LOGINหลังผ่านพ้นห้วงแห่งความมืดมิดพริมาก็สะดุ้งเพราะรู้สึกเหมือนตนเองถูกจับโยนจากที่สูง สัมผัสแรงดิ่งที่โถมเข้ามาจนลมหายใจสะดุด ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตื่นตระหนก ก่อนร่างทั้งร่างจะกระแทกเข้ากับพื้นน้ำอย่างรุนแรงและตามมาด้วยความรู้สึกความเย็นเฉียบปะทะร่างจนเจ็บแทบทะลุเข้าไปถึงกระดูก
ตูม!!!
เสียงสายน้ำที่แตกกระจายก้องในโสตประสาท ความเค็มจัดพุ่งเข้าสู่ปากและจมูกในทันที กลิ่นคาวเกลือแรงแสบลึกเข้าโพรงจมูก ความมืดมิดหนาทึบรายล้อมรอบตัวจนเธอแทบไม่รู้ทิศ
น้ำทะเล… นี่มันคือน้ำทะเล!
ความหนาวเย็นแผ่ซ่านเข้ามาราวกับมือเย็นชืดกำลังบีบรัดร่างเล็กไว้ ความอัดแน่นจุกเสียดในปอดบีบคั้นจนแทบแตก พริมารีบอ้าปากพยายามสูดอากาศอย่างตะกละตะกลาม แต่กลับเป็นน้ำทะเลที่ทะลักเข้าปากและคอแทนจนเธอสำลักรุนแรง
ไม่… ก็ไม่ใช่ว่าฉันตายไปแล้วเหรอ? นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?!
ภาพสุดท้ายที่เธอจำได้คือไฟสตูดิโอแผดจ้า เสียงกรีดร้องโกลาหล และความเจ็บปวดแผ่ซ่านจากการตกจากที่สูงก่อนทุกอย่างจะดับวูบไป…
แต่พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง เธอกลับกำลังจมน้ำอยู่กลางทะเล!
พริมาดิ้นรนทุรนทุราย ร่างกายหนักอึ้งเหมือนถูกโซ่ถ่วงจมดิ่ง มือเล็กไขว่คว้าหาที่พึ่งพิง แต่กลับคว้าได้เพียงน้ำเย็นยะเยือกกับความว่างเปล่า เส้นผมยาวพันยุ่งขวางใบหน้า ความหวาดกลัวทำให้เกิดพลังสุดท้ายให้เธอขยับแขนขาดิ้นเพื่อเอาตัวรอด แต่เรี่ยวแรงก็ใกล้หมดลงทุกที
ไม่! ฉันไม่อยากตายอีกแล้ว!
ทว่าในวินาทีที่ลมหายใจเฮือกสุดท้ายกำลังจะดับสิ้น…
ตูม!
เสียงน้ำที่แตกกระจายดังสนั่น ตามมาด้วยความรู้สึกถึงแขนแข็งแรงตะครุบร่างเธอเอาไว้แน่นจากทางด้านหลัง
แรงดึงมหาศาลลากเธอขึ้นสู่ผิวน้ำ ความมืดและแรงกดดันค่อย ๆ คลายตัวลงทีละน้อย
เฮือก!!!
ทันทีที่ศีรษะโผล่พ้นผิวน้ำ พริมาก็สูดอากาศเข้าปอดเต็มแรง น้ำทะเลพุ่งออกจากปากและจมูกจนเธอสำลักไอโขลก ๆ หัวใจเต้นรัวแทบทะลุจากหน้าอกยามรับรู้ว่าตัวเองเพิ่งผ่านความตายมาหมาดๆ
“อดทนไว้นะครับ คุณหลันถิง!”
เสียงทุ้มเข้มจากด้านหลังตะโกนแข่งกับเสียงคลื่นและเสียงหวูดของเรือบรรทุกสินค้า คิ้วของหญิงสาวขมวด เพราะแปลกใจกับชื่อที่ไม่ใช่ตนเอง
พริมาไม่ทันตั้งตัวว่าชายคนนั้นเป็นใคร รู้เพียงว่าเขาลากเธอฝ่าคลื่นสูงโถมเข้าหาฝั่ง เสียงคลื่นซัดกระแทกตอม่อไม้ดังก้องสะท้อน ลมทะเลพัดแรงจนหนาวสะท้านไปถึงกระดูก
“ส่งเธอขึ้นมาอาเฟย!” เสียงอีกคนบนฝั่งดังขึ้นจากท่าเรือเบื้องหน้า พริมาไม่มีแม้แต่เวลาสงสัยว่าพวกเขาคือใคร
แรงผลักจากด้านหลังทำให้ร่างของพริมาขึ้นบนบันไดเหล็ก ได้ครึ่งตัว ก่อนที่มือหยาบกร้านด้านบนจะคว้าข้อมือเธอฉุดขึ้นอย่างรุนแรง ร่างเล็กถูกยกจนพ้นผิวน้ำจนกระแทกพื้นไม้กระดานเย็นเฉียบ เธอถึงกับทิ้งกายลงไปนอนหอบหายใจเหมือนปลาที่กำลังใกล้ตาย
ดวงตาเรียวเห็นแสงไฟนีออนสีเหลืองอ่อนส่องสะท้อนผิวน้ำระยิบระยับ สายลมพัดเอากลิ่นคาวเกลือและกลิ่นน้ำมันจากเรือประมงเข้ามาจนแสบจมูก ก่อนที่พริมาไอรุนแรง หายใจหอบสะท้าน แต่สมองกลับยังเต็มไปด้วยความสับสน
นี่มันที่ไหนกันแน่? ทำไมถึงมีเรือบรรทุกสินค้าเต็มไปหมด มองอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่ปักกิ่งแน่นอน ยิ่งไม่ใช่ที่โรงถ่าย บรรยากาศแบบนี้มันเหมือนยุคสมัยที่เธอยังไม่ทันเกิดเลยนะ!
