แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ รถสปอร์ตคันหรูของแดนดินแล่นไปบนถนนเลียบชายฝั่งอย่างนุ่มนวล ข้างกายเขามีมิเชลนั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้า ตลอดการเดินทาง ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างออกรสถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา เสียงหัวเราะคละเคล้าไปกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะ
ในที่สุด รถก็จอดสนิทที่ลานจอดรถเล็กๆ ใกล้กับชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มิเชลจำได้ทันทีว่าที่นี่คือทะเลที่เธอและแดนดินได้พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำอันแสนหวานไหลบ่าเข้ามาในความรู้สึก "ที่นี่..." มิเชลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข "ยังคงเหมือนเดิมเลยนะ" แดนดินหันมายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน "ฉันตั้งใจพาเธอมาที่นี่ ที่ที่เราเริ่มต้นทุกอย่าง" ทั้งคู่จูงมือกันเดินเล่นไปตามริมหาด ทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ความทรงจำในวันแรกที่พวกเขาชนกันโดยบังเอิญผุดขึ้นมาในความคิด "จำได้ไหม วันนั้นฉันเดินเหม่อมากแทบไม่มองทางเลย" มิเชลหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอกัน "จำได้สิ" แดนดินหัวเราะตาม "ฉันเองก็มัวแต่คิดเรื่องงานจนไม่ได้มองทางเหมือนกัน โชคชะตานำพาจริงๆ" "ใช่เลย" มิเชลพยักหน้า "ตอนนั้นฉันไม่คิดเลยว่าผู้ชายที่ฉันชนวันนั้น จะกลายมาเป็นคนสำคัญที่สุดในชีวิตฉัน" "ฉันก็เหมือนกัน" แดนดินกระชับมือเธอแน่นขึ้น "ตั้งแต่วันนั้น ฉันก็รู้แล้วว่าเธอพิเศษ" พวกเขาเดินเล่นกันไปเรื่อยๆ พูดคุยถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา อุปสรรค ความสุข และความผูกพันที่ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นทีละน้อย จนกระทั่งพระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำลง แสงสีส้มแดงเริ่มปกคลุมท้องฟ้าและผืนน้ำทะเล มิเชลหยุดยืนอยู่ริมทะเล มองไปยังภาพพระอาทิตย์ที่กำลังจะลับขอบฟ้า แสงสุดท้ายสาดส่องมากระทบใบหน้าสวยของเธอ แดนดินยืนอยู่ข้างๆ มองเธอด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรัก "สวยจังเลยนะ" มิเชลพึมพำออกมาอย่างไม่ได้ตั้งใจ "สวยเหมือนเธอเลย" แดนดินกระซิบข้างหูเธอ จู่ๆ เสียงเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีคลาสสิกอันไพเราะก็ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง มิเชลหันกลับไปด้วยความสงสัยและประหลาดใจ ดวงตาของเธอเบิกกว้างอย่างตกใจและดีใจจนพูดไม่ออก เมื่อเห็นภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า