“ไปกันใหญ่แล้วมึง เห็นกูเป็นพระถังซัมจั๋งเหรอถึงได้คิดว่ามันเคารพกูน่ะ” นรินทร์พูดตอบนิลนนท์ด้วยน้ำเสียงทีเล่นทีจริงอย่างยิ้มๆ ก่อนจะหันมาส่ายหน้าไปมากับสิ่งที่นิลนนท์พูด
“แต่กูเชื่ออย่างนั้นนะ...” นิลนนท์ตอบพร้อมกับรอยยิ้มขี้เล่น นรินทร์จึงหัวเราะออกมาเบาๆ คิดว่านิลนนท์คงพูดหยอกล้อต่อมุขเธอเล่น เธอจึงไม่ได้ตอบอะไรออกไปก่อนจะมีเพื่อนรุ่นน้องในทีมจะกล่าวเสริม
“พี่นิลนนท์พูดเหมือนกับอ่านใจงูได้อย่างนั้นแหละ” มินตราที่นั่งติดกระจกรถข้างๆนิลนนท์พูดขึ้นแล้วมองนิลนนท์อย่างสงสัย เพราะเธอก็เห็นเขาจ้องมองงูเหมือนกับกำลังคุยกับมันอย่างไรอย่างนั้น
“มินตรา มึงเชื่อเรื่องแบบนี้ด้วยเหรอ...สาวคลั่งเทคโนโลยีอย่างมึงเนี่ยนะ” เทวินที่นั่งอยู่ข้างหลังกับภากรณ์พูดขึ้นและมองมินตราอย่างไม่อยากเชื่อ คนอื่นๆก็มองเทวินก่อนจะหันกลับมามองมินตราเช่นกัน
“เปรียบเปรยจ้ะ เขาเรียกว่าเรียกว่าเปรียบเปรย” มินตราตอบอย่างไม่ใส่ใจนัก
“อาจจะคุยรู้เรื่องก็ได้ พวกอสรพิษ…เลี้ยงไม่เชื่องอยู่แล้ว…พวกมันชอบสุ่มเงียบแล้วค่อยแอบฉกเหยื่อที่จ้องไว้ซะด้วยสิ...”
ภากรณ์ที่นั่งเงียบอยู่นานพูดขึ้นเขาตั้งใจจะจิกกัดนิลนนท์ ทุกคนต่างหันไปมองภากรณ์อย่างไม่สบอารมณ์นักและทุกคนก็ต่างสงสัยว่าเขาตามนรินทร์มาทำไมที่นี่ อีกอย่างใครจะชอบนรินทร์หรือมาจีบเธอก็ไม่ผิดเสียหน่อย เพราะเธอนั้นเซ็นใบหย่าเรียบร้อยแล้วเท่ากับว่าเป็นหม้ายเนื้อหอม
“งูไปหมดแล้วครับ…ผมนี่ตกใจแทบแย่”
ลุงคนขับรถร้องบอกคนในรถอย่างนึกโล่งอกก่อนจะเช็ดเหงื่อในมือกับกางเกงยีนส์เกิดมาเป็นครั้งแรกที่ได้เห็นงูตัวใหญ่ขนาดนี้หากว่าไม่ได้อยู่บนรถเขาคงจะทำอะไรไม่ถูก นรินทร์เองก็รู้สึกไม่ต่างจากลุงคนขับรถเธอเห็นด้วยในใจแต่ไม่แสดงออกเพราะไม่อยากให้คนในทีมใจเสีย
“งั้นเราก็ไปกันต่อเถอะค่ะ”
หนทางยังอีกยาวไกลกว่าจะถึงที่หมายนรินทร์ตัดบทเพื่อให้ถึงที่หมายก่อนมืดค่ำ ลุงคนขับทำใจแข็งจับพวงมาลัยไปต่อพลางสายตามองสอดส่องสองข้างทางอย่างระแวดระวัง กลัวจะเจออย่างเมื่อครู่ที่ทำเอาใจหายใจคว่ำไปเสียหมด
