“พญานาค? ทำไมถึงชอบนับถือกันนะ…คนในหมู่บ้านเคยเห็นเหรอคะ?” มินตราพูดพร้อมกับทำท่านึกสงสัย ก่อนจะหันไปถามแม่สายด้วยความอยากรู้จนลืมสิ่งที่ผ่านสายตาไปเสียสนิท
“ไม่มีใครเห็นหรอกค่ะ…แต่มันมีปรากฏการณ์หลายอย่างที่ทำให้รู้ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยเสียงเรียบ
“ไม่เคยเห็นแล้วทำไมถึงได้เชื่อขนาดนั้นกันนะ เหตุการณ์ที่ว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญหรือวิทยาศาสตร์ก็ได้” นรินทร์พูดขึ้นอย่างไม่เชื่อ แม่สายหันไปจ้องมองนรินทร์ด้วยใบหน้าเรียบเฉยแต่แววตาของแม่สายนั้นดูเหมือนจะไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นักที่ได้ยินแบบนั้น
“เอ่อ…เรามาเพื่อศึกษประเพณีของชาวบ้าน ไม่ได้มาลบหลู่สิ่งที่ชาวบ้านศรัทธานะคะ” นรินทร์เอ่ยขึ้นหลังจากที่รับรู้ว่าเรื่องความเชื่อนี้ยากที่จะแตะต้อง ในเมื่อเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม
“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณนรินทร์…สิ่งที่มองไม่เห็นมันก็ยากที่จะเชื่อ…แต่ก็ไม่ใช่ว่ามีอยู่จริง” แม่สายเอ่ยด้วยรอยยิ้มจางๆจ้องมองนรินทร์ราวกับมีนัยบางอย่าง
“โห…ประโยคคลาสสิคที่เคยได้ยินในหนังเลย” มินตราพูดเหมือนล้อเล่นแต่มันก็ไม่ผิดอย่างที่มินตราพูดเลย นรินทร์จึงทำได้แค่ยิ้มๆ แต่ก็แอบทำหน้าดุเพื่อนตัวเองไปหนึ่งทีกลัวว่าจะโดนชาวบ้านเกลียดจนหาข้อมูลไม่ได้ เธออยากมาทำงานแบบไม่มีปัญหากับชาวบ้านจะได้ทำงานสงบๆและสะดวกมากขึ้น
“เอ่อ…ฉันว่าเราไปกันเถอะค่ะ ศาลเจ้าปู่ที่แม่สายว่า…ถือว่ามาขออนุญาตเจ้าที่เจ้าทางแล้วกันค่ะ”
นรินทร์พูดตัดบทก่อนที่เรื่องมันจะไปกันใหญ่ แม่สายเองก็พยักหน้าแล้วหันมายิ้มให้นรินทร์ด้วยแววตาที่ดูเอ็นดูเธอเหลือเกิน ก่อนจะเดินนำทีมสาวๆไปยังศาลโดยมีพวกผู้ชายตามมาทีหลัง
เดินเข้าหมู่บ้านไปได้ไม่นานก็เห็นชาวบ้านต่างพากันเข้าไปโบราณสถานขนาดย่อมกลางหมู่บ้าน จะเรียกว่าศาลคงจะไม่ถูกมันเหมือนกับเทวาลัยเสียมากกว่า เพราะถือว่ามันค่อยข้างใหญ่พอสมควรกินพื้นที่กลางหมู่บ้านไปประมาณห้าไร่เห็นจะได้ที่ถือว่าเป็นเขตของศาลเจ้าปู่ที่แม่สายพูดถึง