ยังไม่ทันที่เธอจะได้ตั้งคำถาม ดวงตาคมของเธอก็เหลือบไปเห็นเงาร่างสูงตระหง่านกำลังยืนมองลงมา
ชายหนุ่มคนนั้นยืนพิงราวเหล็กอย่างผ่อนคลายแต่เต็มไปด้วยอำนาจ แถมด้านหลังเขา มีชายฉกรรจ์ในชุดสูทยืนเรียงแถวเป็นระเบียบ สายตาเฉียบคมจ้องตรงมาที่เธอพร้อมกันนี่มันเจ้าพ่อเซี่ยงไฮ้ไหมนะ?
พริมาแทบกลืนน้ำลายไม่ลง…
นี่มันฉากหนังมาเฟียใช่ไหม?!
ใบหน้าของชายคนนั้นชัดขึ้นในสายตา หล่อเหลาแบบที่ทำให้เธอถึงกับอุทานในใจ หล่อราวกับหลิวเต๋อหัว!
จมูกโด่งคมคาย คิ้วเข้มดุดัน ดวงตาคมกริบเย็นชา แต่ซ่อนประกายบางอย่างที่อ่านไม่ออกที่สำคัญเขาสูงมาก สูงราวกับนายแบบที่หลุดออกมาจากฝั่งยุโรป
...พ่อเจ้าประคุณหล่อฉิบหาย
เขาก้าวเข้ามาใกล้แล้วทรุดนั่งยอง ๆ ยื่นมือเรียวยาวมาปัดเส้นผมเปียกชุ่มออกจากใบหน้าของพริมา ก่อนเสียงทุ้มต่ำเปล่งออกมาชัดเจน
“ดูสิ อาเฟย… แกช่วยใครขึ้นมาได้”
ประโยคนั้นเต็มไปด้วยน้ำเสียงขบขันปนเย้ย แต่รูปร่างว่าหล่อจัดจ้านแล้วเสียงกลับเซ็กซี่จนใจเจ็บ พริมายังหอบหายใจจนพูดไม่ออก แต่หัวใจกลับเต้นโครมครามยิ่งกว่าเมื่อกี้ ชายหนุ่มก้มลงมองเธอเต็มตา มุมปากสวยเกินชายนั้นยกยิ้มเย็น
“สวัสดี… ว่าที่น้องเมีย”
เสียงของเขาทั้งนุ่มและแฝงพิษสง แต่พริมาดันเคลิ้ม เพราะเสียงเขาทุ่มต่ำไปทางเซ็กซี่ เกิดมาเจอคนหล่อมามากแต่ผู้ชายโทนเสียงเร้าใจแบบนี้เธอเพิ่งได้ยินจากเขาคนแรก
‘เดี๋ยวนะพริมา แก่จะเคลิ้มกับคนแปลกหน้าไม่ได้สิ!’
“ไปทำอีท่าไหน ถึงถูกพี่สาวจับโยนลงทะเลแบบนี้ละ?”
คำพูดนั้นเหมือนสายฟ้าฟาดกลางหัวพริมา
จับโยนลงทะเล?
น้องเมีย?! นี่มันอะไรกันเนี่ย!!!
ตั้งแต่เจ้าความได้เธอเป็นเด็กกำพร้า ถึงจะมีแม่บุญธรรมแต่เฉินหลีรับเธอที่เป็นเด็กหญิงเป็นลูกแค่คนเดียวส่วนอีกสามคนล้วนเป็นผู้ชาย เธอจะไปเป็นว่าที่น้องเมียเขาได้อย่างไร พริมาเบิกตากว้าง พยายามจะถามกลับ
“คุณ… คุณเป็นใคร…”
แต่ยังไม่ทันพูดจบ สติของเธอก็คล้ายจะดับวูบเลือนรางก่อนจะมีความทรงจำสายหนึ่งที่ไม่ใช่ของเธอพุ่งเข้าใส่
ความทรงจำที่ถาโถมเข้ามาเหมือนกระแสน้ำเชี่ยวกราก ทำให้พริมารู้สึกเหมือนศีรษะแทบแตกเป็นเสี่ยง ๆ จนต้องรีบหลับตาแล้วลืมขึ้นใหม่แต่พอลืมขึ้นให้กลับเห็นอะไรไม่ชัดเจนคล้ายหยุดไปอยู่กลางม่านหมอกไปหมด
ลู่หลันถิง…
ก่อนที่ภายในหัวของหญิงสาวจะมีชื่อนี้ผุดขึ้นมาอย่างชัดเจน ทั้งที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน
เสี้ยววินาทีนั้นเธอก็รู้แจ้งว่าชื่อนี้คือเด็กสาวผู้โชคร้ายคนนั้นคือเจ้าของร่างนี้!
