หลังผ่านพ้นห้วงแห่งความมืดมิดพริมาก็สะดุ้งเพราะรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับโยนจากที่สูง สัมผัสแรงดิ่งที่โถมเข้ามาจนลมหายใจสะดุด ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ก่อนร่างทั้งร่างจะกระแทกเข้ากับพื้นน้ำอย่างรุนแรงและตามมาด้วยความรู้สึกความเย็นเฉียบปะทะร่างจนเจ็บแทบทะลุเข้าไปถึงกระดูก
ตูม!!!
เสียงสายน้ำที่แตกกระจายก้องในโสตประสาท ความเค็มจัดพุ่งเข้าสู่ปากและจมูกในทันที กลิ่นคาวเกลือแรงแสบลึกเข้าโพรงจมูก ความมืดมิดหนาทึบรายล้อมรอบตัวจนเธอแทบไม่รู้ทิศ
น้ำทะเล… นี่มันคือน้ำทะเล!
ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาราวกับมือเย็นชืดกำลังบีบรัดร่างเล็กไว้ ความอัดแน่นจุกเสียดในปอดบีบคั้นจนแทบแตก พริมารีบอ้าปากพยายามสูดอากาศอย่างตะกละตะกลาม แต่กลับเป็นน้ำทะเลที่ทะลักเข้าปากและคอแทนจนเธอสำลักรุนแรง
ไม่… ก็ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือไฟสตูดิโอแผดจ้า เสียงกรีดร้องโกลาหล และความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากการตกจากที่สูงก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป…
แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับกำลังจมน้ำอยู่กลางทะเล!
พริมาดิ้นรนทุรนทุราย ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกโซ่ถ่วงจมดิ่ง มือเล็กไขว่คว้าหาที่พึ่งพิง แต่กลับคว้าได้เพียงน้ำเย็นยะเยือกกับความว่างเปล่า เส้นผมยาวพันยุ่งขวางใบหน้า ความหวาดกลัวทำให้เกิดพลังสุดท้ายให้เธอขยับแขนขาดิ้นเพื่อเอาตัวรอด แต่เรี่ยวแรงก็ใกล้หมดลงทุกที
ไม่! ฉันไม่อยากตายอีกแล้ว!
ทว่าในวินาทีที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะดับสิ้น…
ตูม!
เสียงน้ำที่แตกกระจายดังสนั่น ตามมาด้วยความรู้สึกถึงแขนแข็งแรงตะครุบร่างเธอเอาไว้แน่นจากทางด้านหลัง
แรงดึงมหาศาลลากเธอขึ้นสู่ผิวน้ำ ความมืดและแรงกดดันค่อย ๆ คลายตัวลงทีละน้อย
เฮือก!!!
ทันทีที่ศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ พริมาก็สูดอากาศเข้าปอดเต็มแรง น้ำทะเลพุ่งออกจากปากและจมูกจนเธอสำลักไอโขลก ๆ หัวใจเต้นรัวแทบทะลุจากหน้าอกยามรับรู้ว่าตัวเองเพิ่งผ่านความตายมาหมาดๆ
“อดทนไว้นะครับ คุณหลันถิง!”
เสียงทุ้มเข้มจากด้านหลังตะโกนแข่งกับเสียงคลื่นและเสียงหวูดของเรือบรรทุกสินค้า คิ้วของหญิงสาวขมวด เพราะแปลกใจกับชื่อที่ไม่ใช่ตนเอง
พริมาไม่ทันตั้งตัวว่าชายคนนั้นเป็นใคร รู้เพียงว่าเขาลากเธอฝ่าคลื่นสูงโถมเข้าหาฝั่ง เสียงคลื่นซัดกระแทกตอม่อไม้ดังก้องสะท้อน ลมทะเลพัดแรงจนหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
“ส่งเธอขึ้นมาอาเฟย!” เสียงอีกคนบนฝั่งดังขึ้นจากท่าเรือเบื้องหน้า พริมาไม่มีแม้แต่เวลาสงสัยว่าพวกเขาคือใคร
แรงผลักจากด้านหลังทำให้ร่างของพริมาขึ้นบนบันไดเหล็ก ได้ครึ่งตัว ก่อนที่มือหยาบกร้านด้านบนจะคว้าข้อมือเธอฉุดขึ้นอย่างรุนแรง ร่างเล็กถูกยกจนพ้นผิวน้ำจนกระแทกพื้นไม้กระดานเย็นเฉียบ เธอถึงกับทิ้งกายลงไปนอนหอบหายใจเหมือนปลาที่กำลังใกล้ตาย
ดวงตาเรียวเห็นแสงไฟนีออนสีเหลืองอ่อนส่องสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดเอากลิ่นคาวเกลือและกลิ่นน้ำมันจากเรือประมงเข้ามาจนแสบจมูก ก่อนที่พริมาไอรุนแรง หายใจหอบสะท้าน แต่สมองกลับยังเต็มไปด้วยความสับสน
นี่มันที่ไหนกันแน่? ทำไมถึงมีเรือบรรทุกสินค้าเต็มไปหมด มองอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ปักกิ่งแน่นอน ยิ่งไม่ใช่ที่โรงถ่าย บรรยากาศแบบนี้มันเหมือนยุคสมัยที่เธอยังไม่ทันเกิดเลยนะ!
