หลังจากที่นวิยาได้รับรู้ว่าใครเป็นใคร และทุกคนก็ได้รู้ว่าหญิงสาวมีภาวะสูญเสียความทรงจำชั่วคราว ซึ่งแพทย์ไม่อาจตอบได้ว่าจะเป็นเช่นนี้ไปนานแค่ไหน ต่างช่วยกันเล่าเรื่องราวที่ผ่านมาให้คนป่วยฟัง จนกระทั่งมาถึงเรื่องของเธียรวิชญ์ ผู้ชายคนนี้ทำให้หล่อนสะดุดตาและสะดุดใจมากที่สุด โดยเฉพาะคำแนะนำตัวที่ทำให้หัวใจอันว่างเปล่าถึงกับหล่นวูบก่อนจะค่อยๆ โลดขึ้นด้วยความรู้สึกสับสน
หญิงสาวนอนมองออกไปนอกหน้าต่างห้อง สิ่งที่ทำให้ลดความฟุ้งซ่านลงได้บ้างก็คือภาพถ่าย วิดีโอและเรื่องเล่าต่างๆ ที่พอจะยืนยันได้ว่าหล่อนเกี่ยวข้องกับบุคคลเหล่านี้จริง
แต่กระนั้นก็ยังไม่อาจกระตุ้นความทรงจำที่หายไปให้กลับคืนมาได้
เสียงถอนหายใจจากคนบนเตียงทำให้ณิชาเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ มองนิ่งอยู่ครู่หนึ่งจึงวางลงบนโต๊ะแล้วเดินตรงไปที่เตียงของบุตรสาว
“เป็นอะไรลูก เบื่อใช่ไหม”
นวิยาหันมามองมารดาแล้วยิ้มจืด พยักหน้าอย่างยอมรับ
“เมื่อไรหมอจะให้น้อยกลับบ้านได้สักทีคะ”
ณิชายิ้มอ่อน ลูบแขนกลมกลึงของลูกสาวแผ่วเบา แม้จะยังจดจำอะไรไม่ได้ แต่อย่างหนึ่งที่ทำให้วางใจก็คือนวิยายังอยู่กับนางไม่ได้หายไปไหน ไม่ได้จากกันไปตลอดกาลเหมือนที่หวาดกลัวในตอนแรก
“คงอีกไม่นานหรอกจ้ะ แต่ตอนนี้ต้องอดทนอีกสักหน่อยนะลูก” นางปลอบใจลูกสาว นวิยาคงทั้งอึดอัดที่จำอะไรไม่ได้แล้วยังจะต้องมาอุดอู้อยู่แบบนี้ “หิวไหม แม่จะปอกผลไม้ให้กิน”
หญิงสาวส่ายหน้า ทว่าเสียงประตูที่เปิดเข้ามาทำให้ทั้งสองหันไปมอง ร่างสูงใหญ่ในชุดทำงานเดินตรงมาพร้อมกับช่อดอกไม้สีสดใส ดวงหน้าคมคายแต้มยิ้มอ่อนโยน
“สวัสดีครับแม่” เธียรวิชญ์ทำความเคารพมารดาของคนรัก ก่อนหันไปยิ้มให้หญิงสาวแล้วมอบช่อดอกไม้ให้ “พี่ซื้อมาฝาก”
นวิยาสบตาคนที่ใครๆ พากันบอกกับหล่อนว่าเขาคือคนรัก คือแฟน คือว่าที่คู่หมั้นคู่หมายด้วยความรู้สึกไม่มั่นใจ ก่อนจะยื่นมือออกไปรับช่อดอกไม้นั้นมาตามมารยาท
“ขอบคุณค่ะ” ดวงตาคู่สวยหลุบมองช่อดอกไม้ในมือ พวกมันก็สวยดีอยู่หรอก ทว่าความสวยของมันกลับเข้าไปไม่ถึงใจคนรับสักเท่าไร ทุกอย่างว่างเปล่าไปเสียหมด
รอยยิ้มของเธียรวิชญ์จางลงเล็กน้อยยามมองท่าทางไม่ได้ยินดียินร้ายกับช่อดอกไม้ที่ตนนำมาฝาก ณิชายิ้มปลอบใจชายหนุ่มก่อนจะเอ่ยออกมา