ลู่หลันถิง เกิดในครอบครัวบ้าน ‘ลู่’ เธออายุเพิ่ง 18ปีเต็ม เป็นลูกสาวคนรองของลู่เสียนอี่ เจ้าของ โรงงานเย็บผ้า ‘ลู่หมิงการ์เมนต์’ ในกว่างโจว และปีนี้คือ ปี พ.ศ. 2533 (ค.ศ. 1990) เป็นยุคที่จีนเพิ่งเริ่มเปิดเศรษฐกิจเสรี โรงงานเล็ก ๆ และกลาง ๆ ต้องแข่งขันอย่างดุเดือดเพื่อความอยู่รอด
จากนั้นเรื่องราวของเจ้าของร่างก็ไหลหลาก...
ทันทีที่ลู่หลันถิงลืมตาดูโลก เธอกลับไม่ได้รับการต้อนรับจากครอบครัว หากแต่ถูกตราหน้าว่าเป็น “ตัวซวย” นำความโชคร้ายมาให้ตระกูลตั้งแต่อายุเพียงเจ็ดวัน
เธอยังมีพี่สาวของคือ ลู่หลินอิง ซึ่งอีกฝ่ายกลับได้รับการเชิดชูว่าเป็น “ดาวนำโชค” ของบ้าน โดยเฉพาะ ย่าลู่ หลินฟาง หญิงชราผู้เคร่งถือโชคลางและเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ทุกคนต้องเกรงใจมาหลายสิบปีตามธรรมเนียมยุคเก่า
วันที่เด็กแฝดถือกำเนิด มารดา หม่าจื่ออิน เสียชีวิตเพราะคลอดยากหลังคลอดเพียงไม่กี่ชั่วโมง
ย่าลู่เชื่อมโยงเรื่องราวทันทีว่านี่อาจเป็นลางร้าย เพราะตั้งแต่หม่าจื่ออินแต่งเข้าบ้านลู่ เพียงหนึ่งเดือน ปู่ลู่ ก็สิ้นชีวิตด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน!
“สะใภ้คนนี้มันตัวอัปมงคล! ไม่คิดเลยว่าพอคลอดลูกออกมาก็ยังคลอดตัวซวยออกมาอีกเด็กสองคนนี้ต้องมีใครสืบทอดความซายจากแม่ของมันแน่!”
ย่าลู่ประกาศเสียงกร้าวในงานศพ ขณะทุกคนพยักหน้าตามโดยไม่กล้าโต้เถียง
และหลังพิธีศพอีก 2 วันต่อมา สะใภ้รอง จางหมิ่น ภรรยาของลู่เสียนเซิ่งผู้เป็นลูกชายคนรองของตระกูล เชิญซินแสเฒ่ามาดูดวงให้หลานแฝดทั้งสอง
ผลคือ…
ลู่หลินอิง มีดวงดาวมงคล จะนำความรุ่งเรืองแก่สกุลลู่ ส่วน ลู่หลันถิง มีดวงดาววิบัติ เป็นลางร้าย เหมือนมารดาผู้ล่วงลับ!
ตั้งแต่นั้น ความเชื่ออันโหดร้าย ก็หยั่งรากของย่าลู่และคนในครอบครัว ทุกคนเชิดชูเพียงพี่สาวฝาแฝด แต่ผลักไสแฝดน้องให้ตกเป็นเงามืด มีเพียงลู่เสียนอี่เท่านั้นที่ไม่เคยมองว่าลู่หลันถิงคือตัวซวย แต่เขาไม่ค่อยได้เลี้ยงดูบุตรสาว ด้วยภาระของผู้นำตระกูล จึงต้องปล่อยให้ย่าลู่กับน้องสะใภ้เลี้ยงเด็กแฝดแทนตนเอง
ดังนั้นเขาย่อมไม่รู้ว่าลูกสาวคนกลางต้องเจอกับอะไรมาบ้าง เพราะต่อหน้าเสียนอี่ทุกคนดีกับหลันถิง
แต่เมื่อเขาออกไปทำงาน หลันถิงก็ต้องเผชิญโลกอันโหดร้ายเพียงลำพัง
ทุกวันของเด็กหญิงเต็มไปด้วยงานบ้านหนักหน่วง ตักน้ำ ต้มน้ำ ซักผ้า กวาดลาน ทำความสะอาดโรงงาน แล้วแต่จะถูกย่าลู่กับอาสะใภ้เรียกใช้
แม้พลาดเพียงเล็กน้อยก็ถูกหวดด้วยไม้เรียว พร้อมเสียงดุด่าไม่ขาดปาก “แกมันนังตัวซวย! แกจะทำอะไรให้ดีสักอย่างไม่ได้เลยหรือไง!”
