ภายในอาณาเขตของจวนตระกูลลู่ในค่ำคืนอันเงียบสงัด แสงเทียนริบหรี่สะท้อนเงาร่างของ "ลู่หยวนฮวา" หญิงสาวผู้ไม่เคยยอมแพ้ต่อโชคชะตา นางยืนอยู่ในชุดอาภรณ์สีม่วงอ่อนปักลายดอกเหมยกุ้ย ดวงตาสีนิลคู่งามของนางจับจ้องไปยังม่านอาคมสีม่วงที่ปกคลุมจวนมานาน ซึ่งขณะนี้กำลังแสดงสัญญาณการปริแตก
ผนึกนี้เคยเป็นเกราะป้องกันที่มารดาของนางสร้างขึ้น แต่บัดนี้ มันกลับกลายเป็นพันธนาการที่กักขังนางไว้ไม่ให้ออกจากจวน
ลู่หยวนฮวาเดินเข้าไปใกล้ผนึก ความดื้อรั้นที่เป็นลักษณะเด่นของนางตั้งแต่เด็กทำให้นางไม่ยอมปล่อยโอกาสนี้หลุดลอยไป หัวใจของนางเต้นแรงขึ้น นางสัมผัสได้ว่าผนึกที่เคยแน่นหนากำลังจะพังทลายลง ซึ่งนั่นหมายความว่านางอาจจะสามารถออกจากจวนนี้ไปตามหาพี่ชาย "ลู่หยาง" ที่หายสาบสูญไปได้
"ผนึกของท่านแม่กำลังอ่อนลงแล้ว..." ลู่หยวนฮวาพึมพำ น้ำเสียงของนางสะท้อนถึงความมุ่งมั่นที่เต็มเปี่ยม นัยน์ตาสีนิลของหญิงสาวทอประกายด้วยความดื้อรั้นและความแน่วแน่
ในขณะที่หญิงสาวยื่นมือสัมผัสผนึกนั้น สิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น ภาพนิมิตที่หายไปนานกลับพุ่งเข้ามาในสมองของนาง นิมิตนั้นชัดเจนเกินกว่าความฝัน มันเหมือนกับว่าพลังวิเศษที่นางสืบทอดมาจากตระกูลกำลังถูกปลุกให้ตื่นขึ้นอีกครั้ง
ในนิมิต นางเห็นลู่หยางยืนอยู่ท่ามกลางทะเลหมอกในแคว้นเสียนหู่ แคว้นศัตรูที่อยู่ไกลโพ้น สถานที่ซึ่งเต็มไปด้วยความหนาวเย็นและลมพัดแรง ชุดของลู่หยางเก่าและขาด ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความทุกข์ระทมและความเหนื่อยล้า เขานั่งอยู่บนโขดหินกลางจวนแห่งหนึ่ง ใบหน้าของลู่หยางหม่นหมองและสายตาเต็มไปด้วยความเจ็บปวดที่ลึกซึ้งเกินบรรยาย
"พี่ใหญ่!" ลู่หยวนฮวาตะโกนเสียงดังในนิมิต นางพยายามยื่นมือออกไปหาเขา แต่มันเหมือนกับว่าระยะทางที่เคยใกล้กลับกลายเป็นห่างไกล ลู่หยางไม่ตอบสนองใดๆ ไม่แม้แต่จะขยับตัว นางตะโกนเรียกเขาอีกครั้ง "ข้าจะช่วยท่านเอง ข้าจะหาท่านให้พบ!"
แต่แล้ว นิมิตกลับเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว ราวกับหมอกที่ถูกลมพัดกระจาย...
