โรงเรียนไท่หรงฮุ่ยเหวิน เป็นโรงเรียนประจำหญิงล้วนที่เปิดรับนักเรียนตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษาตอนปลาย
หลี่เหม่ยถิงนับว่าเป็นนักเรียนเก่าแก่คนหนึ่ง เธอถูกส่งเข้ามาเรียนตั้งแต่ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 อยู่มา 10 ปีแทบจะหลับตาเดินได้ทั่วแคมปัส ถนนหนทาง ตรอกเล็ก ทางลัด ซอกซอยถูกจดจำได้อย่างแม่นยำกว่าบ้านตระกูลหลี่เสียอีก การพาคนบาดเจ็บแอบเข้าไปซ่อนจึงถือว่าเป็นเรื่องง่าย ‘ฉันก็ทำเท่าที่จะช่วยได้แล้ว หวังว่าคุณคงผ่านพ้นคืนนี้ไปได้นะ’ เธอมีความเสียใจปนเสียดายเล็กน้อย เราทั้งคู่ไม่มีการแนะนำตัวไม่มีการเรียกขานชื่อ เหมือนคนแปลกหน้าที่แค่เดินสวนทาง ใช้เวลาร่วมกันเพียงเสี้ยวนาทีหนึ่งจึงไม่ควรเก็บมาจดจำ “มาแล้ว ๆ ปิดไฟด่วน” “กรี๊ด! กู่เฟิงหลี่มาแล้ว” “เก็บของซ่อนใต้ผ้าห่มเร็ว” ขณะที่จมอยู่กับความคิดตัวเอง รู้ตัวอีกทีก็กำลังก้าวขึ้นบันไดหอพักนักเรียนตึกหนึ่ง มีเสียงโหวกเหวกวุ่นวายแบบไก่บินสุนัขกระโดด “เจ้าพวกนี้ นี่ก็ปีที่ 3 แล้วยังไม่จำเป็นบทเรียนกันอีกหรือไง” “ประธานหลี่ ถ้าจำกันได้คงไม่มีใครถูกลงโทษแล้วล่ะค่ะ วันนี้ใช้รูปแบบไหนดีคะ” จ้าวลี่จู เลขาสภานักเรียน อันเหิงเย่ว หัวหน้าฝ่ายควบคุมระเบียบ และหงหลี่หมิน รองประธานสภา ที่ยืนคอยการมาถึงของประธานสภานักเรียนอย่างหลี่เหม่ยถิงตอบคำและถามหารูปแบบการทำงานในค่ำคืนนี้ “ตรวจหอวันแรกหลังปิดเทอม วันนี้เน้นความเร็วแล้วกัน” “รับทราบค่ะ” หลี่เหม่ยถิงเดินติดกระดุมเสื้อโปโลจนถึงคอ ดันแว่นขึ้นให้กระชับ จัดหน้าม้าผมเผ้าเรียบร้อยก็เดินถึงชั้นสองของหอพัก “201 หัก 1 คะแนน” “202 203 ผ่าน” “204 หัก 1 คะแนน” “กู่เฟิง…” “201 หักเพิ่มอีก 1 คะแนน” “ประธาน ประธานหลี่เมตตาด้วย” เสียงใสราบเรียบไร้คลื่นอารมณ์ ขัดกับเสียงทักท้วง เสียงร้องขอความเห็นใจ ห้องไหนมีปัญหาก็จะตามมาด้วยเสียงทะเลาะถกเถียงกันขึ้น “จิงอี เธอเป็นบ้ารึไง ไปเรียกฉายานังมารกู่เฟิงต่อหน้าเจ้าตัว