LOGIN
“สตรีอย่างเจ้าอย่างไรก็หาคนแต่งด้วยไม่ได้หรอก!
ดีแค่ไหนที่ข้ายอมมาดูตัวด้วย ยังจะมาดูถูกข้าอีก!” บุรุษผู้หนึ่งตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโหหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมุ่นคิ้ว นางสะบัดพัดเก็บตบลงกลางฝ่ามือ
“ใครกันแน่ที่ดูถูกกัน ข้าเป็นสตรีทำการค้าแล้วอย่างไร เจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาดูแคลนข้า หรือตระกูลของข้า!”
“คุณหนูกู้~ ท่านก็น่าจะรู้ว่าที่นี่แคว้นอ้าย รอบ ๆ นี้มีสักกี่แคว้นที่ยกย่องสตรีอย่างท่าน~”
เจ้าคนหยาบคาย!
“ขอบคุณคุณชายที่สละเวลา ข้าคงไม่รบกวนเวลาไปมากกว่านี้แล้ว”
กู้หลินฟางยืนขึ้นเต็มความสูง เดินออกมาจากห้องโดยไม่สนใจอีกฝ่าย มีเสียงเรียกตะโกนไล่หลังมา แต่นางก็หาได้หันหลังกลับไป
เมื่อออกมาพ้นร้านน้ำชา สาวใช้คนสนิทก็เอ่ยกับนางด้วยความอึดอัดใจ
“คุณชายคนนั้นนิสัยแย่เกินไปแล้วนะเจ้าคะ”
“ใช่เจ้าค่ะ ดีจริง ๆ ที่คุณหนูไม่ได้เกี่ยวดองกับคนแบบนั้น ขืนแต่งกันไปก็คงดูถูกดูแคลนคุณหนูทุกวันแน่”
กู้หลินฟางถอนหายใจ เหมือนนางเกิดมาผิดยุคผิดสมัย หรือไม่ก็ผิดแผ่นดิน ความคิดอ่านถึงได้ไปคนละทางกับคนแถวนี้
“ช่างเถอะ อาจจะไม่มีคนแบบนั้นที่แคว้นนี้ก็ได้” นางหมายถึงว่าที่คู่ครองที่เหมาะสมกับตน ถึงจะพูดเหมือนไม่รู้สึกอะไรอย่างนั้น แต่นางก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้อยู่ลึก ๆ เช่นกัน
กู้หลินฟางเป็นบุตรีในตระกูลพ่อค้า ด้วยการเลี้ยงดูมาอย่างทัศนคติของผู้สืบทอด นางต้องหาบุรุษมาแต่งงานด้วย และต้องเป็นการแต่งเข้าเท่านั้น ซึ่งแนวคิดนี้ยังไม่ค่อยแพร่หลายในแคว้นอ้าย ตอนวัยแรกปักปิ่นนางคิดว่าอีกฝ่ายจะเป็นใครก็ได้ทั้งนั้น แต่จากเรื่องที่ผ่านมาแสดงให้เห็นแล้วว่ามันล้มเหลว
หญิงสาวก็มีความสามารถไม่ด้อยไปกว่าบุรุษ บิดาให้ความรักและคาดหวัง ให้ความรู้แบบที่ผู้นำตระกูลควรมี
แต่ดูเหมือนความคิดเช่นนี้ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับพอ ๆ กับที่จะให้บุรุษแต่งเข้า พวกชาวเมืองไม่ได้มีปัญหาเมื่อกล่าวถึงเรื่องเช่นนี้ เพราะว่าเป็นเรื่องของคนอื่น แต่หากจะให้บุตรชายตนเองแต่งเข้ามาอยู่ใต้อิทธิพลภรรยาก็แสดงออกชัดเจนว่า ยอมรับไม่ได้กันทั้งนั้น“ข้าทำท่านพ่อผิดหวังแล้ว”
“โธ่คุณหนู คุณหนูไม่ผิดเสียหน่อยเจ้าค่ะ คนพวกนั้นดูถูกเรา ยอมไม่ได้นะเจ้าคะ”
“ช่างเถอะ ๆ พูดถึงไปก็อารมณ์เสีย ซื้ออะไรหน่อยค่อยกลับบ้านแล้วกัน”
“ล้มเหลวรึ?”