ลูหยวนฮวาสะดุ้งตื่นจากนิมิต เหงื่อเย็นชื้นไหลรินจากหน้าผาก หัวใจของนางเต้นแรงด้วยความตกใจและความกังวล
ลู่หยวนฮวารู้ดีว่าภาพที่นางเห็นไม่ใช่แค่ฝัน นี่คือนิมิตที่แสดงให้เห็นชัดเจนว่าพี่ชายของนางยังมีชีวิตอยู่ และเขาต้องการความช่วยเหลือ
ขณะนั้นเอง เสียงฝีเท้าของป้าหลี่ ผู้ดูแลที่ซื่อสัตย์ของตระกูลลู่ก็รีบเร่งเข้ามาในห้อง นางวิ่งเข้ามาด้วยความร้อนรน ใบหน้าแสดงถึงความกังวล "คุณหนู! อย่าเพิ่งคิดการใหญ่นะเจ้าคะ ผนึกของคุณท่านแตกแล้ว และมันอันตรายมาก คุณหนูจะต้องกลับเข้าห้องทันที!"
ลู่หยวนฮวาหันไปมองป้าหลี่ด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความดื้อรั้น "ข้ารู้ว่ามันอันตราย แต่ข้าก็ไม่อาจทนอยู่เฉยๆ ได้อีกต่อไป ข้าต้องไปตามหาพี่ใหญ่ ข้าเห็นนิมิตชัดเจน ในภาพนั้น...เขายังมีชีวิตอยู่!"
ป้าหลี่ตกใจ นางรู้ดีว่าคุณหนูของนางเป็นคนดื้อรั้น ตั้งแต่เด็ก ลู่หยวนฮวาไม่เคยยอมแพ้อะไรง่ายๆ แต่นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กที่เด็กสาวคนหนึ่งจะตัดสินใจไปคนเดียวได้
"แต่คุณหนู! ท่านลู่ฉิงหลิงฝากฝังไว้ก่อนสิ้นลม ว่าคุณหนูจะต้องไม่ออกไปจากจวนนี้ นี่คือคำสั่งเสียสุดท้ายของท่าน ข้าไม่อาจปล่อยให้คุณหนูทำผิดคำสั่งของท่านหญิงได้เจ้าค่ะ!" ป้าหลี่พยายามห้ามนาง
"ท่านแม่อาจห้ามข้าไว้ แต่ท่านแม่ก็คงไม่อยากให้ข้าติดอยู่ที่นี่ชั่วชีวิตโดยไม่ได้ทำอะไรเลย!" ลู่หยวนฮวาตอบกลับด้วยน้ำเสียงดื้อดึง นางยืนหยัดไม่ยอมให้ใครขวางทาง หัวใจของนางเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะตามหาพี่ชาย นางจะไม่ยอมให้ใครห้ามปรามได้
เสี่ยวหมิง บ่าวรับใช้ที่เติบโตมาพร้อมกับลู่หยวนฮวา เข้ามาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน "คุณหนู ถ้าเช่นนั้น ข้ากับป้าหลี่จะไปกับท่าน เราจะไม่ปล่อยให้ท่านต้องเดินทางไปเผชิญอันตรายเพียงลำพังขอรับ"
ลู่หยวนฮวาส่ายหัว "ข้ารู้ว่าพวกเจ้าหวังดี แต่ข้าต้องไปด้วยตัวเอง ได้โปรดอย่าห้ามข้าอีกเลย"
ป้าหลี่มีสีหน้าลำบากใจ นางมองคุณหนูด้วยความเป็นห่วง "แต่คุณหนู...ท่านจะไปเผชิญอะไรบ้างข้างนอกนั้น ข้าไม่อาจรู้ได้"
"ข้าต้องทำในสิ่งที่ข้าคิดว่ามันถูกต้อง ข้าจะไม่ทิ้งพี่ใหญ่เด็ดขาด ข้าจะไม่ปล่อยให้เขาต้องทนทุกข์เพียงลำพังอีกต่อไป!" ลู่หยวนฮวาตอบกลับอย่างเด็ดเดี่ยว