แดนดินกำลังคุกเข่าลงบนผืนทราย แหวนเพชรเม็ดงามส่องประกายระยิบระยับอยู่ในมือของเขา แสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกดินสาดส่องมาที่แหวน ทำให้มันเปล่งประกายราวกับดวงดาว มิเชลยืนนิ่ง อึ้งจนพูดไม่ออก น้ำตาเริ่มเอ่อคลอเบ้าด้วยความตื้นตันใจ "มิเชล นภัสสร ศิริพันธ์" แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือเล็กน้อย แต่เต็มไปด้วยความรักและความจริงใจ "ตั้งแต่วันแรกที่เราเจอกันที่นี่ ชีวิตของฉันก็เปลี่ยนไป เธอเข้ามาเติมเต็มทุกส่วนที่ขาดหายไป เธอคือรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และความสุขของฉัน ตลอดเวลาที่ผ่านมา ฉันรู้แล้วว่าฉันไม่อยากใช้ชีวิตที่ไม่มีเธออยู่ข้างๆ" เขาเงยหน้ามองเธอด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรัก "เธอคือทุกสิ่งทุกอย่างของฉัน... แต่งงานกับฉันนะ" น้ำตาของมิเชลไหลอาบแก้ม เธอไม่สามารถกลั้นความรู้สึกดีใจและความตื้นตันไว้ได้อีกต่อไป "ค่ะ..." มิเชลตอบด้วยเสียงที่สั่นเครือ แต่หนักแน่น "แต่งค่ะ แดนดิน ฉันจะแต่งงานกับนาย" รอยยิ้มกว้างปรากฏบนใบหน้าของแดนดิน เขาสวมแหวนเพชรบนนิ้วนางข้างซ้ายของมิเชลอย่างบรรจง แหวนส่องประกายสวยงามบนนิ้วเรียวของเธอ ทันทีที่สวมแหวนเสร็จ แดนดินก็ลุกขึ้นยืนและสวมกอดมิเชลไว้แน่นด้วยความดีใจ ความรู้สึกโล่งใจและความสุขท่วมท้นอยู่ในหัวใจของทั้งสอง "ฉันรักเธอเหลือเกินนะ มิเชล" แดนดินกระซิบข้างหูเธอด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความรัก "ฉันก็รักนายค่ะ แดนดิน รักนายที่สุด" มิเชลตอบกลับทั้งน้ำตา ก่อนที่ทั้งคู่จะค่อยๆ ผละออกจากอ้อมกอด มองหน้ากันด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักและความสุข และในที่สุด ริมฝีปากของทั้งสองก็ประกบกันอย่างนุ่มนวล จูบที่เต็มไปด้วยความรัก ความผูกพัน และสัญญาแห่งรักนิรันดร ท่ามกลางแสงสุดท้ายของพระอาทิตย์ตกดินที่ส่องประกายสีทองอร่ามเหนือผืนน้ำทะเล ราวกับเป็นพยานรักของคนทั้งสอง ณ ทะเลแห่งความทรงจำที่กลายเป็นทะเลแห่งรักนิรันดร...เสียงคลื่นซัดเข้าหาฝั่งอย่างอ่อนโยน แสงอาทิตย์สีทองส่องประกายระยิบระยับเหนือผืนน้ำทะเลสีคราม หาดทรายขาวเนียนละเอียดถูกประดับประดาไปด้วยดอกไม้สีขาวบริสุทธิ์ ซุ้มดอกไม้ขนาดใหญ่ตั้งตระหง่านอยู่ริมทะเล รอคอยการมาถึงของคู่บ่าวสาวมิเชลอยู่ในชุดแต่งงานสีขาวบริสุทธิ์ ปักลายลูกไม้สวยงาม ผมยาวสลวยถูกเกล้าขึ้นอย่างประณีต เผยให้เห็นใบหน้าสวยหวานที่แต่งแต้มด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข เธอเดินเคียงข้างคุณชาญศักดิ์ผู้เป็นพ่อ ที่จูงมือเธออย่างทะนุถนอม