“คุณเพิ่งย้ายมาที่นี่เหรอครับ” วิลเอ่ยถามขณะที่พวกเขาเดินขึ้นบันได “มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
“ฉันเพิ่งเรียนจบน่ะค่ะ แล้วก็ได้งานที่นี่ ดีใจมาก ๆ เลย” สลิลหยุดยิ้มกว้างไม่ได้เมื่อนึกถึงเรื่องงาน เธอกำลังตั้งตารอการเริ่มต้นชีวิตจริงของตัวเองเสียที “ส่วนที่เลือกคอนโดฯ แห่งนี้...ก็แหม...ค่าเช่ามันพอสู้ไหวใช่ไหมล่ะคะ” เธอหัวเราะเบา ๆ “ก็เลยเลือกที่นี่แหละค่ะ”
แต่เมื่อสบตาเขาอีกครั้ง สลิลก็เริ่มไม่แน่ใจว่าพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า เอาตามตรง เขาดูไม่เหมือนคนที่จะต้องเลือกที่อยู่เพราะเรื่องเงินเลยสักนิด สูทสั่งตัดเข้ารูปที่สวมอยู่นั้นบ่งบอกฐานะได้เป็นอย่างดี แต่ก็นั่นแหละ ในเมื่อเขาอยู่ที่นี่ มันก็ต้องมีเหตุผลของเขาสิน่า
“ใช่ครับ ที่นี่ก็ดีทีเดียว” เขาพยักหน้ายิ้ม ดูไม่ถือสาอะไร “ผมชอบที่นี่เพราะมันอยู่ใกล้ที่ทำงานของผมน่ะครับ”
“เหมือนกันเลยค่ะ!” สลิลโพล่งออกไปอย่างลืมตัว “ใช่ค่ะ เดินไปทำงานได้เลย สะดวกมาก”
ในที่สุดทั้งคู่ก็มาถึงหน้าห้องของเธอ สลิลผลักประตูให้เปิดกว้าง พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่รู้สึกอับอายกับสภาพห้องที่รกจนแทบไม่มีทางเดิน เพราะเขาก็คงเข้าใจดีว่าการย้ายเข้าห้องใหม่มันวุ่นวายขนาดไหน
“คุณดูสิ...ผมชอบหนังสือเล่มนี้มากเลย!” วิลหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากกองหนังสือของเธอขึ้นมายิ้ม ๆ “คุณรสนิยมดีมากเลยนะครับ ผมชอบคอลเลคชั่นหนังของคุณด้วย ไว้วันหลังอาจจะต้องขอดูคอลเลคชั่นเพลงของคุณบ้างแล้วล่ะ”
“จริงเหรอคะ? อ้อ...ขอบคุณค่ะ หนังสือเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของฉันมาตั้งแต่เด็กแล้ว”
“ผมก็เหมือนกัน” รอยยิ้มของเขาทำให้หัวใจของสลิลเต้นผิดจังหวะอีกครั้ง เขาจำเป็นต้องมีเสน่ห์ขนาดนี้เลยหรือ มันทำให้เธอหายใจไม่ทั่วท้องเลยจริง ๆ เขาดูเหมือนจะอายุมากกว่าเธอพอสมควร แต่ก็ไม่ได้แสดงท่าทีดูแคลนเลยแม้แต่น้อย “ผมชอบอ่านหนังสือมากครับ”
พวกเขาสนทนากันเรื่องหนังสืออย่างออกรส เชื่อมโยงกันในระดับที่สลิลไม่เคยคาดคิด และดูเหมือนยิ่งวิลช่วยเธอมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งดูมีอะไรหลายอย่างที่คล้ายกับเธอมากขึ้นเท่านั้น สลิลพยายามอย่างหนักที่จะห้ามใจไม่ให้คิดฟุ้งซ่าน เพราะนี่คือผู้ชายคนแรกที่เธอได้พบเจอหลังจากเริ่มต้นชีวิตใหม่ แต่ตอนนี้ในท้องของเธอกลับรู้สึกราวกับมีผีเสื้อนับพันตัวกำลังโบยบินปั่นป่วนจนน่าใจหาย
สมองของเธอยังคงวาดภาพบ้า ๆ บอ ๆ ภาพที่เธอไม่ควรจะฝันกลางวันถึงมันด้วยซ้ำ ริมฝีปากของเขา...มือของเขา...ลิ้นของเขา...