เสียงย่าลู่ดังก้องเสมือนตราประทับในใจ ส่วนลู่หลินอิงพี่สาว กลับได้รับการประคบประหงม ราวเป็นเจ้าหญิงของบ้าน เธอสวมเสื้อผ้าดี ๆ ได้กินอาหารเลิศรส และได้เรียนหนังสืออย่างเต็มที่
เวลาหลันถิงถูกตี หลินอิงมักยืนมองด้วยสายตาเย็นชา หรือหัวเราะเยาะซ้ำเติม สิบแปดปี ผ่านไป คำว่า “ตัวซวย” กลายเป็นรอยแผลลึกในหัวใจ
ความแตกต่างถึงขีดสุดเมื่อถึงวัยเรียนมหาวิทยาลัยความฝันที่ถูกพรากไป หลันถิงสอบติด มหาวิทยาลัยสิ่งทอที่เซี่ยงไฮ้ ด้วยคะแนนสูง เธอหวังจะใช้โอกาสนี้สร้างอนาคตใหม่แต่ย่าลู่ตัดสินใจทันทีว่าจะไม่ส่งเธอไปเรียน เพราะหลินอิงสอบไม่ติด
“คนที่สมควรได้รับโอกาสคือหลินอิง! ส่วนตัวซวยอย่างแกอยู่บ้านช่วยงานในโรงงานไปเถอะ!”
หลันถิงได้แต่ก้มหน้ากลั้นน้ำตา ความหวังพังทลายจนหมดสิ้นเพียงเพราะพี่สาวขี้เกียจอนาคตของเธอจึงจบลงแบบนี้ ใจของเธออยากขอร้องบิดา แต่ติดที่ช่วงนี้ครอบครัวฐานะกำลังตกยากลงทุกวัน จึงจำใจก้าวหน้ายอมรับชะตาไป
คืนนั้น เธอยืนมองกระจกภายในห้องนอนตนเองด้วยหัวใจที่แตกร้าว ภาพสะท้อนในกระจกคือเด็กสาวผิวซีด ดวงตาสิ้นหวังมองจ้องกลับมา
เธอพึมพำสาปแช่งโชคชะตา…
“ทำไมฉันต้องเกิดมาเป็นตัวซวยแบบนี้ด้วย!”
เพียงไม่กี่สัปดาห์หลังจากนั้น โรงงานลู่หมิงการ์เมนต์ประสบปัญหาการเงินอย่างหนัก เพราะช่วงเปลี่ยนผ่านของยุค กอปรกับที่ลู่หมิงการ์เมนต์ไม่มีแบรนด์ของตนเอง ได้แต่รับจ้างผลิต ถูกโกงค่าผลิตบ้าง สินค้าไม่ผ่านผู้ตรวจสอบบ้าง บางช่วงผลิตไม่ทันถูกปรับบ้างใน 5 ปีที่ผ่านมาโรงงานจึงขาดทุนติดต่อกัน
เจ้าหนี้รายใหญ่ที่สุดคือ จั๋วอี้เหิง มาเฟียหนุ่มผู้ทรงอิทธิพลและร่ำรวยที่สุดในกว่างโจว และเขายังร่ำรวยติดอันดับต้นๆ ของเอเชียน ต้นเดือนก่อนเขายื่นข้อเสนอมาว่า
ถ้าลู่หลินอิงแต่งงานกับเขา เขาจะยกหนี้ทั้งหมดและช่วยให้โรงงานฟื้นตัวด้วยสินสอดอีกแสนหยวน
ย่าลู่ลังเลอยู่ไม่นานก็รับปากทันที!
ก็จั๋วอี้เหิงเป็นใคร เขารวยขนาดไหน การได้เขามาเป็นหลานเขยนี่มันไม่ใช่ยิ่งกว่าฝันไปหรอกหรือ ถึงการแต่งงานนี้จะมีเงื่อนไขว่าเขาจะหย่าทันทีหลังเขาจัดการปัญหาบางอย่างได้แล้ว แต่จะแค่วันเดียวก็ถือว่าหลานรักของเธอได้เป็นสะใภ้คนแซ่จั๋วแล้วนี่นา
แต่ลู่หลินอิงกลับ ไม่ยินยอม เพราะเธอมีคนรักอยู่แล้ว อู่กวง รองผู้จัดการโรงงานชายวัย 40 ที่มีภรรยาและลูกแล้ว!
เมื่อย่าลู่รู้ความจริงข้อนี้เข้าก็โกรธจนตัวสั่น สั่งห้ามเด็ดขาดและยิ่งบังคับให้แต่งงานกับจั๋วอี้เหิงทันที
สะใภ้รอง จางหมิ่น และลูกชาย เสียนเซิ่ง ก็ยุแยงเพิ่มความโลภมากให้หญิงชราเพิ่มขึ้น ทำให้ย่าลู่ยิ่งแข็งกร้าวเอาจริงกับหลานรักอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน หลินอิงถึงกับร้องไห้อยู่หลายวัน
“บ้านเราจะไม่ตกต่ำเพราะความรักโง่ ๆ ของแกเด็ดขาด! เจ้าจะต้องแต่งงานกับคุณชายรองจั๋วให้จงได้อย่าลืมสิแกคือดาวนำโชคของบ้านลู่นะ!”
