แม่สายทำท่าทางตกใจไม่น้อยราวกับไม่เชื่อหูที่ได้ยิน นรินทร์ขมวดคิ้วเล็กน้อยมองเอียงหน้ามองแม่สายอย่างไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อแม้จะอยากรู้เสียเต็มประดาว่าทำไมแม่สายภรรยาผู้ใหญ่บ้านที่เธอไม่รู้จักถึงได้มีท่าทีแบบนั้น
“เก็บข้าวของเรียบร้อยข้าจะพาทีมคุณนรินทร์ไปไหว้ศาลเจ้าปู่ประจำหมู่บ้านเสียก่อนค่อยหาข้าวปลากินกัน”
“ทำไมต้อง…อะ...อ้าว” นรินทร์ไม่ทันได้ถามแม่สายก็ชิงเดินนำหน้าไปก่อนเสียแล้ว ทิ้งความสงสัยว่าทำไมแม่สายถึงได้รู้ชื่อของเธอไว้ในใจ นรินทร์ตั้งท่าที่จะเดินตามแม่สายให้ทันแต่ก็ถูกมือหนาของเทวินคว้าแขนไว้เสียก่อน
“หัวหน้าคุยอะไรกันหรือครับ? ท่าทางดูตกใจขนาดนั้น” เทวินเอ่ยถาม
“ไม่”
“หือ? อะไรนะครับ”
“ไม่ยุ่งสักเรื่องได้มะ?” เอ่ยตอบพร้อมยักคิ้วอย่างกวนๆ
“โห่…หัว…”
ไม่ทันได้ตอบภากรณ์ก็เดินเข้ามาแทรกกลางทั้งสองทำเอาเทวินถึงกับยอมละมือที่คว้าจับแขนของนรินทร์เอาไว้ออกแทบจะทันที เทวินหันไปมองตามหลังภากรณ์ขบเคี้ยวเขี้ยวฟันอย่างไม่พอใจกับการกระทำของภากรณ์นัก
“รีบไปกันเถอะ แม่สายบอกว่าจะพาเราไปไหว้ศาลเจ้าปู่ของหมู่บ้าน”
นรินทร์บอกเทวินก่อนจะหันไปทางรุ่นน้องในทีมที่เดินเหนื่อยหอบตามมาติดๆด้านหลัง ทุกคนพยักหน้ารับอย่างเหนื่อยล้า
คำว่าไม่ไกลของคนบ้านป่านั้นไม่เท่ากันกับคนในเมืองเอาเสียเลย ทุกคนแบกเป้แบ็คแพ็คใบใหญ่สำหรับใส่สัมภาระของตนเดินตามแม่สายไปจนในที่สุดก็ถึงบ้านที่ผู้ใหญ่บ้านจัดเตรียมไว้ให้
บ้านไม้หลังใหญ่ยกสูงใต้ถุนบ้านโล่งโปร่งมีไม้ไผ่คาดไว้คาดว่าน่าจะเอาไว้ตากผ้าผ่อน มีแคร่ใหญ่ตั้งอยู่หน้าบ้านเอาไว้ให้มานั่งกินข้าวกินปลารับแขกกัน ห้องน้ำอยู่หลังบ้านแยกออกจากตัวบ้านชัดเจนแต่ที่น่ารื่นรมย์ใจคือหน้าบ้านหันไปทางทะเล บ้านนี้ติดกับทะเลเดินออกไปไม่กี่อึดใจก็ถึงชายหาด ลมทะเลโกรกตลอดเวลาทำให้ไม่รู้สึกร้อน
นรินทร์หันไปตามทิศทางลมก็เห็นทะเลกว้างสุดลูกหูลูกตาอยู่ไม่ไกลนัก แววตาเธอเป็นประกายขึ้นมาอย่างอึ้งทึ่งกับภาพตรงหน้า แม้จะเป็นเหมือนบ้านชนบทในยุค80 แต่ก็ถือปฏิเสธไม่ได้ว่าบรรยากาศมันสวยงามเหมือนกับมีหาดส่วนตัวอย่างไรอย่างนั้นเธออดใจไม่ได้ที่จะยกกล้องขึ้นมาบันทึกภาพตรงหน้าไว้ตามนิสัยคนทำนิตยาสาร ถ้าหากภาพเบื้องหน้าเธอถูกเผยแพร่สู่สายตาชาวโลกทุกคนคงรู้สึกทึ่งในความสวยงามของที่นี่เหมือนกันกับเธอ
“พี่นรินทร์ เอาของไปเก็บก่อนเถอะค่ะ” มินตราเดินเข้ามาหาเธอด้วยรอยยิ้มร่าหลังจากที่ถอดเป้ที่แบกมาตลอดทางไปเก็บไว้เรียบร้อยแล้ว
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปเก็บกระเป๋าแล้วเราไปสถานที่สำคัญของที่นี่กันเลยโชคดีจริงๆที่คุณสายแนะนำ”
นรินทร์ชะงักไปเมื่อเห็นมินตรามองค้างไปอีกทาง เธอจึงหันไปตามสายตาของรุ่นน้องก่อนจะอึ้งค้างเช่นกันเงาดำที่ทอดผ่านร่างแม่สายเมื่อครู่นั้นราวกับไม่ใช่เงามนุษย์มินตรา
มินตราและนรินทร์มองตากันอยู่เสี้ยววินาทีก่อนจะปรับสีหน้าให้เป็นปกติต่างคนก็ต่างพยายามคิดว่าแค่ตาฝาดไปโดยไม่ได้นัดหมาย
“คุณนรินทร์ชอบที่นี่ไหมคะ?” เสียงของแม่สายพูดขึ้นก่อนจะเดินตรงเข้าไปหาสองสาวด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้มจางๆ นรินทร์หันไปตามเสียงก่อนจะยิ้มเจื่อนแล้วพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น…ก็อยู่ที่นี่…หมายถึงอยู่นานๆนะคะ”
“คะ? อ๋อ…อยู่สักพักเลยล่ะค่ะ” นรินทร์ตอบอย่างเสียไม่ได้ในใจยังคงหาเหตุผลทางวิทยาศาสตร์มาหักล้างภาพที่เห็นนี่กลางวันแสกๆคงไม่น่าจะเป็นเรื่องลี้ลับไปได้
