เจียงอวี่ถึงกับประหลาดใจ ชี้มาทางตนเองพลางถามว่า “ข้าก็ไปด้วยได้หรือ”เจียงซุ่ยฮวนเปิดสมุดบัญชีพลางพลิกดู พอได้ยินเช่นนั้นก็มิได้เงยหน้าขึ้น ตอบเรียบ ๆ ว่า “หากท่านไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร ข้ามิได้บังคับ”“ไป ๆ ๆ !” เจียงอวี่พยักหน้ารัว “ข้าไป!”“ดี เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ” เจียงซุ่ยฮวนเก็บสมุดบัญชี ลุกขึ้นหยิบม้วนภาพและกล่องส่งให้ลิ่วลู่ “เจ้าช่วยเอาสองสิ่งนี้ไปไว้บนรถม้าให้ข้าด้วย”“ระวังหน่อย อย่าให้ยับเชียว”พอเห็นนางใส่ใจภาพวาดนี้ถึงเพียงนี้ เจียงอวี่ก็พลันปลาบปลื้มในใจขณะนั้น ไป๋หลีอุ้มเสี่ยวถังหยวนเดินลงมาจากชั้นบน พลางกล่าวอย่างลนลานว่า “คุณหนูน้อยดูเหมือนจะหิว เอากระพรวนยัดใส่ปากเพคะ”เจียงซุ่ยฮวนรับตัวเสี่ยวถังหยวนมาไว้ในอ้อมแขน แล้วสั่งไป๋หลีว่า “ไปตามแม่นมกับยวี่จี๋พวกนั้นมาด้วย เราจะกินข้าวเย็นด้วยกันที่หอเยว่ฟาง”“แล้วก็ช่วยเอาของในรถม้าไปวางไว้บนชั้นหนังสือในห้องหนังสือด้วย”“เพคะ” ไป๋หลีรับคำ ก่อนจะหมุนตัวออกไป จูงรถม้าจากไปเจียงอวี่ลูบจมูกตัวเองอย่างเก้อเขิน เดิมทีเขานึกว่าเจียงซุ่ยฮวนเริ่มเห็นเขาเป็นพี่ชายแล้ว ถึงได้เชิญไปกินข้าวด้วยคาดไม่ถึง แม้แต่พ่อบ้านกับแม่
เบื้องหน้าของฉู่เฉินคือสาวใช้วัยราวสิบสี่สิบห้าสองคน ใบหน้าผุดผ่องน่ารัก ทั้งคู่สวมอาภรณ์สีชมพูอมส้มสดใสหนึ่งในนั้นกล่าวอย่างไม่พอใจว่า “เจ้าทำหน้าทำตาอะไรเยี่ยงนี้ พวกข้าหน้าตาน่ากลัวนักหรือ”ฉู่เฉินกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น เพราะสาวใช้ทั้งสองหาได้น่ากลัวไม่ ที่น่าหวั่นเกรงยิ่งกว่าคือสตรีเบื้องหลังพวกนาง... คือพระสนม "โจวกุ้ยเฟย" ที่เขาไม่ได้พบมานานนั่นเองแม้ทุกครั้งที่เขาออกจากเรือนจะแปลงโฉมเล็กน้อย เพื่อไม่ให้ผู้คนจดจำได้ง่าย แต่ทันทีที่เห็นหน้าของโจวกุ้ยเฟย หัวใจก็เต้นแรงจนไม่อาจควบคุมเขายกมือปิดหน้าครึ่งหนึ่ง พลางพูดตะกุกตะกักว่า “พวกเจ้ามาผิดทางแล้ว ที่นี่มิใช่ร้านหยงเยว่เก๋อ”สาวใช้คนหนึ่งเท้าสะเอว ชี้นิ้วไปยังป้ายเหนือศีรษะเขา “เจ้าคนผู้นี้ช่างไร้ยางอาย! ป้ายก็เขียนอยู่ว่า ‘หรงเยว่เก๋อ’ ยังจะกล้าปฏิเสธอีก!”“เจ้าคิดจะเล่นตลกอันใดกันแน่!”ฉู่เฉินสวนกลับอย่างไม่ยอมแพ้ว่า “ในเมื่อเจ้ารู้แล้ว เหตุใดยังจะถามอีก จงใจหาเรื่องชัด ๆ!”พูดจบ เขาก็คว้าเก้าอี้ตัวเตี้ยนั้นวิ่งปรู๊ดเข้าไปในหอเยว่ฟางทันทีสาวใช้กระทืบเท้าด้วยความโมโห “พระสนมเพคะ! ท่านทรงเห็นหรือไม่เพคะว่าคนผู้นี้ไร้ม