มุ่งหน้าไปยังซุ้มดอกไม้ที่แดนดินยืนรออยู่แดนดินอยู่ในชุดสูทสีขาวสง่างาม ดวงตาคมของเขาจับจ้องอยู่ที่มิเชลเพียงคนเดียว เมื่อเห็นเธอเดินเข้ามาใกล้ หัวใจของเขาก็เต็มตื้นไปด้วยความรักและความสุขบาทหลวงกล่าวเริ่มต้นพิธีด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น ก่อนจะถึงช่วงเวลาที่คู่บ่าวสาวจะกล่าวคำสาบานรักแดนดิน: "มิเชล... ตั้งแต่วันที่เราพบกันที่นี่ ทะเลแห่งนี้ก็กลายเป็นพยานรักของเรา เธอเข้ามาในชีวิตของฉันเหมือนแสงสว่างในความมืดมิด เธอคือเพื่อนที่ดีที่สุด คนรักที่ฉันปรารถนา และอนาคตที่ฉันใฝ่ฝัน ฉันสัญญาว่าจะรักเธอ ดูแลเธอ ซื่อสัตย์ต่อเธอ ทั้งในยามสุขและยามทุกข์ จะเป็นกำลังใจให้เธ
แสงอาทิตย์สีทองสาดส่องกระทบผืนน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับ รถสปอร์ตคันหรูของแดนดินแล่นไปบนถนนเลียบชายฝั่งอย่างนุ่มนวล ข้างกายเขามีมิเชลนั่งอยู่ด้วยรอยยิ้มหวานบนใบหน้า ตลอดการเดินทาง ทั้งคู่พูดคุยกันอย่างออกรสถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านมา เสียงหัวเราะคละเคล้าไปกับเสียงคลื่นที่ซัดเข้าหาฝั่งเป็นระยะในที่สุด รถก็จอดสนิทที่ลานจอดรถเล็กๆ ใกล้กับชายหาดที่เงียบสงบแห่งหนึ่ง มิเชลจำได้ทันทีว่าที่นี่คือทะเลที่เธอและแดนดินได้พบกันครั้งแรกเมื่อหลายปีก่อน ความทรงจำอันแสนหวานไหลบ่าเข้ามาในความรู้สึก"ที่นี่..." มิเชลเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความสุข "ยังคงเหมือนเดิมเลยนะ"แดนดินหันมายิ้มให้เธออย่างอ่อนโยน "ฉันตั้งใจพาเธอมาที่นี่ ที่ที่เราเริ่มต้นทุกอย่าง"ทั้งคู่จูงมือกันเดินเล่นไปตามริมหาด ทรายขาวละเอียดนุ่มเท้า ความทรงจำในวันแรกที่พวกเขาชนกันโดยบังเอิญผุดขึ้นมาในความคิด"จำได้ไหม วันนั้นฉันเดินเหม่อมากแทบไม่มองทางเลย" มิเชลหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงวันแรกที่เจอกัน"จำได้สิ" แดนดินหัวเราะตาม "ฉันเองก็มัวแต่คิดเรื่องงานจนไม่ได้มองทางเหมือนกัน โชคชะตานำพาจริงๆ""ใช่เลย" มิเชลพยักหน้า "ตอนนั้นฉันไม่
เช้าวันต่อมา.... ณ บริษัท"ไปไหนมาทำไมถึงไม่กลับบ้าน" เสียงดุของคุณหญิงเขมจิราเอ่ยขึ้นทันทีเมื่อเห็นลูกสาวของตนเดินเข้ามาภายในห้องประชุม"เมื่อคืนมิเชลมีปาร์ตี้กับเพื่อนขับรถกลับไม่ไหวเลยนอนคอนโดค่ะ" มิเชลเอ่ยตอบอย่างพยายามข่มเสียงไม่ให้ประมาทเอาไว้ก่อนจะนั่งลงข้างพี่ชายของตนที่มารออยู่ก่อนแล้ว"งั้นหรอ?""ค่ะ""ดีอย่าให้ฉันรู้นะว่าแกใฝ่ต่ำไปเอาไอบาร์โฮสนั้นอีก" หลังจากผู้เป็นแม่เอ่ยจบผู้บริหารและผู้ถือหุ้นคนอื่นๆ ก็เริ่มทยอยกันเข้ามานั่งในห้องประชุมวันนี้เป็นวันนัดหมายสำคัญของบริษัทเพราะว่าจะมีนักลงทุนรายใหญ่จะเข้ามาสนับสนุนเรื่องสปอนเซอร์ให้แก่ผลิตภัณฑ์ของพวกเขา เพราะอย่างงั้นเล่าเหล่าผู้บริหารทุกคนต่างมารวมตะวกันเพื่อต้อนรับสปอนเซอร์รายใหญ่คนนี้....