“พังไม่เป็นท่าเลยเจ้าค่ะท่านพ่อ”
ประมุขตระกูลพรูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่
กู้หยวนเป็นคนแคว้นอ้าย แต่ก็ไม่เหมือนคนแคว้นอ้าย เขาเกิดที่นี่ แต่เติบโตอยู่บนเรือสำเภา ไปมาหลายทวีป เจอผู้คนหลากหลาย พอบิดามารดาเข้าสู่วัยบั้นปลายจึงกลับมาบ้านเกิดที่กู้หยวนมีความทรงจำเพียงผิวเผินเขารู้ว่าที่แห่งนี้สตรียากจะโดดเด่นในฐานะผู้นำ แต่ก็นึกไม่ถึงว่าจะขนาดนี้
ถ้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้จนลูกสาวข้าโตก็ยังไม่เปลี่ยนคงพานางไปเรียนรู้บนเรือเสียนานแล้ว
“หรือลูกลองมองหาบุรุษจากเมืองอื่นไว้ดีหรือไม่”
กู้หยวนก็จนใจแล้วเช่นกัน“ลูกยังไม่รีบร้อนหรอกเจ้าค่ะท่านพ่อ เรื่องนี้ค่อย ๆ คิดไปก็ได้ ว่าแต่เรื่องการเปิดเส้นทางการค้าใหม่จะเอาอย่างไรดีเจ้าคะ”
“เรื่องนั้นพ่อให้ลูกจัดการแล้วกัน”
“ทราบแล้วเจ้าค่ะ ลูกจะรีบหาวันเดินทาง”
สองพ่อลูกเงียบลงครู่หนึ่ง กู้หยวนมองหน้าบุตรสาวจนนางรู้สึกตัว บิดาทำสีหน้าลำบากใจก่อนเอ่ยออกมา
“หลินเอ๋อร์ เรื่องคู่ของลูกไม่จำเป็นต้องเป็นคนที่มีฐานะใกล้เคียง หรือผลประโยชน์ร่วมกันเท่านั้นหรอกนะ
ถึงมีแล้วมันจะส่งผลต่อธุรกิจให้มากกว่า แต่ตระกูลกู้ไม่ได้ไร้หนทางเพียงเพราะเรื่องแค่นั้น เรามีดีกว่านั้นมากมาย คิดถึงความสุขและความต้องการของตัวเองเข้าไว้เถอะ”“...” กู้หลินฟางชะงักนิ่งไปก่อนจะเผยรอยยิ้มน้อย ๆ “ทราบแล้วเจ้าค่ะ ลูกจะจำไว้”
เมื่อคุยธุระเสร็จแล้วนางก็ออกมาจากห้องหนังสือ
กู้หลินฟางเดินผ่านเรือนใหญ่จะกลับเรือนนอนของตัวเอง ขณะนั้นก็มีสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กกว่าพุ่งเข้ามาหา
นางก้มมองเด็กหญิงตัวน้อย“หรูอัน? ทำไมเจ้ามาอยู่ตรงนี้เล่า?”
“ข้ามารับท่านพี่” นางแย้มยิ้มแล้วเอาหน้าซุกกับหน้าท้องของพี่สาว
กู้หรูอันเป็นคุณหนูเล็กของตระกูล สกุลกู้รุ่นปัจจุบันมีบุตรสาวสองคน แม้ห่างจากพี่สาวเพียงสามปี แต่นางก็ตัวเล็กมากเพราะป่วยง่ายตั้งแต่ยังเด็ก หากไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนคงนึกว่าพวกนางห่างกันหลายปีกว่านั้น
“ถ้าอย่างนั้นไปกินขนมที่เรือนพี่กันเถอะ”
“เจ้าค่ะ” นางขานรับอย่างกระตือรือร้นพี่สาวจึงยิ้มกว้างขึ้น
ระหว่างเดินทางกลับก็ไปทักทายมารดา และแจ้งว่านางกลับมาแล้ว วันนี้คุณหนูใหญ่ออกไปแต่เช้าตรู่จึงไม่ทันได้ทักทายคนในครอบครัวก่อนไปเลย
“ดูจากสีหน้าเจ้า การดูตัววันนี้ก็ล้มเหลวสินะ”
“ปิดบังท่านแม่ไม่ได้จริง ๆ เจ้าค่ะ”