และเหตุการณ์ไม่คาดฝันก็เกิดก่อนวันแต่งงาน สิบสามวัน
หลินอิงตัดสินใจหนีตามไปกับอู่กวง แต่หนุ่มใหญ่ชักจูงให้เธอ ขโมยเงินเดือนคนงาน ที่เธอรับผิดชอบถือไว้ แล้วหนีไปสร้างชีวิตใหม่ด้วยกัน
หลินอิงลังเลเพียงชั่วครู่ แต่เพราะรักเขามากจึงยอมตาม บังเอิญในวันนั้น เธอเห็นย่าลู่เก็บ สินสอดจากจั๋วอี้เหิง ไว้ในห้องนอน ความโลภจึงชนะใจ หลินอิงตัดสินใจชวนอู่กวงไปขโมยไปด้วย!
“ถ้าเรามีเงินมากพอ จะไม่มีใครหาตัวเราเจอ!” หลินอิงกล่าวตบท้าย แล้วมีหรือคนโลภมากแบบอู่กวงจะไม่เห็นดีด้วย
ระหว่างที่สองคนกำลังย่องเข้าไปขโมยเงินในห้องของย่าลู่ หลันถิง กลับพบเข้าโดยบังเอิญ เด็กสาวตกใจและพยายามห้ามพี่สาว พร้อมขู่ว่าจะ แจ้งความ เอาผิดอู่กวงฐานล่อลวงพี่สาวและขโมยเงินโรงงาน
ใครจะคิด หลินอิงกลับเห็นขี้ดีกว่าไส้ พออู่กวงบอกว่าปล่อยหลันถิงไปไม่ได้ ไม่อย่างนั้นพวกเราคงหนีไม่รอด หลินอิงก็หันไปคว้าไม้เท้าของย่าลู่ที่มีสำรองเอาไว้ในห้องนอนหญิงชราอีกอันมาหวดเข้าที่ท้ายทอยน้องสาวทันที!
ผลัวะ!
หลันถิงทรุดฮวบ เลือดไหลอาบ เด็กสาวมองหน้าฝาแฝดตนเองอย่างไม่อยากเชื่อสายตา ว่าพี่สาวจะทำกับตนเองลงคอ
“หลินอิงเธอ...”
ยังพูดไม่จบประโยค หลันถิงก็หมดสติไปก่อน หลินอีลนลาน คิดว่าน้องสาวตายแล้ว จึงหันไปหาอู่กวง พอดีกับที่อู่กวงมีรถเก๋งเก่าๆ อยู่หนึ่งคัน เขาจึงรีบไปเอารถมา และอุ้มร่างไร้สติของหลันถิงไปใส่ท้ายรถ
“พวกเราต้องเอาเด็กนี่ไปทิ้ง”
“แต่แบบนั้นหลันถิงจะตายนะคะพี่กวง”
“เธอจะให้มันตาย หรือพวกเราจะยอมติดคุกเล่า อิงอิง” หลินอิงกลืนน้ำลายอึกใหญ่สุดท้ายก็เลือกจะคล้อยตามอู่กวงคือเอาร่างของน้องสาวฝาแฝดไปทิ้งทะเล
ขณะนั้นเอง ย่าลู่ ก็กลับมาพบเหตุการณ์พอดี ยังดีที่ครอบครัวบ้านลู่รอง คือเสียนเซิ่งกับจางหมิ่นกับลูกสาวลูกชายวันนี้ไปค้างต่างเมือง แต่เพราะรู้หลินอิงจึงเลือกลงมือวันนี้
แต่แทนที่ย่าลู่จะช่วยหลานสาวคนกลางผู้เคราะห์ร้าย กลับรีบเร่งให้อู่กวงกับหลินอีหนีไปก่อน และนอกจากเงินสินสอด หลินฟางยังรีบไปนำเงินเก็บส่วนตัวมามอบให้หลานสาวสุดที่รักจนหมด
“มัวรออะไรอยู่! รีบพาหลินอิงหนีไปซะ!”
เสียงร้องไห้ของหลินอิงสั่นสะท้าน ขณะนั้นหลันถิงก็ฟื้นขึ้นมา เด็กสาวคิดว่าย่าลู่จะช่วยตนเอง จึงร้องเรียก แต่หญิงชรานอกจากไม่ช่วย ยังหันไปหยิบไม้ถูกฟื้นมาตีร่างของเด็กสาวซ้ำ โดยเน้นที่ศีรษะ อย่างหวังผลให้ตายไปจริงๆ
ก่อนหลันถิงจะสิ้นใจ เธอลืมตาขึ้นมาเห็นย่าลู่ยกไม้ฟาดซ้ำลงมาครั้งแล้วครั้งเล่า ความเจ็บปวดที่กายกลับไม่เท่าที่ดวงใจของเด็กสาว เธอได้แต่ถามตนเองไปมา ว่าเธอผิดอะไร จึงถูกเกลียด แค่คำทำนายของซินแสเท่านั้น?