ฉู่เฉินยิ้มด้วยความดีใจ “เรื่องนี้ให้ข้าจัดการได้เลย เจ้าวางใจเถิด”“อยู่บ้านทุกวันจนเบื่อจะตายอยู่แล้ว วันนี้ในที่สุดข้าก็ได้ออกมาทำงานสักที!”เขายกเก้าอี้เตี้ยออกมานั่งเฝ้าหน้าประตู ผ่านไปไม่นาน ชายชราผู้พูดด้วยสำเนียงแปร่งก็เดินเข้ามาถามว่า “ที่นี่กำลังรับคนทำงานใช่หรือไม่”“อะไรนะ” ฉู่เฉินนึกอยู่พักหนึ่งก่อนโบกมือปฏิเสธ “ลุง ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่จะหารับคน”ชายชราหันหน้ามาขมวดคิ้ว “อ้าว ที่หน้าประตูเขียนไว้ไม่ใช่หรือ กำลังรับสมัครคนงาน เดือนละสามสิบตำลึง”คราวนี้ฉู่เฉินเข้าใจแล้ว จึงพยักหน้า “ใช่แล้วลุง ที่นี่กำลังรับสมัครคนงาน ท่านจะให้ลูกหลานมาสมัครหรือ”“ข้าดูไม่เหมาะสมหรือ” ชายชราถามกลับ“ท่านงั้นหรือ” ฉู่เฉินพิจารณาอีกฝ่าย ชุดที่ชายชราสวมใส่นั้นบางและขาด แม้จะซักอย่างสะอาดสะอ้าน แต่ก็ยังดูออกว่าเขายากจนฉู่เฉินเริ่มสงสัย แม้ในเมืองหลวงแม้จะมีคนยากจนอยู่บ้าง แต่ก็มักอยู่กันอีกฟากหนึ่งของเมือง แทบไม่มาถึงย่านนี้เลยอีกทั้งสำเนียงพูดของชายชราก็ไม่ใช่คนเมืองหลวง แล้วคนแก่ป่านนี้จะมาสมัครงานถึงที่นี่ทำไมกันด้วยความสงสัย เขาจึงถามว่า “ลุงอายุเท่าไหร่แล้ว มาจากที่ใด”ชายชราไอ
เจียงซุ่ยฮวนเก็บรอยยิ้มบนใบหน้า กล่าวเบา ๆ ว่า “ใช่”เจียงอวี่เม้มริมฝีปาก ไม่กล่าวอันใด ดวงตาฉายแววหลากหลายอารมณ์ ทั้งรู้สึกผิด เสียใจ และอับอายเจียงซุ่ยฮวนนึกในใจ ตนกับเจ้าของร่างเดิมเกิดวันเดียวกัน เจียงอวี่ตกใจเช่นนี้ แสดงว่าเขาไม่รู้วันเกิดของเจ้าของร่างเดิม หรือไม่ก็ลืมไปเสียแล้ว“น้องสาว ข้า...” เจียงอวี่ก้าวมาข้างหน้าสองก้าว แต่กลับหยุดลง ไม่รู้จะเอ่ยสิ่งใดออกมาวันนี้เขามาเยี่ยมเสี่ยวถังหยวน นำของขวัญมากมายติดมือมา แต่กลับไม่มีสักชิ้นที่เป็นของเจียงซุ่ยฮวนตั้งแต่เด็กจนโต เจียงเม่ยเอ๋อร์มักมาทวงของขวัญล่วงหน้าหลายวัน ทว่าเจียงซุ่ยฮวนกลับเงียบงันราวกับไม่เคยต้องการสิ่งใดเลยทุกปีในวันนี้ จวนโหวมักจัดงานวันเกิดให้เจียงเม่ยเอ๋อร์แม้เจียงเม่ยเอ๋อร์กับเจียงซุ่ยฮวนจะเกิดวันเดียวกัน แต่ผู้คนกลับยึดติดว่ามีเพียงเจียงเม่ยเอ๋อร์ที่สมควรได้รับการฉลอง จนมองข้ามเจียงซุ่ยฮวนไปอย่างสิ้นเชิงนานวันเข้า เจียงอวี่ก็ลืมสนิทไปว่าวันนี้ก็เป็นวันเกิดของเจียงซุ่ยฮวนเช่นกันเขาไม่กล้ามองตาเจียงซุ่ยฮวน ก้มหน้าเดินไปทางประตู “น้องสาว รอข้าสักครู่ ข้าจะกลับมาโดยเร็ว”เจียงซุ่ยฮวนเอ่ยเรียก “ห