ดูสิห้องเราโดนตัด 2 แต้มตั้งแต่ยังไม่เปิดเทอมถ้าโดนอีกแต้มเราต้องถูกทำโทษนะ ฉันไม่อยากล้างห้องน้ำ” “ฉันหลุดปากยังพูดไม่ทันจบเลย กำลังจะกลับคำก็โดนประธานหลี่ตัดแต้มแล้ว ฮืออออ ฉันขอโทษน้าทุกคน” หลี่เหม่ยถิงไม่สนใจความวุ่นวาย ยังคงมุ่งทำภารกิจน่าเหนื่อยหน่ายของวันให้จบโดยไว “ประธานหลี่คะ ทำไมห้อง 304 เราถึงโดนตัดแต้ม เราก็อยู่กันครบ เก็บห้องเรียบร้อยเตรียมตัวเข้านอนไม่มีของต้องห้ามใด ๆ” “เฮ้อ! เหอจูอิ๋ง จุ๊ ๆ วันนี้ฉันอุตส่าห์ตรวจแบบเร็วไม่เข้มงวดให้พวกเธอแล้ว เธอมันรนหาที่เอง 304 ตัดเพิ่ม 2 คะแนน พรุ่งนี้ไปห้องสภาเตรียมรับบทลงโทษ” “กรี๊ดดด! นังบ้านี่แกแกล้งฉันรึไง ฉันขอเหตุผลที่แกมาตัดแต้มห้องเราเดี๋ยวนี้ ฉันไม่ยอมจบกับแกแน่!” ร่างบางผอมเพรียวเอี้ยวหลบกรงเล็บยาวที่เหอจูอิ๋งกระโจนใส่หวังข่วนทำร้ายให้สาสมกับความโกรธ ขาขวายื่นออกไปขัดข้อเท้าแล้วรีบชักกลับเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น คนโดนขัดขาขณะโถมตัวมีสภาพดูไม่จืด ตัวถลำหน้าทิ่มชนเข้ากับสันประตูห้องเต็มแรงจนเลือดกำเดาไหล หลี่เหม่ยถิงกับอันเหิงเย่วเดินย้อนไปห้อง 304 ส่วนจ้าวลี่จูกับหงหลี่หมินล็อกตัวเหอจูอิ๋งไว้กันแผลงฤทธิ์ พรึ่บ! มือขาวกระชากผ้าห่มบนเตียงด้านล่างฝั่งซ้าย “แต้มที่ 1 คนห้องเธอหายไป 1 คน แต้มที่ 2 แอบพาคนนอกเข้ามาในหอพัก แต้มที่ 3 มีของต้องห้ามในห้องอย่างเหล้าและบุหรี่” “ยัยอัปลักษณ์ ยัยแก่โรคจิต นังประธานบ้า แกเพ่งเล็งห้องนี้เพราะอิจฉาในความสวยของดอกไม้ของโรงเรียนแบบฉันใช่ไหม นี่พวกสุนัขรับใช้นังกู่เฟิงหลี่ ปล่อยฉันเดี๋ยวนี้นะ” อุุ๊บ ฮ่าฮ่าฮ่า คนจากสภานักเรียนถึงกับระเบิดหัวเราะออกมาด้วยความตลกขบขัน รอยยิ้มสนุกสนานขยายกว้าง ดวงตามองเหอจูอิ๋งขึ้นลงแล้วพากันส่ายหน้า “เหอจูอิ๋ง นี่เธอคิดว่าตัวเองมีอะไรที่เหนือกว่าประธานนักเรียนของพวกเราด้วยเหรอ” หงหลี่หมินถามออกไปอย่างไม่เข้าใจ เหอจูอิ๋งได้ยินก็ยืดตัวแอ่นหน้าอกคัพ D ที่สุดแสนจะภาคภูมิใจจนโดดเด่น แล้วเชิดคาง