ไม่เกินอึดใจรถตู้กระจกทึบก็แล่นเข้ามาในเขตของหมู่บ้านบูรบุรี หมู่บ้านที่ตั้งอยู่หลังภูเขาลูกหนึ่งของภาคตะวันออก เส้นทางเข้าคดเคี้ยวลำบากยากเข็ญจนไม่คิดว่ารถยนต์จะเข้ามาได้ เพราะเหตุนี้หมู่บ้านนี้จึงถูลืมเลือนราวกับว่าไม่มีอยู่ในแผนที่ประเทศไทยและเป็นหมู่บ้านที่ความเจริญเข้าไม่ถึงแม้ว่าโลกภายนอกจะพัฒนาไปไกลแค่ไหนก็ตาม
รถตู้แล่นเข้ามาจอดหน้าที่ว่าการผู้ใหญ่บ้านสถานที่สำคัญของชุมชนที่คอยคุมกฏระเบียบของคนในหมู่บ้านเพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างสันติสุข
ทีมนิตยสารของสำนักพิมพ์ชื่อดังลงจากรถมาทักทายผู้ใหญ่บ้านที่ยืนรอต้อนรับด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงใหญ่ใส่แค่โสร่งพันรอบเอว ด้านบนถอดเสื้อพาดผ้าขาม้าบนบ่าเนื้อตัวเต็มไปด้วยรอยสักราวกับชายยุคโบราณยกมือรับไหว้พวกเธอ
แม้แต่ภรรยาของผู้ใหญ่บ้านก็ดูสวยสง่าในชุดผ้าซิ่นแบบพื้นบ้านเสื้อคอจีนสีขาวพอดีตัวแขนสามส่วนส่งเสริมให้บุคลิกของเธอดูมีราศีกว่าชาวบ้านทั่วไป หน้าตายังดูสะสวยอายุอานามของเธอคงจะห่างกับผู้ใหญ่บ้านหลายปี
“สวัสดีพวกคนเมือง นึกว่าจะพากันมาไม่ถูกเสียแล้ว”
ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยทักทายขึ้นด้วยรอยยิ้มก่อนจะหันหน้าไปมองนรินทร์นิ่งค้างไปชั่วขณะแล้วพยักหน้ากลมใหญ่นั้น ไม่ต่างจากภรรยาของผู้ใหญ่บ้านที่เธอเองก็กำลังจ้องมองนรินทร์อย่างไม่ละสายตามาได้พักใหญ่
“เกือบจะมาไม่ถึงแล้วผู้ใหญ่ ระหว่างทางมีงูตัวเบ่อเร่อขวางรถเอาไว้ ใจผมนี่ตกไปถึงตาตุ่มเลยเชียว” คนขับรถอดไม่ได้ที่พูดถึงเรื่องที่น่าระทึกใจยังจำได้ติดตาอยู่เลย รีบฟ้องผู้ใหญ่บ้านทันที
“งั้นรึ? …บ้านป่าเมืองเถื่อนก็เป็นอย่างนี้แหละ เอาล่ะ…ข้าเตรียมบ้านไว้ให้แล้ว เดี๋ยวแม่สายเมียข้าจะนำทางไป”
ผู้ใหญ่บ้านพูดแค่นั้นก่อนจะหันไปพยักหน้าให้ภรรยาที่ยืนอยู่ข้างกาย แม่สายภรรยาผู้ใหญ่ก็พยักหน้าก่อนจะเดินนำทางเหล่าคณะทีมของนรินทร์ไปด้านหลังบ้านของผู้ใหญ่บ้าน แอบเดินชะลอคอยให้หญิงสาวที่เจ้าหล่อนได้จ้องมองไว้เดินตามมาได้ทันก่อนจะเอียงหน้าไปถามชื่อแส้บ้านเกิดเมืองนอน
“คุณมาจากที่ไหนเหรอ?” แม่สายเอ่ยถามนรินทร์ที่เดินอยู่ข้างหลังเธอเพียงเล็กน้อยใกล้ๆ
“กรุงเทพค่ะ…”
“ไม่ใช่ ข้าหมายถึงบ้านเกิด”
“อ๋อ…เป็นคนทางเหนือค่ะ นครพล...เมืองแพรก”
“จริงรึนี่…ไม่น่าเชื่อ”