นรินทร์และคนอื่นๆมองสถานที่แห่งนี้ด้วยความทึ่ง ศิลปะโบราณสถานแห่งนี้เหมือนในยุคทวารวดีเลื่อมเข้ายุคขอมไม่มีผิด หินอิฐมวลแดงขนาดใหญ่ทับซ้อนกันสร้างขึ้นเป็นคล้ายปราสาท แต่ทว่ามันหักพังไปหมดแล้ว เหลือแต่เพียงส่วนชั้นในแค่ห้องเล็กเท่านั้น รอบบริเวณมีชาวบ้านทำบายศรีดอกไม้พวงมาลัยมาขายล้วนแต่เป็นดอกไม้สีเหลืองและสีขาวเป็นส่วนใหญ่
“ข้าว่าพวกคุณน่าจะเอาบายศรีไปไหว้เจ้าปู่เสียหน่อย ข้าจะให้ฟรีๆไม่คิดเงินหรอก” แม่สายหันกลับมาทางนรินทร์และเพื่อนๆในทีมของเธอ แต่สายตานั้นตั้งใจมองมายังนรินทร์เสียมากกว่าที่จะบอกคนอื่นๆ
“ไม่เป็นไรค่ะ เดี๋ยวฉันจ่ายก็ได้ค่ะ ถือว่าช่วยเหลืออาชีพของชาวบ้านที่นี่” นรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างเกรงใจ
“ตามใจคุณนรินทร์เลยค่ะ…แต่ที่นี่เงินมันไม่มีค่าอะไรมากหรอกนะคะ” แม่สายเอ่ยแค่นั้นก่อนจะเดินไปยืนรอตรงทางเข้าตัวเทวาลัยอย่างเงียบๆ นรินทร์ยิ้มรับก่อนจะเดินไปรับบายศรีที่ร้านใกล้ๆตัวเองมากที่สุด พร้อมกับยื่นเงินให้ แต่หญิงสาวหน้าตาสะสวยกลับยิ้มและส่ายหน้าด้วยท่าทางเรียบร้อย จ้องมองเธอราวกับดีใจที่ได้เจอ
“ไม่รับเงินหรือคะ? ถ้าไม่มีทอนฉันสแกนจ่ายได้นะคะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ สำหรับคุณคนสวยฉันยกให้” หญิงสาวพูดจบก็ยกบายศรีขนาดใหญ่เกินกว่าที่เห็นวางเรียงรายไว้หน้าโต๊ะขาย นรินทร์ขมวดคิ้วสงสัยแต่ก็ยอมรับบายศรีพญานาคห้าเศียรนั้นมาแต่โดยดีและมันก็ค่อนข้างที่จะหนักพอสมควร คนในทีมไม่มีใครที่คิดจะไหว้เลย แค่มาตามคำบอกของภรรยาผู้ใหญ่บ้านเท่านั้น
“มา เดี๋ยวกูช่วย” นิลนนท์เป็นคนเดินเข้ามาช่วยเธอยกบายศรีนั้นก่อนจะหันไปมองหญิงสาวผู้ขายบายศรีและส่งยิ้มให้เล็กน้อย นรินทร์มองนิลนนท์ที่มองหญิงสาวคนนั้นก่อนจะยิ้มให้เขาหลังจากที่เขาหันกลับมาทางเธอ
“อะไร?”