แสยะยิ้มท้าทายปรายตาผ่านหน้าอกกระจุ๋มกระจิ๋มของหลี่เหม่ยถิง ‘โอ้ อันนี้ประธานก็แพ้จริงเสียด้วย’ แม้ไม่มีใครพูดอะไรออกมา แต่คำพูดเห็นด้วยก็แทบจะแปะให้เห็นกันชัด ๆ บนหน้าผาก ทุกคนหันมองประธานที่เคารพแล้วเบือนหน้าหนี มุมปากหลี่เหม่ยถิงกระตุกหงึก อยากยกเท้าถีบคนเสียจริง ‘ไม่ได้ใจเย็นไว้เราเป็นคนมีคุณธรรม ต้องแก้ปัญหาโดยการใช้สมอง’ “เหอจูอิ๋งนับว่าเธอมีความกล้า ไม่มีใครเรียกฉันว่า กู่เฟิงหลี่ ต่อหน้าเต็มปากเต็มคำมานานมากแล้ว” รอยยิ้มชวนขนหัวลุกสยายเต็มใบหน้าของหลี่เหม่ยถิง คางกดต่ำทำให้แว่นตากรอบหนาพิเศษส่องประกายแวววาวดุจเพชร “ยัยเหอจูอิ๋งซวยแล้ว ประธานยิ้มแบบนี้ทีไร ต้องมีคนประสบเคราะห์กรรมทุกที” อันเหิงเย่วพูดจบก็ทำท่าขนลุกขนพอง “รอยยิ้มนี้งดงามมากค่ะท่านประธานหลี่” หงหลี่หมิ่นส่งสายตาชื่นชมบูชาไปทางหลี่เหม่ยถิง แฟนคลับตัวน้อยของประธานหลี่อาการคลั่งไคล้กำเริบอีกแล้ว “จ้าวลี่จู หยิบสิ่งนั้นออกมาให้ฉันหน่อยสิ เรามาจัดการเรื่องนี้กันอย่างเงียบ ๆ เถอะ เอาแค่เบาะ ๆ เป็นการเตือนพวก ม. 4 ที่เพิ่งเข้ามาเรียนใหม่ไปในตัวด้วย” ออร่ารอบตัวของหลี่เหม่ยถิงตอนนี้ช่างแตกต่างกับยัยกระต่ายน้อยนุ่มฟูในห้องเก็บของก่อนหน้าลิบลับ ตอนนี้นอกจากจะไม่ใช่สัตว์กินพืชน่ารักนุ่มนิ่มขนฟูแล้ว ท่าทางที่แสดงออกอย่างกับสัตว์นักล่าที่กำลังกระหายเลือด เธอไม่ได้โกหกหรือแสดงละครเสียหน่อย การแสดงออกต่อฝั่งตรงข้ามมันขึ้นกับตัวบุคคลต่างหากเล่า “เอาล่ะเหอจูอิ๋ง มาดูกันสิว่าฉันจะจัดการเธอยังไงดี” มือเรียวขาวยกขึ้นแบระดับบ่าหงายฝ่ามือไปด้านหลัง มีสมุดปกดำหนาเตอะเล่มหนึ่งวางแปะลงไปทันที “เทพอำนวยพร ตายแล้ว นางมารเอามันออกมาแล้ว!” “สมุดดำ สมุดดำออกโรงอีกแล้ว ทำไมมันดูหนากว่าเดิม” “ไว้อาลัยให้เหอจูอิ๋งล่วงหน้า” ฮือฮา “สมุดดำคืออะไรเหรอคะรุ่นพี่” เสียงรุ่นน้องที่เพิ่งเข้ามาเรียนปีแรกเอ่ยถาม “ขอบใจมาก เลขาจ้าว” เสียงเรียบเฉยลากหางเสียงยาวยานอย่างต้องการยั่วยุโทสะคนที่ยืนตรงข้าม ปุปุ สมุดบันทึกปกหนังเล่มสีดำ ตีลงบนฝ่ามืออีกข้าง 2-3 ที ดูจากสายตาคงบรรจุข้อมูลไว้ไม่น้อย “สมุดดำมันคือบันทึกข้อมูลลับของนักเรียนในโรงเรียนของเรา มันบันทึกไว้หมดทั้งข้อมูลส่วนตัว ครอบครัว เรื่องน่าอาย แม้แต่ความลับที่เจ้าตัวไม่อยากให้เปิดเผย” นักเรียนรุ่นพี่คนหนึ่งตอบเด็กสาวรุ่นน้องที่ถามด้วยเสียงสั่นเทา “โอ้โห ทั้งโรงเรียนเลยเหรอคะ” “มีหมดทุกคนในโรงเรียน ได้ยินว่าไม่เว้นแม้แต่อาจารย์” “เด็กใหม่น่ะ ไม่ต้องทำหน้าโล่งใจหรอก ไม่เกิน 2 อาทิตย์หลังเปิดเทอม ข้อมูลพวกเธอก็จะไปอยู่ในนั้น” “หา! ได้ไงเป็นไปไม่ได้” “ปีที่แล้วมีคนอยากลองดีประธานหลี่ ยกพวกดักตบตีประธาน ทำอะไรประธานไม่ได้ยังพอทน วันรุ่งขึ้นมีเสียงเทปกระจายอ่านข่าวเรื่องน่าอายของหัวโจกรายนั้นดังวนมาตามวิทยุกระจายเสียงของโรงเรียน“ “คนลองดีเป็นยังไงบ้างคะ?” “ทนอับอายไม่ไหวลาออกไปวันต่อมา”ตอนนี้ความกระสันต์สูงเสียดฟ้าจนอยากจะพุ่งตัวตนเข้าฝากฝังในช่องทางรักหวานฉ่ำแล้วปลดปล่อยตัวตนไปกับความปรารถนาอันลิงโลดนี้“ภรรยา…ช้าหน่อยครับ เดี๋ยวสามีทนไม่ไหวน้องจะเจ็บ” เสียงกระซิบแหบพร้าทุ้มก้องอยู่ริมหูเล็ก คนฟังรู้สึกว่ามันเซ็กซี่ทั้งยังอ้อยอิ่งราวกับตั้งใจออดอ่อยใส่กันแทนที่จะช้าลง ดวงตาดอกท้อของคนตัวเล็กกลับร้อนผ่าว ฝ่ามือขาวกดลงกลางหน้าอกกว้างให้ชายหนุ่มเอนตัวลงเท้าแขนกับโต๊ะกรุกระจก สะโพกอวบตั้งใจบดขยี้ให้ส่วนอวบนูนของวัยสาวถูไถกับส่วนหัวมังกรแดงก่ำที่โผล่พ้นขอบกางเกงในผ้าไหมขึ้นมา“ซี๊ด...อาห์”ได้ยินเสียงสูดปากพร้อมครางกระเส่าของคนตัวโตยิ่งทำให้หญิงสาวฮึกเหิมลำตัวเล็กเอนลงต่ำใช้ใบหน้าซุกลงดอมดมผิวเนื้อเรียบตึง จูบบ้างเลียบ้าง มือก็ลูบวนกดไปทั่วผิวเนื้อท่อนบนมือหนึ่ง อีกมือกลัวจะว่างจึงใช้ท้องนิ้วสะกิดยอดอกสีน้ำตาลอ่อนจนมันหดเกร็งฝ่ามือหยาบกร้านของคนด้านล่างยกขึ้นนวดคลึงภูเขาหิมะที่มียอดอิงเถาปัดผ่านกล้ามท้อง หญิงชายทั้งสองต่างนวดคลึงฟอนเฟ้นเรือนร่างเกือบเปลือยของกันและกันน้ำหนักมือเคล้นแรงขึ้นตามแรงอารมณ์ที่เดือดพล่าน ผิวเนื้อสะโพกปลิ้นออกมาตามง่ามนิ้วเรียวยา