แม้จะพยายามห้ามปรามปานใด แต่ทั้งป้าหลี่และเสี่ยวหมิงก็ไม่อาจต้านทานความดื้อรั้นของคุณหนูคนสุดท้ายของตระกูลได้ ในที่สุด ป้าหลี่ก็ยอมจำนนต่อเหตุผลของนาง
"ถ้าเช่นนั้น ข้ากับเสี่ยวหมิงจะดูแลจวนนี้แทนคุณหนูเอง... ท่านรีบกลับมาพร้อมกับนายน้อยลู่หยางนะเจ้าคะ" ป้าหลี่กล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนแต่น้ำตาคลอเบ้า
ลู่หยวนฮวามองป้าหลี่และเสี่ยวหมิง นางรู้สึกถึงความรักและความเป็นห่วงของทั้งสอง นางก้มศีรษะลง "ข้าฝากจวนนี้ไว้กับท่าน และข้าสัญญาว่าจะกลับมาพร้อมกับพี่หยาง"
วันรุ่งขึ้น หลังจากลู่หยวนฮวาก้าวข้ามประตูจวนออกมา ความรู้สึกเหมือนน้ำหนักที่กดทับจิตใจนางมาตลอดหลายปีถูกยกออกจากบ่า ผนึกที่เคยพันธนาการนางไว้ไม่ให้ออกจากจวนได้พังทลายลงแล้วอย่างสิ้นเชิง นี่เป็นครั้งแรกในรอบสามปีที่นางได้ก้าวออกมาสู่โลกภายนอก โลกที่นางไม่เคยได้สัมผัสหลังจากที่โศกนาฏกรรมครั้งนั้นเกิดขึ้น
ยามเช้าตรู่แผ่กระจายไปทั่วท้องฟ้า แสงแรกของดวงอาทิตย์ย้อมท้องฟ้าเป็นสีทองอ่อน แสงสีส้มอบอุ่นตกกระทบกับใบหน้าของลู่หยวนฮวา สายลมอ่อนๆ พัดผ่านเส้นผมของนาง ปล่อยให้มันพลิ้วไหวเบาๆ ไปตามจังหวะของลม กลิ่นอายของดินที่ชุ่มน้ำค้างในยามเช้า ผสมกับกลิ่นหอมของดอกไม้ที่ปลูกอยู่ในสวนเล็กๆ นอกจวน ทำให้นางรู้สึกถึงความสดชื่นที่นางไม่ได้สัมผัสมานาน
ท้องฟ้าเปิดโล่งกว้างกว่าที่นางจำได้ ท่ามกลางหมอกบางๆ ที่คลี่ตัวอยู่เหนือพื้นดิน ต้นไม้ใบหญ้าต่างชุ่มฉ่ำด้วยน้ำค้างที่เกาะอยู่ตามใบไม้ นกน้อยส่งเสียงขับขานท่ามกลางบรรยากาศเงียบสงบราวกับโลกนี้มีเพียงนางและเสียงธรรมชาติเหล่านั้น
ลู่หยวนฮวายืนนิ่งอยู่ตรงหน้าจวนครู่หนึ่ง นางหลับตาลง สูดหายใจเข้าลึกเพื่อดื่มด่ำกับความรู้สึกที่ถูกปิดกั้นจากนอกโลกมาเนิ่นนาน หัวใจของนางรู้สึกทั้งโล่งใจและตื่นเต้นไปพร้อมกัน ภาพความทรงจำจากครั้งที่นางยังเป็นอิสระค่อยๆ ผุดขึ้นมาในหัว แต่กลับรู้สึกเหมือนเป็นความฝันที่ไกลออกไปจนแทบเอื้อมไม่ถึง
วันรุ่งขึ้นขณะที่พวกเขาเดินชมรอบเมือง ทิวทัศน์และบรรยากาศยังคงอบอุ่นเหมือนเดิม ทว่าในมุมหนึ่งของหมู่บ้านนั้นมีเสียงกระซิบกระซาบขึ้นมา ชาวบ้านบางคนที่ยังคงระแวงกับคำสาปเก่าแก่ได้เริ่มพูดถึงคำสาปที่อาจจะกลับมา นัยน์ตาหวาดระแวงของบางคนจ้องมองลู่หยวนฮวาอย่างระมัดระวัง