“ฮั่นแน่ มึงแอบปิ๊งสาวบ้านป่าใช่มะ กูเห็นนะ” นรินทร์แซวเพราะสนิทกับนิลนนท์พอสมควรพร้อมกับเอาไหล่ไปกระทุ้งไหล่คนตัวสูงอย่างกระเซ้าเย้าแหย่ แต่นิลนนท์กลับส่ายหน้าไปมายิ้มๆก็เท่านั้นไม่ได้ตอบอะไรเธอ
“รีบไปได้แล้ว เดี๋ยวจะเลยเวลา” นิลนนท์ตอบออกไปแบบยิ้มๆ ก่อนจะเผลอพูดถึงเวลาออกมาทำเอานรินทร์ขมวดคิ้วอย่างสงสัย
“เลยเวลา? เวลาอะไร? พูดแปลกๆนะมึงเนี่ย…เป็นเพื่อนกับกูมาตั้งสิบปี ไม่เห็นจะเคยพูดแบบนี้เหมือนกับรู้อะไร”
“เอ่อ…หิวข้าวแล้วว่ะ รีบไปเร็วเถอะจะได้ไปอะไรกินแล้วดูประเพณีอื่นๆต่อ” นิลนนท์เอ่ยแบบปัดๆ และก็โชคดีที่นรินทร์ก็ยอมเข้าใจพยักหน้ายิ้มๆ ก่อนที่ทั้งสองจะเดินเคียงคู่กันไปภายใต้สายตาที่จ้องมองแผ่นหลังของคนทั้งสองอย่างไม่สบอารมณ์เท่าไหร่นัก แต่มีบางคนที่ออกจะสงสัยในความสัมพันธ์ของนิลนนท์และนรินทร์อยู่ไม่น้อย
“เทวินมึงว่าพี่นิลนนท์ชอบพี่นรินทร์หรือเปล่า?” มินตราเอ่ยถามขึ้นพลางยกมือถือถ่ายรูปทั้งสองไว้ ถ้าวันไหนข่าวลือเป็นจริงขึ้นมาเธอก็พร้อมจะแชร์ภาพทันทีเพราะเรื่องของทีมคืองานของเรา
“ไม่หรอกมั้ง แต่เห็นคอยปกป้องนรินทร์ตลอด ไม่เคยเห็นจีบจริงๆจังๆเลย หรืออาจจะแค่แอบชอบ” เทวินตอบพลางทำท่าครุ่นคิด
“ยังกูก็ว่าไม่น่าใช่นะ พี่นิลอาจจะคิดว่าพี่นรินทร์เป็นเพื่อนก็ได้” เทวินเอ่ยขึ้นพลางหัวเราะอย่างไม่เชื่อ เพราะมองๆดูแล้วสองคนนั้นไม่น่าจะมีอะไรในกอไผ่
“จ้า ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วมันช่วยให้กำลังใจตัวเองก็คิดไปเถอะ” มินตราอดไม่ได้ที่จะแซวเทวินที่จีบนรินทร์อย่างออกหน้าออกตาจนใครๆก็รู้แล้วว่าเขาตามจีบหัวหน้าทีมอย่างขะมักเขม้น
คนที่ดูจะทนฟังไม่ได้เห็นทีจะเป็นภากรณ์ที่หลังจากได้ยินทั้งสองคนพูดขึ้นก็รีบเดินตรงปรี่เข้าไปหาทั้งคู่ที่กำลังจะเดินเข้าตัวปราสาทส่วนในของโบราณสถาน ก่อนจะหยุดยืนด้านหลังของทั้งสองคนที่กำลังนั่งพับเพียบเรียบร้อยอยู่หน้ารูปปั้นพญานาคที่ถูกปั้นแกะสลักมาด้วยอิฐมวลแดงเช่นเดียวกับตัวโบราณสถาน มีเครื่องทรงเพชรนิลจินดาประดับจากความศรัทธาของชาวบ้าน เพชรตรงกลางสร้อยสังวาลย์ที่คาดคอรูปปั้นนั้นเป็นสีน้ำเงินเข้มสีเดียวกับดวงตาทั้งเจ็ดเศียร ด้านล่างเพชรน้ำเงินเป็นเพชรสีใสอมชมพูนิดๆราวกับดวงแก้ว