“เรื่องนี้ข้าไม่อาจทราบได้...ชู่วว! ระวังจะมีคนเจตนาไม่ดีได้ยินเข้า หากถูกฟ้องร้องขึ้นมา คงยุ่งยากนัก”ด้านนอกเงียบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะมีเสียงผู้คนพูดขึ้นอีกว่า “พวกเจ้าจำได้หรือไม่ ในพิธีบวงสรวงใหญ่ครั้งก่อน ราชครูได้ทำนายไว้ว่าเป็นลางร้าย”“จำได้สิ ตอนนั้นผู้คนต่างพากันตื่นตระหนก โชคยังดีที่ท่านราชครูกล่าวว่าจะคลี่คลายภายในหนึ่งเดือน ทุกคนจึงค่อยเบาใจลง”“ตอนนี้ก็ใกล้จะครบกำหนดเดือนหนึ่งแล้ว ฝ่าบาททรงรับสั่งว่าอีกเจ็ดวันจะเสด็จไปยังหอบูชาฟ้าอีกครั้ง เพื่อสะสางลางร้าย และประกอบพิธีฝังฮงเฮาอย่างสมเกียรติ”“……”เสียงสนทนาด้านนอกประตูค่อย ๆ เงียบลง เจียงซุ่ยฮวนนิ่งคิดครู่หนึ่งจึงลุกไปเปิดประตูออกนับแต่กู้จิ่นจากไป ก็ไม่มีผู้ใดเล่าเรื่องราวในวังให้นางทราบอีกแล้ว แม้ชางอี้จะรู้ แต่ก็มักยุ่งจนไม่มีเวลามาหานางดังนั้น แหล่งข่าวใหม่ของนางจึงกลายเป็นบรรดาลูกค้าที่ร้านหรงเยว่เก๋อลูกค้าเหล่านี้ล้วนเป็นฮูหยินของขุนนาง ข้อมูลที่พวกนางพูดจึงเชื่อถือได้ถึงแปดถึงเก้าส่วนจากสิบส่วนพอถึงยามเที่ยง เจียงซุ่ยฮวนก็เอนตัวบนนั่งบนเก้าอี้ ขบคิดเรื่องที่ได้ยินมาไยฝ่าบาทจึงส่งฉู่เจวี๋ยกับฉู่ชิวไปเมื
ครานั้นกู้จิ่นจากไปพร้อมกับชางเอ้อร์ ทิ้งให้ชางอี้อยู่ที่เมืองหลวงไม่นานนัก ชางอี้ก็มาปรากฏตรงหน้าเจียงซุ่ยฮวน "พระชายามีเรื่องใดให้กระหม่อมรับใช้หรือพ่ะย่ะค่ะ"นางเอ่ยว่า "ข้าได้รับของสิ่งหนึ่งซึ่งเกี่ยวข้องกับกู้จิ่น เจ้าให้คนส่งไปถึงมือเขาได้หรือไม่"ชางอี้ตอบว่า "ได้พ่ะย่ะค่ะ หากเร่งม้าให้เต็มกำลังก็ใช้เวลาเพียงสิบวันก็ถึงพระหัตถ์ท่านอ๋องแล้ว""เช่นนั้นก็ดีนัก" เจียงซุ่ยฮวนแย้มยิ้มกล่าวว่า "ข้าจะเขียนจดหมายหนึ่งฉบับ เจ้าส่งไปพร้อมกันเลย""พะย่ะค่ะ" ชางอี้รับคำอย่างนอบน้อมเจียงซุ่ยฮวนจรดพู่กัน เขียนจดหมายบรรยายที่มาของจี้หยก และถ้อยคำคิดถึงมากมายนางบรรจุจดหมายและจี้หยกไว้ในกล่องไม้ ใส่ยาห้ามเลือดอีกสองขวด แล้วมอบให้ชางอี้นางกำชับว่า "ต้องส่งถึงมือกู้จิ่นให้ได้ อย่าให้มีข้อผิดพลาดแม้แต่น้อย""พระชายาวางพระทัยได้พ่ะย่ะค่ะ!"หลังชางอี้จากไป ร่างที่ตึงเครียดของเจียงซุ่ยฮวนจึงค่อย ๆ ผ่อนคลาย นางโน้มกายเบา ๆ เป่าเทียนลงทุกอย่างกลับคืนสู่ความเงียบงันดังเดิมพอรุ่งสาง เจียงซุ่ยฮวนก็พาเสี่ยวถังหยวนมาที่ร้านหรงเยว่เก๋อแม้วันนี้จะเป็นวันเกิดของนาง แต่ก็หาได้ต่างจากวันปกติไม่