“เธียรมาก็ดีแล้ว แม่ฝากน้องด้วยนะ ว่าจะลงไปซื้อของสักพัก”
“ได้ครับ” ชายหนุ่มรับคำหนักแน่น
“เดี๋ยวแม่มานะน้อย หนูอยู่กับพี่เธียรเขาไปก่อน”
ณิชาบอกกับลูกสาว คนบนเตียงสบตานางนิ่ง ใจจริงไม่อยากให้มารดาไปแต่สุดท้ายก็ยอมพยักหน้า
ทั้งคู่เงียบกันไปจนกระทั่งณิชาก้าวออกจากห้อง ชายหนุ่มจึงเอ่ยขึ้นว่า
“พี่เอาดอกไม้ใส่แจกันให้นะ” เอ่ยอาสาพลางรับดอกไม้จากมือเรียว ปลายนิ้วมือที่แตะกันเบาๆ ทำให้หญิงสาวรีบดึงมือตัวเองออกด้วยความตกใจ ขณะที่ชายหนุ่มไม่แสดงทีท่าใดๆ ออกมา แต่ใครจะรู้ว่าเขารู้สึกใจแป้วอยู่ไม่น้อย
นวิยามองตามร่างสูงในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวพับแขนจนถึงข้อศอก สอดชายเสื้อเข้าไปในกางเกงสแล็กสีเทา คาดทับด้วยเข็มขัดหนังสีดำ รองเท้าที่สวมเป็นรองเท้าหนังสีเดียวกันกับเข็มขัด ก่อนเลื่อนสายตาขึ้นไปยังใบหน้าคมคาย เขาไม่ถึงกับเป็นผู้ชายที่หล่อจัด แต่เป็นผู้ชายที่มีบุคลิกดีมากคนหนึ่ง หน้าตาดีมีเครื่องหน้ารับกันเหมาะเจาะ ที่ไม่ว่าจะมองด้านตรง ด้านข้าง มุมต่ำหรือมุมสูงล้วนดูดี สรุปอย่างง่ายๆ คือเขาเป็นผู้ชายมีเสน่ห์ คิ้วเรียวงามของหญิงสาวขมวดเข้าหากัน เกิดความอยากรู้ว่าหล่อนกับเขามาพบเจอและรักกันได้อย่างไร
เธียรวิชญ์รู้ตัวว่ากำลังถูกจับตามองจากคนรัก เขาจึงทำเป็นไม่รู้ว่ากำลังถูกมองอย่างจริงๆ จังๆ โดยการนำเอาดอกไม้เดิมที่มีในแจกันทิ้ง แล้วเปลี่ยนของใหม่ที่เขาซื้อมาฝากใส่ไปแทนที่ ก่อนวางเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงแล้วหันมามองหญิงสาว ทำเอาคนที่แอบมองเขาชักตากลับไปไม่ทัน ผินหน้าหนีก็ไม่ได้ด้วย ผิวแก้มจึงร้อนผ่าว เกิดอาการเก้อเขินเมื่อถูกจับได้ว่าลอบมองเขาอยู่ แต่ชายหนุ่มไม่ได้กระโตกกระตาก เขาเพียงยิ้มตอบแล้วกลับไปนั่งลงข้างเตียงที่หญิงสาวนอนอยู่
“น้อยเป็นยังไงบ้าง ยังเจ็บตรงไหนอยู่อีกไหม” เอ่ยถาม พลางวางมือลงบนเตียง หญิงสาวหลุบตามองมือเรียวใหญ่อย่างคนสุขภาพดีของชายหนุ่มอยู่อึดใจ ก่อนจะสบตาคมเข้มที่มองมา
“ไม่แล้วค่ะ ตอนนี้ดีขึ้นมากแล้ว”