พวกเขาเริ่มถอยหนีเมื่อเห็นนางเดินเข้าใกล้ลู่หยวนฮวารู้สึกถึงบรรยากาศที่ตึงเครียดขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ความไม่สบายใจเริ่มทับถมอยู่ในใจของนาง นางหันไปพูดกับชาวบ้านเสียงนุ่ม“พวกท่าน…ไม่ต้องหวาดกลัวอีกแล้วนะเจ้าคะ คำสาปนั้นถูกล้างไปแล้ว ต่อไปนี้จะไม่มีตระกูลต้องสาปอีกต่อไปแล้ว”แต่ชาวบ้านบางคนยังคงไม่คลายความระแวง“แล้วทำไมเด็กๆ ถึงป่วยไม่มีสาเหตุในวันเดียวกับที่ท่านกลับมาเล่า?”เสียงหนึ่งดังขึ้นมาท่ามกลางกลุ่มชาวบ้าน และคนอื่นๆ เริ่มหันไปกระซิบกระซาบ พวกเขาดูคล้ายจะเชื่อคำกล่าวนั้นจางชิงหยวนเห็นภรรยารักถูกแคลนแล้วไม่สบอารมณ์นัก ก้าวเข้ามาข้างหน้า มองไปยังชาวบ้านที่ยังคงแสดงท่าทีหวาดระแวง“ข้าขอเตือนพวกท่านทั้งหลาย อย่าปล่อยให้ความกลัวและความเชื่อที่งมงายมาครอบงำความคิดของพวกท่านอีกต่อไป คำสาปนั้นได้ถูกล้างไปแล้ว และสิ่งที่เกิ
สามปีผ่านไป ชีวิตของลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนเปลี่ยนแปลงไปมาก พวกเขาใช้ชีวิตอย่างสงบสุขในเมืองหลวง หลังจากการแต่งงานและการล้างคำสาปสำเร็จ ทุกอย่างดูจะเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้นพวกเขามีบุตรชายหนึ่งคน ชื่อ "จางหรง" เด็กน้อยวัยสองหนาวที่เต็มไปด้วยความสดใสและความซุกซนใบหน้าของจางหรงมีความละม้ายคล้ายคลึงกับมารดาอย่างเห็นได้ชัด แต่ทว่าดวงตาสีน้ำตาลสวยของเขานั้นสืบทอดมาจากบิดา รอยยิ้มไร้เดียงสาของเด็กน้อยเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ที่ทำให้ทุกคนรอบข้างรู้สึกอบอุ่นใจในขณะที่รถม้าค่อยๆ เคลื่อนตัวไปตามเส้นทางที่ลัดเลาะสู่เมืองหมิงอี้ ลู่หยวนฮวาและจางชิงหยวนต่างนั่งอยู่ในความเงียบสงบที่อบอุ่น จางหรง เด็กน้อยวัยสองหนาวที่นั่งอยู่ระหว่างพ่อแม่ แต่ดวงตาใสแจ๋วกลับจ้องมองไปที่ทิวทัศน์ภายนอกอย่างตื่นตาตื่นใจ"หม่าม๊า ดู! ดู!" จางหรงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น ขณะที่นิ้วมือเล็กของเขาชี้ไปทางหน้าต่างรถม้า "ม้า... ม้าล้ายย... ม้าใหญ่!"ลู่หยวนฮวายิ้มพร้อมกับยื่นมือไปลูบหัวลูกน้อยอย่างอ่อนโยน "ใช่แล้ว หรงเอ๋อร์ นั่นคือลูกม้า มันวิ่งเร็วมากเลยนะ""หรงเอ๋อร์ เจ้าชอบม้าไหม?" จางชิงหยวนถามลูกชายด้วยน้ำเสียงอบอุ่น ขณะยิ้มให้กั
แสงอาทิตย์ยามเช้าส่องผ่านม่านหมอกบางๆ ที่ปกคลุมจวนตระกูลลู่ ท่ามกลางความเงียบสงบของสถานที่แห่งนี้ ลู่หยวนฮวายืนอยู่เบื้องหน้าจวนที่เคยเป็นทั้งบ้านและที่หลบภัยของนางมาตั้งแต่วัยเยาว์ รอบตัวมีเพียงเสียงลมเบาๆ พัดผ่านต้นไม้และดอกไม้ที่เคยเป็นความสุขของนางในอดีตวันนี้จวนตระกูลลู่ดูเหมือนจะเงียบงันกว่าทุกครั้ง นางยืนอยู่ตรงลานกว้าง มองไปยังประตูที่นางเคยเดินผ่านครั้งแล้วครั้งเล่า นางจำได้ดีถึงความรู้สึกในทุกครั้งที่นางกลับมาจากการเดินทางจวนแห่งนี้เคยเป็นที่พักใจของนาง แต่บัดนี้ทุกอย่างได้เปลี่ยนไปแล้ว จวนนี้ไม่ใช่ที่หลบภัยของนางอีกต่อไป มันกลับกลายเป็นเพียงเงาของความทรงจำที่นางต้องละทิ้งลู่หยวนฮวาหายใจเข้าลึกๆ พยายามรวบรวมความกล้าที่จะก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก แม้จะมีความเศร้าและความเจ็บปวดที่ยังคงซ่อนอยู่ในใจ นางรู้ดีว่าการปิดจวนตระกูลลู่เป็นการตัดสินใจที่จำเป็น นางต้องเริ่มต้นใหม่ ชีวิตของนางไม่สามารถถูกผูกมัดไว้กับอดีตอีกต่อไปจางชิงหยวนยืนอยู่ไม่ไกลจากนาง เขามองนางด้วยสายตาที่เปี่ยมไปด้วยความเข้าใจและห่วงใย เขารู้ดีว่าการละทิ้งจวนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับลู่หยวนฮวา แต่เขาเชื่อ
ลู่หยวนฮวายืนอยู่ท่ามกลางเสียงฝีเท้าของทหารต้าหยางที่กำลังเคลื่อนทัพกลับ เงาของดวงอาทิตย์ที่ตกดินทอดยาวไปไกล บรรยากาศเต็มไปด้วยความเงียบงันของชัยชนะ แต่ในหัวใจของนางกลับรู้สึกถึงความสูญเสียที่ยากจะลบเลือนนางก้มลงมองห่อผ้าที่อยู่ในมือ ข้างในนั้นคืออัฐิของลู่หยาง พี่ชายที่เคยยืนหยัดเพื่อปกป้องนางมาตลอดชีวิต บัดนี้กลับเหลือเพียงเถ้าถ่านที่ไร้ลมหายใจน้ำตาของนางไหลลงมาอย่างไม่รู้ตัว ขณะที่นางเดินตามหลังทัพต้าหยาง มือของนางกำห่อผ้านั้นไว้แน่น นางรู้สึกได้ถึงน้ำหนักของความสูญเสียที่ถ่วงหัวใจของนางจนแทบยืนไม่อยู่หัวใจของนางเต็มไปด้วยความเจ็บปวด ความรู้สึกผิดที่ไม่สามารถทำตามคำสัญญาที่เคยให้ไว้กับป้าหลี่ได้"ข้าพูดไว้...ว่าข้าจะจูงมือพี่ใหญ่กลับบ้านพร้อมกัน แต่ตอนนี้ ข้ากลับนำเพียงเถ้ากระดูกของเขากลับไป..."ลู่หยวนฮวาพึมพำเบาๆ ขณะที่มองเถ้ากระดูกในมือของตน นางรู้สึกถึงความหนักหน่วงของความรับผิดชอบที่นางไม่อาจทำได้ตามที่หวัง ความเจ็บปวดจากความสูญเสียที่ท่วมท้นไม่อาจหยุดยั้งน้ำตาที่ไหลออกมาได้จางชิงหยวนที่เดินตามอยู่ไม่ห่าง สังเกตเห็นท่าทีเศร้าสร้อยของนาง เขาเดินเข้ามาใกล้ วางมือเบาๆ ลงบนไหล