ก่อนความมืดมิดกลืนกินสรรพสิ่ง และชีวิตของเด็กสาวที่ต้องทุกข์ทนเป็นตัวซวยมาตลอด 18ปี
หลังจากทำความสะอาดคราบเลือดที่บ้านลู่เรียบร้อย อู่กวงกับหลินอิงก็นำร่างไร้วิญญาณของหลันถิง ตรงไปที่บริเวณท่าเรือแถวหนานซา แล้วโยนลงทะเลทันที เพราะพวกเขาเชื่อว่าทุกอย่างจะถูกคลื่นน้ำซัดหายไป
แต่เคราะห์ร้ายสำหรับพวกเขา เนื่องจากท่าเรือมีตั้งมากหากแต่อู่กวงกลับเลือกจะมาทิ้งคนที่ท่าเรือที่เป็นเขตอิทธิพลของจั๋วอี้เหิง!
และไม่ทราบได้ว่าคืนนั้นบังเอิญอย่างไรจั๋วอี้เหิงมาตรวจสินค้าด้วยตนเองและกำลังจะกลับแต่ดันเห็นเหตุการณ์ตั้งแต่ต้นที่อู่กวงกับหลินอิงช่วยกันขนร่างคนลงจากรถแล้วนำไปโยนลงทะเลเข้าพอดิบพอดี
ดังนั้นร่างที่ควรจมสู่ความตาย จึงถูกลากขึ้นจากน้ำ ทันเวลา!
ตอนพิเศษตัดปัญหาบ้านจั๋วไปแล้ว ใครจะคิดบ้านลู่กลับเกิดปัญหาขึ้นมา และจะเป็นใครได้อีกที่สร้างเรื่องหากไม่ใช่ยายแก่สารพัดพิษหลินฟางหรือย่าลู่ หญิงชราแอบมาขโมยเงินก้อนที่เสียนอี่เตรียมจะนำไปขยายโรงงานเอาไปให้ครอบครัวลู่เสียนเซิ่ง ที่ถูกเจ้าหนี้ตามฆ่าเพราะติดหนี้ก้อนโต (เกือบล้านหยวน)หลันถิงทราบเพราะแม่เลี้ยง (ซ่งอวี้) โทร.มาบอก หญิงสาวโกรธมาก อี้เหิงที่ทราบก็ถามเธอว่าอยากให้เขาจัดการคนพวกนี้แบบไหน หลันถิงนิ่งไปพักใหญ่ แต่สุดท้ายเธอก็ตัดสินใจบอกให้สามีจัดการในแบบของเขาได้เลย เธอกับหญิงแก่มหาภัยไม่เกี่ยวกันนานแล้ว ยิ่งคนบ้านลู่รองหรือาผู้ชายกับอาสะใภ้เธอยิ่งไม่เคยผูกพันอี้เหิงจับศีรษะภรรยาแล้วชมว่า “ดี” พร้อมกับบอกว่าคนเราต้องใจเด็ดแบบนี้ คนที่เคยลงมือฆ่าเราเธอไม่จำเป็นต้องนับใครเป็นญาติ หลันถิงจึงว่าฉันถือคติทำให้คนเกลียด...ยังพูดไม่จบอี้เหิงก็ต่อว่า...อายุยืนหมื่นปี แล้วก็หัวเราะ หลันถิงจึงหัวเราะตาม พร้อมกับบอกสามีว่าชีวิตคนเราก็แบบนี้ต้องเห็นแก่ตัวบ้างใจดีเกินไปตายมามากแล้วอี้เหิงเห็นหลันถิงแกร่งแบบนี้เขาจึงเล่าถึงอู่กวงกับหลินอิงว่าตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง เขาบอกกับหลันถิงว่าตนเองปล่
ตอนที่ 45 ||อวสานสองเดือนต่อมา...อี้เหิงเริ่มเห็นว่าหลายสิ่งที่หลันถิงเคยพูดไว้ในคืนนั้นเริ่มเกิดขึ้นจริง ข่าวลือเรื่องเขตเศรษฐกิจใหม่ที่เซี่ยงไฮ้สะพัดไปทั่ววงการการเงินในเงามืด เขาใช้เส้นสายตรวจสอบทุกแหล่งข้อมูลและพบว่า ทุกอย่างกำลังจะเป็นจริงตามที่เธอบอกไม่มีผิด บวกกับเหตุการณ์เล็กน้อยอีกหลายเหตุการณ์ล้วนเป็นจริงทำให้เขายิ่งคิดว่าความฝันของหลันถิงน่าจะเป็นฝังบอกอนาคตจริงๆค่ำหนึ่งในห้องทำงาน เขาเปิดแฟ้มข้อมูลพลางสูบลมหายใจลึก “ถิงถิง…ดูท่าฝันของเธอจะไม่ธรรมดาแล้วล่ะ”หลันถิงวางแก้วชาลงบนโต๊ะ พลางหัวเราะเสียงหวาน รอยยิ้มที่อ่อนโยนแต่มีความมั่นใจในตัวเองแผ่ออกมา “เห็นไหมคะพี่…ฉันไม่ได้พูดเพ้อเจ้อเลยสักนิด”อี้เหิงขำเบา ๆ ก่อนเอ่ยเล่น ๆ “พี่เริ่มจะเชื่อแล้วจริง ๆ ว่าเมียพี่อาจจะมาจากอนาคตก็ได้”หลันถิงทำหน้าทำตาประหลาดใจเล็กน้อย ก่อนยิ้มเจ้าเล่ห์เขาโน้มตัวไปใกล้ พลางเอื้อมมือคว้าข้อมือเล็กของเธอมากุมไว้เบา ๆ “หรือไม่ก็…เป็นนางฟ้า หืม?”