แล้วไม่ใช่แค่เพียงพวกเขาอยากมาต้อนรับเท่านั้น แต่พวกเขายังอยากจะเห็นหน้าตาของเจ้าของบริษัทสื่อโฆษณาที่กำลังมาแรงอย่างมากในตลาดนี่ด้วยทั้งที่บริษัทพึ่งจดทะเบียนได้เพียงแค่ 2 ปีเศษๆ เท่านั้นกับทำกำไรได้มากมายหลายพันล้านในเวลาไม่นานที่สำคัญบริษัทสื่อโฆษณานี้จดทะเบียนบริษัทที่ต่างประเทศและเจ้าของบริษัทยังไม่ชอบออกหน้าออกตาให้สื่อได้เห็น
หลายวันผ่านไป...หลังจากกลับมาจากทริปทะเลครั้งนั้น มิเชลก็กลับมาใช้ชีวิตภายใต้ความกดดันของครอบครัวเช่นเดิม ....แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือหัวใจของเธอไม่ได้ว่างเปล่าอีกต่อไปตอนนี้หัวใจของเธอกับพองโตและมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก เธอและแดนดินหลังจากกลับมาก็คงยังติดต่อกันอย่างลับๆ ผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆ และแอบเจอกันบ้างเป็นครั้งคราวเมื่อมีโอกาสเหมือนกับในครั้งนี้....."ฉันต้องไปแล้วนะ" มิเชลเอ่ยขณะนอนเปลือยเปล่าอยู่ในอ้อมอกของแดนดินวันนี้เธอและเขานัดเจอกันที่โรงแรมแห่งหนึ่งที่ต่างจังหวัดซึ่งอยู่ติดกับกรุงเทพและใช้เวลาเดินทางกลับไม่นานมาก"แต่ฉันยังไม่หายคิดถึงเลยนะ" แดนดินเอ่ยพร้อมกับใช้สันจมูกซุกไซร้ซอกคอขาวอย่างคลอเคลีย"นายก็รู้ว่าที่บ้านฉันเป็นยังไง ขืนทำตัวมีพิรุธอีกคราวนี้ไม่มีทางมีอิสระอีกแน่" มิเชลเอ่ยด้วยแววตาที่เศร้าหมอง"ฉันจะทำให้เธอเป็นอิสระเอง" แดนดินเอ่ยก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาคร่อมร่างบางเอาไว้"นายจะทำยังไง ลักพาตัวฉันหรอ? " มิเชลเอ่ยอย่างขบขันเพราะเธอคิดไม่ออกจริงๆ ว่าเธอจะหลุดพ้นจากครอบครัวตนเองไปได้ยังไง"เดียวเธอก็รู้เอง...แต่ตอนนี้อยู่กับฉันก่อนนะ" แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร
"ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ฮึก~ " มิเชลเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือพร้อมกับเอื้อมมือสัมผัสใบหน้าคมคายเบาๆ ราวกับอยากจะรู้ว่านี่คือความฝันหรือความจริงก่อนที่น้ำตาที่กลั้นไว้จะไหลออกมา"จะร้องทำไม ร้องไห้เดียวก็ไม่สวยหรอก" แดนดินเอ่ยอย่าลเอ็นดูพร้อมกับใช้นิ้วโป้งเช็ดน้ำตาให้เธอ"นายหายไปไหนมา รู้ไหมฉันคิดถึงนายแค่ไหน" มิเชลเอ่ยพร้อมกับใช้กำปั้นน้อยๆ ทุบที่อกแกร่ง"โอ่ๆๆๆ ฉันกลับมาแล้วนี่ไงต่อไปนี้จะไม่ไปไหนอีกแล้ว""พูดแล้วนะ" มิเชลเอ่ยพร้อมกับซุกหน้ากับอกแกร่งทั้งคู่สบสายตากันอีกครั้งโดยไม่ต้องมีคำพูดใดๆ แดนดินค่อยๆ โน้มใบหน้าลงมา ริมฝีปากของเขาทาบทับลงบนริมฝีปากของมิเชลอย่างแผ่วเบา