นรินทร์นั่งนิ่งอึ้งในความทรงพลังเบื้องหน้าเธอมองรูปปั้นนั้นอย่างนึกหลงใหลราวกับต้องมนต์สะกด การปั้นแบบอารยธรรมทวารวดีจึงไม่เหมือนกับรูปปั้นพญนาคที่เห็นตามวัดตามโบสถ์ รูปปั้นงูที่เหมือนงูจริงๆกำลังแผ่เศียรทั้งเจ็ดปกคลุมคนที่มากราบไหว้ราวกับกำลังปกป้องเหมือนมีชีวิตจริงๆ
“โห…ทำไมสวยขนาดนี้…” นรินทร์เอ่ยขึ้นอย่างไม่รู้ตัว จากที่เป็นคนตลกก็ต้องยอมนอบน้อมต่อรูปปั้นพญานาคที่น่าเกรงขามอย่างน่าประหลาดทั้งที่คนอย่างเธอไม่คิดจะเกรงกลัวสิ่งใด ปากไวยิ่งกว่าจรวดเสียอีก
“มานั่งกราบไหว้กันสองคนไม่รอทีมแบบนี้…คิดจะมาสาบานรักกันหรือไง” เสียงเข้มเอ่ยขึ้นอย่างประชดประชันพาบรรยากาศเสียไปหมด นรินทร์และนิลนนท์หันไปตามต้นเสียงด้วยใบหน้าเซ็งก่อนที่นรินทร์จะเอ่ยตอบขึ้น
“หุบปากดิ! ถ้าไม่คิดจะมาไหว้ก็ลงไปเถอะ เสียเวลาคนอื่น”
“ทำไม? นึกรังเกียจผัวตัวเองเหรอไงถึงมาไหว้ด้วยไม่ได้” ภากรณ์พูดขึ้นด้วยความหึงหวง
“ผัวเก่า พูดผิดพูดใหม่ด้วย” นรินทร์ตอบเน้นย้ำคำอย่างหนักแน่น
“นรินทร์!”
“ผมว่าคุณภากรณ์ไปคุยกับผมข้างล่างดีกว่าครับถ้าสงสัยมากนัก…นรินทร์มึงไหว้ก่อนเถอะอย่าเสียเวลาเลย” นิลนนท์พูดกับภากรณ์เสียงแข็งก่อนจะหันไปพูดกับนรินทร์เสียงอ่อนแล้วเดินไปประจันหน้ากับภากรณ์ที่จ้องมองเขาเขม็งและเขาก็ไม่ยอมเช่นกัน ก่อนที่นิลนนท์จะเดินชนไหล่ภากรณ์เดินนำออกไปและภากรณ์ก็ยอมเดินตามออกไปแต่โดยดี
นรินทร์มองตามหลังคนทั้งคู่ก่อนจะทอดถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายแล้วหันกลับไปยกมือไหว้รูปปั้นข้างหน้าถวายบายศรีที่ได้รับมาอย่างงงๆ ในใจตอนไหว้เธอไม่ได้รู้สึกศรัธทาแต่อย่างใด แค่มาไหว้ขออนุญาตทำงานให้งานราบรื่นจนถึงวันกลับเหมือนขอเจ้าที่เจ้าทางก็เท่านั้น
เสียงฝีเท้าเดินมาจากข้างหลังแต่เธอไม่ได้หันกลับไปมอง แค่รู้ว่ามีคนมานั่งไหว้กับเธอเหมือนกันแต่ก็คิดว่าคงเป็นทีมงานของเธอจึงไม่ได้สนใจนัก วินาทีหันกลับจะลุกขึ้นก็พลาดท่าขาพลิกเสียได้ทำให้จะล้มลงไปอีกรอบแต่คนข้างๆกลับรีบคว้าตัวเธอรับไว้ทัน
…เดี๋ยวนะ…เขาหน้าเหมือนคนในฝันเลย…
ทั้งสองจ้องมองกันอยู่นานแววตาของเขาที่มองเธอนั้นราวกับว่ารู้จักกันมาก่อน สายตาคมจ้องมองเธออย่างอ่อนโยนและให้ความรู้สึกที่เต็มไปด้วยความคิดถึง หรือเธออาจจะคิดไปเอง