หลังบอกกล่าวกราบไหว้บรรพบุรุษของเจ้าสาว ยกน้ำชาให้กับผู้ใหญ่เริ่มจากพ่อ ปู่และอาจารย์ ฉินเฟยหลงก็อุ้มเจ้าสาวขึ้นรถท่ามกลางความเงียบ... พรืด... และเสียงสูดน้ำมูกของเกาอี้ “ฮึก...คุณหนูออกเรือนแล้ว” ไป๋จื้อหยางที่น้ำตาคลอมองขบวนรถขับออกไปจากบ้านตระกูลไป๋เก็บอารมณ์กลับแทบไม่ทัน มองสภาพบอดี้การ์ดร่างใหญ่ยักษ์กำลังยกผ้าเช็ดหน้าเช็ดน้ำตาหัวไหล่สั่น ผ้าเช็ดหน้ามีคราบปริศนาเกาะหนึบ วงล้อมจึงแตกกระเจิงไปคนละทาง ทั้งผู้เฒ่าไป๋ ผู้เฒ่าติง ไป๋จื้อหยาง แม้แต่จ้าวลี่จูยังถอยเท้าเงียบ ๆ ส่วนเพื่อนอย่างหยางฝูเหว่ยเดินหนีไปนานแล้วตั้งแต่บอดี้การ์ดหนุ่มน้ำตาคลอ “เอ่อ...แต่อีกไม่กี่วันประธานก็กลับมาแล้วนะคะ” จ้าวลี่จูพูดความจริงที่ทุกคนลืมนึกไป ใช่... แต่งงานแล้วอย่างไร... อีกไม่กี่วันก็กลับมาอยู่ด้วยกัน เพียงแค่มีคนตามมาอยู่ด้วยอีกคน มีตะเกียบกับถ้วยข้าวเพิ่มมาอีกชุด เกาอี้เองที่ถูกอารมณ์อ่อนไหวพาไปก็หยุดร้องอ้าปากค้าง ฟืดดดดด... “นั่นสิ! เราก็ยังทำหน้าที่เดิม” คิดได้แล้วสั่งน้ำมูกที่เหลือเดินจากไปอย่างร่าเริง ไป๋จื้อหยางกับคนงานในบ้านถูกเบรกอารมณ์ก็แยกย้ายกันไป ทางด้านขบวนรั
3 วันต่อมา ลู่เจียจิ่วเป็นย่านเศรษฐกิจการเงินของเซี่ยงไฮ้ ทุกพื้นที่มีค่ายิ่งกว่าทองคำ บริษัทข้ามชาติ ตึกสูงเสียดฟ้า บ่งบอกเม็ดเงินลงทุนมหาศาลที่หลั่งไหลเข้ามาไม่ขาดโดยปกติเวลาของผู้คนที่ทำงานในย่านนี้เป็นเงินเป็นทอง มีแต่ความเร่งรีบ วันนี้กลับต่างออกไปเพราะมีสิ่งที่น่าสนใจกว่าการทำเงินเกิดขึ้นที่ตึกเฮยอวิ๋นทีมมหรสพ กลองและปี่พาทย์ในชุดถังจวงสีแดงตั้งขบวนหน้าตึก ดนตรีถูกบรรเลงอย่างคึกคักตลอดระยะที่เริ่มมีการยกหีบสิ่งของออกมาจากประตูใหญ่ของตึก ขึ้นไปยังรถบรรทุกสีขาวปิดทึบที่ผูกซิ่วฉิวหน้ารถ พนักงานออฟิศของบริษัทต่าง ๆ ยินยอมเข้างานสายแต่ไม่กล้าเดินเบียดแทรกแถวเข้าไปในตัวอาคาร