หลันถิงหัวเราะคิกคัก “พี่อี้! ฉันห่างไกลคำว่านางฟ้าเยอะมาก ยิ่งนางเอก…ยิ่งไกลเต็มที่ หลันถิงคนนี้ก็มีแต่จะเป็นนางร้ายเต็มตัว!”อี้เหิงยิ้มมุมปาก ดวงต
ตอนที่ 44 || ฝันบอกอนาคตของหลันถิงหลังจบมื้อค่ำดึก อี้เหิงกับหลันถิงขึ้นมานั่งดื่มชาดอกไม้ที่ระเบียงห้องนอนเพื่อรอให้อาหารย่อย แสงไฟยามค่ำส่องสว่างไสว กลิ่นชาอ่อน ๆ ผสมกลิ่นลมเย็นยามค่ำ ทำให้บรรยากาศเงียบสงบอย่างแปลกประหลาดหลันถิงนั่งถือถ้วยน้ำชาแน่นิ่งมาครู่ใหญ่ ในใจของหญิงสาวกำลังกังวล เธอจ้องไปยังความมืดข้างนอกมากกว่าจะมองสามีที่นั่งตรงข้าม อี้เหิงย่อมสังเกตเห็นแล้วแต่เขายังเงียบอยู่ เพราะอาการของหลันถิงดูเหมือนเธอจะมีเรื่องในใจ เขาไม่รีบร้อนปล่อยให้เมียตัวน้อยอยู่กับตัวเองครู่หนึ่ง จึงได้เอ่ยถามเสียงทุ้มต่ำแต่อบอุ่นเหลือเกิน“หลันถิง เธอต้องการอะไรจากพี่ก็พูดมาเถอะ ระหว่างผัวเมียเราไม่ต้องเกรงใจกัน” น้ำเสียงของเขาเรียบแต่หนัก แน่วแน่สื่อความหมายดังที่พูดออกไปทุกคำคำพูดนั้นทำให้หลันถิงชะงัก ใบหน้าเธอร้อนผ่าวขึ้นเล็กน้อยก่อนพยายามข่มใจให้ยิ้มกลบความรู้สึกหวาดกลัวว่าหากตนเองพูดสามีเธอจะไม่คิดว่าเธอเพ้อเจ้อไปเอง“นี่พี่อี้มองออกเลยเหรอ… แหม เขินเลยนะเนี่ย” หลันถิงพูดคล้ายหยอกเย้าสามีเพื่อไม่ให้บรรยากาศตึงเครียดเกินไปอี้เหิงยิ้มมุมปาก ดึงร่างเล็กมานั่งบนตักอย่างคุ้นเคยและเขาอยากบอก
ตอนที่ 43||การตัดสินใจเด็ดขาดของอี้เหิงหลันถิงรีบพูดเสียงสั่น แต่ยังไม่ทันพูดจบ ร่างบางก็ถูกแขนแข็งแรงโอบอุ้มขึ้นจากท่านั่งคุกเข่าโดยเขาก็กลับลงมานั่งในอ่างเช่นเดิม แล้ววางร่างเล็กลงคร่อมตักแกร่งกลางอ่างทันที น้ำกระเซ็นจนล้นขอบอ่างลงเปียกพื้นแต่อี้เหิงหรือจะสนใจ“ลองขย่มพี่เองสักครั้งสิ” เขากระซิบเสียงแหบพร่าที่ข้างหู ริมฝีปากกัดติ่งหูเล็กแรงพอให้เธอสั่นสะท้าน“ไม่เอา!” เธอส่ายหน้าสุดแรง แต่เขากลับจับสะโพกกลมแน่น กดลงตรงแก่นกายแข็งกร้าวที่เพิ่งคืนชีพอีกครั้ง ความร้อนผ่าวกระแทกตรงจุดอ่อนไหวทำให้หลันถิงสะดุ้งเฮือก“อย่าดื้อ...เดี๋ยวพี่ทิปอีกห้าหมื่น” เสียงทุ้มต่ำล่อลวงคนชอบเงินหลันถิงยังไม่ทันปฏิเสธเพราะรอบนี้เธอเหนื่อยแล้วอีกห้าหมื่นก็ไม่เอา แต่ปลายแท่งร้อนก็สอดแทรกเข้าไปในกายคับแน่นอย่างรวดเร็ว เสียงกรีดร้องหวานปนแหบพร่าหลุดจากปากหลันถิง น้ำตาคลอเมื่อความใหญ่โตดันลึกเข้าไปสุดทางในคราวเดียว“อ๊ะ...พี่อี้ มันเจ็บนะ!” เธอทุบอกเขาเบา ๆ แต่เสียงครางแหบพร่ากลบความโกรธไปหมดสิ้น“ก็เจ็บแค่แรก ๆ ทุกครั้งไม่ใช่หรือไง เดี๋ยวขยับเธอก็เสียวไปกับพี่ทุกที...” เขาหัวเราะต่ำในลำคอ แล้วดันสะโพกเธอขึ้