น้ำเสียงหวานๆ ของนวิยาดูเรียบร้อยแตกต่างจากเมื่อก่อนไปมาก ปกติน้ำเสียงอ่อนหวานของนวิยาจะติดขี้เล่น และออดอ้อนในบางครั้ง ทว่าตอนนี้ฟังดูห่างเหินและระมัดระวังตัวขั้นสุด ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะตราบใดที่หล่อนยังคิดว่าเขาเป็นคนแปลกหน้า ก็ไม่สามารถวางใจเขาได้ง่ายๆ
ชายหนุ่มพยายามทำความเข้าใจกับสิ่งที่หญิงสาวต้องเผชิญอยู่ และบอกตนเองว่าเขาควรจะต้องมีส่วนช่วยกระตุ้นความทรงจำให้กับหญิงสาวเช่นกัน
เมื่อคิดได้ดังนั้น ชายหนุ่มก็หยิบไอโฟนออกมาสแกนใบหน้าแล้วกดเข้าไปในแกลเลอรี จากนั้นจึงส่งให้หญิงสาวดู
“นี่คือตอนที่เราไปเที่ยวด้วยกัน น้อยชอบที่นี่มากเลยนะ”
หน้าจอขนาดหกจุดเจ็ดนิ้วถูกส่งมาตรงหน้านวิยา คนบนเตียงหลุบตามองแล้วก็นิ่งงันเมื่อเห็นภาพของตนเองกับเขาถ่ายคู่กัน ที่สำคัญหล่อนอยู่ในชุดว่ายน้ำโดยมีเขาแนบชิดแช่น้ำกันอยู่ในสระว่ายน้ำในโรงแรมติดชายทะเลแห่งหนึ่ง
ภาพความใกล้ชิดนี้ทำให้นวลแก้มค่อยๆ สุกปลั่งขึ้นทีละนิด ดวงตาสีเข้มของเธียรวิชญ์กระเพื่อมเบาๆ กับปฏิกิริยาจากหญิงสาว ปลายนิ้วเรียวยาวเลื่อนต่อไปให้หล่อนดู ทั้งภาพเดี่ยวและคู่มากมาย เลื่อนผ่านไปภาพแล้วภาพเล่า แต่ละภาพบ่งบอกถึงความสนิทสนม กระทั่งหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาชายหนุ่ม
“เรารู้จักกันได้ยังไงคะ”
ชายหนุ่มมองดวงหน้างามที่มีเครื่องหน้าจิ้มลิ้มภายใต้กรอบผมยาวสลวยสีน้ำตาลเข้ม สิ่งที่โดดเด่นที่สุดบนดวงหน้าของนวิยาคือดวงตากลมโตสุกใส จุดกึ่งกลางเหมือนกับหลุมดำที่มีชีวิตชีวาสามารถดึงดูดสายตาของเขาไม่ให้ละสายตาไปมองสิ่งอื่นใดได้อีกนอกจากหล่อน
“เราเจอกันครั้งแรกเมื่อสี่ปีก่อนในงานแต่งของมินต์ที่เป็นเพื่อนรุ่นพี่ของน้อย กับต้นที่เป็นเพื่อนพี่”
หญิงสาวมองเขาเลื่อนหาภาพอยู่สักพัก ก็ส่งไอโฟนมาให้ หญิงสาวสบตาเขาก่อนจะรับไปดู ภาพตรงหน้าคือภาพที่หล่อนและเขาถ่ายร่วมกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาว ก่อนจะเอ่ยออกมา
“พี่มินต์ ที่มาเยี่ยมน้อยเมื่ออาทิตย์ก่อนนี่คะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าเมื่อหญิงสาวเอ่ยเช่นนั้น