ได้แต่ยืนรักษาระยะอยู่ด้านนอก“นายครับได้เวลาแล้ว” ฉินเฟยหลงเดินออกมาจากลิฟต์ส่วนตัวด้วยชุดพิธีการสีแดง ใบหน้ามีรอยยิ้มน้อย ๆ ประดับตลอดเวลาเจ้าบ่าวเดินนำขบวนไปขึ้นรถด้านนอก“เตรียมเคลื่อนขบวนไปรับเจ้าสาวได้!” ผู้นำพิธีการตะโกนเตือนเมื่อได้เวลาสมควร รถดนตรีที่มีเสาไม้ติดป้าย ‘ซวงสี่’ จึงกระหึ่มอีกระลอกขบวนรถหรูที่ถูกเปลี่ยนเป็นสีแดง 9 คัน เริ่มเคลื่อนตามออกไปติด ๆ คันนำหน้าเป็นรถสปอร์ตเปิดประทุนผูกซิ่วฉิวผ
รถของตระกูลไป๋ต้องเบรกกะทันหันเมื่อเลี้ยวเข้ามายังลานจอดรถ จู่ ๆ รถที่จอดอยู่หลายคันก็พร้อมใจกันถอยหลังจนมาล้อมกรอบรอบตัวรถของพวกเขาเป็นวงกลมปัง ปัง ปัง!สถานการณ์ยิ่งไม่ปกติเมื่อมีชายในชุดสูทนับรวมได้ 8 คน ลงมาจากที่นั่งข้างคนขับของรถที่ล้อมรถตระกูลไป๋อยู่กรี๊ด...“หลบเร็ว ตีกันแล้ว แจ้งตำรวจ!”“หนีเร็วเข้า อย่าไปยุ่ง”ไป๋จื้อหยางกอดลูกสาวแน่น“สืออิงติดต่อบอดี้การ์ดมาที่นี่ด่วน!”บอดี้การ์ดตระกูลไป๋ รวมถึงหยางฝูเหว่ยและเกาอี้ไม่ได้ตามมาเพราะเป็นเวลากลางวันและสถานที่อยู่ใจกลางเมือง ไป๋จื้อหยางจึงคิดว่าไม่น่าจะมีใครกล้าเล่นสกปรกไป๋เหม่ยถิงมองออร่าสีเขียวจากบุรุษบางคนที่ลงจากรถ ลองพิจารณาใบหน้าหลังแว่นกันแดดดี ๆ เหมือนจะเคยผ่านตามาบ้าง จึงนั่งนิ่งอยู่กับที่ใบหน้าเฉยเมย‘เฮียหลงกำลังจะทำอะไร?’“ถิงเออร์ลูกนั่งรอในรถ พอจะออกไปเจรจาดูสักหน่อยว่าผู้มาต้องการอะไร”ไม่ทันที่เธอจะห้ามคุณพ่อก็จับประตูรถเตรียมก้าวออกไป ประจวบเหมาะกับคนด้านนอกเริ่มเคลื่อนไหวพร้อมกันพรึ่บ! ปุ้ง ปุ้ง ปุ้ง!ท้ายรถที่ล้อมกรอบทั้งหมดเปิดออก มีเสียงพลุขนาดเล็กแตกกระจายพร้อมสายรุ้งและกระดาษสีปลิวว่อน กุหลาบหลากสีถู
3 วันต่อมาตึกเซี่ยอวิ๋น 8 โมงเช้า“ฮ้าว...เหล่าจงนายมาสักที ข้าจะได้กลับไปนอนยาว ๆ” พนักงานรักษาความปลอดภัยของตึกกะกลางคืนทักเพื่อนที่มาเปลี่ยนกะแล้วเตรียมจะกลับเข้าไปตึกเซี่ยอวิ๋น“!!!”