ตอนที่ 42||ฉันจะเป็นปลาเค็ม!...หลังจากวันยกน้ำชาพอเช้าวันใหม่อีกวันน้องสาวของจ้าวอิงอิงพี่สะใภ้ใหญ่ของบ้านจั๋วก็ขนข้าวของมาอยู่ที่ตึกใหญ่ หากแต่หลันถิงไม่ใส่ใจ เพราะอี้เหิงบอกกับเธอแล้วว่าเขาไม่สนใจใคร เขาเลือกเธอแต่แรกก็ยังเป็นเช่นนั้นและเพียงสามวันเท่านั้นตึกใหญ่ของบ้านจั๋วก็วุ่นวายเพราะจ้าวจูดี้กับจ้าวหนิงเจียวทะเลาะตบตีกัน เพราะต่างก็มีคนหนุนหลัง หนิงเจียวคือคุณนายใหญ่จั๋วผลักดัน ส่วนจ้าวจูดี้ก็เป็นสะใภ้ใหญ่กับลูกชายคนโต ตบตีกันเองจนวุ่นวาย สุดท้ายคุณนายใหญ่จั๋วก็ทนไม่ไหว ไล่ทั้งสองคนออกจากคฤหาสน์ไปก่อน“แผนของพี่อี้ช่างร้ายกาจ”หลันถิงชื่นชมสามีจากใจ เพราะที่อี้เหิงรับปากเธอแต่แรกล้วนเป็นจริง เขาบอกให้เธอแค่อยู่เฉยๆ วางตัวสวยๆ ใช้จ่ายตามสบาย ส่วนเรื่องผู้หญิงอื่นเขาจะจัดการแทนเธอเอง“พี่ร้ายกับคนที่ร้ายกับพี่ก่อนเท่านั้น อีกไม่นานรับรองเลยว่าหนิงเจียวจะได้รับโทษที่เคยลงมือทำร้ายเธอ”“ยังไงคะ?” หลันถิงหมายถึงเขาจะทำอะไร“ตอนนี้หนิงเจียวพัวพันอยู่กับเฉินอีเค่อ และเธอรู้ไหม เมียของเฉินอีเค่อเป็นพวกหึงโหดขนาดไหน”หลันถิงฟังแล้วคิดตามไม่นานก็ตาโต “พี่อี้ พี่ไม่ใช่คนดี!”จั๋วอี้เหิงห
ตอนที่ 41 ||ยกน้ำชาบ้านใหญ่ช่วงค่ำอากาศของปักกิ่งเย็นยะเยือกกว่าที่หลันถิงเคยชิน ลมปลายฤดูร้อนพัดแรงจนม่านบางปลิวสะบัด เสียงกระดิ่งลมหน้าระเบียงดังแผ่วเบาเป็นจังหวะชวนผ่อนคลายหญิงสาวในชุดนอนผ้าซาตินสีงาช้างนั่งอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง ดวงตาคู่หวานจ้องเงาตัวเองในกระจกอยู่นาน ใบหน้าหวานผ่องใสแม้จะผ่านการเดินทางไกลด้วยเครื่องบินเสียงเปิดและปิดประตูเบา ๆ ดังขึ้นก่อนที่อี้เหิงจะก้าวเข้ามาในชุดนอนสีเข้ม เขาดูสงบอย่างทุกครั้ง“นอนไม่นอนอีกแล้วเหรอ” คนเพิ่งกลับมาจากห้องทำงานถามเมียที่เขามาส่งตั้งแต่หัวค่ำยังนั่งทาครีมตรงโต๊ะเครื่องแป้งไม่เข้านอน“รอพี่อี้ค่ะ” หลันถิงตอบเสียงหวานก่อนจะลุกเดินมาหาสามีที่ยืนรอที่ปลายเตียง“พี่นึกว่าเธอกังวลเรื่องยกน้ำชาบ่ายพรุ่งนี้เสียอีก” อี้เหิงดักคอคนที่ยังไม่ยอมเข้านอนทั้งที่ห้าทุ่มกว่าแล้ว“ก็...นิดหน่อยค่ะ” หญิงสาวเข้ามาโอบเอวแกร่งพร้อมเอาแก้มนวลถูไถไปกับหน้าอกของสามีคล้ายลูกแมวขี้อ้อน ท่าทางแบบนี้ทำเอาอี้เหิงใจเหลวเป็นน้ำ“ตราบใดที่พี่ยังมีลมหายใจ ไม่ต้องกลัวหรือกังวลอะไรทั้งนั้น”คำพูดนั้นเหมือนคาถาคุ้มกันในใจหลันถิง เธอพยักหน้าช้า ๆ แล้วสูดลมหายใจลึกก