“ขะ…ขอโทษค่ะ”
“เป็นอะไรไหมครับ…”
เดินจนเหงื่อตกแทบจะไม่เหลือแรง ภากรณ์หยุดหอบหายใจยืนเท้าสะเอวอย่างหัวเสีย จากที่เดินมายังเทวาลัยมันไม่ได้ไกลขนาดนี้เลย เขาเหลียวกลับไปมองพนิตาที่อยู่ในสภาพไม่ต่างจากเขา อีกทั้งยังทำหน้าบึ้งตึงมองเขาด้วยความไม่พอใจ ดูก็รู้ว่าเธอคิดว่าเขานั้นหลงนั้นแน่ๆ แต่ภากรณ์จำได้ดีว่าทางนี้ก่อนที่จะหันกลับไปมองทางข้างหน้า ภากรณ์หรี่ตาเล็กน้อยเมื่อเห็นหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งเดินอยู่ไม่ไกลจากเขานัก รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้น“โอ้ย นิตาเดินไม่ไหวแล้วนะคะกรณ์”“เงียบก่อนนิตา นั่นไง เห็นไหม?” ภากรณ์พูดพลางชี้ไปที่หญิงสาวชาวบ้านด้วยท่าทางดีใจ ก่อนจะรีบเดินเข้าไปหาหญิงสาวคนนั้น พนิตาชะเง้อมองแล้วรีบเดินตามภากรณ์ไป“ขอโทษนะครับ…บ้านหลังใหญ่ท้ายหมู่บ้านไปทางไหน?” หญิงสาวหันกลับมามองทางเขาที่เอ่ยถามด้วยท่าทางดีใจ ใบหน้าสวยสดงดงามไม่เคยเห็นมาก่อนในหมู่บ้าน ภากรณ์ขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะยกยิ้มขึ้น“บ้านคุณพชรหรือคะ?” หญิงสาวนิรนามเอ่ยเสียงหวานพร้อมรอยยิ้ม ภากรณ์มองจ้องหญิงสาวค้างด้วยสายตาเจ้าเล่ห์ตามประสาผู้ชายเจ้าชู้เวลาเจอ
เมื่ออาการดีขึ้นนรินทร์และพชรก็เดินลงมาเจอทุกคนที่นั่งคุยกันอยู่ในห้องรับแขกชั้นล่างของตัวบ้าน ทุกคนต่างมองไปทางเดียวกัน มินตราเห็นอย่างนั้นก็รีบเดินเข้าไปหานรินทร์ทันทีด้วยสีหน้าดีอกดีใจ “พี่นรินทร์! ไม่เป็นไรแล้วใช่ไหมคะ?” เธอเอ่ยถามพลางจับที่มือของนรินทร์เบาๆ “อือ ไม่เป็นไรแล้ว” “น่าแปลกที่พอพี่มาอยู่ที่นี่เป็นลมบ่อย เมื่อก่อนยังแบกลังหนังสือหนักๆได้เลย” มินตราพูดอย่างนึกสงสัย เพราะนรินทร์หัวหน้าทีมของเธอค่อนข้างที่จะเป็นคนแข็งแรงมากพอสมควร ไม่น่าจะเป็นคนที่ล้มพับบ่อยขนาดนี้แท้ๆ “นั่นสิ พี่ก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน…” นรินทร์เอ่ยตอบพลางยิ้มแห้งหลบเลี่ยงสายตาของมินตรา เธอไม่กล้าบอกคนในทีมว่าไปเจออะไรมาบ้างไม่อย่างนั้นคนในทีมคงจะกลัวจนไม่กล้าอ
