฝ่าบาท…มีราชสาส์นลับผนึกขี้ผึ้งแดง จากกองกำลังตรวจการชายแดนชิงโจว เพิ่งส่งถึงโดยเร่งด่วนพ่ะย่ะค่ะ… ทหารม้าเร็วรายงานว่า ชนเผ่าชิงโจวได้เคลื่อนไหวผิดปกติตั้งแต่ยามโฉ่ว มีการปะทะ ณ ช่องเขาฉา