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งคำถาม ดวงตาคมของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงตระหง่านกำลังยืนมองลงมา
ชายหนุ่มคนนั้นยืนพิงราวเหล็กอย่างผ่อนคลายแต่เต็มไปด้วยอำนาจ แถมด้านหลังเขา มีชายฉกรรจ์ในชุดสูทยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ สายตาเฉียบคมจ้องตรงมาที่เธอพร้อมกันนี่มันเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ไหมนะ?
พริมาแทบกลืนน้ำลายไม่ลง…
นี่มันฉากหนังมาเฟียใช่ไหม?!
ใบหน้าของชายคนนั้นชัดขึ้นในสายตา หล่อเหลาแบบที่ทำให้เธอถึงกับอุทานในใจ หล่อราวกับหลิวเต๋อหัว!
จมูกโด่งคมคาย คิ้วเข้มดุดัน ดวงตาคมกริบเย็นชา แต่ซ่อนประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออกที่สำคัญเขาสูงมาก สูงราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากฝั่งยุโรป
...พ่อเจ้าประคุณหล่อฉิบหาย
เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วทรุดนั่งยอง ๆ ยื่นมือเรียวยาวมาปัดเส้นผมเปียกชุ่มออกจากใบหน้าของพริมา ก่อนเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาชัดเจน
“ดูสิ อาเฟย… แกช่วยใครขึ้นมาได้”
ประโยคนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงขบขันปนเย้ย แต่รูปร่างว่าหล่อจัดจ้านแล้วเสียงกลับเซ็กซี่จนใจเจ็บ พริมายังหอบหายใจจนพูดไม่ออก แต่หัวใจกลับเต้นโครมครามยิ่งกว่าเมื่อกี้ ชายหนุ่มก้มลงมองเธอเต็มตา มุมปากสวยเกินชายนั้นยกยิ้มเย็น
“สวัสดี… ว่าที่น้องเมีย”
เสียงของเขาทั้งนุ่มและแฝงพิษสง แต่พริมาดันเคลิ้ม เพราะเสียงเขาทุ่มต่ำไปทางเซ็กซี่ เกิดมาเจอคนหล่อมามากแต่ผู้ชายโทนเสียงเร้าใจแบบนี้เธอเพิ่งได้ยินจากเขาคนแรก
‘เดี๋ยวนะพริมา แก่จะเคลิ้มกับคนแปลกหน้าไม่ได้สิ!’
“ไปทำอีท่าไหน ถึงถูกพี่สาวจับโยนลงทะเลแบบนี้ละ?”
คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวพริมา
จับโยนลงทะเล?
น้องเมีย?! นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!
ตั้งแต่เจ้าความได้เธอเป็นเด็กกำพร้า ถึงจะมีแม่บุญธรรมแต่เฉินหลีรับเธอที่เป็นเด็กหญิงเป็นลูกแค่คนเดียวส่วนอีกสามคนล้วนเป็นผู้ชาย เธอจะไปเป็นว่าที่น้องเมียเขาได้อย่างไร พริมาเบิกตากว้าง พยายามจะถามกลับ
“คุณ… คุณเป็นใคร…”
แต่ยังไม่ทันพูดจบ สติของเธอก็คล้ายจะดับวูบเลือนรางก่อนจะมีความทรงจำสายหนึ่งที่ไม่ใช่ของเธอพุ่งเข้าใส่
ความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทำให้พริมารู้สึกเหมือนศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนต้องรีบหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่แต่พอลืมขึ้นให้กลับเห็นอะไรไม่ชัดเจนคล้ายหยุดไปอยู่กลางม่านหมอกไปหมด
ลู่หลันถิง…
ก่อนที่ภายในหัวของหญิงสาวจะมีชื่อนี้ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ทั้งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เสี้ยววินาทีนั้นเธอก็รู้แจ้งว่าชื่อนี้คือเด็กสาวผู้โชคร้ายคนนั้นคือเจ้าของร่างนี้!
