“มีข้อมูลหลายอย่างเกี่ยวกับคุณที่เออร์วิ่งเอามาให้ผมดู รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับวิชาการต่อสู้...เขาบอกว่าคุณอันตราย”
“ฉันเคยเรียนรู้เกี่ยวกับการฝึกฝนเพื่อป้องกันตัวเอง...แต่ก็เป็นระยะเวลาสั้น ๆ”
“ถ้าจำไม่ผิด คุณตอบโต้ผมด้วยวิชาหมัดมวยที่แคนยอนแลนด์ วันนั้น”
แดเนียลรำลึก แม้ไม่ได้ต้องการรุกไล่ทว่าตอนนี้ระหว่างเขาและเธอก็ดูไม่ต่างจากการสอบสวนผู้กระทำผิดสักเท่าไหร่เลย แต่อลินทิราก็ตอบกลับอย่างไม่อิดออด
“คุณอาจไม่เชื่อว่าฉันมีพื้นฐานการฝึกแบบกังฟู เฟลรอฟเป็นคนพาฉันไปที่วัดเส้าหลินในเทือกเขาซงซาน ประเทศจีน...และที่นั่นทำให้ฉันเริ่มศรัทธาในพระพุทธศาสนานิกายเซน...ใช่...มันทำให้ฉันสงบ ฉันรักในพระเจ้าและชื่นชมความยิ่งใหญ่ในธรรมชาติไปพร้อมกัน มันเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์มากจริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ ของการฝึก ฉันต้องรูจัก ดื่มด่ำกับความลำเค็ญ ด้วยการยืนด้วยมือ นอนในห้องที่ไม่มีเครื่องทำความร้อนและฝึกความแข็งแกร่งของมือด้วยการชกต้นไม้”
“แต่คุณกลัวการกระโดดลงจากหน้าผา”
“มันต่างจากในหนังกำลังภายในนะคะ แดน...การฝึกแบบนั้นทำให้ฉันได้ค้นพบอีกด้านหนึ่งของวิชาการต่อสู้ หัวใจสำคัญของกังฟูคือมนุษยธรรมและความเคารพในคู่ต่อสู้ ท่านอาจารย์ย้ำกับเราเสมอว่าความอ่อนน้อม่อมตนมีชัยเหนือความทะนงตน และความทะนงตนคือหนทางสู่ความวิบัติของบุรุษ แต่เฟลรอฟมองข้ามสิ่งเหล่านี้ เขาเรียนรู้แต่ด้านที่รุนแรงและสามารถสยบคู่ต่อสู้ได้ นั่นเป็นหัวใจของเขา ไม่ใช่กังฟู”
“ผมชอบจัง คำว่า...ดื่มด่ำความลำเค็ญ”
ชายหนุ่มละระดับเสียงทุ้มลึกให้ต่ำลง ใบหน้าคร้ามคมโน้มลงไปหาหญิงสาวมากขึ้น มีบางอย่างในตัวอลินทิราน่าดึงดูดและมิอาจปฏิเสธว่าสำหรับเขาแล้วเธอเป็นผู้หญิงที่น่าชิดใกล้เพียงไหน สายลับสาวหัวใจเริ่มสั่นเมื่อร่างสูงใหญ่ตรงหน้าขยับเข้าหาเธอใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ
“เป็นการสอนให้เราน้อมรับความลำบากค่ะ มันช่วยกล่อมเกลาพลังใจและหล่อหลอมความเป็นเรา”
“คุณคงอยากจะบอกอะไรผมใช่มั้ย...ออโซลย่า”
“ค่ะ แดเนียล...ฉันก็แค่อยากบอกคุณเกี่ยวกับสายลับมือหนึ่งขององค์กรที่ว่า ออโซลย่า เป็นคนเก่งกาจและมีฝีมือในการต่อสู้ที่น่ากลัว...ไม่เป็นความจริงเลย”
“ถ้าอย่างนั้น...” แดเนียลกลืนน้ำลายลงคอเบา ๆ ก่อนถามต่อ “ช่วยบอกผมหน่อยได้ไหมว่าคุณใช้วิธีอะไรถึงฝ่าระบบความปลอดภัยเข้าไปในห้องปฏิบัติการทดลองไซโคลตรอนของผมได้”