“แม่สายจะพาพวกเราไปไหว้ศาลเจ้าปู่ใช่ไหมคะ?” มินตรารีบตัดบทมาถามแม่สายเพราะตอนนี้เธอเริ่มต้องการสิ่งศักดิ์สิทธิ์องค์ไหนก็ได้ให้มาคุ้มครองโดยด่วนไม่ว่าสิ่งที่เห็นจะตาฝาดหรือเปล่าก็เถอะ
“นั่นสิคะ ว่าแต่…เจ้าปู่ที่แม่สายพูดถึงนี่คือ….” นรินทร์อดสงสัยไม่ได้ที่เห็นแม่สายเอาแต่เรียกเจ้าปู่ๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเจ้าปู่ที่เธอศึกษามาไหม มินตราแอบคิดอยู่ในใจว่าจะน่ากลัวเหมือนในหนังผีหรือเปล่า คนชนบทชอบนับถือผีถือสางน่ากลัวๆ
“เจ้าปู่คือ…พญานาคราชน่ะค่ะ คนในหมู่บ้านนับถือกันมานานหลายชั่วคน เจ้าปู่ปกปักรักษาคนที่นี่” แม่สายตอบพร้อมรอยยิ้มดวงตาเป็นประกายเต็มไปด้วยความศรัทธาออกมาจากคำพูดที่กล่าวถึงเจ้าปู่ที่ว่า
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน
เสียงร้องห่มร้องของไห้ของเหล่าบริวารที่รับใช้เจ้าแม่นางมานานนั้นกลับกลายเป็นเสียงที่เงียบที่สุดเมื่อจอมกษัตริย์นาคาคำรามลั่น ธารานาคาบริวารผู้ที่จงรักภักดีต่อเจ้าแม่นางด้วยใจจริงเนื่องด้วยหัวใจของนาคาหนุ่มผู้นี้นั้นหลงรักเจ้าแม่นางมาตั้งแต่ก่อนพญาเพชรแก้วและนางจักได้เจอกันเสียอีก ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตนอยู่เสมอจึงมิคิดอาจเอื้อมเป็นอื่น ขอเพียงได้ดูแลตามหน้าที่แต่ทว่าบัดนี้นั้นนางได้ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาไปเสียแล้ว ธาราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมือกำหมัดแน่น สายตาเพ่งมองร่างของเพชรฆาตที่ขาดเป็นสองท่อนเพราะครีบเกล็ดของเจ้าจอมนาคา อีกทั้งนางคีภทัรายังย่างก้าวเข้ามาเตรียมจักหยิบคว้ากริชนั้นขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทั้งธาราและรัตนาเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ากริชนาคามาเสียก่อนที่นางคีภทัราจะเอื้อมถึงมัน เพราะเป็นกริชศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงเจ้าของถึงจะทนจับมันได้ นาคาและนาคีทั้งสองกรีดร้อ
ราวกับรับรู้ว่าพญาเพชรแก้วจะกลับมายังวังบาดาลคืนนี้ คีภัทราจึงได้ตระเตรียมแผนการเอาไว้ ไม่หนำซ้ำยังร่ายมนต์บังไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปได้ เหล่าบริวารจะไม่สามารถรับรู้ได้แน่เนื่องจากความหยั่งรู้ในบุญบารมีนั้นต่างกัน ธาราเองเมื่อเห็นว่าไม่มีพญานกอย่างที่บริวารว่าก็รีบรุดหน้ากลับมายังหอนอนเพื่อเฝ้าเจ้าแม่นางของตนแต่ก็เห็นว่าประตูปิดอยู่คิดว่านางนาคีบริวารทั้งสองคงจะจัดการเรื่องเจ้าแม่นางเรียบร้อยดีแล้วจึงออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ ธาราแลเห็นการกลับมาของพญาเพชรแก้วชายผู้เป็นที่รักของเจ้าแม่นางก็เตรียมจะเข้าไปทำความเคารพและแจ้งเรื่องที่นรินธราล้มหลับไป แต่ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัดไปเสียหมดคีภัทราวิ่งโร่เข้าไปหาพญาเพชรแก้วที่พึ่งกลับมาจากศึก ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดเนื่องด้วยเห็นว่าเจ้าจอมกษัตริย์นั้นเกรี้ยวกราดเต็มที่เจ้าแม่นางถูกจองจำอยู่ในคุกนาคาไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรพญาเพชรแก้วกลับเลี่ยงที่จะฟัง แม้จักเป็นคำพูดของหญิงผู้เป็นที่รักอย่างนรินธราก็ตามที ธาราเห็นทีจักทนไม่ไหวจึงตั้งหน้าไปเข้าเฝ้าเจ้าจอมกษัตริย์ด้วยตนเอง“ข้าแต่องค์กษัตริย์แห่งเหล่าน