ก่อนที่จูบนั้นจะค่อยๆ ลึกซึ้งและเร่าร้อนขึ้น ด้วยความโหยหาที่สะสมมาตลอด 3 ปี ผ่านจูบที่เต็มไปด้วยความคิดถึงและความปรารถนาสองมือเรียวของมิเชลยกขึ้นมาคล้องคอร่างสูงเอาไว้หลวมๆ ขณะที่มือแกร่งของแดนดินเองก็เริ่มลูบไล้เรือนร่างบองเธอผ่านชุดเดรสตัวสวยสองร่างค่อยๆ เอนตัวลงบนผืนทรายขณะที่ริมฝีปากร้อนยังคงเกี่ยวพันกันอยู่อย่างดูดดื่มอย่างไม่มีใครยอมใครพร้อมกับที่ทั้งคู่เริ่มปลดเปลือยเสื้อผ้าให้กันและกันอย่างรีบร้อนสอ
3 ปีผ่านไป...นับตั้งแต่วันที่ถูกพากลับคฤหาสน์ศิริพันธ์ ชีวิตของมิเชลก็เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง อิสระที่เคยมีถูกจำกัดทันทีเมื่อเธอเหยียบเข้ามาในบ้าน ไม่ว่าเธอจะขยับตัวไปทางไหนก็มีแต่ลูกน้องของผู้เป็นแม่คอยจับตาดูอยู่ตลอดเวลาเธอไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องมาทำงานที่บริษัทของครอบครัวและสวมบทบาททายาทบริษัทอย่างเต็มตัว ภายใต้การจับตามองของผู้เป็นแม่อย่างเข้มงวด ราวกับว่าคุณหญิงเขมจิราหวาดกลัวว่าลูกสาวคนเล็กจะหวนกลับไปสู่ "ทางเดินที่ผิด" อีกครั้งยิ่งเมื่อผู้เป็นแม่ไปสืบมาว่าแดนดินเป็นหนุ่มบาร์โฮส์มันก็แทบทำให้ผู้เป็นแม่ลมจับขึ้นมาทันทีการติดต่อกับแดนดินก็กลายเป็นศูนย์เช่นกัน มิเชลพยายามส่งข้อความ โทรศัพท์ หาแดนดินเพื่อถรมไถ่แต่ทุกช่องทางก็ถูกตัดขาด ราวกับว่าแดนดินได้หายตัวไปจากโลกของเธออย่างสิ้นเชิง ความคิดถึงประดังเข้ามาในใจเธอในทุกวัน โดยเฉพาะในยามค่ำคืนที่ความเหงาเกาะกินหัวใจเธอนึกถึงแต่เพียงใบหน้าและแววตาที่อ่อนโยนของเขาจนกระทั่งวันนี้...ในที่สุด ผู้เป็นแม่ก็ได้ยกเลอกให้ลูกน้องเลิกติดตามเธอและยอมให้เธอไปเที่ยวพักผ่อนได้ต่มลำพัง เพราะคิดว่าเวลาที่ผ่านมานานถึง 3 ปี คงจะทำให้ความสัมพันธ์
เช้าวันต่อมา.... แสงแดดยามเช้าสาดส่องเข้ามาในห้องนอนหรู มิเชลและแดนดินยังคงนอนกอดกันอยู่บนเตียงกว้างอย่างแนบชิด ใบหน้าของทั้งคู่ดูอยู่มกล้กันเพียงแค่ไม่ถึงคืบ....แต่ความสงบนั้นก็อยู่ได้ไม่นาน เมื่อเสียงกริ่งประตูห้องดังขึ้นซ้ำๆ ทำให้ปลุกทั้งคู่จากการหลับไหลมิเชลค่อยๆ ลืมตาขึ้นด้วยความงัวเงีย เธอขมวดคิ้วด้วยความสงสัยว่าใครมาแต่เช้า"ใครกัน?" เธอเอ่ยพึมพำแดนดินขยับตัวเล็กน้อยแล้วลืมตาขึ้นเช่นกัน "เดียวไปดูให้" ยังไม่ทันที่แดนดินจะได้ลุกจากเตียง เสียงเคาะประตูก็ดังกระหน่ำตามมาด้วยเสียงเรียกที่คุ้นเคย"มิเชล! เปิดประตูเดี๋ยวนี้!" เสียงของคุณหญิงเขมจิราดังลั่นมาจากหน้าห้อง พร้อมด้วยเสียงทุ้มต่ำของไมเคิลพี่ชายของเธอ"มิเชลอยู่ไหม เปิดประตูให้พี่กับแม่หน่อย"มิเชลเบิกตากว้างด้วยความตกใจ เธอรีบลุกจากเตียงอย่างรวดเร็วและหยิบเสื้อผ้าขึ้นมาสวมใส่อย่างร้อนรนทันทีพร้อมกับที่แดนดินก็รีบหยิบกางเกงมาสวมใส่"แย่แล้ว! แม่กับพี่ไมเคิลมาได้ยังไง!"ก่อนที่เธอจะได้ทำอะไร เสียงประตูห้องก็ถูกเปิดพรวดเข้ามา คุณหญิงเขมจิราและไมเคิลยืนอยู่หน้าประตูด้วยสีหน้าตกตะลึงเมื่อเห็นภาพของมิเชลที่สวมชุดนอนหลุดรุ่ยแ