“ฉัน...แทบไม่ต้องใช้ความพยายามอะไรในการเข้าไปถึงห้องนั้น แต่การผ่านประตูนิรภัยที่ทำจากเหล็กกล้าบานสุดท้ายเป็นเรื่องยากที่สุดเท่าที่ฉันเคยทำมาเลยล่ะค่ะ”
“แต่คุณก็ทำได้...คุณเข้าไปที่นั่นได้”
“ฉันใช้เวลาประมาณสองนาทีสำหรับการถอดรหัสจากระบบป้องกันประตูบานสุดท้าย และเวลาที่จะอยู่ในห้องนั้นได้อีกไม่เกินสองนาที เพราะคุณตั้งระบบความปลอดภัยให้ประตูปิดลงในนาทีที่สามถ้าหากรหัสผ่านถูกแฮ็ค คุณฉลาดมากค่ะแดน ระบบตรวจจับความผิดปกติในห้องปฏิบัติการของคุณแม่นยำมาก เพราะถ้าช้ากว่านั้นระบบความปลอดภัยจะทำลายตัวเองและถึงให้เป็นแฮ็คเกอร์ที่เก่งกาจมากกว่าฉันก็หาทางออกมาไม่ได้เด็ดขาด”
“คุณรู้ทุกอย่างในบ้านผมเป็นอย่างดี ปฏิบัติการของคุณใช้เวลาแค่สิบนาทีเท่านั้น”
“คุณคงไม่เชื่อว่าฉันมีข้อมูลทุกอย่างก่อนเข้ามาที่นี่ ฉันมีรหัสเปิดประตูนิรภัยชั้นนอกจนถึงประตูก่อนเข้าห้องปฏิบัติการ และฉันก็ได้มันมาจากบอสของฉัน”
แดเนียลเลิกคิ้วสูง เขากำลังเข้าใกล้ตัวการใหญ่ของไซออนเนตมากขึ้นทุกที
“คุณบอกผมได้ใช่ไหมว่า บอส ของคุณ เป็นใคร”
“ฉันไม่รู้จักเขาค่ะ” อลินทิราตอบในท้ายที่สุด แม้รู้อยู่แก่ใจหากเธอก็ไม่อาจทำอะไรได้มากกว่านี้
“ทุกครั้งที่มีการสั่งงาน เฟลรอฟจะเป็นคนส่งสาส์นโดยที่ฉันไม่เคยได้พูดคุยกับบอสของฉันเลยสักครั้ง ทุกอย่างถูกเก็บเป็นความลับและเราก็ไม่สามารถเข้าถึงตัวเขาได้ ไม่ว่าจะทำอย่างไร”
เธอไม่ได้โกหก...อลินทิราบอกกับตัวเอง เพียงแต่คำให้การนั้นไม่ได้เปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างดังที่ชายหนุ่มคาดหวัง ทว่าแดเนียลก็ไม่ได้คาดคั้นคามที่เขาพูด เขาไม่ได้เคร่งเครียดมากเสียจนทำให้เธออึดอัดตามไปด้วย นักนิวเคลียร์ฟิสิกส์หนุ่มถอนใจเบา ๆ ก่อนพูด
“โอเค...ผมก็แค่อยากรู้ว่าคนที่ชักใยอยู่เบื้องหลังองค์กรนี้เป็นใคร แต่ถ้าคุณไม่สามารถบอกได้ผมก็จะไม่บีบบังคับคุณ”
“แดเนียลคะ ฉันอาจบอกคุณไม่ได้ว่าหัวหน้าใหญ่ขององค์กรเป็นใครและทำอะไรได้บ้างนอกเหนือจากที่ให้ฉันโจรกรรมขข้อมูล แต่สิ่งที่ฉันทำได้ในตอนนี้ก็คือ...การคืนข้อมูลให้กับคุณ”
ร่างบอบบางกล่าวก่อนถอดสร้อยคอทองคำขาวห้อยล็อคเก็ตยื่นให้ชายหนุ่มซึ่งรับไปด้วยแววตาแสดงความประหลาดใจเต็มที่
“นี่เป็นสิ่งที่แม่ให้ไว้ก่อนที่ฉันจะจากมาเพื่อทำงานให้ไซออนเนต”