ลู่หลันถิง เกิดในครอบครัวบ้าน ‘ลู่’ เธออายุเพิ่ง 18ปีเต็ม เป็นลูกสาวคนรองของลู่เสียนอี่ เจ้าของ โรงงานเย็บผ้า ‘ลู่หมิงการ์เมนต์’ ในกว่างโจว และปีนี้คือ ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) เป็นยุคที่จีนเพิ่งเริ่มเปิดเศรษฐกิจเสรี โรงงานเล็ก ๆ และกลาง ๆ ต้องแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อความอยู่รอด
จากนั้นเรื่องราวของเจ้าของร่างก็ไหลหลาก...
ทันทีที่ลู่หลันถิงลืมตาดูโลก เธอกลับไม่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัว หากแต่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ตัวซวย” นำความโชคร้ายมาให้ตระกูลตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดวัน
เธอยังมีพี่สาวของคือ ลู่หลินอิง ซึ่งอีกฝ่ายกลับได้รับการเชิดชูว่าเป็น “ดาวนำโชค” ของบ้าน โดยเฉพาะ ย่าลู่ หลินฟาง หญิงชราผู้เคร่งถือโชคลางและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทุกคนต้องเกรงใจมาหลายสิบปีตามธรรมเนียมยุคเก่า
วันที่เด็กแฝดถือกำเนิด มารดา หม่าจื่ออิน เสียชีวิตเพราะคลอดยากหลังคลอดเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ย่าลู่เชื่อมโยงเรื่องราวทันทีว่านี่อาจเป็นลางร้าย เพราะตั้งแต่หม่าจื่ออินแต่งเข้าบ้านลู่ เพียงหนึ่งเดือน ปู่ลู่ ก็สิ้นชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน!
“สะใภ้คนนี้มันตัวอัปมงคล! ไม่คิดเลยว่าพอคลอดลูกออกมาก็ยังคลอดตัวซวยออกมาอีกเด็กสองคนนี้ต้องมีใครสืบทอดความซายจากแม่ของมันแน่!”
ย่าลู่ประกาศเสียงกร้าวในงานศพ ขณะทุกคนพยักหน้าตามโดยไม่กล้าโต้เถียง
และหลังพิธีศพอีก 2 วันต่อมา สะใภ้รอง จางหมิ่น ภรรยาของลู่เสียนเซิ่งผู้เป็นลูกชายคนรองของตระกูล เชิญซินแสเฒ่ามาดูดวงให้หลานแฝดทั้งสอง
ผลคือ…
ลู่หลินอิง มีดวงดาวมงคล จะนำความรุ่งเรืองแก่สกุลลู่ ส่วน ลู่หลันถิง มีดวงดาววิบัติ เป็นลางร้าย เหมือนมารดาผู้ล่วงลับ!
ตั้งแต่นั้น ความเชื่ออันโหดร้าย ก็หยั่งรากของย่าลู่และคนในครอบครัว ทุกคนเชิดชูเพียงพี่สาวฝาแฝด แต่ผลักไสแฝดน้องให้ตกเป็นเงามืด มีเพียงลู่เสียนอี่เท่านั้นที่ไม่เคยมองว่าลู่หลันถิงคือตัวซวย แต่เขาไม่ค่อยได้เลี้ยงดูบุตรสาว ด้วยภาระของผู้นำตระกูล จึงต้องปล่อยให้ย่าลู่กับน้องสะใภ้เลี้ยงเด็กแฝดแทนตนเอง
ดังนั้นเขาย่อมไม่รู้ว่าลูกสาวคนกลางต้องเจอกับอะไรมาบ้าง เพราะต่อหน้าเสียนอี่ทุกคนดีกับหลันถิง
แต่เมื่อเขาออกไปทำงาน หลันถิงก็ต้องเผชิญโลกอันโหดร้ายเพียงลำพัง
ทุกวันของเด็กหญิงเต็มไปด้วยงานบ้านหนักหน่วง ตักน้ำ ต้มน้ำ ซักผ้า กวาดลาน ทำความสะอาดโรงงาน แล้วแต่จะถูกย่าลู่กับอาสะใภ้เรียกใช้
แม้พลาดเพียงเล็กน้อยก็ถูกหวดด้วยไม้เรียว พร้อมเสียงดุด่าไม่ขาดปาก “แกมันนังตัวซวย! แกจะทำอะไรให้ดีสักอย่างไม่ได้เลยหรือไง!”