“ใช่ คนนี้แหละ มีลูกแล้วนะ” แล้วเขาก็เล่าเรื่องของพวกเราให้ฟัง น้ำเสียงนุ่มทุ้ม สูงต่ำ บางครั้งก็เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะเบาๆ จากทั้งเขาและหล่อน ทำให้คนป่วยรู้สึกเหมือนได้เข้าไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นๆ ด้วย
“เราสนิทกันมากไหมคะ”
ชายหนุ่มสบตาคู่สวย แล้วกวาดตามองเครื่องหน้าหมดจด แววตาและรอยยิ้มของเขาราวจะล้อเลียนว่าหล่อนถามอะไรแบบนั้น ทำให้คนถามเม้มปากก่อนหลบตาด้วยความรู้สึกหวั่นไหวปนกระดาก
“เราเป็นแฟนกันมาสี่ปีนะ ก็ต้องสนิทกันอยู่แล้ว”
คำตอบที่ได้รับทำให้หญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตาคมอยู่หลายวินาทีราวจะมองให้แน่ใจว่าเขาไม่ได้โกหก จนกระทั่งถึงช่วงที่หญิงสาวอยากรู้มากที่สุด
“ทุกคนบอกว่าตอนที่น้อยถูกรถชน พี่เธียรก็อยู่ตรงนั้นด้วย บอกน้อยได้ไหมคะว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น ทำไมน้อยถึงถูกรถชนได้ ทำไมพี่เธียรถึงอยู่ในรถ แต่น้อยกลับข้ามถนน เราทะเลาะกันหรือเปล่า เพราะถ้าเราเป็นแฟนกันจริงๆ น้อยควรจะนั่งอยู่ข้างๆ พี่เธียรไม่ใช่ เหรอ”
คำถามของหญิงสาวทำรอยระรื่นบนใบหน้าของคนที่ยิ้มเย้าคนรักเมื่อครู่ค่อยๆ จางลง ภาพวันนั้นฉายวาบเข้ามาราวกับว่าทุกเหตุการณ์เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ
ขณะที่ความเงียบเข้าครอบงำ นวิยาก็จ้องมองเขาตาไม่กะพริบ นี่ต่างหากคือสิ่งที่หล่อนอยากรู้จากปากของเขา
มันคือเหตุการณ์ก่อนหน้าที่หล่อนจะถูกรถชน...
กลิ่นหอมยวนใจโชยมาพร้อมกับร่างอวบอิ่มของคุณแม่คนสวยที่เดินตรงมาขึ้นเตียงนอน ชายหนุ่มวางเครื่องมือสื่อสารลงบนโต๊ะข้างเตียงนอนแล้วหันไปหาภรรยาที่สอดตัวเข้ามาภายใต้ผ้าห่มผืนเดียวกันพร้อมกับโอบกอดร่างนุ่มเอาไว้ทันที“พร้อมยัง คืนนี้ได้แล้วใช่ไหม”น้ำเสียงทุ้มพร่าที่กระซิบข้างหูพร้อมกับอาการซุกไซ้จนขนกายลุกชันทำให้หญิงสาวเอียงคอหนีพร้อมกับหัวเราะคิกด้วยความจักจี้“ได้ค่ะ แต่ว่าอย่าเพิ่งรุนแรงนักนะ เดี๋ยวจะ...