“แดเนียล...ฉันรักคุณค่ะ ฉันกลัวเหลือเกินว่าคุณจะไม่กลับมาหาฉันอีก”“ผมต้องกลับมาที่รัก” เขาก้มลงจูบบนเปลือดกตาของหญิงสาวที่ตัวเธอสั่นสะทานขึ้นมาราวกับยังหวาดหวั่น “ยอดดวงใจของผม คุณไม่รู้หรอกว่าผมกลัวมากแค่ไหนถ้ามาถึงที่นี่แล้วไม่พบคุณ”“บ้าน...เป็นที่สุดท้ายสำหรับฉันค่ะ จารชนที่แต่นี้ไปจะเป็นแค่คนธรรมดา แดนคะ...มาเต้นรำกันเถอะค่ะ ฟังซีคะ ต้นหญ้าและขุนเขากำลังร้องเพลง”ร่างอรชรผละห่างจากชายหนุ่มและเริ่มร่ายรำด้วยท่าทางอย่างบัลเล่ต์รีน่าท่ามกลางทุ่งหญ้าส่ายไหวอาบแสงสีเงิน แดเนียลยืนล้วงกระเป๋าและอมยิ้มอยู่ข้าง ๆ ม้าพันธุ์เทอโรเบรดด้วยความรู้สึกสุขใจ ดวงตาสีน้ำเงินอมม่วงลึกล้ำจับจ้องอยู่ที่ร่างแน่งน้อยที่กำลังเริงระบำกลางที่ราบทุ่งหญ้าพลิ้วไหว เขารักอลินทิรามากเกินกว่าจะใช้ชีวิตอยู่ได้ตามลำพังและมองเห็นความวาดหวังถึงชีวิตครอบครัวอันอบอุ่นในกาลเบื้องหน้า นี่อาจเป็นสิ่งที่เขาตามหามาตลอดชีวิตก็เป็นได้ศาลาที่ว่าการกรุงออสโลว์ ประเทศนอรเวย์เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นทำให้ร่างบอบบางในชุดราตรีสีฟ้าครามซึ่งนั่งอย่างสงบบนเบาะหลังรถเอสยูวีคันใหญ่รีบหยิบขึ้นมากดรับสาย“สวัสดีจ้ะ ซอนญ่า”“ค่ะ...แม่”
“แดน...ที่ผ่านมาคุณไม่คิดบ้างหรือคะว่าฉันเคยทำอะไรแย่ ๆ กับคุณบ้าง อย่างเช่นวางยาคุณ หรือตั้งใจจะเอาคืนให้คุณเจ็บแสบ”“อะไร ๆ อาจแย่กว่านี้ถ้าผมไม่ได้รู้จักคุณ...ออโซลย่า”หญิงสาวเอียงคอเพื่อมองใบหน้าคร้ามคมที่ลดจมูกลงมาเคลียบนแก้มนุ่ม“คุณคงยังไม่ลืมเธอซีนะคะ”“ผมไม่เคยลืมสายลับสาวแสนสวยที่เก่งกาจถึงขนาดถอดรหัสผ่านประตูนิรภัยของผมได้ และยิ่งกว่านั้นเสน่ห์ของเธอก็มัดใจผมไว้จนดิ้นไม่หลุด”“ตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะแดน...ฉันน่ะไม่เห็นว่าคุณจะพูดดีกับฉันสักหน” อลินทิราอดที่จะตั้งคำถามกับคนที่เธอรักไม่ได้แม้เวลานั้นจะล่วงเลยมาแล้วก็ตาม“อืม...คงตั้งแต่พบกันครั้งแรกในแคนยอน แลนด์ ผู้หญิงอะไรเจ้าเล่ห์ชะมัดทั้งที่รู้ว่าสู้ผมไม่ได้”“ฉันอยากจะฆ่าคุณ” เธอย่นจมูก “ทึ้งคุณให้หลุดเป็นชิ้น ไม่เคยมีใครตามติดและต้อนฉันจนมุมได้เหมือนคุณ”“ตอนแรกคุณจินตนาการว่าผมเป็นคนแบบไหนกัน ซอนญ่า” ชายหนุ่มจุดความอบอุ่นในกายหญิงสาวด้วยการขบเม้มเบา ๆ ที่ใบหูเล็กบาง“ตอนที่ฉันจะรับงานนี้ ฉันแทบไม่สนใจข้อมูลเจ้าของชิปนั่นเลยสักนิดเดียว ฉันคิดเอาเองว่า แดเนียล ไพรซ์ คงเป็นผู้ชายที่น่าเบื่อ เขาคงเป็นนักวิทยาศาสตร์สติเฟื่อง