สองพี่น้องนั่งลงริมระเบียงข้างมารดา ฉู่หลานมองหน้าบุตรสาวทั้งสองแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจด้วยความรู้สึกผิดเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้นอยู่เสมอเวลาที่บุตรสาวถูกปฏิเสธแค่เพราะว่านางเป็นบุตรีสกุลกู้
เทียนจื่อซานเอามือวางรองไว้ท้ายทอยข้างหนึ่ง คุยกับคุณหนูกู้ได้สามคำก็หลบตาหนึ่งที ท่าทางดูทำตัวไม่ถูกอย่างมาก กู้หลินฟางมองเขาด้วยความงุนงง แต่คิดว่าคงเป็นนิสัยของเขาจึงไม่ได้ติดใจอะไรมากนางค้อมศีรษะลงเล็กน้อยแล้วเดินจากไป พอนางหันหลังก็มีเสียงเจี๊ยวจ๊าวตามมาอีกเหมือนเคยการเดินทางนี้มีรถม้าสามคัน คันหนึ่งเป็นที่นั่งโดยสารของเจ้านายและสัมภาระส่วนตัว คันที่สองเป็นตัวอย่างสินค้าและของอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ส่วนคันสุดท้ายเป็นของผู้ติดตามและของจิปาถะอื่น ๆทันที่คุณหนูสั่งให้เดินทางรถม้าก็เคลื่อนออกไปถึงกู้หลินฟางจะชอบการค้าขายเป็นอย่างมาก แต่มีอย่างหนึ่งในองค์ประกอบนี้ที่นางไม่ชอบเลย นั่นคือการเดินทางเป็นเวลานาน ๆต่อให้นางหาวจนอยากหลับไปสักสามครั้งต่อวันก็ไม่อาจเร่งเวลาให้ไปถึงปลายทางได้เดี๋ยวนั้น มันคือช่วงเวลาที่น่าเบื่อที่สุดอย่างไม่อาจหลบหนีหรือหลีกเลี่ยงได้“เสี่ยวลี่”“เจ้าคะ?”“น่าเบื่อจังเลย”“...”แล้วข้าจะทำอะไรได้เล่าเจ้าคะคุณหนู~คนถูกเรียกโอดครวญในใจ แต่ด้วยความภักดีนางก็อยากหาอะไรให้คุณหนูของตนทำแก้เบื่อเช่นกัน เสี่ยวลี่มองหาสัมภาระในรถม้าที่พอจะใช้ได้ แล้วสายตาก็ไปสะดุดก
หลังนางออกมาพ้นประตูร้านก็มีเสียงโวยวายอะไรสักอย่างตามมาพร้อม ๆ กับเสียงโครมคราม หญิงสาวไม่ได้สนใจมันมากนัก นางเสร็จธุระที่นี่แล้วก็กลับคฤหาสน์ตนเองสำนักคุ้มภัยมักตั้งอยู่ใกล้ประตูเมือง เพราะลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการหาคนคุ้มกันเวลาเดินทาง ห่างอย่างมากก็อยู่ระหว่างประตูเมืองกับใจกลาง และแน่นอนพื้นที่อยู่อาศัยสัมพันธ์กับรายได้ คนมั่งมีจึงไม่นิยมอาศัยอยู่แถวนี้ ยามกู้หลินฟางเดินกลับก็ต้องผ่านย่านชุมชนแออัดเช่นกันทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจจะไปหาเรื่องใครที่ไหน แต่ก็ห้ามให้คนอื่นมาหาเรื่องตัวเองไม่ได้“ใครกันล่ะเนี่ย คุณหนูกู้ผู้สูงศักดิ์มาทำอะไรที่ตลาดเล็ก ๆ กันล่ะ”“สวัสดีคุณชายเฉียว” นางทักกลับตามมารยาทแล้วเดินเลยไป“เดี๋ยวสิ เดี๋ยว! คิดจะเมินกันไปแบบนี้ก็ได้เลยรึ!” ชายหนุ่มคนนั้นพยายามจะคว้าแขนนาง แต่ก็โดนสะบัดออก“ยังมีอะไรต้องพูดอีกเล่า หรือต้องให้ข้าพูดยกยอชื่นชมท่านจนตัวลอยไปถึงสวรรค์ก่อนถึงจะผ่านถนนเส้นนี้ได้” นางปรายตามองอีกฝ่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างโจ่งแจ้ง จะไร้สมองแค่ไหนก็รู้ตัวว่าโดนดูถูกกู้หลินฟางไม่ทำนิสัยเสียแบบนี้กับใครก่อน แต่กับเฉียวเชียนนั้นเป็นอีกเรื่อง บุรุษผู้นี้ดูถูกนางตั