"อื้ออออ~ " ร่างบางเม้มปากแน่นพร้อมกับครางออกมาเสียงกระเส่าอย่างเสียวซ่านเมื่อลำเอ็นร้อนเสียบเข้ามาในรูรักของเธออีกครั้ง "ตอดดีชิป" แดนดินเอ่ยพร้อมกับขบกรามแน่นก่อนที่เขาจะล็อคเอวบางไว้และเริ่มรัวตอกกระแทกท่อนเอ็นร้อนใส่รูรักของเธออย่างถี่ยิปด้วยอารมณ์กามที่พลุ่งพล่าน "อ้ะๆๆๆ เสียว" มิเชลเอ่ยเสียงกระเส่าพร้อมกับมองท่อนเอ็นร้อนที่เสียบเข้าเสียบออกรูรักของเธออย่างไม่ยั้ง "ฉันก็เสียว มิเชล" แดนดินเอ่ยเสียงทุ่มต่ำพร้อมกับขบกามแน่น มือแกร่งล็อคเอวบางไว้แน่นกว่าเดิมพร้อมกับตอกกระแทกท่อนเอ็นร้อนเข้าไปยังรูรักของเธออย่างสุดแรง ตับ ตับ ตับ!!! เสียงท่อนเอ็นร้อนตอกกระแทกรูรักและเสียงครางของร่างบางยังคงดังสนั่นไปทั่วห้องจนเกิดเป็นเสียงลามก ดวงตาคู่สวยมองใบหน้าหล่อเหล่าของแดนดินที่ตอนนี้มีเม็ดเหงื่อผุดออกมาด้วยแววตาที่หยาดเยิ้ม มือเรียวลูบไล้ไปทั่วแผ่นอกกว้างพร้อมกับถ่างสองเรียวขาออกให้กว้างขึ้นเพื่อให้คนตัวสูงตอกกระแทกท่อนเอ็นร้อนได้ถนัดขึ้น"ตอดดีชิป" แดนดินเอ่ยเสียงทุ้มต่ำเมื่อภายในโพรงรักของเธอตอดลำเอ็นร้อนเขาถี่ยิปมือหนาเลื่อนมาบีบขยำหน้าอกอวบอิ่มทั้งสองข้างของหญิงสาวที่กำลังกร
"งั้นนายก็นอนเฉยๆ " มิเชลเอ่ยก่อนตะเปลี่ยนมานั่งคร่อมขาแกร่งของเขาไว้แทน "จะขย่มฉันเองรึไง? " แดนดินเอ่ยอย่างหยอกล้อพร้อมกับจับลำเอ็นร้อนเขี่ยร่องเสียวของหญิงสาวเล่น "อื้อออ อย่าเเกล้ง" มิเชลเอ่ยด้วยสีหน้าเสียวซ่านก่อนจะเริ่มใช้ร่องเสียวถูไถลำเอ็นร้อนของชายหนุ่มด้วยจังหวะเนิบนาบ "อ่าาา เสียวชิป" แดนดินเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่าพร้อมกับเอื้อมมือมาบีบขยำหน้าอกอวบอิ่มที่กระเพื่อมไปตามแรงของหญิงสาว มิเชลไม่เอ่ยตอบพร้อมกับเร่งบดขยี้ร่องเสียวกับลำเอ็นร้อนไวขึ้นเมื่อเธอรู้สึกเสียวซ่านจนทนไม่ไหวก่อนจะรีบจับท่อนเอ็นร้อนมาจ่อกับรูรักของตนเองเเละนั่งบงไปสุดลำ ส๊วบ!!! "อ่าาาา ลึกจัง" มิเชลเอ่ยครางเสียงกระเส่าก่อนจะเริ่มขย่มสะโพกสวยใส่ท่อนเอ็นร้อนของชายหนุ่มอย่างถี่ยิปด้วยอารมณ์กามที่พลุ่งพล่านอย่างหยุดไม่อยู่ "อ่าาา เธอจะฆ่าฉันรึไง" เเดนดินเอ่ยเสียงทุ่มต่ำพร้อมขบกรามแน่นอย่างเสียวซ่านสายตาคมมองท่อนเอ็นร้อนของตนเอลที่ถูกรูรักกระแทกขึ้นลงอย่างเสียวจับใจ ร่างบางตอกกระแทกต่อรักของชายหนุ่มอย่างถี่ยิป อย่างไม่ยั้งอยู่สักพักก่อนที่เธอจะเริ่มชะลอความเร็วลงและหมุนควงลำเอ็นร้อนเป็นวงกลมแทนสล