โอ๊ย พระเจ้า...เธอยังไม่พร้อมสำหรับเรื่องแบบนั้น!
“ผมว่าคุณคงดีใจใช่ไหมครับที่ห้องนี้มีเฟอร์นิเจอร์ให้บางส่วนแล้ว” วิลถามขณะวางกล่องใบสุดท้ายลง “อย่างน้อยคืนนี้คุณก็ไม่ต้องมาเหนื่อยประกอบเตียงเพื่อให้มีที่นอน”
“นั่นสิคะ” สลิลพยักหน้าเห็นด้วย “แต่ฉันก็ยังต้องใช้เวลาทั้งอาทิตย์เพื่อจัดของ แค่คิดก็ท้อแล้วค่ะ” เธอเท้าสะเอว “ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนดี อยากให้มันเสร็จ ๆ ไปเลยจัง”
นี่คือเหตุผลที่เธอต้องรีบย้ายเข้าห้องก่อนเริ่มงาน เพราะรู้ดีว่าตำแหน่งใหม่คงจะทำให้เธอยุ่งจนหัวหมุน ยุ่งเกินกว่าจะมาจัดข้าวของไปพร้อมกันได้ บางทีเธอควรจะเริ่มลงมือเสียตั้งแต่ตอนนี้ แต่เธอกลับไม่มีอารมณ์เลยสักนิด ตอนนี้เธอเหนื่อยเกินกว่าจะทำอะไรทั้งนั้น และอยากจะทิ้งตัวลงนอนอย่างเดียว
“เอ่อ...ในฐานะที่ผมเป็นคนเดียวที่คุณรู้จักที่นี่” วิลเริ่มต้นพูด “ผมรู้สึกว่ามันเป็นหน้าที่ของผมเลยนะครับที่จะต้องพาคุณไปทานมื้อเย็นด้วยกันคืนนี้ เพื่อให้คุณได้คุ้นเคยกับที่อยู่ใหม่สักหน่อย คุณว่าไหมครับ”
เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์นิด ๆ มาให้ ทำให้สลิลรู้ว่านี่เป็นข้อเสนอที่จริงจังมากกว่าจะเป็นแค่เรื่องของหน้าที่ ซึ่งแน่นอนว่ามันทำให้หัวใจของเธอเต้นระรัวราวกับจะทะลุออกมานอกอก
สลิลไม่เคยกินข้าวกับผู้ชายคนไหนมาก่อน เธอไม่เคยแม้แต่จะโดนจูบ ไม่ต้องพูดถึงการออกเดทเลย นี่อาจจะเป็นแค่ความเป็นเพื่อนมากกว่าเรื่องโรแมนติก แต่สำหรับเธอมันก็ใกล้เคียงกับคำว่า ‘แฟน’ ที่สุดเท่าที่เคยประสบมา และมันก็น่าประหม่าจนแทบคลั่ง มากพอที่เธออยากจะปฏิเสธออกไป
แต่เธอปฏิเสธไม่ได้...เธอจะปฏิเสธเขาได้อย่างไร? นี่คือการเริ่มต้นประสบการณ์ใหม่ การเติบโต และการเป็นผู้หญิงในแบบที่เธออยากจะเป็นมาโดยตลอด การไป ‘กึ่งเดท’ ครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดีเยี่ยม แล้วถ้าไม่ไป...เธอจะทำอะไรล่ะ? นั่งอุดอู้อยู่ในห้องคนเดียว มองดูกล่องที่ยังไม่ได้จัด แล้วก็ได้แต่นั่งเสียดาย เสียใจกับการตัดสินใจโง่ ๆ ที่ปฏิเสธเขาไป
“ค่ะ...ก็ดีเหมือนกันค่ะ”
เธอพูดออกไปแล้ว พูดออกไปจริง ๆ หรือนี่?
ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจหรือดีใจก็สุดจะเดา สลิลหวังว่าเขาคงจะดีใจที่เธอตอบตกลง
“เยี่ยมเลยครับ งั้นผมให้เวลาคุณเตรียมตัวสักหน่อยนะ อยากจะเปลี่ยนเสื้อผ้าหรืออะไรก็ตามสบายเลย ผมอยู่ห้องข้าง ๆ นี่เอง ถ้าพร้อมแล้วก็มาเคาะเรียกผมได้เลย” เขาเอามือลูบท้องเบา ๆ “ผมพร้อมเสมอถ้าคุณพร้อม ผมหิวจะแย่แล้วหลังจากทำงานมาทั้งวัน วันนี้มันยาวนานจริง ๆ ครับ”
สลิลโบกมือให้เขาอย่างคนทำอะไรไม่ถูก และทันทีที่บานประตูห้องปิดลง เธอก็กระโดดโลดเต้นไปรอบห้องอย่างตื่นเต้นเหมือนคนบ้า
นี่มันเหลือเชื่อจริง ๆ ใช่ไหม? เธอจะได้ไปกึ่งเดทตั้งแต่วันแรกที่ย้ายมาเลยนะ!