“ทำไม! ทำไมถึงเป็นข้าทุกที” เขาร้องเสียงดังแล้วยกไหเหล้ายกซดจนไหลล้นออกจากมุมปากเลอะเสื้อไปหมด แต่เสียงร่ำร้องของเขาก็ยังสู้โต๊ะอื่นในร้านไม่ได้“ไม่ใช่ความผิดลูกพี่หรอกที่มีตาหามีแววไม่ ดูไม่ออกว่าสตรีคนไหนมีครอบครัวแล้วบ้าง”“ไม่นะ ข้าว่าลูกพี่แค่โง่เง่าเท่านั้น”“เกาเฟิงชุน! เจ้าเด็กนี่เอาอีกแล้วนะ ถ้าปากเจ้าว่างนั่งก็ยัดกับแกล้มเข้าไป” เสวียนหรงใช้ตะเกียบคีบ ๆ ยัดอาหารเข้าไปให้เต็มปากเจ้าตัวดี ก่อนจะพ่นอะไรไม่เข้าท่าออกมาอีกบุรุษอกสามศอกแทบน้ำตาร่วงเผาะ เพราะโดนลูกน้องจิกกัดด้วยความบริสุทธิ์ใจ เกาเฟิงชุนทำงานดีและเป็นเด็กดีของพี่ ๆ มาก มาเสียก็แต่เขาปากพล่อยไปหน่อย จึงโดนพี่ชายทั้งหลายตบให้เข้าร่องเข้ารอยเป็นประจำ“เอาน่าหัวหน้า อกหักแค่นี้ไม่ตายหรอก ลองใหม่ครั้งที่สิบเอ็ดก็ได้ ต้องมีสตรีสักคนที่ชอบพอท่านแน่”“เพราะข้าอ่อนแอเกินไปหรือ” เทียนจื่อซานเริ่มตัดพ้อกับทุกอย่าง“คนที่ตบสัตว์อสูรด้วยมือเปล่าเอาอะไรมาอ่อนแอเล่า”“หรือท่าทางข้าน่ากลัวเกินไป?”“บุรุษที่ดูอ่อนน้อมเหมือนเต้าหู้อย่างท่านไม่มีอีกแล้วในแคว้นอ้าย”“ทำไมข้าไม่รู้สึกว่ากำลังโดนชมอยู่เลย” เขารู้สึกเหมือนโดนพี่น้องหลอ
ปกติสาวบ่าวชายหรือสาวใช้จะไม่มีทางได้ออกไปไหนหากไม่ใช่การติดตามเจ้านาย แล้วเจ้านายส่วนใหญ่ก็ใช่ว่าจะมีงานที่ต้องเดินทาง การที่พวกนางได้เปิดหูเปิดตาต้องบอกว่าเป็นเพราะตระกูลกู้โดยแท้ เสี่ยวจูกับเสี่ยวลี่จึงคอยรับใช้อย่างภักดีเรื่อยมาการมาเยือนหอคุ้มภัยมักจะคุ้นเคยกับเสียงดังตั้งแต่ยืนอยู่หน้าประตู พวกเขาโบกมือแล้วโวยวายกันเป็นเรื่องปกติ เพราะมีโต๊ะนั่งให้กินดื่มเล็ก ๆ น้อย ๆ สำหรับคนที่มารอรับงาน แต่พวกเขาไม่ใช่ร้านขายสุรา อย่างมากก็ยอมให้แค่คนละจอกพอชุ่มคอ เพราะถ้าสมาชิกหออาละวาดขึ้นมาหัวหน้าหอก็คงปวดหัวหนักแน่กู้หลินฟางเปิดประตูเข้าไปอย่างคุ้นเคย นางมาจ้างวานที่นี่บ่อยแล้ว ส่วนกลุ่มที่ได้รับการว่าจ้างก็เปลี่ยนไปตามจังหวะและเวลา นางเดินไปที่โต๊ะตัวยาวของแผนกจัดสรรงาน“ไปเมืองอู่ ทำสัญญาสองเที่ยว”“ต้องการคนจำนวนมากไหมเจ้าคะ”“รถม้าสามคัน”“ถ้าอย่างนั้นแนะนำเป็นกลุ่มคุ้มภัยที่มีสิบคนเป็นอย่างน้อยเจ้าค่ะ ถึงระยะทางไปเมืองอู่จะไม่ได้ยาวมาก ใช้เวลาไม่เกินสามวันก็ถึง แต่ระหว่างทางมีการพบเห็นสัตว์อสูรอยู่บ่อยครั้ง”“ตอนนี้มีกลุ่มที่เหมาะสมหรือเปล่า”“ตอนนี้ที่อยู่ที่นี่มีกลุ่มสิบคนขึ้นไป