อ๊ะ” หญิงสาวพูดไม่ทันจบ เสียงก็เงียบไปเพราะถูกปล้นจูบจากคนหื่น“ไม่ได้ใส่เสื้อในเหรอ” เขางึมงำอยู่กับอก เมื่อสอดมือเข้าไปใต้เสื้อยืดตัวโคร่งนวิยาส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะครางออกมาเมื่อยอดถันสีอ่อนถูกดูดกลืนหลังจากนั้น มือทั้งสองข้างยกขึ้นกอดศีรษะของสามีเอาไว้ อกอวบอิ่มแอ่นยกยามเขารูดเลียปลายยอดและรอบๆ ป้านสีหวาน บางทีก็ขบดูดจนเสียดเสียวไปทั้งตัว ซ่านซ่ายุบยิบทั่วหนังศีรษะ จากนั้นบทรักก็เริ่มเร่าร้อนจนถึงจุดพีกเสียงเนื้อแน่นหนั่นกระทบกระแทกหนักหน่วงเร่าร้อน บั้นท้ายอวบอั๋นถูกฟาดตี เร้าอารมณ์ที่ฟุ้งอยู่แล้วให้ร้อนถึงจุดเดือด เสียงครวญครางที่แผ่วเบาเพราะต้องระวังไม่ให้ลูกน้อยตกใจตื่นดังขึ้นอ
บทส่งท้ายแดดอ่อนๆ ในตอนเย็น พบหญิงสาวแก้มป่องท้องโตหนึ่งอัตรากำลังนั่งเอนหลังอิงอกกว้างของสามีบนผ้าผืนใหญ่พร้อมกับตะกร้าของกินสารพัดอย่างวันนี้อายุครรภ์ของนวิยาย่างเข้าเดือนที่แปด ก่อนที่ เธียรวิชญ์จะหยุดพาหญิงสาวตะลอนทัวร์ ชายหนุ่มก็ตามใจคนท้องเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่หล่อนจะต้องอยู่เหย้าเฝ้าเรือนเพื่อเตรียมตัวคลอดลูก โดยพาเมียรักมาพักผ่อนยังสถานที่ท่องเที่ยวไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ให้ภรรยาได้ผ่อนคลายมากที่สุด ตอนคลอดจะได้คลอดง่ายๆ เพราะนวิยายืนยันว่าจะคลอดด้วยตัวเองไม่ผ่าคลอดเด็ดขาด“น้อยแน่ใจนะว่าไม่ผ่าคลอด” เธียรวิชญ์เอ่ยถามภรรยาอีกครั้งเพื่อความมั่นใจ“แน่ใจค่ะ น้อยอยากมีประสบการณ์ อยากรับรู้ถึงความเจ็บปวดจากการคลอดลูก อีกอย่างเราสองคนแม่ลูกก็แข็งแรงด้วยกันทั้งคู่ เพราะฉะนั้นคลอดเองได้สบายมาก แต่ท้ายที่สุดถ้าถึงตอนนั้นแล้วน้อยไม่ไหว คุณหมอก็คงพิจารณาเองว่าควรจะคลอดเองหรือว่าผ่า พี่เธียรไม่ต้องกังวลไปหรอกนะ”หญิงสาวปลอบใจสามีที่ดูจะค่อนข้างกังวลแทนภรรยามากเกินควรด้วยสีหน้าสบายใจแบบสุดๆ“ก็พี่เป็นห่วงน้อยกับลูก แล้วก็ไม่อยากให้น้อยต้องเจ็บปวดมากด้วย”นวิยาได้ฟังแล้วยิ่งปลื้มใจในตัว
นวิยาแก้มแดงขึ้นไปอีกระดับ กะพริบตาปริบๆ ก่อนถลึงตาใส่เพื่อนรักที่จ้องมองเอาจริงๆ จังๆแต่พอภิมพิมลเห็นใบหน้างดงามเปล่งปลั่งเป็นสีชมพู เรือนร่างอวบอิ่มอรชรผุดผาดบาดตาด้วยออราราศีคุณนายที่เคลือบจับ งดงามเสียยิ่งกว่าก่อนแต่งงาน ความคิดก่อนหน้าก็ค่อยๆ อันตรธานหายไป ความกังวลใจมลายสิ้น“ยังโอเคสิจ๊ะ คนไม่โอเคแบบไหนจะสวยได้ขนาดนี้” ไม่พูดเปล่า แต่นวิยายังยกลำแขนกลมกลึงเปลือยเปล่าอวดผิวพรรณผุดผาดให้เพื่อนได้ยลเต็มตา “พี่เธียรดูแลฉันดีที่สุดเลยจ้ะ พายไม่ต้องห่วงน้อยแล้วนะ ยิ่งวันเวลาผ่านไป เขายิ่งทะนุถนอมน้อยมากขึ้น”คนเป็นเพื่อนเบ้ปากหมั่นไส้คนอวดผัว“ไม่มีอะไรรุนแรงก็ดีแล้วแหละ” ภิมพิมลเอ่ยอย่างโล่งใจ ก่อนขยับห่างเล็กน้อยแล้วยิ้มกว้าง “อันที่จริงฉันอิจฉาแกมากเลยนะน้อย จากที่ตอนแรกร่อแร่ นึกว่าจะเลิกกันแน่ๆ แต่ก็กลับมาคบกัน แถมมีเรื่องพีกให้ใจหายใจคว่ำเล่นกันทั้งบาง สุดท้ายก็ลงเอยกันได้ ชีวิตแกนี่เหมือนนางเอกในนิยายเลยรู้ไหม”นวิยายิ้มอ่อนขณะสบตาเพื่อน นางเอกอย่างนั้นเหรอ ทวนประโยคนั้นในใจพลางคิดถึง พระเอก ที่หายไปสักพัก แล้วคิดถึงเรื่องรักๆ ใคร่ๆ ระหว่างเขากับหล่อน อันที่จริงความร้อนแรงของ
นึกย้อนไปเมื่อสักหนึ่งปีก่อน หล่อนกับเขาเกือบจะเลิกกัน แต่พอคิดว่าเคยเลิกรักกันบ้างไหมก็นึกไม่ออก จะมีสักช่วงเวลาไหมที่หล่อนกับเขาหยุดรักกันไปจริงๆ คำตอบที่ได้จากตัวเองคือไม่เคยเลย หล่อนไม่เคยหยุดรักเขาได้สักวินาทีหญิงสาววางมือเรียวลงบนมือใหญ่อบอุ่นที่กอดกุมอยู่ตรงหน้าท้องแบนราบ พลางเอนหลังอิงแนบไปกับแผงอกกำยำของสามีหมาดๆ ด้วยความรู้สึกอบอุ่นรักใคร่“ถามอะไรหน่อยสิคะ”คนที่อุทิศอกเป็นพนักอิงให้หญิงสาวเลิกคิ้วสูง“อืม” เขาจูบเส้นผมสีน้ำตาลเข้มหอมกรุ่นขณะรับคำ“เคยมีสักวันไหม ที่พี่เธียรจะหยุดรักหรือคิดจะเลิกรักน้อย”สิ้นเสียงหวานคนถูกถามเงียบไปนาน จนคนถามชักจะคอแข็ง ชายหนุ่มจึงยิ้มขันแล้วหอมแก้มนุ่มฟอดใหญ่“ก็เคยนะ”คราวนี้ไม่ใช่แค่คอที่แข็ง แต่ตาก็แข็งจัดเมื่อหันขวับมามองเขาตรงๆ คนตอบเลยชักจะร้อนๆ หนาวๆ จึงรีบบอกออกมา“แต่ก็จำไม่ได้ว่าพี่เคยคิดแบบนั้นตอนไหน อาจจะหลายครั้งหลายตอน แต่ก็ไม่เคยจะทำได้เลย อ๊ะๆ อย่าเพิ่งงอนพี่สิครับที่รัก ที่พี่คิดแบบนั้นน้อยก็รู้ว่าเพราะอะไร”น้ำเสียงช่วงท้ายประโยคอ่อนลง เช่นเดียวกับนัยน์ตาคู่งามก็ค่อยๆ อ่อนแสง มือที่วางทับหลังมือใหญ่เปลี่ยนเป็นสอดประสานเ