เสียงย่าลู่ดังก้องเสมือนตราประทับในใจ ส่วนลู่หลินอิงพี่สาว กลับได้รับการประคบประหงม ราวเป็นเจ้าหญิงของบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าดี ๆ ได้กินอาหารเลิศรส และได้เรียนหนังสืออย่างเต็มที่
เวลาหลันถิงถูกตี หลินอิงมักยืนมองด้วยสายตาเย็นชา หรือหัวเราะเยาะซ้ำเติม สิบแปดปี ผ่านไป คำว่า “ตัวซวย” กลายเป็นรอยแผลลึกในหัวใจ
ความแตกต่างถึงขีดสุดเมื่อถึงวัยเรียนมหาวิทยาลัยความฝันที่ถูกพรากไป หลันถิงสอบติด มหาวิทยาลัยสิ่งทอที่เซี่ยงไฮ้ ด้วยคะแนนสูง เธอหวังจะใช้โอกาสนี้สร้างอนาคตใหม่แต่ย่าลู่ตัดสินใจทันทีว่าจะไม่ส่งเธอไปเรียน เพราะหลินอิงสอบไม่ติด
“คนที่สมควรได้รับโอกาสคือหลินอิง! ส่วนตัวซวยอย่างแกอยู่บ้านช่วยงานในโรงงานไปเถอะ!”
หลันถิงได้แต่ก้มหน้ากลั้นน้ำตา ความหวังพังทลายจนหมดสิ้นเพียงเพราะพี่สาวขี้เกียจอนาคตของเธอจึงจบลงแบบนี้ ใจของเธออยากขอร้องบิดา แต่ติดที่ช่วงนี้ครอบครัวฐานะกำลังตกยากลงทุกวัน จึงจำใจก้าวหน้ายอมรับชะตาไป
คืนนั้น เธอยืนมองกระจกภายในห้องนอนตนเองด้วยหัวใจที่แตกร้าว ภาพสะท้อนในกระจกคือเด็กสาวผิวซีด ดวงตาสิ้นหวังมองจ้องกลับมา
เธอพึมพำสาปแช่งโชคชะตา…
“ทำไมฉันต้องเกิดมาเป็นตัวซวยแบบนี้ด้วย!”
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น โรงงานลู่หมิงการ์เมนต์ประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เพราะช่วงเปลี่ยนผ่านของยุค กอปรกับที่ลู่หมิงการ์เมนต์ไม่มีแบรนด์ของตนเอง ได้แต่รับจ้างผลิต ถูกโกงค่าผลิตบ้าง สินค้าไม่ผ่านผู้ตรวจสอบบ้าง บางช่วงผลิตไม่ทันถูกปรับบ้างใน 5 ปีที่ผ่านมาโรงงานจึงขาดทุนติดต่อกัน
เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดคือ จั๋วอี้เหิง มาเฟียหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลและร่ำรวยที่สุดในกว่างโจว และเขายังร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของเอเชียน ต้นเดือนก่อนเขายื่นข้อเสนอมาว่า
ถ้าลู่หลินอิงแต่งงานกับเขา เขาจะยกหนี้ทั้งหมดและช่วยให้โรงงานฟื้นตัวด้วยสินสอดอีกแสนหยวน
ย่าลู่ลังเลอยู่ไม่นานก็รับปากทันที!
ก็จั๋วอี้เหิงเป็นใคร เขารวยขนาดไหน การได้เขามาเป็นหลานเขยนี่มันไม่ใช่ยิ่งกว่าฝันไปหรอกหรือ ถึงการแต่งงานนี้จะมีเงื่อนไขว่าเขาจะหย่าทันทีหลังเขาจัดการปัญหาบางอย่างได้แล้ว แต่จะแค่วันเดียวก็ถือว่าหลานรักของเธอได้เป็นสะใภ้คนแซ่จั๋วแล้วนี่นา
แต่ลู่หลินอิงกลับ ไม่ยินยอม เพราะเธอมีคนรักอยู่แล้ว อู่กวง รองผู้จัดการโรงงานชายวัย 40 ที่มีภรรยาและลูกแล้ว!
เมื่อย่าลู่รู้ความจริงข้อนี้เข้าก็โกรธจนตัวสั่น สั่งห้ามเด็ดขาดและยิ่งบังคับให้แต่งงานกับจั๋วอี้เหิงทันที
สะใภ้รอง จางหมิ่น และลูกชาย เสียนเซิ่ง ก็ยุแยงเพิ่มความโลภมากให้หญิงชราเพิ่มขึ้น ทำให้ย่าลู่ยิ่งแข็งกร้าวเอาจริงกับหลานรักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลินอิงถึงกับร้องไห้อยู่หลายวัน
“บ้านเราจะไม่ตกต่ำเพราะความรักโง่ ๆ ของแกเด็ดขาด! เจ้าจะต้องแต่งงานกับคุณชายรองจั๋วให้จงได้อย่าลืมสิแกคือดาวนำโชคของบ้านลู่นะ!”
และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดก่อนวันแต่งงาน สิบสามวัน
หลินอิงตัดสินใจหนีตามไปกับอู่กวง แต่หนุ่มใหญ่ชักจูงให้เธอ ขโมยเงินเดือนคนงาน ที่เธอรับผิดชอบถือไว้ แล้วหนีไปสร้างชีวิตใหม่ด้วยกัน
หลินอิงลังเลเพียงชั่วครู่ แต่เพราะรักเขามากจึงยอมตาม บังเอิญในวันนั้น เธอเห็นย่าลู่เก็บ สินสอดจากจั๋วอี้เหิง ไว้ในห้องนอน ความโลภจึงชนะใจ หลินอิงตัดสินใจชวนอู่กวงไปขโมยไปด้วย!
“ถ้าเรามีเงินมากพอ จะไม่มีใครหาตัวเราเจอ!” หลินอิงกล่าวตบท้าย แล้วมีหรือคนโลภมากแบบอู่กวงจะไม่เห็นดีด้วย
ระหว่างที่สองคนกำลังย่องเข้าไปขโมยเงินในห้องของย่าลู่ หลันถิง กลับพบเข้าโดยบังเอิญ เด็กสาวตกใจและพยายามห้ามพี่สาว พร้อมขู่ว่าจะ แจ้งความ เอาผิดอู่กวงฐานล่อลวงพี่สาวและขโมยเงินโรงงาน
ใครจะคิด หลินอิงกลับเห็นขี้ดีกว่าไส้ พออู่กวงบอกว่าปล่อยหลันถิงไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงหนีไม่รอด หลินอิงก็หันไปคว้าไม้เท้าของย่าลู่ที่มีสำรองเอาไว้ในห้องนอนหญิงชราอีกอันมาหวดเข้าที่ท้ายทอยน้องสาวทันที!
ผลัวะ!
หลันถิงทรุดฮวบ เลือดไหลอาบ เด็กสาวมองหน้าฝาแฝดตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่าพี่สาวจะทำกับตนเองลงคอ
“หลินอิงเธอ...”
ยังพูดไม่จบประโยค หลันถิงก็หมดสติไปก่อน หลินอีลนลาน คิดว่าน้องสาวตายแล้ว จึงหันไปหาอู่กวง พอดีกับที่อู่กวงมีรถเก๋งเก่าๆ อยู่หนึ่งคัน เขาจึงรีบไปเอารถมา และอุ้มร่างไร้สติของหลันถิงไปใส่ท้ายรถ
“พวกเราต้องเอาเด็กนี่ไปทิ้ง”
“แต่แบบนั้นหลันถิงจะตายนะคะพี่กวง”
“เธอจะให้มันตาย หรือพวกเราจะยอมติดคุกเล่า อิงอิง” หลินอิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่สุดท้ายก็เลือกจะคล้อยตามอู่กวงคือเอาร่างของน้องสาวฝาแฝดไปทิ้งทะเล
ขณะนั้นเอง ย่าลู่ ก็กลับมาพบเหตุการณ์พอดี ยังดีที่ครอบครัวบ้านลู่รอง คือเสียนเซิ่งกับจางหมิ่นกับลูกสาวลูกชายวันนี้ไปค้างต่างเมือง แต่เพราะรู้หลินอิงจึงเลือกลงมือวันนี้
แต่แทนที่ย่าลู่จะช่วยหลานสาวคนกลางผู้เคราะห์ร้าย กลับรีบเร่งให้อู่กวงกับหลินอีหนีไปก่อน และนอกจากเงินสินสอด หลินฟางยังรีบไปนำเงินเก็บส่วนตัวมามอบให้หลานสาวสุดที่รักจนหมด
“มัวรออะไรอยู่! รีบพาหลินอิงหนีไปซะ!”
เสียงร้องไห้ของหลินอิงสั่นสะท้าน ขณะนั้นหลันถิงก็ฟื้นขึ้นมา เด็กสาวคิดว่าย่าลู่จะช่วยตนเอง จึงร้องเรียก แต่หญิงชรานอกจากไม่ช่วย ยังหันไปหยิบไม้ถูกฟื้นมาตีร่างของเด็กสาวซ้ำ โดยเน้นที่ศีรษะ อย่างหวังผลให้ตายไปจริงๆ
ก่อนหลันถิงจะสิ้นใจ เธอลืมตาขึ้นมาเห็นย่าลู่ยกไม้ฟาดซ้ำลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บปวดที่กายกลับไม่เท่าที่ดวงใจของเด็กสาว เธอได้แต่ถามตนเองไปมา ว่าเธอผิดอะไร จึงถูกเกลียด แค่คำทำนายของซินแสเท่านั้น?