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ความคิดในหัวของเขาไม่ได้มีเพียงการต่อสู้กับหวงหมิงเจ๋อเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีความรู้สึกสับสนที่คอยตามหลอกหลอนในใจการตัดสินใจที่จะเสียสละเพื่อแก้ไขความผิดในอดีตและปกป้องคนที่เขารักในปัจจุบันทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง ความดุร้ายในแววตาของหวงหมิงเจ๋อส่งผลให้ความตึงเครียดเพิ่มพูนขึ้น ขณะที่ลู่หยางยังคงเดินมาด้วยความมั่นใจในตัวเอง ใบหน้าไร้ความหวาดหวั่น ทว่าในใจเขายังคงกังวลถึงน้องสาวที่อยู่ท่ามกลางความอันตรายของค่ายกล ความรู้สึกปกป้องที่มีต่อลู่หยวนฮวาทำให้เขารู้ว่าการเสียสละครั้งนี้เป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อรักษาความปลอดภัยของนางความเงียบระหว่างลู่หยางและหวงหมิงเจ๋อนั้นกลับสร้างความตึงเครียดจนทนไม่ไหว ทุกคนในสนามรบรู้ดีว่าการเผชิญหน้าครั้งนี้จะเป็นจุดสำคัญที่อาจกำหนดชะตากรรมของสงคราม แต่ก่อนที่หวงหมิงเจ๋อจะทันได้ก้าวไปข้างหน้า จางชิงหยวนที่ยืนไม่ห่างออกไปสังเกตเห็นเจตนาของหวงหมิงเจ๋อทันทีความโกรธและความแค้นที่สั่
ลู่หยางปรากฏตัวขึ้น ท่ามกลางสนามรบที่แสงจันทร์ลอยเลือนราง ใบหน้าของเขาฉายแววเคร่งขรึม สายตาจ้องมองหวงหมิงเจ๋อ ดาบในมือของเขาสะท้อนแสงอ่อนๆ จากดวงจันทร์ทุกสายตาจับจ้องไปที่ลู่หยาง เมื่อหวงหมิงเจ๋อหันมามอง แต่ยังไม่ทันที่หวงหมิงเจ๋อจะได้พูดอะไร สายตาของทั้งสองประสานกัน ความเงียบชั่วขณะนั้นกลับสร้างความตึงเครียดครึ่งชั่วยามที่แล้ว...ลู่หยางยืนอยู่ลำพังท่ามกลางเงามืดของป่า รอบตัวเงียบสงัด มีเพียงเสียงลมเบาๆ ที่พัดผ่านกิ่งไม้และเสียงใบไม้ที่ปลิวตามลม ความเงียบในยามนี้กลับยิ่งทำให้หัวใจของเขาหนักอึ้ง ความคิดในหัวของเขาวนเวียนไปกับภาพความหลังที่ไม่อาจลบเลือน ทั้งพ่อแม่ที่จากไป และซูเหม่ย คนรักที่เขาไม่เคยลืมเลือนเขายืนก้มมองม้วนกระดาษโบราณที่เขาถืออยู่ในมือ ตำราลับของตระกูลที่บอกวิธีล้างคำสาปได้อย่างละเอียด บางทีนี่ควรจะเป็นความหวังของตระกูล ความหวังที่จะยุติคำสาปที่คอยตามหลอกหลอนสายเลือดของเขามานาน แต่สำหรับลู่หยางแล้ว มันกลับไม่ใช่เช่นนั้นอีกต่อไปคำสาปที่ผูกพันสายเลือดแห่งตระกูลลู่เกิดจากความโลภและความเห็นแก่ตัวของบรรพบุรุษผู้กระทำผิดต่อแผ่นดิน การล้างคำสาปนี้จะสำเร็จได้ก็ต่อเมื่อผู้ส