“แม่ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขค่ะ ท่านยังปลูกผักและเดินเป็นระยะไกล ๆ ได้ ถึงท่านจะอยู่คนเดียวแต่ก็ไม่เหงา เพราะว่าเจ้าอิงลิชกับเจ้ามูนวอล์คเกอร์นี่ล่ะค่ะ”หญิงสาวหันกลับไปยังม้าสองตัวที่ยื่นหน้าเข้ามาให้เธอลูบไล้แผงคอของพวกมันเล่น พวกมันดูคุ้นเคยและทำราวกับคิดถึงนายของมัน“ตัวนี้เป็นม้าอิงลิช เทอโรเบรดค่ะ มันเป็นม้าฝีเท้าดี ฉันตั้งชื่อมันว่าอิงลิช” อลินทิราบอกพลางลูบไล้ไปบนหัวของม้าตัวใหญ่สีน้ำตาลเข้มซึ่งเรือนขนบนหลังและหางมีสีดำเป็นมันวาว มันดูบึกบึนแข็งแรงทว่าก็เชื่องอย่างไม่น่าเชื่อ“ผมเคยอ่านประวัติของม้าพันธุ์ผสมพวกนี้ ตอนศตวรรษที่สิบเจ็ดนักล่าอาณานิคมพยายามพัฒนาสายพันธุ์ม้าอเมริกันใหม่ ๆ ก็เลยผสมพันธุ์ม้าพื้นเมืองกับม้าแคนาดา มันขึ้นชื่อเรื่องของความแข็งแรง พอหลังจากนั้นก็ผสมกับม้าพันธุ์อิงลิชเทอโรเบรดอย่างเจ้าอิงลิชของคุณนี่ไง”แดเนียลเสริมแต่ยังไม่สัมผัสตัวของมันเหมือนหญิงสาว“และนี่...เจ้ามูนวอล์คเกอร์ค่ะ มันเป็นม้าป่าพันธุ์สเปน เรียกได้อีกอย่างว่าซัลเฟอร์ เป็นม้าของรัฐยูทาห์ค่ะ แม่เป็นคนตั้งชื่อให้เพราะตอนพามาเลี้ยงใหม่ ๆ มันหายไปตอนคืนจันทร์เต็มดวง เราคิดว่ามันคงถูกขโมยหรือไม่ก
“ที่ผมมาที่นี่ก็เพื่อจะขอคุณแต่งงาน แต่ผมยังไม่ได้พบแม่บุญธรรมของคุณ ไม่รู้ท่านจะว่ายังไงบ้าง”“ฉันจะว่ายังไงได้ล่ะคะ”เสียงของหญิงสูงวัยที่แทรกขึ้นมาทำให้สองหนุ่มสาวหันไปมองที่ประตูพร้อมกัน“แม่!” อลินทิราอุทานออกมา เธอลืมตัวจะผละห่างจากชายหนุ่มทว่าแดเนียลยังกอบกุมมือเรียวบางไว้แน่น ดาเลียซึ่งยืนอยู่ที่ประตูยิ้มกับผู้มาใหม่ นางมองเขาด้วยสายตาบอกความประหลาดใจหากก็เต็มไปด้วยความตื้นตัน“สวัสดีค่ะ...ฉันคือดาเลีย เฮอเกรล ฉันเป็นแม่บุญธรรมของอัลลี่เองค่ะ”ดาเลียแนะนำตัวในขณะที่ชายหนุ่มคลายมือจากหญิงสาว“สวัสดีครับคุณแม่ ผม แดเนียล ไพรซ์”“แม่กลับมาตอนไหนคะ ทำไมหนูไม่ได้ยินเสียงเลย”ร่างบางถามแก้เก้อ เธอดูเงอะงะไม่รู้ว่าจะยิ้มหรือจะแสดงท่าทางอย่างไรต่อหน้าแม่บุญธรรมในสถานการณ์ไม่คาดฝันเช่นนี้“แม่ลืมของที่จะเอาไปฝากลุงเคิร์คน่ะจ้ะ เลยกลับมาและก็ทันได้ยินว่า คุณแดเนียลจะขอหนูแต่งงาน นี่เป็นความจริงหรือจ๊ะ?”“เป็นความจริงครับคุณแม่”ชายหนุ่มเดินเข้าไปหาหญิงสูงวัย นางจ้องมองเขาไม่วาง แดเนียล ไพรซ์ เป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่หน้าตาหล่อเหลาและมีเสน่ห์ดึงดูด เขาทำให้ดาเลียพรึงเพริศราวถูกสะกดด้วยนัย