ก่อนความมืดมิดกลืนกินสรรพสิ่ง และชีวิตของเด็กสาวที่ต้องทุกข์ทนเป็นตัวซวยมาตลอด 18ปี
หลังจากทำความสะอาดคราบเลือดที่บ้านลู่เรียบร้อย อู่กวงกับหลินอิงก็นำร่างไร้วิญญาณของหลันถิง ตรงไปที่บริเวณท่าเรือแถวหนานซา แล้วโยนลงทะเลทันที เพราะพวกเขาเชื่อว่าทุกอย่างจะถูกคลื่นน้ำซัดหายไป
แต่เคราะห์ร้ายสำหรับพวกเขา เนื่องจากท่าเรือมีตั้งมากหากแต่อู่กวงกลับเลือกจะมาทิ้งคนที่ท่าเรือที่เป็นเขตอิทธิพลของจั๋วอี้เหิง!
และไม่ทราบได้ว่าคืนนั้นบังเอิญอย่างไรจั๋วอี้เหิงมาตรวจสินค้าด้วยตนเองและกำลังจะกลับแต่ดันเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่อู่กวงกับหลินอิงช่วยกันขนร่างคนลงจากรถแล้วนำไปโยนลงทะเลเข้าพอดิบพอดี
ดังนั้นร่างที่ควรจมสู่ความตาย จึงถูกลากขึ้นจากน้ำ ทันเวลา!
ตอนที่ 6 || เงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้หลังจากลับเงาร่างของจั๋วอี้เหิงแล้ว บรรยากาศในห้องก็เงียบลงทันที ลู่เสียนอี่ขมวดคิ้ว หันมามองลูกสาวตรง ๆ“ถิงถิง…ทำไมลูกถึงยอมคล้อยตามเขา”หลันถิงสบตาพ่อแล้วเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะเราไม่มีเงินค่ะพ่อ โอกาสที่จะปฏิเสธ…เราไม่เคยมี”คำตอบนั้นทำให้เสียนอี่พูดไม่ออก ข้างกายมีซ่งอวี้ที่รีบถามต่อ “แล้วเราจะทำยังไงกันต่อไปล่ะถิงถิง”หญิงสาวนิ่งคิดอยู่ชั่วครู่ ก่อนเอ่ยชัดเจน “คนอย่างจั๋วอี้เหิงไม่มีวันยอมเสียประโยชน์ คราวนี้ที่เขาไม่ให้บ้านเราพูดอะไรออกไป แปลว่าเขาเองก็คงเสียมากกว่าจะได้…เราอยู่เฉย ๆ ดีกว่าค่ะ”ซ่งอวี้ขมวดคิ้ว “หมายความว่า?”“เขาไม่ปล่อยให้พี่หลินอิงกับอู่กวงเหยียบจมูกแน่ รอดูเถอะค่ะ เขาต้องขยับเอง”พอดีกับที่พยาบาลเข้ามาเปลี่ยนถุงเลือดใหม่ หลันถิงหันไปบอกซ่งอวี้เสียงเบาแต่จริงจัง “น้าอวี้…ช่วงนี้ช่วยจับตาย่าลู่ให้ดี ๆ หน่อยนะคะ ฉันไม่ไว้ใจ”คำพูดนั้นทำให้ซ่งอวี้ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับ สีหน้าหญิงสาวเต็มไปด้วยความเคร่งเครียดเธอเองก็รู้ดีว่าหญิงชราอย่างหลินฟางไม่มีวันยอมปล่อยให้ความจริงเปิดเผยง่าย ๆภายในห้องพักผู้ป่วย จึงเหลือเพี
ตอนที่ 5 || โลกนี้ขับเคลื่อนด้วยเงินช่วงสายวันถัดมา แสงแดดร้อนแรงลอดผ่านม่านผ้าสีซีดเข้ามาในห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจว แสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านทำให้ผนังสีขาวดูซีดหม่นยิ่งกว่าเดิม กลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อยังคละคลุ้งอยู่ในอากาศจนแสบจมูก เครื่องวัดชีพจรดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ คล้ายบอกว่าชีวิตอันริบหรี่ของใครบางคนกำลังค่อย ๆ ฟื้นคืนบนเตียงผู้ป่วย ลู่หลันถิง หรือดวงวิญญาณของพริมาเฉินที่เข้ามาอยู่ในร่างนี้ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างยากลำบาก ราวกับต้องใช้แรงทั้งหมดที่เหลืออยู่ ร่างกายยังอ่อนเปลี้ยเหมือนถูกสูบพลังออกไปจนสิ้น