ตอนที่ได้พบรักกับสามีนางก็ประหลาดใจกับเรื่องนี้เช่นกัน สกุลกู้นั้นแตกต่างจากครอบครัวอื่นในเมือง ด้วยกฎที่ว่าบุตรคนโตไม่ว่าหญิงหรือชายจะต้องเป็นผู้นำตระกูลรุ่นต่อไป ส่วนน้อง ๆ ก็จะคอยเป็นผู้ช่วยหลังจากนั้นด้วยความที่แคว้นอ้ายยังไม่ได้เปิดรับกับเรื่องนี้พวกนางจึงถูกต่อต้านอยู่บ่อย ๆ นางเคยขึ้นเรือสำเภาไปกับสามีทำให้ได้เห็นโลกกว้าง และได้รู้ว่าบ้านเกิดของตนนั้นยังมีจุดบกพร่องอยู่มาก ถึงอย่างนั้นกำลังของคนไม่กี่คนไม่อาจพลิกผันสิ่งที่เชื่อ และทำตามกันมาอย่างเนิ่นนานได้ฉู่หลานได้แต่ภาวนาให้บุตรสาวทั้งสองได้พบคู่ครองที่จริงใจ และไม่เห็นแก่ผลประโยชน์ ที่ผ่านมาเจอแต่คนเห็นแก่ตัวเพียงเพราะอยากอาศัยตำแหน่งในตระกูลของพวกนางกันทั้งนั้น ทำเอามารดาอย่างนางทั้งปวดหัวปวดใจไม่น้อยเลย“ท่านพี่ไม่ถูกใจกับว่าที่คู่หมั้นอีกแล้วหรือเจ้าคะ” นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่กู้หรูอันได้ยินเลย นางได้ยินมาจนเบื่อจนแทบแค้นใจด้วยซ้ำพี่สาววางมือบนศีรษะของผู้เป็นน้องแล้วลูบเบา ๆ ด้วยความเอ็นดู ยิ้มให้น้องสาวคลายกังวล เพราะนางหน้าหงอยลงทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ท่านพี่ของนางไม่ใช่คนนิสัยเลวร้าย หน้าตาก็ไม่ได้แพ้ใคร เหตุใดจึง
“สตรีอย่างเจ้าอย่างไรก็หาคนแต่งด้วยไม่ได้หรอก! ดีแค่ไหนที่ข้ายอมมาดูตัวด้วย ยังจะมาดูถูกข้าอีก!” บุรุษผู้หนึ่งตบโต๊ะเสียงดังด้วยความโมโหหญิงสาวที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมุ่นคิ้ว นางสะบัดพัดเก็บตบลงกลางฝ่ามือ“ใครกันแน่ที่ดูถูกกัน ข้าเป็นสตรีทำการค้าแล้วอย่างไร เจ้าเป็นใครถึงมีสิทธิ์มาดูแคลนข้า หรือตระกูลของข้า!”“คุณหนูกู้~ ท่านก็น่าจะรู้ว่าที่นี่แคว้นอ้าย รอบ ๆ นี้มีสักกี่แคว้นที่ยกย่องสตรีอย่างท่าน~”เจ้าคนหยาบคาย!“ขอบคุณคุณชายที่สละเวลา ข้าคงไม่รบกวนเวลาไปมากกว่านี้แล้ว”กู้หลินฟางยืนขึ้นเต็มความสูง เดินออกมาจากห้องโดยไม่สนใจอีกฝ่าย มีเสียงเรียกตะโกนไล่หลังมา แต่นางก็หาได้หันหลังกลับไปเมื่อออกมาพ้นร้านน้ำชา สาวใช้คนสนิทก็เอ่ยกับนางด้วยความอึดอัดใจ“คุณชายคนนั้นนิสัยแย่เกินไปแล้วนะเจ้าคะ”“ใช่เจ้าค่ะ ดีจริง ๆ ที่คุณหนูไม่ได้เกี่ยวดองกับคนแบบนั้น ขืนแต่งกันไปก็คงดูถูกดูแคลนคุณหนูทุกวันแน่”กู้หลินฟางถอนหายใจ เหมือนนางเกิดมาผิดยุคผิดสมัย หรือไม่ก็ผิดแผ่นดิน ความคิดอ่านถึงได้ไปคนละทางกับคนแถวนี้“ช่างเถอะ อาจจะไม่มีคนแบบนั้นที่แคว้นนี้ก็ได้” นางหมายถึงว่าที่คู่ครองที่เหมาะสมกับตน ถึงจะ