“สำนักพิมพ์ไดมอนด์!!! นี่มันไม่เล็กน้อยแล้วนะคะคุณแสงศร” มินตราเอ่ยขึ้นด้วยดวงตาวาวเป็นประกายใบหน้าของเธอแสดงออกว่าชื่นชมมากเป็นพิเศษ มินตราแทบไม่อยากเชื่อว่าเธอจะได้มายืนอยู่ข้างๆเจ้าของสำนักพิมพ์ที่ประสบความสำเร็จในระยะเวลาอันรวดเร็วขนาดนี้“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับคุณมินตรา” แสงศรยิ้มตอบมินตราเธอดูจะรู้จักสำนักพิมพ์มากกว่าใครในทีมแม้แต่นิลนนท์เองก็ยังไม่เคยรู้ชื่อเสียงของสำนักพิมพ์มาก่อน“สำนักพิมพ์นี้ดังมากเหรอวะ?” เทวินกระซิบถามเบาๆไม่ให้แสงศรได้ยิน“มึงหัดทำงานบ้างนะไอ้วิน ไม่ใช่ให้โยนให้กูทำจะได้รู้เรื่องกับเขาบ้าง สำนักพิมพ์ไดมอนด์มีทั้งแบบหนังสือรูปเล่ม นิตยสาร เว็บไซด์อีบุ๊ค ไม่ล้าหลังเหมือนสำนักพิมพ์เราหรอกนะ”มินตราร่ายยาวอย่างภาคภูมิใจในความรู้ของตัวเองเพราะเธอเองก็เป็นแฟนพันธ์แท้หนังสือของสำนักพิมพ์นี้เช่นกัน นักอ่านส่วนใหญ่มักจะรู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นอย่างดี หากโลคอลเทรนไม่มีคอลัมม์ของนรินทร์ก็คงจะไม่มีอะไรน่าสนใจแล้ว แตกต่างกับหนังสือและสื่อของสำนักพิมพ์ไดมอนด์อย่างสิ้นเชิงที่มีทั้งเรื่องราววัฒนธร
ชุดไทยสีแดงแปรเปลี่ยนเป็นสีขาวอย่างน่าทึ่ง ชาวบ้านพากันโห่ร้องด้วยความตกใจปนทึ่ง แม่สายหันไปพยักหน้าให้เหล่านักดนตรีชาวบ้านก่อนจะบรรเลงเพลงที่อ่อนช้อย ซึ่งเป็นบทเพลงที่แตกต่างจากทางด้านภาคตะวันออกเฉียงใต้ที่จะค่อนข้างเร็ว แต่เพลงรำถวายนี้กลับเป็นการรำอ่อนช้อยเหมือนนางรำในราชวังอย่างไรอย่างนั้น“ไม่เหมือนที่แม่ซ้อมให้ไม่ใช่หรือ?” ผู้ใหญ่บ้านเอ่ยถามพลางหันไปมองแม่สายผู้เป็นภรรยา“รำนารีบารมี…เป็นรำที่ไม่ใช่ใครก็รำได้ นางโดนสิงอยู่แน่ๆ…” แม่สายเอ่ยพลางมองจ้องไปยังนรินทร์ที่กำลังเริ่มร่ายรำเสียงฆ้องดังสลับกับเสียงตะโพนในจังหวะเนิบๆ เมื่อเธอกระทืบเท้าหมุนตัวหันมาก็เป็นเสียงเป่าสังข์ดังก้องกังวาน พระจันทร์ด้านบนที่ขึ้นพอดีกับปลายยอดเทวาลัยเกิดปรากฏการณ์จันทร์ทรงกลด ชาวบ้านต่างฮือฮาเมื่อเห็นภาพตรงหน้าราวกับภาพวาดรอยยิ้มหวานบางๆเปื้อนใบหน้า เธอสวยงามไม่ต่างจากในอดีตเลย…ทุกคนในทีมต่างอึ้งทึ่งมองเธอจนไม่กระพริบตา พชรเองก็ไม่ต่างกัน…สายตาคมเอ่อคลอเคลือบไปด้วยน้ำตาใส จ้องมองหญิงสาวที่รำอยู่ตรงหน้าด้วยความรู้