เมฆหมอกสีขาวขุ่นลอยตัวเป็นลอนริ้วตัดสีเขียวของต้นไม้ทึมทึบลดหลั่นบนยอดทิวเขาสูง บรรยากาศบนภูฉ่ำชื้นด้วยไอเย็นงดงามประหนึ่งภาพวาดจากปลายพู่กัน กาแฟดำร้อนหรือโกโก้อบอุ่นกรุ่นควันจึงเหมาะควรยิ่งในเช้านี้ แต่คนคู่หนึ่งที่ดั้นด้นจากพื้นราบมาสู่ยอดเขาสูงชันกลับนอนอุตุอยู่บนเตียงนุ่มชนิดไม่ยอมกระดิกตัวออกจากผ้าห่มผืนหนา ซบซุกอยู่ในอ้อมแขนของกันและกันชนิดไม่คิดจะขยับไปไหน“หิวไหม”เจ้าของเสียงนุ่มทุ้มกระซิบถามชิดแก้มนุ่มของภรรยาสาวเธียรวิชญ์และนวิยาเพิ่งแต่งงานกันได้หนึ่งเดือนหลังจากเรื่องขึ้นโรงขึ้นศาลผ่านพ้นไป เขาเป็นฝ่ายชนะคดี ทำให้อดีตเพื่อนคนนั้นต้องชดเชยเป็นเงินจำนวนมหาศาลและต้องหนีหน้าหายลับไปทันทีที่คดีความสิ้นสุด ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดจะใส่ใจให้เสียเวลา เพราะเมื่อจบเรื่องวุ่นๆ เขาก็ประกาศจัดงานมงคลสมรสกับคนรักอย่างยิ่งใหญ่ไม่แคร์สายตาใครทั้งสิ้น เพราะคนที่เขาแคร์มีเพียงนวิยา“หิวนิดๆ แล้ว พี่เธียรล่ะ หิวหรือยัง” หญิงสาวขยับร่างเปลือยขึ้นมานอนเกยร่างหนาอุ่น วางมือทั้งสองบนอกกว้างแล้ววางคางเรียวทับ ดวงตาคู่สวยสบตาคมกริบของสามีสุดที่รักอย่างอ่อนหวานสดใส“หิวแล้ว แต่หิวไม่มากนะ”คนฟังเลิ
ไอ้เธียร มึงนี่เสน่ห์โคตรแรง ขนาดเพื่อนยังไม่เว้นนะมึง ได้กันยังวะ ตัวติดกันอย่างกับลูกโม่กับกระบอกปืนมึงจะบ้าหรือไงวะ กูกับดาวไม่ได้มีอะไรกันสักหน่อย อ้าว ก็พวกกูเห็นมึงตัวติดกันอย่างกับอะไร แถมใครๆ เขาก็ลือกันว่ามึงกับมันคั่วกันอยู่หยุดเลย มึงพูดแบบนี้กูขนลุกว่ะ ชายหนุ่มค้านพลางส่ายหน้า เขาไม่เคยคิดกับพัสดาเกินเพื่อนแต่ดาวมันคิด ใครอีกคนโพล่งออกมา หน้าตาเหมือนเบื่อหน่ายอย่างนั้นแต่รู้ลึกรู้จริงแทบทุกเรื่อง ทั้งหมดหันสายตามาทางเขา จนเธียรวิชญ์เริ่มจะขนลุกขึ้นมาจริงๆไม่หรอก พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่เคยคิดแบบนั้นกับดาวมึงจำคืนที่มึงพาน้องวาวไปที่ห้องได้ไหม เพื่อนสนิทเอ่ยถาม เธียรวิชญ์นิ่งคิดก่อนพยักหน้าเออ จำได้ ทำไม...เพื่อนที่นั่งกันอยู่สบตากัน ก่อนจะยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วใครคนหนึ่งก็ตอบให้เขาตาสว่างวันนั้นดาวมันตามพวกมึงไป แต่มึงแม่งเสือกมีอะไรกับน้องวาวแล้วดันไม่ล็อกประตู เพื่อนหยุดเล่าลงแค่นั้น แต่แค่นั้นเธียรวิชญ์ก็นิ่งงัน หน้าเหลอหลาไม่อยากเชื่อมึงอย่าบอกนะว่าดาวแอบดูกูกับวาวอึ๊บกันสิ้นคำถาม พวกมันพากันพยักหน้า จากนั้นก็กลายเป็นเสียงหัวเราะดังประสาน ตอนนั้นเขายอมรับว่า