นี่อาจจะเป็นการตัดสินใจย้ายบ้านที่ดีที่สุดเท่าที่เธอเคยทำมาเลยก็ได้ ตอนนี้...ในที่สุดสลิลก็รู้สึกเหมือนว่าเธอสามารถหายใจและเติบโตได้อย่างเต็มที่เสียที ปราศจากเงาของดำรงที่คอยกดทับ ในที่สุดเธอก็จะได้เป็นตัวของตัวเองเสียที...ไม่ว่าตัวตนที่แท้จริงของเธอจะเป็นอย่างไรก็ตาม
“นี่มันบ้าไปแล้วจริง ๆ” สลิลกุมหน้าอกตัวเองขณะที่หัวใจเต้นโครมครามราวกับกลองศึก “นี่อาจจะเป็นวันแรกของชีวิตใหม่ที่เหลืออยู่ทั้งหมดของฉันก็ได้นะ!”
หกเดือนต่อมา…“โห...คุณตกแต่งที่นี่จนกลายเป็นบ้านที่อบอุ่นเลยนะครับเนี่ย” วิลเลียมยิ้มให้สวยขณะมองไปรอบ ๆ คอนโดที่ครั้งหนึ่งเคยว่างเปล่า แต่ตอนนี้กลับเปี่ยมด้วยชีวิตชีวา “ตอนที่ผมอยู่ที่นี่มันดูโล่งอๆ น่าเบื่อตลอดเลยครับ แต่ก็นั่นแหละ เพราะมันเป็นแค่ที่พักชั่วคราว ไม่ใช่บ้านจริง ๆ”วิลเลียมอยากจะให้ท่านได้เริ่มต้นชีวิตที่ดี เขาจึงท่านเช่าคอนโดของเขาในราคาที่ถูกมาก เพราะต้องการให้ท่านมีที่พักพิงที่มั่นคง ปลอดภัย และอยู่ใกล้กับลูกสาว เพราะถึงแม้ว่าตอนนี้ท่านจะทำงานได้ดีและดูเข้มแข็งขึ้นมากนับตั้งแต่ดำรงถูกขังคุกไป แต่สลิลก็ยังคงกังวลว่าเมื่อถึงจุดหนึ่งอดีตจะย้อนกลับมาหลอกหลอนท่าน และการมีลูกสาวอยู่ใกล้ ๆ คือสิ่งที่ดีที่สุด แม่ลูกกำลังได้เรียกคืนช่วงเวลาอันมีค่าในฐานะแม่ลูกที่ถูกพรากไปนานหลายปีกลับคืนมา“มันก็แปลกดีนะคะที่คิดว่าครั้งหนึ่งสลิลเคยพักอยู่ห้องข้าง ๆ ที่นี่” มาเรียลูบมือไปตามผนังที่ทาสีใหม่อย่างอ่อนโยน “ไม่นานก่อนที่ลูกสาวฉันจะย้ายเข้าไปอยู่กับคุณแบบเต็มต
“วิลไปแล้วเหรอลูก?” แม่เอ่ยถามสลิลทันทีที่ประตูห้องปิดลงตามหลังชายหนุ่ม “เพราะถ้าเขาไปแล้ว แม่มีเรื่องอยากจะคุยกับลูกหน่อยนะ” ท่านคงจะเห็นสีหน้าหวาดหวั่นของเธอเป็นแน่ เพราะท่านรีบหัวเราะแล้วแก้ไขคำพูดตัวเองทันที “ขอโทษทีนะลูก แม่ไม่ได้ตั้งใจจะให้มันฟังดูน่ากังวลขนาดนั้น แม่ก็แค่ยังไม่มีโอกาสได้คุยกับลูกเรื่องนี้เลยน่ะ”แม่ทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหรูหราแล้วตบที่ว่างข้าง ๆ สลิลค่อย ๆ นั่งลงอย่างระมัดระวัง แต่ก็ต้องยอมรับว่าเธอรู้สึกสั่นสะท้านไปทั้งตัว มีบางอย่างในสถานการณ์นี้ที่ทำให้เธอรู้สึกประหม่าอย่างบอกไม่ถูก“มีอะไรหรือคะแม่ แม่ทำหน้าแปลก ๆ นะคะ”“ความสัมพันธ์ระหว่างลูกกับคุณวิลเป็นยังไงกันแน่ แล้วก็อย่ามาตอบแม่ด้วยเรื่องไร้สาระอย่าง ‘เป็นแค่เพื่อนกัน’ หรือ ‘เขาเป็นเจ้านาย’ ด้วยล่ะ เพราะแม่ไม่เชื่อหรอก แม่รู้จักลูกดี ลูกอาจจะคิดว่าแม่เอาแต่สนใจเรื่องของดำรงมาโดยตลอด ในแง่หนึ่งลูกก็พูดถูกนะ เพราะแม่ต้องคอยระมัดระวังตัวอยู่ตลอดเวลาเวลาที่อยู่ใกล้เขา ซึ่งมันก็ทำให้ยากมากที่จะมอ