งานบวงสรวงถูกจัดขึ้นหน้าเทวาลัย แสงเทียนแสงตะเกียงถูกประดับประดาอย่างสวยงาม มันคืองานบวงสรวงที่ผิดกับภาพจำเธอไปเสียหน่อยเพราะว่ามันถูกจัดขึ้นตอนกลางคืน ท่ามกลางพระจันทร์เต็มดวง เธอต้องรำถวายลานหน้าเทวาลัยที่มืดสลัวนั้นนรินทร์ถูกมินตรารุ่นน้องคนสนิทจับนั่งแต่งหน้าอยู่ที่บ้านผู้ใหญ่ หลังจากที่ถูกกำชับให้อาบน้ำอาบท่าทำความสะอาดร่างกายด้วยน้ำอบน้ำหอมกลิ่นกฤษณาคลอกลิ่นดอกมะลิหอมจนตัวเธอเองยังได้กลิ่น เสื้อผ้สชุดไทยนั้นเธอได้มาจากแม่สายล้วนเป็นสีแดงพร้อมมงกุฏที่สีทอง อีกทั้งยังมีเครื่องประดับสีทอง แต่เธอกลับรู้สึกไม่ชอสีแดงเสียเท่าไหร่ ยิ่งมองตัวเองในกระจกแป้งพับก็ยิ่งทำให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น เพียงแค่คิดขนก็ลุกเกลียวจนเธอเผลอลูบแขนของตัวเองปอยๆ“พี่นรินทร์หนาวเหรอ?” มันตราที่กำลังตั้งใจแต่งหน้าเอ่ยถามขึ้นมาด้วยสีหน้าเป็นห่วง นรินทร์หันไปยิ้มแห้งแล้วส่ายหน้าไปมา มินตราทำหน้างงครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามต่อ“อ้าว…อย่าบอกนะว่า….”“ว่า?”“พี่นรินทร์รับรู้ถึงพลังงานบางอย่างเมื่อใส่ชุดนี้” มินตราเอ่ยพลางท
“อุปกรณ์เราถูกไฟไหม้หมดเลย ข้อมูลต่างๆไม่เหลือเลย” นิลนนท์เอ่ยขึ้น หลังจากที่นรินทร์ได้นอนพักเต็มอิ่มมาตั้งแต่เมื่อวานพร้อมกับความทรงจำใหม่ความรู้ใหม่ในหัวที่ตัวเองพึ่งเจอและเห็นมากับตานรินทร์ละความคิดจากเหตุการณ์นั้นไม่ได้เลย แม้ในขณะที่เธอนั่งฟังเพื่อนสนิทของตนพูดและจ้องมองเพื่อนสนิทของตนอย่างเหม่อลอยอยู่ก็ราวกับว่าเป็นภาพของนาคานักรบคนนั้นที่อยู่ข้างกายพญาเพชรแก้วที่มีใบหน้าและชื่อเหมือนกันกับเพื่อนของตน“นรินทร์…นรินทร์!! มึงฟังกูอยู่หรือเปล่าวะเนี่ย?” นิลนนท์เรียกและเอามือวาดกลางอากาศใกล้ใบหน้าของนรินทร์แต่เธอยังคงนิ่งค้าง ก่อนที่นรินทร์จะสะดุ้งเล็กน้อยหันไปมองหน้านิลนนท์และคนอื่นๆที่จ้องมองเธอเป็นตาเดียว“ฮะ?! อ๋อ อือ..”“อือ อะไรของมึง สรุปไม่ได้ฟัง?” นิลนนท์เอ่ยย้ำ“พี่นรินทร์ พี่เป็นอะไรไปเนี่ย” มินตราเอ่ยพร้อมกับจับมือเธอเอาไว้ด้วยสีหน้าที่เป็นห่วงเป็นใย นรินทร์หันไปมองหน้ามินตราก่อนจะผละตัวออกเล็กน้อยพร้อมดึงมือออก มินตรายิ่งงงไปกันใหญ่กับท่าทีของรุ่นพี่ที่สน