แดเนียลอธิบายในขณะที่อาการตื่นกลัวของอีกฝ่ายเริ่มคลายลง อลินทิราเห็นแววตาคู่นั้นหม่นแสงเมื่อเขาพูดต่อไป“เธอแอบจัดตั้งมูลนิธิในนาม ไพรซ์ คอร์ป เพื่อซออนเนต และถ่ายโอนเงินเป็นท่อน้ำเลี้ยงเพื่อองค์กรของตัวเอง พอเออร์วิ่งรายงานเรื่องนี้พร้อมทั้งยืนยันด้วยเอกสาร ผมก็เริ่มส่งคคนตามประกบจนเมื่อสองสัปดาห์ที่แล้ว ผมได้ข้อมูลว่าโมนิกานัดพบกับ อลัน ทีทอน เจ้าพ่อค้าอาวุธสงครามของยุโรป...ผมตามเธอไปพร้อมกับตำรวจและหน่วยสวาทติดอาวุธครบมือ”“ตำรวจคงจับเธอได้แล้วใช่ไหมคะ แดเนียล?”หญิงสาวถามอย่างกระตือรือร้น ความตื่นเต้นประดังอยู่ในอกแทบระเบิดด้วยอยากรู้วาระสุดท้ายของนายใหญ่แห่งไซออนเนต ทว่าแดเนียลกลับยิ้มขื่นและตอบว่า“โมนิกาเป็นคนเก่ง เธอเป็นอัจฉริยะ แต่...” ชายหนุ่มหยุดคำพูดจนอีกฝ่ายต้องเอ่ยถาม“เธอหนีไปได้ใช่ไหมคะ?”ร่างสูงส่ายหน้าและสูดลมหายใจลึก “โมนิกา...ถูกเจ้าหน้าที่หน่วยเฉพาะกิจ...วิสามัญ”“พระเจ้า!”“เราจัดพิธีศพให้เธอและฝังเธอไว้ในสุสานของตระกูล เมื่อไม่มีนายใหญ่ ไซออนเนตก็ถึงจุดจบ”“บางที...อาจจะไม่” อลินทิราขืนตัวออกจากแขนแกร่ง ดวงตาคู่สวยรื้นน้ำและแดงก่ำ“อาจเป็นจุดจบของไซออนเนต แต่คุณ
“ตอนผมไปโรงพยาบาลและพบหมอที่รักษาคุณ เขาบอกว่าภรรยาของผมอาการดีขึ้นมากและได้รับอนุญาตให้กลับบ้านได้ หมอกำชับผมให้ดูแลคุณเป็นพิเศษ ผมคิดว่าจะไม่ถามอะไรต่อจนคุณหมอเข้ามาแสดงความยินดีที่ผมจะได้เป็นพ่อคน เพราะภรรยาของผมตั้งครรภ์ได้สองเดือนแล้ว”หญิงสาวพูดอะไรไม่ออก เธอรับฟังทุกอย่างแต่เหมือนยังมีสิ่งค้างคาใจ“แดนคะ...ฉันไม่ได้ตั้งใจจะหนีหรือปกปิดเรื่องนี้ แต่ฉันไม่แน่ใจว่าคุณกลับไปแคลิฟอเนียเป็นเพราะคุณต้องรีบกลับไปหาโมนิกาหรือเปล่า”“ใช่...โมนิกาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมต้องรีบกลับไปที่นั่น”ชายหนุ่มตอบอย่างไม่ลังเลและทำให้ใบหน้าของอีกฝ่ายหมองลงอย่างเหนได้ชัด กระทั่งเขาพูดต่อทั้งที่กอดเธอไว้แน่น“ตอนที่คุณยังไม่ฟื้นหลังจากหมอผ่าตัดเอากระสุนฝังในออก ผมได้รับโทรศัพท์จากเออร์วิ่ง เขาเป็นนักสืบเอกชนฝีมือดีที่ผมจ้างมาสืบเรื่องนี้ เออร์วิ่งให้ผมรีบกลับไปที่ซานตาโมนิกาด่วนเพราะเขามีข้อมูลบางอย่างให้ผมดู มันเป็นข้อมูลความผิดปกติทางด้านการเงินของบริษัท ตอนแรกที่เขาเข้ามาสืบเรื่องชิปที่หายไป เขารู้แค่ว่ามันเชื่อมโยงกับองค์กรลับไซออนเนต แต่การล้วงข้อมูลลึกเข้าไปเรื่อย ๆ ทำให้เออร์วิ่งพบกับสิ่งที่น่าต