“คุณแน่ใจนะคะว่ามันโอเคจริง ๆ” สลิลกระซิบถามวิลเลียมเป็นครั้งที่ร้อยเห็นจะได้ “ฉันไม่อยากจะทำให้คุณต้องมาลำบากกับเรื่องทั้งหมดนี้นะคะ คุณทำเพื่อพวกเรามามากเกินพอแล้ว ฉันไม่อยากรบกวนคุณไปมากกว่านี้อีกแล้วค่ะวิล”“สลิล ผมอยากให้คุณอยู่ที่นี่นะ” วิลเลียมก้าวลงจากรถแล้วโอบแขนรอบตัวเธออย่างปลอบโยนเมื่อเธอทำเช่นเดียวกัน เขาไม่รู้แน่ชัดว่าตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขาอยู่ในสถานะไหน มันยังไม่มีอะไรที่มั่นคงแน่นอนระหว่างพวกเขาสองคน แต่ช่วงนี้พวกเขาก็เริ่มจะรู้สึกสบายใจกับการสัมผัสทางกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ต่อกันและกันมากขึ้นแล้ว “อีกอย่างนะครับ ที่นี่มันก็เป็นแค่บ้านพักผ่อนช่วงสุดสัปดาห์ของผมเท่านั้นเอง” เขาชี้ไปยังคฤหาสน์หลังใหญ่ และดวงตาของเธอก็เบิกกว้างด้วยความประหลาดใจ “ผมไม่ได้ใช้เวลาอยู่ที่นี่มากนักหรอกเพราะมันใหญ่เกินไปสำหรับคนคนเดียว เพราะฉะนั้นมันคงจะดีไม่น้อยถ้าจะมีเสียงครึกครื้นขึ้นมาบ้างในบ้านหลังนี้”“ที่นี่สวยมากเลยค่ะ” เธอยกมือเท้าสะเอวแล้วจ้องมองอาคารหลังนั้นด้วยความ
ท่ามกลางความเงียบของห้องพักผู้ป่วย มีเพียงเสียงเครื่องวัดสัญญาณชีพที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ สลิลกุมมือที่เย็นชืดของมารดาไว้แน่น พร่ำสวดภาวนาในใจขอให้ท่านตื่นขึ้นเสียที แม้จะได้รับการยืนยันจากแพทย์แล้วว่าตอนนี้อาการของท่านคงที่และจะฟื้นตัวได้อย่างแน่นอน แต่อย่างน้อยก็ทางร่างกาย ทว่าเปลือกตาที่ยังคงปิดสนิทของท่านนั้นกำลังทรมานใจเธอเหลือเกิน“แม่คะ ตอนนี้แม่ต้องเลิกกับไอ้ดำรงจริง ๆ ได้แล้วนะคะ แม่ต้องทำค่ะ เราจะปล่อยให้เรื่องมันเป็นเหมือนเดิมต่อไปไม่ได้อีกแล้ว ตอนนี้แม่เห็นแล้วใช่ไหมคะ”สลิลโน้มศีรษะลงไปซบเบา ๆ บนหน้าอกของท่าน การได้ยินเสียงหัวใจของท่านเต้นอยู่ช่วยให้ใจชื้นขึ้นบ้าง แต่มันก็ยังไม่เพียงพอ จนกว่าเธอจะได้รับการยืนยันจากปากท่านเองว่าในที่สุดท่านจะทำให้ชีวิตของตัวเองดีขึ้น เธอก็คงจะยังไม่สามารถผ่อนคลายลงได้ ความกังวลว่าเรื่องแบบนี้จะเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจะยังคงตามหลอกหลอนเธอเสมอ“ครั้งนี้มันจะต้องเข้าคุกแน่ค่ะถ้าแม่เอาเรื่องจริง ๆ มีหลักฐานเยอะมากเลยนะคะ แม่อย่ายอม
“ไม่มีทาง!”วิลเลียมอาจถูกไอ้สารเลวนั่นเล่นงานทีเผลอได้เพราะมันจู่โจมเขาอย่างไม่ทันตั้งตัว ทำให้เขาตกอยู่ในกำมือของมันชั่วขณะ แต่เขาจะไม่ยอมให้มันไปถึงตัวสลิลได้เด็ดขาด ไม่มีทาง ไม่มีทางเป็นไปได้แม้แต่น้อย แม้จะต้องเสี่ยงอันตราย แต่เขาจะไม่ยอมให้มันทำร้ายสลิลเด็ดขาด มันไม่มีสิทธิมาทำอะไรสลิลได้ทั้งนั้น ดูเหมือนว่ามันจะทำร้ายแม่ของเธอไปอย่างหนักหนาสาหัสแล้วโชคดีที่เขาตามสลิลเข้าไปมาในบ้านและรออยู่ที่ประตูหน้า เขารู้ว่าเธอไม่อยากให้เขาทำเช่นนั้น แต่สัญชาตญาณของเขามันบอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่ควรจะทำ และสัญชาตญาณของเขาก็ไม่เคยทำให้เขาผิดหวังสักครั้งวิลเลียมกระโจนเข้าใส่ดำรงตอนที่มันกำลังเผลอและทันจะได้ไปถึงตัวสลิล เขาซัดมันล้มลงกับพื้น ด้วยปริมาณแอลกอฮอล์ที่มันดื่มเข้าไป มันจึงล้มลงอย่างง่ายดาย และครั้งนี้เขาก็สามารถจับกดมันไว้ได้สำเร็จ เมื่อร่างใหญ่โตของมันล้มลงและถูกเขากดทับไว้จนดิ้นไม่หลุดแล้วนั่นแหละ ที่ในที่สุดเขาก็ได้สบตากับเธอ สลิลตัวแข็งทื่อ หวาดกลัว ไม่กล้าขยับเ
“เราถึงแล้วค่ะ”สลิลผงกศีรษะขึ้นจากไหล่แกร่งที่ใช้เป็นที่พักพิงมาตลอดทันทีที่ภาพเบื้องหน้าเริ่มคุ้นตา บ้านหลังเดิมที่เต็มไปด้วยความทรงจำอันเลวร้าย และคืนนี้ก็คงจะไม่ได้มาสร้างความทรงจำที่ดีใด ๆ เช่นกัน“นั่นแหละค่ะ บ้านฉัน แต่ทำไมมันถึงได้ดูมืดขนาดนี้นะ ฉันไม่ชอบเลย”ความหวาดกลัวระลอกใหม่เข้าครอบงำเธอ บางทีเธออาจจะมาช้าเกินไป ไอ้สารเลวนั่นอาจจะพาแม่ของเธอหนีไปแล้วก็เป็นได้“จอดตรงนี้ค่ะ” เธอปลดเข็มขัดนิรภัยออกอย่างรวดเร็ว “รออยู่ที่นี่นะคะ ฉันจะเข้าไปดูข้างในเองค่ะ”สลิลรีบกระโดดลงจากรถก่อนที่วิลเลียมจะทันได้โต้แย้ง เธอรู้ดีว่าเขาเป็นคนอย่างไร เธอมั่นใจว่าเขาจะต้องอยากจะไปกับเธอ อยากจะมาช่วยชีวิตเธอ เพราะเขาคืออัศวินตัวจริง แต่เธอต้องการให้เขาอยู่ในรถ เธอไม่อยากให้เขามาเห็นความยุ่งเหยิงในชีวิตครอบครัวของเธอ เธอไม่อยากให้เขามาเห็นมันด้วยตาตัวเองจริง ๆ เพราะมันมากเกินไปเธอผลักประตูหน้าบ้า