แต่ดวงตากลับคมชัดกว่าเดิม ความทรงจำทั้งใหม่และเก่าไหลทะลักเข้ามาในสมองจนปวดหนึบครู่หนึ่งหญิงสาวเหลือบสายตามองไปยังข้างเตียง ที่นั่นมีร่างเล็กของถังซิน เพื่อนเพียงคนเดียวของร่างนี้ นั่งฟุบหลับอยู่กับโต๊ะเล็ก ข้างโต๊ะมีกล่องข้าวกับกาน้ำร้อนตั้งอยู่ ใบหน้าซูบผอมซบลงกับแขน ร่องรอยความเหนื่อยล้าสะท้อนให้เห็นชัดว่าเธอเฝ้าอยู่ทั้งคืนโดยไม่ได้นอนหลันถิงพยายามขยับมือ เสียงผ้าปูเตียงเสียดสีกับท่อนแขนเล็กดังแผ่ว ๆ การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยนั้นกลับปลุกถังซินให้สะดุ้งตื่น ตาทั้งสองแดง
ตอนที่ 4 || เจ้าสาวเปลี่ยนได้แต่งานแต่งจะล่มไม่ได้!เกือบตีสี่ รถเก๋งเก่าคันเล็กเร่งฝ่าความมืดไปตามถนนสายยาวมุ่งหน้าสู่เขตเมือง ไฟหน้าส่องแสงเป็นเส้นตรงตัดกับท้องฟ้าสีหม่น เสียงเครื่องยนต์เก่าดังแผ่วราวจะดับทุกเมื่อในแต่ละจังหวะที่ล้อบดกับพื้นถนน ลู่เสียนอี่จับพวงมาลัยแน่นจนข้อนิ้วซีด ใบหน้าขาวคล้ำด้วยเหงื่อเย็น ๆ ที่ผุดพราวเต็มหน้าผากกว้าง“คุณ… ถิงถิงจะไม่เป็นไรใช่ไหมคะ” เสียงสั่นเครือของซ่งอวี้ดังขึ้นจากเบาะข้างคนขับ เธอกอดลูกชายวัยสามขวบแนบอกหวังให้เด็กชาย ลู่หลงอวี่ ความหวาดกลัวในดวงตาของหญิงวัยสามสิบแปดปีนั้นไม่ต่างจากคนขับแม้แต่น้อย“ฉันไม่รู้…” เสียงตอบสั้นของเสียนอี่แหบพร่า ดวงตาสั่นไหวด้วยความหวาดกลัวจนแทบสิ้นเรี่ยวแรง เขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวทำไมถึงบาดเจ็บสาหัสได้ ทั้งที่ดึกดื่นขนาดนี้อีกฝ่ายควรนอนพักอยู่บนชั้นสามของบ้านลู่ความเงียบกดทับภายในรถ มีเพียงเสียงเครื่องยนต์กระตุกในบางจังหวะ ที่ดังประสานกับหัวใจของทั้งคู่ที่เต้นถี่แรง ซ่งอวี้พยายามเอ่ยคำปลอบใจ “บางที…อาจไม่แย่ขนาดที่เรากลัว”แต่ประโยคที่ควรจะปลอบใจ กลับทำให้บรรยากาศตึงเครียดยิ่งกว่าเดิม ในที่สุด แสงไฟสว่างจ้าของโรงพ
ตอนที่ 3 || บ้านลู่ช่างใจกล้าเสียจริงโถงสูบบุหรี่ด้านข้างของโรงพยาบาลประชาชนกว่างโจวยามดึกเงียบสงัดจนแทบได้ยินเสียงหัวใจตัวเอง แสงไฟนีออนเหนือศีรษะ เขาสว่างเจิดจ้า ช่างแตกต่างจากชีวิตของลู่หลันถิงที่อาจจะดับสนิทไปตอนไหนยังไม่แน่นัก เขาก็หวังว่าหมอจะช่วยเธอได้ทันเสียงรองเท้ายางของพยาบาลดังแว่วผ่านเพียงครู่เดียวก่อนจะไกลลิบ ทิ้งให้ทุกสิ่งกลับคืนสู่ความเงียบวังเวงอีกครั้งจั๋วอี้เหิงยืนพิงผนังซีเมนต์เก่า สูดกลิ่นบุหรี่ขมปร่าเข้าปอดลึกแล้วค่อยพ่นออกเป็นสายควันขาว กลิ่นบุหรี่นั้นคลุกเคล้ากับกลิ่นน้ำยาฆ่าเชื้อของโรงพยาบาลชวนให้บรรยากาศอึมครึมยิ่งขึ้น สายตาคมกริบของเขาไม่ละไปจากทางเข้าห้องฉุกเฉินที่เพิ่งกลืนร่างเด็กสาวคนนั้นเข้าไปเมื่อครู่ก่อนจะคิดได้ว่าเขาควรรีบโทร. ไปแจ้งบ้านลู่เดี๋ยวนี้เผื่อทางโรงพยาบาลต้องการคนเซ็นยอมรับการรักษา เขาเองไม่ใช่ทั้งญาติและสามีย่อมทำแทนคนบ้านลู่ไม่ได้มือใหญ่หยิบโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่ล่าสุดจากญี่ปุ่น ขึ้นมากดหาหมายเลขบ้านลู่ไม่นาน เสียงสัญญาณรอสายดังยาวครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไร้คนรับ ความไม่พอใจเริ่มเกาะกุมใบหน้าคมเข้ม“รับสิวะ…”เขาพึมพำลอดไรฟัน เสียงห้วนต่