ตอนเปิดตาที่ปิดปากหาวยาว เขาตกใจจนขวัญเกือบกระเจิงเพราะบอดี้การ์ดในชุดฝึกสีดำราว 20 กว่าคนมายืนออกันเงียบ ๆ ตรงลานกว้าง แถมไฟของตึกก็ยังไม่เปิดจึงเห็นเป็นเงาตะคุ่ม“ตกใจหมดนึกว่าโจรปล้นตึก! พวกพี่ลงมาทำอะไรกันครับ” บอดี้การ์ดก็เป็นรุ่นพี่ที่ร่วมฝึกซ้อมกันทุกวัน ผลัดกันเปลี่ยนมาเฝ้าตึกกับออกไปทำภารกิจด้านนอกถ้าสังเกตดีต ๆ จะเห็นว่าเหล่าบอดี้การ์ดมีถุงใส่ของติดมือมาด้วย พอคนออกจากลิฟต์เที่ยวสุดท้ายครบก็กระจายกำลังกันเดินออกไปด้านนอกตึก‘ชุนเหลียน’ กลอนคู่มงคลแผ่นยาวสีแดง ที่เขียนด้วยมือจากปรมาจารย์ด้านการคัดอักษร ถูกติดตรงประตูทางเข้าตึกก่อนเป็นที่แรก ตามด้วยตัวอักษร ‘ฝู’ ที่แปลว่าความสุขติดกลับหัวตรงประตูกระจกสองด้านด้านนอกผ้าแดงและโคมกระดาษถูกนำไปห้อยประดับตามต้นไม้ตรงสวนหย่อมก่อนเข้าตัวตึกจนดูสดใสมีชีวิตชีวาเพิ่มขึ้นซิ่วฉิวฮวามีชายยาวถูกนำไปแขวนอยู่เหนือประตูทางเข้าตึกด้านหน้า ด้านในมีทีมบอดี้การ
บ้านตระกูลไป๋ วันต่อมาอีก 1 อาทิตย์ ก็จะเป็นวันยกน้ำชาของทายาทตระกูลไป๋ ห้องนอนของไป๋เหม่ยถิงจะถูกปรับปรุงใหม่ สร้างตู้เก็บเสื้อผ้าเพิ่มเติมสำหรับฉินเฟยหลงห้องก็เปลี่ยนสีการตกแต่งใหม่ เป็นสีไม้กับครีม พรมเป็นสีน้ำตาลอ่อน เฟอร์นิเจอร์ใหม่ถูกสั่งเข้ามา วันนี้จะมีช่างกับทีมตกแต่งภายในเข้ามาทำในส่วนของบิวท์อิน“ประธานคะ มานั่งทำอะไรตรงนี้คะ แล้วดูแบบห้องที่ตกแต่งใหม่หรือยังคะ” จ้าวลี่จูเดินเข้าบ้านมาเห็นประธานสาวนั่งเท้าคางไร้ชีวิตชีวาอยู่ตรงโซฟารับแขก“ไม่ต้องดูหรอก ทำตามแบบไปนั่นล่ะ ฉันนั่งสะสมพลังอยู่น่ะไม่ต้องให้ใครมารบกวนนะ”ไป๋เหม่ยถิงโบกมือเอื่อย ๆ ตาปรือทำท่าจะปิด ไหนเลยสะสมพลังงานอะไร ทำท่าจะหลับอยู่เดี๋ยวนี้ที่เธอบอกว่าสะสมพลังนั้นพูดจริงแม้ลี่จูจะมองอย่างไม่เชื่อถือแล้วถอนหายใจ เลขาสาวไม่อยากต่อบทสนทนารีบไปดูช่างตกแต่งภายในต่อว่าที่เจ้าสาวปิดตาเอนหลังเข้ามุมพิงตัวกับแขนโซฟา รับรู้ถึงกระแสลมอุ่นจากหยกจักรพรรดิที่ค่อย ๆ ไหลผ่านจากต้นคอลงสู่ท้องน้อย เข้าสู่แสงสีขาวนวลขนาดเท่าเมล็ดถั่วเขียวใบหน้าเรียบเฉยเปิดรอยยิ้มอ่อนโยน เมื่อรับรู้ความรู้สึกทั้งหมดนี้“คุณหนูครับ เจ้านายส่งช