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน
เสียงร้องห่มร้องของไห้ของเหล่าบริวารที่รับใช้เจ้าแม่นางมานานนั้นกลับกลายเป็นเสียงที่เงียบที่สุดเมื่อจอมกษัตริย์นาคาคำรามลั่น ธารานาคาบริวารผู้ที่จงรักภักดีต่อเจ้าแม่นางด้วยใจจริงเนื่องด้วยหัวใจของนาคาหนุ่มผู้นี้นั้นหลงรักเจ้าแม่นางมาตั้งแต่ก่อนพญาเพชรแก้วและนางจักได้เจอกันเสียอีก ด้วยความเจียมเนื้อเจียมตนอยู่เสมอจึงมิคิดอาจเอื้อมเป็นอื่น ขอเพียงได้ดูแลตามหน้าที่แต่ทว่าบัดนี้นั้นนางได้ถูกสังหารต่อหน้าต่อตาเขาไปเสียแล้ว ธาราขบเขี้ยวเคี้ยวฟันมือกำหมัดแน่น สายตาเพ่งมองร่างของเพชรฆาตที่ขาดเป็นสองท่อนเพราะครีบเกล็ดของเจ้าจอมนาคา อีกทั้งนางคีภทัรายังย่างก้าวเข้ามาเตรียมจักหยิบคว้ากริชนั้นขึ้นด้วยรอยยิ้ม ทั้งธาราและรัตนาเห็นอย่างนั้นก็รีบพุ่งเข้าไปคว้ากริชนาคามาเสียก่อนที่นางคีภทัราจะเอื้อมถึงมัน เพราะเป็นกริชศักดิ์สิทธิ์ที่มีเพียงเจ้าของถึงจะทนจับมันได้ นาคาและนาคีทั้งสองกรีดร้อ
ราวกับรับรู้ว่าพญาเพชรแก้วจะกลับมายังวังบาดาลคืนนี้ คีภัทราจึงได้ตระเตรียมแผนการเอาไว้ ไม่หนำซ้ำยังร่ายมนต์บังไว้มิให้ผู้ใดเข้าไปได้ เหล่าบริวารจะไม่สามารถรับรู้ได้แน่เนื่องจากความหยั่งรู้ในบุญบารมีนั้นต่างกัน ธาราเองเมื่อเห็นว่าไม่มีพญานกอย่างที่บริวารว่าก็รีบรุดหน้ากลับมายังหอนอนเพื่อเฝ้าเจ้าแม่นางของตนแต่ก็เห็นว่าประตูปิดอยู่คิดว่านางนาคีบริวารทั้งสองคงจะจัดการเรื่องเจ้าแม่นางเรียบร้อยดีแล้วจึงออกไปทำหน้าที่ของตนต่อ ธาราแลเห็นการกลับมาของพญาเพชรแก้วชายผู้เป็นที่รักของเจ้าแม่นางก็เตรียมจะเข้าไปทำความเคารพและแจ้งเรื่องที่นรินธราล้มหลับไป แต่ทว่าทุกอย่างกลับตาลปัดไปเสียหมดคีภัทราวิ่งโร่เข้าไปหาพญาเพชรแก้วที่พึ่งกลับมาจากศึก ก่อนจะเกิดเรื่องขึ้นโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดเนื่องด้วยเห็นว่าเจ้าจอมกษัตริย์นั้นเกรี้ยวกราดเต็มที่เจ้าแม่นางถูกจองจำอยู่ในคุกนาคาไม่ว่าใครจะพูดอย่างไรพญาเพชรแก้วกลับเลี่ยงที่จะฟัง แม้จักเป็นคำพูดของหญิงผู้เป็นที่รักอย่างนรินธราก็ตามที ธาราเห็นทีจักทนไม่ไหวจึงตั้งหน้าไปเข้าเฝ้าเจ้าจอมกษัตริย์ด้วยตนเอง“ข้าแต่องค์กษัตริย์แห่งเหล่าน