ตอนที่ 2 || หรือเขาต้องเปลี่ยนเจ้าสาวเผียะ!เสียงฝ่ามือกระทบแก้มใสกังวานจนร่างบอบบางสะดุ้งเฮือก ดวงตาคมของพริมาหรือก็คือ ลู่หลันถิง ร่างใหม่ ลืมโพลงขึ้นอย่างตื่นตระหนก หญิงสาวกำลังจมอยู่ในภวังค์ความทรงจำปนเปสับสน แต่ถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาด้วยแรงตบที่ทำเอาแก้มชาไปทั้งแถบ“ไอ้บ้า! นายตบฉันทำไม…” เสียงที่คิดว่าตะโกนออกมาเต็มแรง กลับเบาหวิวเหมือนสายลมจางจนแทบไม่ได้ยินเองด้วยซ้ำชายหนุ่มแผลเป็นที่เพิ่งโดดลงทะเลช่วยเธอขึ้นมา อาเฟย ขมวดคิ้วหันไปถามเจ้านายทันที“คุณอี้เหิง ทำไมต้องตบเธอด้วยครับ”จั๋วอี้เหิง ที่กำลังนั่งยองๆ ทับส้นเท้าอยู่ข้างกายเล็กที่นอนตาลอยเอ่ยตอบไร้อารมณ์“เพราะฉันกลัวเด็กนี่จะตาย ตาลอยอยู่ตั้งนาน เรียกเท่าไหร่ก็ไม่ตอบ”“แล้วคุณก็เลยตบเธอ?” อาเฟยมองเจ้านายตาโต“ใช่!” คราวนี้น้ำเสียงกระแทกห้วนสั้น เสี้ยวหน้าคมกริบนั้นเปื้อนรอยไม่สบอารมณ์ให้อาเฟยกับอาจ้านเห็นชัดเจน จนฟังแล้วขนลุกในขณะที่สองชายกำลังโต้ตอบกัน คนที่เพิ่งผ่านความตายมาอย่างหวุดหวิดกลับรู้สึกปวดหัวรุนแรง ภาพรอบกายหมุนคว้างเหมือนโลกกำลังแยกออกเป็นสอง เธอพยายามขยับปากด่า ที่ตนเองถูกเขาตบหน้าจนชาหนึบแต่แทบไม่มีแรง ด
ตอนที่ 1 || นี่ฉันมาโผล่ที่ไหนกัน?หลังผ่านพ้นห้วงแห่งความมืดมิดพริมาก็สะดุ้งเพราะรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับโยนจากที่สูง สัมผัสแรงดิ่งที่โถมเข้ามาจนลมหายใจสะดุด ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ก่อนร่างทั้งร่างจะกระแทกเข้ากับพื้นน้ำอย่างรุนแรงและตามมาด้วยความรู้สึกความเย็นเฉียบปะทะร่างจนเจ็บแทบทะลุเข้าไปถึงกระดูกตูม!!!เสียงสายน้ำที่แตกกระจายก้องในโสตประสาท ความเค็มจัดพุ่งเข้าสู่ปากและจมูกในทันที กลิ่นคาวเกลือแรงแสบลึกเข้าโพรงจมูก ความมืดมิดหนาทึบรายล้อมรอบตัวจนเธอแทบไม่รู้ทิศน้ำทะเล… นี่มันคือน้ำทะเล!ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาราวกับมือเย็นชืดกำลังบีบรัดร่างเล็กไว้ ความอัดแน่นจุกเสียดในปอดบีบคั้นจนแทบแตก พริมารีบอ้าปากพยายามสูดอากาศอย่างตะกละตะกลาม แต่กลับเป็นน้ำทะเลที่ทะลักเข้าปากและคอแทนจนเธอสำลักรุนแรงไม่… ก็ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือไฟสตูดิโอแผดจ้า เสียงกรีดร้องโกลาหล และความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากการตกจากที่สูงก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป…แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับกำลังจมน้ำอยู่กลางทะเล!พริมาดิ้นรนทุรนทุราย ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกโซ